26 ตุลาคม 2547 21:48 น.
สาวบ้านนา
URL http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=198
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=223
(ขวัญ..เรียม)
***********
ในวันที่ฝนทิ้งช่วง ลารวงเรียวระย้าย้อย
ที่ห้อยหวานเคลียดินคอยฝน
หัวใจดวงดายเดียวเดียวดาย
ของสาวนาที่เหว่ว้าราวข้าวคอยฝนเฉกกัน
ก็พลันได้หยาดฝันหยาดฝนจากดวงใจ
มาพร่างหอมห่มริน
ในวันนี้..วันที่อ้ายคืนถิ่นคืนหลัง
กลับมาสู่สวรรค์บ้านนอกบ้านนา
หัวอกหัวใจสาวนาดวงเหว่ว้า
ราวผักบุ้งในบึงอวบอิ่มดีดผึงชูช่อชัน
ผันเลื้อยยอด
ออดอ้อนพรายทายท้าสายแสงแรกสุริยาแห่งวัน
อ้ายยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ใต้ร่มทองกวาวใกล้ ลานลั่นทม
กับประกายน้ำวะวับวาวเต็มเรียวตาสีสนิมเหล็ก
ที่พราวเมตตาอบอุ่นอ่อนโยน
และราวแสนคิดถึงคะนึงหา
นะนาทีนี้
นะลานลั่นทมนี้
ที่เคยฝากเพียงตรอมตรมระทมตาม
ยามที่ใจดวงงามดวงใสซื่อของสาวนา
แสนเหว่ว้าใจเมื่อหันไปเห็นดวงดอกเศร้า
ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง..ร้างไร้..ใครมาไยดี
หากมิใช่วันนี้
วันที่หัวใจสาวนากลับเต้นตึกตักๆ
ราวกับจะทะลักล้นออกมานอกทรวง
อ้าย..
ค่อยๆก้มตัวลงช้าช้า
เก็บดวงดอกลั่นทมดอกเหว่ว้า
แดงขาวพราวดวงยังสดใหม่ในพืนหญ้าเขียวไพลเขียวขจี
แล้วค่อยๆก้าวพาร่างเข้ามาชิดใกล้สาวนา
พร้อมกับโอบประคองเอวบางร่างน้อย
ให้เข้ามาเคลียไคล้อกอุ่นแข็งแรง
แล้วค่อยๆทัดดวงดอกไม้หอมงามริมแก้ม
ก่อนจะก้มลงเชยชมทั้งริมแก้มเรียวคาง
ให้สาวนาครางครวญ
โผผวากอดรัดอ้ายอย่างมิอายฟ้าดิน
อย่างแนบแน่นเท่าแรงรักแรงคิดถึงคะนึงหา
แรงเหว่ว้าหลงรอคอยมาแสนนาน
เสื้ออ้ายเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
อ้ายค่อยๆประคองนวลหน้าเนียนแดดละออ
แล้วจูบซับหยาดน้ำตาอย่างอ่อนโยนละมุน
ตาสบตา..พลังแห่งรักปรารถนาโชนช่วง
พลังจิตจากลิขิตฟ้าดินอินทร์พรหมยมพญา
กำลังเมตตา ให้สาวนาซ่านซึ้งสุขทุกข์มลายหายวับ
และ ไม่จำเป็นต้องหาคำมาอธิบายค่าคำรัก
ที่เลอล้ำค่านี้ ที่ไม่มีคำใด
แทนที่ความรู้สึกลึกล้ำดำดื่มได้ทั้งสิ้นทั้งหมด
สาวนา..
มองตาก็รู้ซึ้ง ถึงก้นบึ้งแห่งดวงใจรักภักดิ์พลี
ที่ชาตินี้ ไม่ว่าวันเดือนปีจะผ่านไปนานสักปานใด
หากดวงตาใสซื่อดวงใจมั่นคงจงรัก
ยังคงจักสะท้อนทอทอด
ออกมาจากจากจิตวิญญาณบ้านภายใน
ที่แสนไสวราวแก้วกระจ่าง
สะท้อนพร่างความเป็นรักนิรันดร์..
สาวนารำพันขอโทษอ้าย
ที่หลงนอนคิดเดียวดายในบางค่ำคืน
ลืมคำสอนหลวงพ่อ
ที่บอกให้รู้รำงับจับจิตเพียงให้เกษมในพลังแห่งปัจจุบัน
ทิ้งทั้งอดีตทั้งอนาคต
อย่าโศกกำสรดเศร้านำมาอาวรณ์อาลัยไหวหวั่น
ให้จิตนั้น
พลันหยุดคิดไม่ได้ คล้ายดั่งกระแสน้ำ
ที่มิปล่อยให้ผ่านไปหากกักไว้ให้ท่วมทุกข์ท้นล้นใจ
สาวนา..พึงตระหนักในคำสอนนะบัดนี้
ว่าไม่ว่าจะคิดดีคิดร้ายคิดให้คิดเย็นคิคเป็น
คิดคิดคิด..มิหยุดจิตไว้ให้ได้แล้วไซร้
รังแต่จะตกบ่วงใจ
ไม่มีความสงบสะอาด สว่าง วางว่างได้เลย
แล้วที่ไหนใจจะบานเบิกได้หลุดพ้นราวบัวพ้นน้ำเสียที
มาผลิแย้มบานหวานตระการแจ่มรับสายแสงแห่งตะวัน
ที่เปรียบประดุจดั่งคำสอนของพระบรมศาสดา
ให้พาพ้นบึงน้ำโคลนน้ำคำน้ำดำเป็นเหยื่อเต่าตม
หนีมิพ้นวงวนกรรม วิบากกรรมวิบากเก่า
สาวนา
สังเกตว่าอ้ายผอมลง
หากยังคงแข็งแรงราวใช้แรงงานกลางแดดมานาน
ที่คือพลังชีวิตสดฉ่ำ
ที่ร่ำรินให้ได้ชิดเคียงใกล้ดินน้ำลมไฟ
ให้พลังปราณได้ผสานผสมหยินหยาง
พร่างพรมห่มร่างอย่างพอเหมาะพอดี
และ
ในวันนี้ กับดวงตาที่สุกใสสีสนิมเหล็ก
ที่ราวมีมนต์สะกดด้วยพลังแสงสีเงินพร่างจรัสพราย
ราวมีพลังจิตสามารถกระจายงามใจได้
ให้น้ำใจงามพราวแห่งรัก
พร่างพรมห่มหอมห้วงจิตผู้ชิดใกล้
ให้มีชีวิตชีวาอันแสนเกษมปิติใจตามไปด้วยกัน
สาวนาดีใจ..
ที่ยังครองชีวิตครองใจ
มาตรแม้นมากมีใครใครพากันมามาดหมายข้องเกี่ยว
สาวนาผู้รักเดียวใจเดียว
ก็มิเคยเหลียวแลมอง ปองปรนเปรอให้ชายเชยชมชิด
ด้วยคงเป็นลิขิตฟ้าดิน
ที่ยังให้หัวใจถวิลรักเดียวใจเดียวเพียงอ้าย
ให้คงมั่นให้ดวงใจภักดิ์พลีภักดี
เพื่อรอคืนวันที่อ้ายจะคืนหลัง
กลับมาเคียงกาย
ได้ชิดใกล้หลอมละลายร่างเป็นหนึ่งเดียว
ราวรอยไถไม่แปร...ฉันท์ใดก็เฉกนั้น
ให้ได้มาปันหอมหวานหยาดสายสวาทเสน่หา
ก่อนที่จะพากันประคองเรือชีวิต
เข้าสู่ร่มธรรมร่มทอง
ให้ลอยล่องไปฝั่งฝันสู่แดนดินแดนอันจักเป็นรักนิรันดร
คืนนี้ ในท่ามกลางราตรีกอกลิ่นลั่นทม
ริมกระท่อมไพรกระท่อมลั่นทม
เรือนบ่มจิตเพียรฝึกสมาธิภาวนา
สาวนาชวนอ้ายพากันไปก้มลงกราบกราน
เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธิ์ผู้พิสุทธิคุณ
ถวายมาลัยมะลิร้อยด้วยสร้อยโซ่ใจ
มาลัยไพรมาลัยดวงดอกไม้รายรอบหลากสีนานาพรรณ
ให้อวลกลิ่นอันหอมงามสงบเย็น
อ้าย..สวดมนต์
พร้อมพร่ำอธิษฐานจิต
บอกล่าวเล่าความจริงในใจ
ที่จำพรากลาไกลไปจากสาวนา
ที่ปล่อยให้หลงรอท่ามานานเนิ่นเกินนับ
สาวนาน้ำตาหลั่งรินเงียบๆ
ในคืนที่ฟ้าพร่างสุกใส
ใจสุกสกาวกระจ่างราวได้ดวงแก้ววิเศษสว่าง
คืนกลับมานำทางจิตนำทางชีวิตอีกหน
ให้สู้ทนให้พ้นวิบากกรรม
ให้พากันหลุดพ้น
ไปสู่แดนดินในฝันไร้ร้างที่แสนเงียบงามว่างเปล่า
มิต้องเหงาใจมาเวียนว่ายทะเลโลกย์ทะเลโศกทะเลสุขเศร้า
เคล้าคลุกหยาดน้ำตาอีกต่อไป..ในภพไหนๆอีกเลยแล้ว
ท่ามกลางเดือนพราวดาวแวววาวระยับ
สาวนาชวนอ้ายมานอนรับลม
ฟังเสียงเรไรนกไพรจิ้งหรีดกรีดร้อง
พร้องเสียงผสานผสมร่ำรินกับกบเขียดในนา
หลังฝนเทรินลงมาราวฟ้ารั่ว
ราวรู้รวงทองรอรวงพรอ้อนโปรยมาในยามค่ำ
ให้ฉ่ำเย็นก่อนหน้านี้
เพื่อที่จะรับขวัญคนดีคนเดียวในดวงใจสาวนา
ฟ้าเริ่มคลี่ม่านกำมะหยี่สีเงินงามเข้ม
ดาวประจำเมืองเรืองรุ่ง
เริ่มไรแสงทอนวลพร่างให้กระจ่างจิต
อ้ายนอนหนุนตักสาวนา
เล่าชะตาฟ้าลิขิตที่จำต้องไปใช้ชีวิตรับจ้าง
กรีดยางในสวนทางภาคใต้
ที่มิได้ส่งข่าวให้สาวนารับรู้
หวังจะกลับมาพร้อมเงินเก็บกอบกำ
ลบระกำตรากตรำให้สาวนามีความสบายขึ้น
อ้ายสารภาพผิด ที่คิดเพียงแค่ว่าคงไม่นาน
ก่อนสถานการณ์เลวร้ายจะพลันเกิด
ให้อ้ายต้องหนีเตลิดออกมา
ด้วยกลัวอำนาจมืด
ก่อนที่ผู้คนจะกลายเป็นเหยื่อ
ต้องรับกรรมถูกฆ่าฟัน
อย่างไร้ความยุติธรรมอย่างไร้มโนธรรม
เป็นผู้บริสุทธิ์ที่หาเช้ากินค่ำ
ที่อุตส่าห์ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงใจทนทำไร่นา
ให้นะวันนี้นั้นพืชผลนั้นไร้ราคาราวไร้ค่า
เพราะไม่มีผู้ใดหาญกล้าเข้าไปรับซื้อ
อ้ายเล่าความโหดร้ายที่ได้พบเห็น
ภาพที่สะท้อนให้ใจดวงใสดวงฉ่ำเย็นของอ้าย
กลายเป็นความค้างคาใจ..ไม่เข้าใจ
ว่าเหตุใดผู้หวังทำงานสุจริตต้องมาพลอยรับกรรม
พลอยงงงัน หาเหตุผลไม่ได้ให้กับชีวิตอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
ว่าทำไม ทำไม ...
คนในชาติ
ที่เคยใช้ชีวิตสถิตทอดมาอย่างสมถะสงบสุขชั่วลูกหลาน
ภายใต้ร่มฉัตรร่มธรรมร่มทอง
ต้องพลอยมารับวิบากหมองมัว
..
ด้วยความขัดแย้งความไม่เข้าใจ
ในวิถีทางแห่งการเมือง
ที่คือความโหดร้าย
คือความตายอย่างไร้ปรานี
ของผู้ที่เคยใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
อย่างรู้พอเพียงเพียงพอมายาวยืน
บนผืนดินทองแห่งนี้
ที่มีพลังเมตตาแผ่ไพศาล
อย่างไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ศาสนาให้แตกสามัคคี
และ
ผืนดินแห่งนี้
คือแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งความร่มเย็น
ที่ทุกธุลีหล้านั้น
มีแต่ความหอมงามหอมให้มากล้นน้ำใจของน้องพี่
อย่างมีเมตตาธรรมแก่กันและกัน
อย่างพุทศาสนิกชนพึงปันแบ่งแบบพึ่งพิงพึ่งพา
อย่างไม่มีคำนึงถึงชาติศาสนา
มาเป็นอุปสรรคคอยขวางกั้น
ความรักสามัคคีความดีความงาม
เพื่อสีบทอดความปรองดองให้ครองจิตคนในชาติ
ให้เป็นมรดกลูกหลานเหลนโหลนภายหน้าตราบชั่วฟ้าดิน
แต่นะวันนี้
อ้ายคนดีตัดสินใจ
รอเวลาที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้ามาเจรจากัน
อย่าผู้ที่ได้อาศัยแผ่นดินนี้
พักพิงยืนหยัดมายาวนาน
หยุดความแล้งไร้ที่ราวไฟลุกโหม
ให้เกิดสงครามและความตาย
มากมายมากขึ้นทุกทีๆหากไม่ช่วยกันหันหน้ามาเจรจา
และดับไฟแห่งความไม่เข้าใจนั้นลงเสียให้ได้ในเร็ววัน
อ้ายเลยตัดสินใจกลับ
คิดแค่ว่าจะกลับมาลาสาวนาคนดี
มาพลีจิตบอกความจริงทุกสิ่งมิให้ค้างคาใจ
หากจะตัดสินใจ..ทำบางสิ่งที่ลูกผู้ชายไทยพึงทำ
เพื่อเทิดขวัญเทิดรัก
ยอมสละชีวิตรักชีวิตส่วนตัวที่แสนสั้นนัก
ให้ผืนแผ่นดินแห่งรักจักตราตรึง
คุณงามความดีที่ต้องยิ่งใหญ่
สำคัญกว่าความรักแบบปุถุชน
เมื่อหนีไม่พ้น
ทั้งที่ยังหวังว่าทุกอย่างคงสงบในไม่ช้า
เพราะนั่นคือหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ถูกต้องที่สุด
ก่อนทุกอย่างจะยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
ให้หัวใจอ้ายไม่มีทางเลือก
สาวนา.สะอื้นไห้
ทั้งเข้าใจเรื่องราวที่ผ่านไป
ทั้งปิติใจทั้งเกษมสุขเศร้า
ทั้งหนาวใจ
ที่อนาคตข้างหน้านี้
ยอดดวงใจคนดีอาจจะต้องพลีชีพเพื่อผืนดิน
และไม่มีวันคืนกลับมาหาสาวนาอีกเลยแล้ว
สาวนาจึงได้แต่ละหลั่งรินน้ำตาในนาทีสับสนนี้
อย่างที่รู้ดีว่า
เส้นทางแห่งโลกอารยะนั้นนับวันจะพรากลา
พาให้ก่อเกิดสงครามแห่งความเห็นแก่ตัว
ให้แม่พ่อพี่น้องผองเพื่อน
ต้องมาล้มหายตายจากพรายพลัดพรากราวใบไม้ร่วง
ยังไม่นับบ่วงกรรมลูกโซ่
ที่มนุษย์ในโลกนี้เพียรสร้างแล้วทำลาย
ราวไร้มนุษยธรรม ราวไม่รู้รักษ์โลก
รู้จักคำพอเพียงเพียงพอ
อยู่อย่างโอบเอื้อแบ่งปัน
อย่างช้าๆอย่างรู้ค่าคำธรรมชาติ ดินน้ำลมไฟ
ให้ทรัพยากรแห่งโลกนี้
ที่นับวันจะริบหรี่ลดน้อยถอยลดลงไปทุกวันๆ
สาวนากอดอ้ายแนบแน่น
ด้วยอ้อมแขนอ้อมใจแห่งความปิติใจภาคภูมิ
ค่อยลูบไล้ใบหน้าอ้ายไล้แผ่วเบาอย่างปลอบประโลม
ราวให้ลืมคืนหนาวดายเดียวเปลี่ยวเหงาใจมาอย่างยาวนานนัก
หยาดน้ำตาแห่งความรักภักดิ์พลีหยาดรินมิสิ้นสาย
อ้ายคนดี..คืนกลับ
ความละมุนหวานกรุ่นใจให้สาวนาไหวหวาม
ค่อยๆจูบนิ้วหยาบกร้านของสาวนาอย่างละเมียดละไม
แล้ววางประทับไว้กับเรียวปากอย่างซึ้งใจซึ้งค่า
เกินกว่าจะหาคำมาพร่ำพรรณนา
ถึงทุกสิ่งที่ดิ่งด่ำล้ำลึกนะจิตวิญญาณภายใน
หยาดน้ำตาแห่งความดีความปิติ
ค่อยๆคลายจาง
และ
ในท่ามกลางเดือนแจ่ม
และเสียงดุเหว่าแว่วหวาน
ผ่านแมกไม้ไทยแมกไม้ไพร
ที่อวลกลิ่นลอยมาตามลม
สองดวงใจในผ้าห่มอุ่น
ในม่านมุ้งบังให้ร่างรักเคล้าเคลียพลอดพร่ำรำพันรัก
ในเงาแสงจันทร์แสงตะเกียงฝันอันริบหรี่ไหว
หากทว่าไฟรักมิมอดดับ
กลับพร่างโชนระรินอย่างมิสิ้นสายสวาทเสน่หา
จนอุษาฟ้าสางใกล้สว่างรำไรๆ
ให้นกเขาไพรยังคงขันคู..
สาวนา..ละเมอละไมในม่านมุ้ง
ในอ้อมอกอุ่นแข็งแรงของอ้าย
ให้ฝากคำเพ้อพ้อภาษารักแน่นหนักภักดีที่มีต่อ
ชายชาตรีชายเดียวในดวงใจ
ชายผู้กล้าแกร่งกร้านแดดเกรียมลม
หากให้อารมณ์โลมไล้บรรเจิดจิตนัก
ยามได้ลิ้มชิมรสรัก
จากใจดวงปรารถนาหลอมละลาย..
...........
สาวนา..ค่อยๆปล่อยให้อ้ายนอนพัก
แล้วขยับเขยื้อนตัวให้พ้นอ้อมอกอุ่น
หมุนไส้ตะเกียงไล้สูง
แล้วเข้าครัวเตรียมสำรับ
ทำน้ำพริกมะม่วงสับ
แกล้มกับผักสด
ต้มกะทิสายบัว
แกงคั่วส้มปลากรายกับผักบุ้งนา
เป็นอาหารมื้อแรก
ที่หวังอ้ายจะประทับใจในรสมือนี้
ที่รอคอยปรนนิบัติพัดวีมานานวัน
ฟ้าเริ่มพรายแสงอ่อนหวานอ่อนอุ่น.
สาวนาชวนอ้ายลงไปเที่ยวท่องในท้องนา
ลุยโคลนจับปลาและพากันไปว่ายน้ำในบึงบัว
ในยามนั้น
พลันสาวนาราวได้ยินบทเพลงแห่งรักอมตะ
หวานแว่วแผ่วผ่านลำประโดงมา
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=223
ขวัญเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม
หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม
เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ
คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ
ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่
แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม...
*******
สาวนา..ยิ้มหวาน
ให้อ้ายวักน้ำถูหลังให้อย่างโลมไล้ละมุนซุกไซร้ซุกซน
ในท่ามกลางกรุ่นกลิ่นเกสรบัวพร่างพราย
ให้อ้ายกระซิบว่ายังแพ้กลิ่นสาวนา..ที่อ้ายรักนักรักหนา
และจะขอฝากคำมั่นสัญญาว่า..
ตราบชั่วชีวาชีวิตนี้
จิตของอ้ายจะมิพรากลาไปไหน
หากจะยังคงวนมาปกป้องคุ้มครองร่างใจ
ให้ยอดดวงใจ
มาตรแม้นว่าร่างจะดับไป
หากจิตจะไสวกระจ่าง
จะสถิตทอดคอยดูแลสาวนา
ตราบจนกว่า
ทั้งสองดวงวิญญาญ์จะได้พาพบกัน
พาพลันลอยล่อง
ท่องสู่วิมานแมนไปสู่แดนสวรรค์สรวง..
ราวรวงคู่เคียวทองตราบชั่วนิจนิรันดร์..
12 ตุลาคม 2547 09:34 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1504
(บัวตูมบัวบาน)
*********
ตะวันดวงใสดวงงามดวงแดงปลั่ง
ที่สุกชัดราวไข่ดาวแขวนฟ้า
มาคลี่ยิ้มหวานหวานรับสาวนาอย่างใจดี
ในยามอุษาฟ้าสางอีกคราแล้ว
นกเขาไพรก็ยังคงไม่ไปไหน
ยังมาเป็นเพื่อนใจเป็นนาฬิกาไพร
มาร้องขันคู
คู่กับกิ่งจำปีริมกระท่อม
ในทุกๆเช้า
ให้สาวนายิ้มหวานรับเช่นกัน
ให้สาวนานอนแอบอ้อนดู
ม่านใบไม้ไม้ลายดอกแก้วไหวระริก
กระซิกกระซี้ชูงามสลอนริมหน้าต่างกระท่อม
ที่ยามได้หยาดฝนพร่าง
เลยบานแตกช่อสะพรั่งพรึบ
ราวกับนัดกันไว้.
มารับขวัญให้สาวนาเชยชมดอมดมหอมทั้งคืนยันรุ่ง
ทุกคืนระยะนี้
สาวนาชอบนอนเปิดหน้าต่างและม่านมุ้ง
เพราะสาวนาชอบให้ละอองฝนพรายเข้ามานิดๆ
สาวนาชอบละไอฝน
ที่ช่างให้ความรู้สึกแสนหวานแสนดี
และแสนที่จะเย็นสดฉ่ำชุ่ม..ชื่นเย็น
บางคราสาวนา
ยังได้นอนแอบอ้อนนอนฝันฝัน
รอหยาดสายหวานจากธารน้ำผึ้งพระจันทร์
และ
คิดฝันคิดถึงอ้าย..ว่ามานอนเคล้าคลึง
คลอร่างใจชี้ชวนให้ชมไปด้วยกัน
ที่คงจะให้ความรู้สึกแสนดีแสนวิเศษในมหัศจรรย์รัก
ที่แสนสุขแสนเป็นธรรมชาติ
สาวนา..
ผู้มีชีวิตจิตวิญญาณ
มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
เลยหนีไม่พ้นที่จะรักและชื่นชมธรรมชาติ
แถม
เชื่อมั่นว่าชีวิตมนุษย์เรานั้น
จริงๆแล้วต้องเกิดมาคู่กันทั้งสองอย่าง
คือมีทั้งธรรมชาติและธรรมะ
ธรรมชาติคู่ร่าง
ให้ดวงตาใสสวยได้เห็นในเย็นในงาม
ที่พาดวงใจให้ไหวหวามได้พบกับความสุขสงบใจ
ดูอย่างพระพุทธองค์
ที่ทรงเพียรค้นหาทางหลุดพ้น
จากทุกทุกข์รัก...ทุกทุกข์บ่วงกรรม
ที่รัดร้อย
ที่ในที่สุดทรงบำเพ็ญเพียรภาวนา
ถึงทรงพบทางแห่งอริยสัจสี่
ทางที่จะทรงรู้แจ้งเห็นแจ้งจนตรัสรู้
และ
มหาบุรุษ..ผู้แสนยิ่งใหญ่นั้นยัง
ทรงมาค้นพบธรรม
ใต้ต้นสาละริมแม่น้ำเนรัญชรา
ที่สาวนาเคยอ่านจากหนังสือของหลวงพ่อ
ที่มีกวีคนหนึ่งได้รับรางวัล
และ
ฝากอุทิศผลงานงามนั้นออกตีพิมพ์เป็นธรรมทาน
ยังจำแม่นยำว่า..
กวีนั้นชื่อแสนแปลกมาก
*ลำน้ำน่าน*
สาวนาเลยท่องจนจำขึ้นใจในบทนั้น
ที่ทุกวันวิสาขะที่วัดจะมีการอ่านออกอากาศ
ให้ญาติโยมได้อิ่มงามใจ
ซึ้งในบุญญาบารมีทานธรรมของพระพุทธองค์
************
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_53369.php
พรมธารายามอรุณด้วยกรุ่นกลิ่น
อบผืนดินด้วยเกสรละอองป่า
จากดื่นดึกลึกหลับกับดารา
ภาวนาอยู่ท่ามกลางวิมานพฤกษ์
ณ ริมฝั่งสายธารนิมานรดี
ดารณีสว่างสรวงจากห้วงดึก
ร่วมบรรเลงมนต์ธรรมอันล้ำลึก
ผลผลึกอภิญญาณ ณ ลานโพธิ์
เมื่ออาทิตย์อุทัยแรกแตกดอกวับ
พร้อมบทเพลงวิหคขับจับกิ่งโผ
บัลลังก์อาสน์ใต้ร่มบรมโพธิ์
เพียงพุทธโทแว่วผ่านวิมานไพร
ทิวาวันวิสาขปุณณมี
มะลุลีผลิรับจากหลับใหล
หยดน้ำค้างหยดเย็นค่อยเป็นไป
เทพยดาภาคไตรร่ายรำพร
ณ ริมธารสายน้ำต้นยามเช้า
ใต้ร่มเงาพนาวัลย์บรรจถรณ์
โพธิสัตว์ประทับแรงแสงจีวร
พนันดรก็บรรสารทุกธารพราย
มธุปายาสข้าวทิพย์วิจิตรสรร
อวลสุคันธ์สุชาดาน้อมถวาย
เครื่องพลีกรรมหอมกลิ่นมิสิ้นวาย
โลกบาลพร้อมเรียงรายรับพิธี
รัตนบัลลังก์นั่งภาวนา
อาทิตย์ทองส่องหล้าพระโพธิ์ศรี
ทินกรร่อนเริงเวิ้งนที
บารมีคลี่อาบทาบไพรวัลย์
สัตยาอธิษฐานลงธารน้ำ
อรุณยามฤกษ์ดวงสรวงสวรรค์
ถาดทองทวนไหลทบอรรณพนันต์
ณ ห้วงน้ำเนรัญฯ แห่งมรรคา
ปฐมยามราตรีค่อยหรี่ล่วง
ยามโสมสรวงเสวยแสงแพร่งเวหา
สมาบัติสำเร็จแจ้งแห่งวิญญาญ์
ซึ่งปุพเพนิวาสา-นุสสติญาณ
มัชฌิมกาลล่วงผ่านทวารสอง
องค์สัมมาลุครรลองจักษุสาส์น
ล่วงจักษุทิพย-จักขุญาณ
สรรพสัตว์ก่อนกาลเหตุจุติ
ปัจฉิมยามกาลสมัยใกล้รุ่งฤทธิ์
หยั่งพินิจปัจจยาการนานสติ
อริยสัจรู้แจ้งแรงสมาธิ
ในปฏิจจสมุปบาทอวิชชา
เมื่อแสงทองทอรับจับระบัด
โพธิสัตว์สดับแจ้งแรงตัญหา
ตรัสรู้ลุพระสัพพัญญุตา
ดับสูญสิ้นกิเลสาธรรมาญาณ
มหัศจรรย์อุบัติซ้องมรรคผล
หมื่นปฐพีดลลั่นธาตุปราชญ์สถาน
ทศพลเปล่งสีหนาทปฐมทาน
ใต้ร่มโพธิญาณอุรุเวฬาฯ
ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงอภิวาท
เอนกชาติสังสารังองค์คาถา
สัปบุรุษเพี้ยงพ้นองค์สัมมา
พุทธธาดาโลกนาถทุกชาติภพ
----------------------------------
ยามเช้าที่ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง
ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชราฯ อุรุเวฬาเสนานิคม
ไม่มีสรรพสิ่งไหน
จะเงียบงามเท่ากับภิกษุนั่งบำเพ็ญภาวนา
สงบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติภายในและภายนอก
ในยามที่จิตประภัสสรนั้นย่อมได้มาซึ่งปัญญาญาณ
พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวไม่แจ่มฟ้า
วิสาขาบูชากำลังจะมาถึง
ทำให้ข้าพเจ้านึกประหวัดไปถึง
บรรยากาศริมฝั่งน้ำเนรัญชรา
ณ ตำบลอุรุเวฬาเสนานิคม
ดินแดนพุทธคยา
ครั้งสมัยพุทธกาล
พร้อมกับบทเพลงบรรเลง
ดนตรีสายธารธรรม อุรุเวฬาเสนานิคม
มหาอุบาสิกานามสุชาดา
และเพลงบรรเลงพระโพธ์แก้ว
กำลังบรรเลงในยามนี้อย่างเงียบลึกในห้วงใจ
สิ่งสุดท้าย
ที่หาใช่วัตถุภายนอกแล้ว
เราจะยึดสิ่งไหนเป็นสรณะได้
เว้นเสียแต่ธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ที่เป็นแก่นแท้ให้ชีวิต
ใกล้วันวิสาขปุณณมีแล้ว
วันที่พระจันทร์เสวยฤกษ์เต็มดวง
หวังให้ทุกดวงใจน้อมดวงใจสู่ความงดงามภายใน
สงบงามตามแบบพุทธ
เจริญสติ ภาวนาไปในทุกๆ การกระทำ.
สงบอยู่ในการกระทำ..ทำอยู่ในการปล่อย
แสงเทียนในโบสถ์คร่ำ
จะสะท้อนภาพลักษณ์อันงดงามของเหล่าเรา
พุทธศาสนิกชน
ดั่งพระเจ้าอยู่หัวของเราได้เพียรกระทำเป็นแนวทาง
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วนั้น..
การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้
เยี่ยงดวงหทัยขององค์พระสัมมาฯ
ตั้งแต่บำเพ็ญเพียรภาวนา
ณ รัตนบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
จวบจนลุวิสาขปุณณมีกาล
มหาอุบาสิกานามสุชา
ได้นำข้าวมธุปายาสถวาย
ทรงอธิฐานลอยถอดทอง
ลงห้วงน้ำเนรัญชรา ผจญหมู่มาร
ตลอดจนตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์
ความตอนหนึ่งในพุทธประวัติบรรยาย
ณ ห้องเวลาตรัสรู้ในยามรุ่งอรุณไว้ว่า
ในขณะนั้น
ก็พอเป็นเวลา
ที่แสงทองแห่งอรุณทอแสงขึ้นจับขอบฟ้า
พระบรมโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ
ดับสูญสิ้นกิเลสาสวะ
เป็นสมุจเฉทปหาน
พร้อมด้วยความมหัศจรรย์ หมื่นโลกธาตุบันลือลั่น
ด้วยการหวั่นไหวแห่งปฐพีดล
พระทศพลจึงเปล่งสีหนาทเป็นปฐมอุทาน
เยาะเย้ยตัณหาด้วยพระคาถาว่า อเนกชาติสํสารํ
การตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์
บ่งนำถึงการตั้งมั่นของดวงหทัยที่เที่ยงแท้
ตลอดการบำเพ็ญเพียรภาวนา
**********
ฉะนั้นสำหรับสาวนาสาวบ้านป่าบ่านไพร
จึงมีหัวใจรักทั้งสองอย่าง
ที่พร้อมจะพลีห่มหอมหวาน
ในหอมห้วงแห่งดวงใจให้ใสงาม
เพราะสาวนาคิดแบบสาวนาง่ายๆนะว่า
หากโลกแล้งไร้ราวทะเลทรายแล้วไซร้
เรามนุษย์ทั้งหลายจะได้อาศัยร่าง
และจิตมาเกิดมาสถิตเรียนรู้ธรรมะ
จากธรรมชาติที่เกิดดับๆ
ของพระพุทธองค์ได้อย่างไรกันเล่า
เราคงต้องตะเกียกตะกายร้อนรนทุรนร่าง
และดวงใจแสนหวานก็คงสิ้นงาม
หาก
ไร้แล้งซึ่ง
น้ำ..จากสายธาราใส
ที่แทบเป็นปัจจัยให้เราดำรงร่างอยู่ได้
เป็นสามในสี่ของโลกนี้
อย่างที่ได้ยินมา
ดิน..
ที่ให้พืชพรรณร่มไม้ธัญญาหาร
ให้สรรพสิ่งได้หยัดยืน
ที่ต้องพึ่งพาพึ่งพิงผืนน้ำให้หล่อเลี้ยง
สร้างเสบียงคลังอาหาร
เลี้ยงผู้คนบนผืนโลกนี้
ให้มีกินมิอดอยากได้เพียรภาวนาธรรมทางจิตวิญญาณ
สืบสานสร้างสิ่งงดงามสิ่งดี
คืนกลับสู่โลกราววัฎจักร..วน
ลม
คืออากาศหากไร้สิ้นแล้วไม่กี่นาทีก็ตาย
ช่างคล้ายธรรมชาติมาสอนความยิ่งใหญ่
ให้เราค้นพบธรรม
ว่า..คนเรานั้น..ทุกสิ่งนั้นอยู่แค่ปลายจมูก
คือธรรมชาติ
ที่พึงสอนแค่ลมหายใจเข้าออก
ก็บอกใบ้ให้ระลึกรู้รักษาไว้อย่าได้เพียรทำลาย
ให้อากาศเสียมีแต่มลพิษ
แล้วชีวิตเราผู้อยากเพียรพบธรรมทางจิตจะรอดชีวิต
ได้ค้นพบอย่างไรกันเล่า
ไฟ.. จากดวงตะวันที่มาพร่างพรม
ให้อบอุ่นที่วี่วัน
แค่ขาดดวงตะวันพลันโลกก็จะมืดมิด
มาสะกิดสอนเตือนใจว่า
สิ่งยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าผู้ใดคืออะไรกันเล่า
ลองเฝ้าถามใจตัวเองดู..
หากจะเรียนรู้ธรรมจริงเข้าถึงธรรมได้จริง
สาวนา..ยังจะมารจนาสดต่อจ๊ะ
มีภาคพายเรืออีแปะ
ไปเก็บสายบัวจ้ารอติดตาม
ตอนนี้ยังพายไปไม่ได้ต้องทำงานจิปาถะให้เสร็จก่อนจ้า
ทั้งๆที่สาวนาตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้ว
ที่ยังเห็นดาวพระศุกร์แววแสงจรัสเรืองรุ่ง
บนโค้งคุ้งฟ้าอยู่เลยจ้าทุกคนดีที่รักนะจ๊ะ
รอสาวนานะ นะ นะจ๊ะจะกลับมาไปเก็บสายบัวจ้ารอติดตาม
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1504
บัวตูมบัวบาน
ไก่แจ้ โต้ง อนุศักดิ์ : : Key Em
ลงเรือน้อยลอยวน
ในสายชลห้วยละหาน
มีทั้งบัวตูมบัวบาน
ดอกใบไหวก้านงามตา
เมื่อลมพัดมาชื่นใจ
ผึ้งตอมหอมบินดมกลิ่นบัว
ซ่อนตัวรำพันฝันใฝ่
เหมือนดนตรีชะโลมกล่อมใจ
ฟังยิ่งฟังไป รุมเร้าฤทัยลำพอง
ปองจะเด็ดบัวบาน
ครวญคิดนานหวั่นเจ้าของ
ใจหมายดึงโน้มโลมรอง
หากบัวไม่มีเจ้าของ
จะชมทั้งสองปทุม
เอื้อมมือหมายดึงเพียงดอกบาน
ก็เกรงสะท้านถึงก้านดอกตูม
แสนเสียดายเหมือนชายหมดภูมิ
จะเด็ดดอกตูม
ยังนึกเสียดายดอกบาน
เรือเร็วไปหน่อยค่อยค่อยทวน
บัวหอมชวนอกสะท้าน
งามทั้งบัวตูมบัวบาน
เทพไททุกแดนพิมาน
ประทานสมดังตั้งใจ
เอื้อมมือหมายดึงดอกตูมก่อน
ดอกบานก็ค้อนแสนงอนไปใย
จะเด็ดดอกบาน
ดอกตูมก็สั่นแกว่งไกว
จะเด็ดดอกไหน
กันหนอบัวตูมบัวบาน
จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน
จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน...
11 ตุลาคม 2547 21:28 น.
สาวบ้านนา
หลายวันมานี้
ฟ้าฝนดูมัวหม่นเทาทึมมาแทบทุกทิศทาง
และพระพิรุณก็โปรยปรายฉ่ำชื่นแทบทุกคืนค่ำ
ทำให้หัวใจสาวนาเลยพลอยเหงาเศร้า
หนาวๆในอกในใจอย่างไรก็ไม่รู้
สาวนา..คนขยันเลยรีบ
ทำงานในนาแต่วัน
และงานจิปาถะ
ให้แล้วเสร็จก่อนตะวันลา
และ
พอยามค่ำ
ก็จะได้มานอนฟังเสียงสายฝนรินร่ำ
ยามตะวันโพล้เพล้
อย่างแสนมีความสุข
ได้จุดตะเกียงอ่านหนังสือ
ธรรมะดีดีที่ยืมมาจากวัด
บางคืนก็ต้องตกใจ
ด้วยความกลัว
ว่ากระท่อมโย้เย้จะพังลงมาใส่หัว
และ
กลัวลมพายุจะมาพัดหอบปลิวไป
เพราะว่า
ลมพายุมาแรงมาก
จนจำปี..ลำดวน หางนกยูงต้นใหญ่
ตรงทางเข้ากระท่อมไหวโอนเอนๆ
ไหน
สาวนายังต้องรีบไปดูแลวัวในคอก
ไม่ให้หลุดออกไป
และยังจะมีงานอื่นๆอีกมากมาย
ที่ต้องระดมรับมือ
เช่นปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลังคาจาก
ที่มุงไว้ให้วัวไม่ต้องเปียกฝนทนหนาว
ตามประสายาก
วันนี้สาวนาจัดกระท่อมใหม่
ทั้งๆที่ในกระท่อม
ก็ว่างโล่งแทบไม่มีสมบัติอะไรให้จัดแล้ว
สาวนาเพียงเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้าน
ล้างโอ่งดินเผาที่มีมากมายหลายใบริมชายคา
ที่สำหรับเก็บน้ำไว้ใช้
ทั้งไว้ต้มดื่มกิน
และทั้งไว้ใช้ประกอบกิจสาระพัด
ที่สาวนาจะจัดแยกประเภทไป
โอ่งไหนไว้ทำกับข้าว
โอ่งไหนไว้ล้างหน้า
โอ่งไหนไว้ดื่มกิน..
โอ่งไหนไว้รับแขก
สำหรับโอ่งน้ำดื่มไว้รับแขกนั้น
เป็นโอ่งโบราณสีเขียวไข่กา
ที่วางไว้ริมชานกระท่อม
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็เพราะสาวนาถูกอบรมมาแบบโบราณจากคุณยายว่า
ต้องมีน้ำดื่มไว้ให้แขกผู้ผ่านมาและกระหายหิวน้ำ
ตามคำที่ว่าใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ
สาวนาจัดแยกเก็บข้าวของตามประเภท
ไม่ให้ปะปนรกรุงรัง
เสื้อผ้า
ก็เช่นกันจะชุดนอนชุดไปเที่ยวไปวัด
ก็ต้องจัดแยกไว้ให้งาม
จัดพับอย่างสวยแล้วอบร่ำด้วยกลิ่นดอกไม้แห้ง
รายรอบกระท่อม
ที่สาวนาดัดแปลงทำเองแทนน้ำหอมน้ำอบ
เพราะชอบกลิ่นมากกว่า
หากทว่าก่อนจะเก็บต้องตากแห้งเสียก่อน
แล้ว
ค่อยๆห่อกับกระดาษสาซับเก็บไว้
แล้วถึงซุกไว้กลางกองผ้า
จะหอมหวนชวนดม
ด้วยกลิ่นดวงดอกไม้ไทยงามๆ
แยกหอมตามกลิ่นของดวงดอกไม้นั้นๆ
เช่นกลิ่นจำปี จำปา กระดังงา ลีลาวดี
หรือลั่นทมพุดซ้อน
กลิ่นมะลิลา มะลิซ้อน ลำดวนดง
ที่สาวนามิต้องพะวง
ไปสิ้นเปลืองซื้อน้ำหอมแบบผสมสารเคมี
มาใส่มาอบร่ำ
ซึ่งบางทีก็ทำให้ร่างกายต้องรับสารพิษเป็นผื่นแพ้คัน
และก็จะได้หอมแผกมากกว่า
เป็นกลิ่นร่ำตามธรรมชาติไทยๆ
หัวใจสาวนานั้นรักการใช้ชีวิตแบบโบราณ
เพราะว่าไม่ว่ายุคสมัย
จะผ่านพ้นไปนานสักเท่าไร
ค่านิยมในความงามอย่างละเมียดละมุน
อย่างกุลสตรีไทย
ที่มีวิถีใจดวงงามอันรู้อ่อนหวานอ่อนโยน
ช่างปรนนิบัติเอาใจก็หาได้ตกยุคสมัยไม่
หากเราเรียนรู้จักนำมาสอดใส่ผสานผสม
ห่มหอมเพื่อเพิ่มเสน่ห์มัดใจ
แบบที่โบราณว่าไว้ให้มีน้ำสามเรือนสี่
จะดีแก่ตัวเองเป็นยิ่งนัก
ให้ใครๆที่มีโอกาสชิดใกล้
ได้ชื่นชมยิ่งหลงยิ่งรัก
ในน้ำใจแสนดีมีเมตตา
แม้นว่ากาลเวลาและโลกนี้
จะเปลี่ยนแปลงไป
และ
ผู้ชายสมัยนี้คงไม่เรียกร้องต้องการมากมายนัก
หากเราแค่เพียงยึดหลักความละมุนละม่อม
รู้ถนอมใจรู้กาละเทศะ
สร้างโลกครอบครัวโลกแห่งรักให้หอมกรุ่นอบอุ่นเข้าไว้
ร่ายมนตราแห่งความดีงามน่าเสน่หา
ก็ใช่ว่าเสียเวลาอะไร
แต่จริงๆบางครั้งสาวนาก็สับสน
ที่ไยอ้ายยังไปหลงแสงสีเนื้อหนังมังสาอวบอึ่ม
ของสาวชาวกรุง
ก็ช่างเถอะนะหัวใจกับส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรม
สาวนาฟังเพลงนี้แล้วก็ปลงได้เลย
หากเขาไม่รักเราแล้วก็ช่างต้องปล่อยเขาไปปล่อยเขาไป
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=495
ส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรม
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
มัน น้อย เกิน ไป สำหรับใจฉัน
คุณ ให้ ไม่ ถึง เศษหนึ่งส่วนพัน
รัก เรา จึง สั้น สิ้นสุดกัน แค่นื้
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที
ส่วน ความ ช้ำ ชอก
ที่คุณตอกย้ำ
มาก เกิน จด จำ ลึกล้ำเหลือดี
ย่อย ยับ แค่ ไหน ใยไม่ปราณี
หวัง เพียง ข-ยี้ ให้ฉันนี่ แดดิ้น
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที
วันนี้มันสาย เกินไป
สายเกินไปกว่า
จะมาเริ่มรักกันใหม่
ป่วยการหลอกกัน ต่อไป
มันจบเกมส์แล้ว จนใจ
สิ้นสุดไม่เหลือตั้งแต่เมื่อวาน
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
เชิญ รับ คืน ไป ฉันไม่ต้องการ
คุณ ให้ ฉัน น้อย
น้อยเหลือประมาณ
รัก จึง ตาย ด้าน
สิ้นสุดกันแค่นี้
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที
วันนี้มันสาย เกินไป
สายเกินไปกว่า
จะมาเริ่มรักกันใหม่
ป่วยการหลอกกัน ต่อไป
มันจบเกมส์แล้ว จนใจ
สิ้นสุดไม่เหลือตั้งแต่เมื่อวาน
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
เชิญ รับ คืน ไป ฉันไม่ต้องการ
คุณ ให้ ฉัน น้อย
น้อยเหลือประมาณ
รัก จึง ตาย ด้าน
สิ้นสุดกันแค่นี้
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที...
*******
สาวนาจะไม่เสียใจอะไรนาน
เพราะสาวนา
มีหัวใจดวงใสดวงธรรมล้ำค่า
ที่ทุกครั้ง
ที่ไปวัดได้ฟังธรรมที่หลวงพ่อเทศน์
กิเลสรักของสาวนา
ก็ลดลงจนแทบอยากปลงผมบวชชี
หนีทุกข์ทุกรักเข้าวัดเข้าวารักษาศีลภาวนาเสียมากกว่า
เพราะเบื่อชีวิตว่ายวนเหลือทน
เมื่อยิ่งหันมาพิจารณามรณานุสติ
ก็จะยิ่งเห็นชัด
กับวิบากเก่าวิบากรรมที่ย้ำรอยในทุกผู้คน
ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นรอยกรรมราวรอยเกวียน
หากมิตั้งจิตอธิษฐานเพียรภาวนา
อย่างมิยอมท้อแท้แพ้พ่ายทางโลกย์เสียก่อน
และ
ไม่ว่าจะหันไปดูคู่ไหน
ไม่ช้านานรักที่แสนหวานก็พานขมปี๋
เหลือรักที่จะจีรัง
ก็คือคนพวกทีฉลาดล้ำ
แปรรักเนื้อหนังเสน่หา
มาเป็น
มิ่งมิตรสนิทแบบฉันท์เพื่อน
ไว้พึ่งพาพึ่งพิงยามชราแก่เฒ่า
ได้หามกันเข้าวัดหรือไม่ก็เข้าโรงพยาบาล
และไม่นานมานี้
สาวนา..ได้มีโอกาสรู้จัก....
พี่ชายคนดีที่ชื่อวิน
มิตรธรรมคนยาก
ที่พบกันแทบทุกครั้งที่วัด
พี่วิน
เป็นม่ายเพราะเมียตายด้วยโรคร้าย
เลยหาที่พึ่งทางใจ
และ
ด้วยอยากมาทำบุญ
สร้างกุศลทานผ่านไปให้ภรรยา
เลยเพียรมาวัดบ่อยๆ
ทั้งๆที่ไม่รู้ดอกนะ
ว่าจะฝากกุศลผลบุญ
ส่งไปถึงหรือไม่
แต่พี่วินก็บอกว่า
แสนจะรู้สึกดีมีความสุขสงบ
รู้รำงับใจ
สบายใจอิ่มใจยังไงก็ไม่รู้
ตั้งแต่ได้ย่างกราย
มาชิดใกล้ชายผ้าเหลือง
ที่มีหลวงพ่อที่น่าเคารพศรัทธา
ไม่หากินกับญาติโยม
ไม่หลอกให้เชื่อในทางที่ขัดกับพระธรรม
พยายามเพียรน้อมนำคำสอนมาสอนอย่างมีเหตุมีผล
ว่าคนเรานั้น
ชีวิตที่ดีต้องมีการพยายามรักษาศีลให้สะอาด
ให้ทานเพื่อสละออกอย่าให้ขาด
และที่สำคัญราวหัวใจศาสนาพุทธเลย
คือให้จิตจับกับปัจจุบันขณะ
ให้รู้เพียรภาวนาสมาธิจะได้
มีปัญญาพาพบทางแห่งความว่างสะอาดสงบ
ตลอดไปทุกภพชาติ
และนี่คือผู้ชายคนดีพี่ชายคนดี
ที่สาวนายอมพลีใจอีกครั้ง
ที่จะได้ทำความรู้จัก
เพื่อแลกความคิดทางจิตทางธรรม
เสมือนเพื่อนพึ่งพากันและกัน
อย่างกัลยาณมิตรเรื่อยมา
สาวนา
จึงมีความสุขมาก
กับชีวิตสงบสุขสมถะเรียบง่ายลำพังนี้
ที่แม้นจะดายเดียวสักเท่าไร
หากทว่าหัวใจก็ผ่องแผ้วราวไร้พันธนา
ไม่ต้องมีบ่วงห่วงรัก
ไม่พักต้องลากใคร
มาร่วมรับบ่วงห่วงโซ่กรรมร่วมกัน
จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
ทุกคืนค่ำสาวนา..ผู้มีศรัทธาแรงกล้า
จึงพยายามจัดเรือนลีลาวดีหรือเรือนลั่นทม
ที่ราวกับกระท่อมไพร
แสนหวานระทม
แสนงามเศร้า
ที่สาวนา
ปลูกแยกออกมาจากกระท่อมทับอาศัย
และแฝงในร่มเงาดงดวงดอกลั่นทม
หลากสีสรร
ทั้งขาว แดงชมพู เหลืองอมส้ม
ที่มากมายหลายหลากพันธุ์
ถึงกว่าสามร้อยชนิด
ที่สาวนาแสนหลงใหล
แสนรักมานานนักหนาแล้ว
จนเร้าใจให้เพียรศึกษานำมาเพาะปลูก
จนเป็นดง
ให้ใครๆพากันมาหลงใหลชื่นชม
ในดวงดอกงามทุกยามเย็น
ที่นะบัดนี้กำลังบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นระรินร่ำอวดอกดกชูช่อ
พ้อสายฝนและลมเย็น
และ
บางวัน
ในยามตะวันลา
สาวนาจะมานอนเล่น
หรือไม่ก็มาร้อยมาลีมาลัยลีลาวดี
ไปพลีถวายเป็นพุทธบูชา
ยามนั่งสมาธิภาวนา
และ
และทุกยาม
ที่ดวงดอกงามเศร้า
ถึงเวลาร่วงโรยโปรยปลิด
ลงเกลื่อนพื้นพสุธา
ยามนั้น
สาวนาจะมีความสุขมาก
ที่ได้นอนแหงนเงยดู
และ
แอบขนานให้นิยามลานฝันนั้นว่า
*ลานลั่นทม
และบัดนี้มีกระท่อมลั่นทม
เป็นดั่งเรือนใจเรือนภาวนาเรือนสมาธิ
ที่แสนดีแสนงาม
แสนสงบสุขสมถะ
ของสาวนาแล้ว
และ
ราตรีนี้
สาวนาก็เลยไปเด็ดดวงดอกกระดังงา
และร้อยมาลัยลีลาวดีมาลัยลั่นทม
มาถวายเพื่อเป็นพุทธพลีบูชา
หน้าพระพักตร์พระพุทธ
และ
ยามที่สาวนาจุดเทียนทอง
แสงเทียนจะส่องพร่างพรายจะจับดวงดอกไม้
ราวพาให้สาวนาได้ระลึกตระหนักรู้ว่า
ความทุกข์ระทมนั้นมันอยู่ใกล้เรานี่เอง
หากเราเพียงไม่ยึดมั่นถือมั่น..แล้ววางมันไว้
ราวดวงดอกไม้นามลั่นทม
เราก็จะไม่ตรมไม่ตรอม
กลับให้หอมห่มในห้วงจิต
ได้สถิตเป็นดั่งรักนิรันดร์
เฉกเช่นเดียวกับไม้ทุกพรรณ
ที่ให้หอมงามกำนัลแด่โลกแล้วปลิดกลีบโรยรา
เหมือนชีวิตจิตทุกดวง
ที่รู้ว่ากาลเวลารอลอยลาร่วงลงสู่พื้นพสุธา
หาช้านานไม่ หาจีรังไม่..
*************
บนลานลั่นทม
แดนดินใด ไม่แม้นแดนลานลั่นทม
ดุจดั่งสวรรค์แดนพรหม สวยสุดสมคำชมได้
ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ทิว เขียว ลิ่วไกล เพลินมองไป
เสียงลมไกวกิ่งไหวดังซู่
ทิ้ง ขั้ว หล่นปลิว ลั่นทมพริ้วโชยร่วงพรู
แม้น ดังพรม ลาดปู ดุจทางสู่
สุดสวรรค์ เทวัญ
ลมรำเพย ความหอมชวนดอมลั่นทม
สูดกลิ่นถวิลเชยชม แสนสุขสมอารมณ์มั่น
ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ใจ หวน ตื้นตัน เกินจำนรรจ์
เพ้อรำพันว่าหอมใดเท่า
หอม ชื่น ลั่นทม เมื่อลมพริ้วมาเบาเบา
ล้าง สิ่งตรม อกเรา ให้คลายเศร้า
ที่คอยเผา โทรมใจ...
http://www.lilavadee.com/download_p01.html
ลีลาวดี (Frangipani)
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ใบมีสีเขียว โตและหนา มียางมาก ดอกมีสีขาว-เหลือง ขาว-แดง
ส่วนที่ใช้ ทั้งต้น เปลือกต้น ดอก เนื้อไม้ ยางจากต้น และเปลือกราก
สรรพคุณ
ทั้งต้น ใช้ปรุงเป็นยารักษาโรคลำไส้พิการของม้า
ใบ เอาใบแห้งมาชงน้ำร้อนใช้รักษาโรคหอบหืด หรือนำใบสดมาลนไฟให้ร้อนแก้ปวดบวม
เปลือกราก ใช้เป็นยารักษาโรคหนองใน เป็นยาถ่าย แก้โรคไขข้ออักเสบ ขับลม
เปลือกต้น นำมาต้มเป็นยาถ่าย ขับฤดู แก้ไข้ แก้โรคโกโนเรีย หรือให้ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ข้าวและมันเนย ซึ่งจะเป็นยาแก้ท้องเดิน ยาถ่าย ขับปัสสาวะ
ดอก ใช้ทำธูป แต่ถ้าใช้ผสมกับพลูเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้มาลาเรีย
เนื้อไม้ เป็นยาแก้ไอ ในประเทศเขมร ใช้เป็นยาถ่าย ขับพยาธิ
ยางจากต้น เป็นยาถ่าย รักษาโรคไขข้ออักเสบ ทำให้เกิดผื่นแดง ถ้าใช้ผสมกับไม้จันทร์และการบูรเป็นยาแก้คัน แก้ปวดฟัน
2 ตุลาคม 2547 20:55 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4858
ตะวันลับฟ้า
แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยมโลก
ลมเย็นไผ่เอนไหวโยก
ลมโชยโบกพัดพริ้วลิ่วมา
จักจั่นเรไร หริ่งร้องก้องพนา
จวนสิ้นแสงสุริยา
ประหนึ่งว่าดนตรีสวรรค์
แสน
สุดเสียดายมองไปใจเต้น
ยามเมื่อตะวันเย็นๆ
เคยว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ร่วมกัน
ตะวันลับฟ้าเสียงน้ำซัดซ่า
ไหลเซาะลำธาร
เคยเด็ดดอกบัวสาบาน
เห็นทุกวันแล้วเศร้าใจ
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง...
ฝนกำลังโปรยสายภายนอกกระท่อม
ได้กลิ่นดอกพะยอมหอมอวลมากับสามลมยามค่ำ
สาวนา..จุดตะเกียงให้แสงริบหรี่เป็นเพื่อนใจ
สาวนาไม่สบายมาหลายวันแล้ว
นอนระทมใจจับไข้
ใจเหน็บหนาวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
วันนี้..สาวนาจำต้องพาตัวเองตากฝนจนลืมห่วงตัวเอง
มัวห่วงวัวแก่ชราคู่ทุกข์คู่ยาก
ที่หลังคาคอกมุงด้วยจาก..ใต้ร่มไผ่มันผุเต็มที
สาวนาจึงต้องกระวีกระวาดไปเปลี่ยนเอง
สาวนายืนน้ำตาริน
พร้อมกับสายฝนพรำ
กับวัวแก่ที่ดวงตาพร่าเลือน
เสมือนมีหยาดน้ำตารับรู้ความอาดูรเดียวดายของสาวนา
สาวนาปล่อยให้สายฝนพรูพร่าง
กระหน่ำร่างรานใจร้าวของสาวนา..
ให้ยิ่งหนาวเหน็บ
ให้ใจที่เจ็บเจียนตายได้คลายระบม
ให้น้ำตาฝนน้ำตาฟ้าน้ำตาสาวนาละหลั่งรินไปพร้อมกัน
สาวนาทรุดตัวลงนั่งพิงคอกวัวด้วยใจดวงสลัวเศร้า
แล้วสะอื้นร่ำไห้อย่างไม่อายฟ้าดิน
ให้สายน้ำตาระรินไหลไปพร้อมกับสายฝนพรำ
ที่ย้ำให้ใจดวงตรมยิ่งระทมเหน็บหนาว
มีเพียงเจ้าวัวแก่เพื่อนยาก
ยืนนิ่งงันราวรับรู้นิ่งมองดูสาวนา
ผู้ดายเดียวรานร้าวราวเข้าใจ
จนทำให้ดวงใจสาวนาผู้ละมุนต้องลุกขึ้นยืน
และไปโอบกอดประคองพร้อม
ซบหน้าร่ำไห้หนักขึ้น
ให้น้ำตาระรินรดหยดต้องเจ้าวัวเพื่อนยาก
สาวนา..นอนน้ำตารินมาหลายคืนแล้วด้วยเป็นไข้
ไร้ผู้ใดแลเหลียว
มีหลายสิ่งที่ผ่านมาทำให้หัวใจสาวนาท้อแท้
ฟ้าดินทอดทิ้งสาวนา
สวรรค์สิ้นไร้ดวงตาที่จะมาปลอบประโลม
พายุจริงพายุใจพากันโหมกระหน่ำหนัก
ให้สาวนาราวสิ้นไร้พลังใจ
ใครจะรู้บ้างไหม...
ว่าหัวใจสาวนา สาวบ้านป่าบ้านไพร
ที่ตั้งใจใช้แรงกายเหนื่อยยาก
หว่านกล้าดำไถ ด้วยดวงใจ ที่กล้าแกร่ง
แฝงความอดทน
ด้วยดวงกมลใสยึดคำ..
*สมองสองมือเท่านั้นที่สร้างโลก*
ไยจะยอมท้อแท้แพ้พ่าย
หากทว่า..ใครไม่เป็นสาวนาคงไม่รู้ดอกนะว่า
สาวนา พบอะไรบ้างในชีวิตที่ติดดินเรียบง่าย
เคียงกายไร้ ใครปกป้องคุ้มครอง
จนต้องรับกรรมให้มีผู้มากลั่นแกล้ง
สาวนาลงแรงแบ่งพื้นที่ติดเชิงเขาปลูกยาง
ตั้งแต่เดือนสาม เดือนสี่ปีที่แล้วมา
พร้อมกับที่ตะแบกบานไสว
ให้เสร็จก่อนต้นฤดูฝน และทุ่มเทใจ
เฝ้าทะนุถนอมใช้ หญ้าแห้ง ฟางข้าว เศษวัชพืช
คลุมโคนต้นยางเพื่อรักษาความชื้นของดิน
ทุกวัน..
สาวนาจะแย้มยิ้มเอมอิ่มด้วยปิติใจ
ที่เห็นยอดยางแสนรัก
แตกกิ่งก้านไสวใบชูช่อรอสายวสันต์หลั่งริน
สาวนาเฝ้าตัดแต่งกิ่งแขนงและเพียรพยายามศึกษา
ขอคำแนะนำจากมูลนิธิหมู่บ้าน จากกำนัน
และจากวิทยากร
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเจือจุน
ว่าหากจะตัดกิ่งนั้นควรทำในฤดูฝนเท่านั้น
ไม่ควรตัดในฤดูแล้ง และการตัดแต่งกิ่ง
อย่าโน้มต้นยางลงมาตัด
เพราะจะทำให้ส่วนของลำต้นเสียหาย
สาวนา..แสนชื่นใจคิดในใจว่า
เมื่อปลูกยางจนเติบงามครบ 5ปีแล้ว
คงพอจะทำรายได้ให้บ้างไม่มากก็น้อย
หลังจากหลงเฝ้าคอยดูแลทะนุถนอมมาอย่างดี
ดูแลไม่ให้วัชชพืชขึ้นปกคลุม
และระวังไม่ให้เกิดโรคต่างๆมากมาย
สาวนาหวังเพียงว่า
จะได้มีรายได้มาเจือจุนอีกทางให้สมกับคำที่ว่า
*จะไม่มีความยากจนในหมู่คนขยัน
และสาเหตุที่สาวนาหันมาปลูกยางพารานั้น
เพราะได้ไปรับฟังการบรรยาย
ที่เล่าเรื่องยางพาราอย่างน่าสนใจว่า
*ยางพารา
เป็นยางที่ได้มาจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง
เรียกว่า ต้นยางพารา
(เรียกตามภาษาพฤกษศาสตร์ว่า Hevea brasiliensis)
สามัญชนทั่วไป เรียกว่า ยางพารา
หรือ ต้นยางพารา (para rubber)
ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อประมาณ 100 ปี มาแล้ว
ยางชนิดที่กล่าวนี้ซื้อขายกันที่เมืองพารา
ประเทศบราซิล
ทวีปอเมริกาใต้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
เพื่อสะดวกแก่การซื้อขายกัน
ในครั้งนั้นจึงเรียกยางชนิดนี้ว่า ยางพารา
ในระยะนั้นมียางที่ได้จากต้นไม้อยู่หลายชนิด
เช่น ยางแคสติลลาในอเมริกันกลาง
ยางพันทุเมียจากแอฟริกา
และยางอินเดียรับเบอร์
ในเอเชียตอนใต้
ถิ่นเดิมของต้นยางพาราอยู่ในทวีปอเมริกาใต้
ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศบราซิล
ต้นยางพาราเป็น ไม้ป่า
ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ห่าง ๆ กัน
ทั้งในที่ดอนและที่ลุ่มของแม่น้ำอะเมซอน
จนถึงประเทศเปรูชาวพื้นเมือง
คือ ชาวอินเดียนแดงในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
รู้จักยางมานานแล้ว
และได้นำเอามาใช้ทำประโยชน์มาหลายร้อยปี
ก่อนที่ชาวยุโรปจะไปพบโลกใหม่หรือทวีปอเมริกา
ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของต้นยางพารา
ชาวอินเดียนแดง
ได้ใช้ยางทำลูกบอล
ทำผ้ากันฝนและทำถุงเก็บน้ำปากแคบเป็นต้น
**********
สาวนา..ผู้ที่ใครๆชอบให้สมญานามว่างามราวเทพีไพร
จึงสวมหัวใจสิงห์ตั้งใจที่จะลองสู้ ดูสักหน
ลองค้นคว้าหาข้อมูล
ค้นหาความรู้ทุกทาง
เพื่อใช้แรงกายแรงใจเททุ่ม
หวังผลผลิตจากน้ำยางแห่งรักจาก
พลังจากทุกหยดหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจ
จากใจดวงมิท้อมีเคยหวังรอโชคจากชะตาฟ้าดิน
และ
ทุกวัน หมดเรื่องนา
สาวนาจะพาตัวเองไปถอนหญ้าวัชชพืช
อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
บางครั้งเมื่อร่างงามเมื่อยล้ามากๆเข้า
สาวนา จะนอนมองท้องฟ้าแล้วก็หลับตา
ปล่อยใจให้ฝันฝันฝัน บรรเจิด
ฝันแสนพราวเพริศว่าเห็นตัวเอง
กำลังกรีดยางในยามอุษาฟ้าสาง
กับดาวเดือนระดะดวงเต็มอ้อมฟ้าอ้อมฝัน
เห็นน้ำยางค่อยๆละหลั่งรินลงสู่ถ้วยรองน้ำยาง
อย่างช้าๆ ช้าๆ
สาวนานอนคิดถึงอ้าย..ด้วยความดายเดียว
เมื่อยามตะวันลาลับฟ้าด้วยน้ำตาซึม
สาวนาคิดว่าอ้ายจะรู้บ้างไหมละหนอ
ว่าสาวนาคนยากลำบากตรากตรำจำทนสู้
ไร้คู่คิดเคียงใจให้หัวใจสาวนานั้น
แสนเหว่ว้าเสียเป็นยิ่งนักแล้วนะอ้าย
และเมื่องานวัดวันก่อนเจ้าจอมลูกกำนัน
ที่มันคอยจะตามแทะเล็มสาวนา
มันแกล้งเย้ยให้สาวนาเจ็บช้ำว่า
อย่ามัวหลงรอท่าอ้ายอยู่เลย
ป่านนี้อ้ายคงไปเชยชมสาวกรุง..จนสิ้นแรงแล้ว
มันบอกว่า..มาเป็นเมียมันดีกว่า
มีทองหนักกว่ากิโลเป็นสินสอด
สาวนา..ได้แต่คิดอยากตอกกลับไปว่า
ให้เอาทองมากองท่วมหัวอีกก็อย่าหวังเลยชาตินี้
เพราะหัวใจรักหนักแน่นนี้ใช่ของซื้อของขาย
สาวนา..ไม่หวังให้อ้ายคืนหลังกลับมา
แต่สาวนารู้ว่าทั้งจิตวิญญาณรักและร่างสาวนานั้น
ได้มอบให้อ้ายไปเพียงคนเดียว
และสาวนาไม่เคยหวังจะแลเหลียวชายใด
เพราะสาวนาซึ้งในคำว่ารักคือทุกข์หนัก
ที่ช่างหนักหนาสาหัสและเพียงรักเดียว
แค่อ้ายก็ช้ำใจเกินพอแล้ว
สาวนาหารู้ไม่ว่าคนเรา
นี่หนาไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล
และจิตคนเรายากหยั่งถึง
จนได้ซึ้งด้วยระทมทับแทบดับดวงใจ
ในวันนี้อย่างไรกันเล่า...
วันที่สาวนาต้องหลั่งน้ำตาด้วยเศร้าใจสุดทน
อย่างดายเดียว
เมื่อเช้าวันหนึ่งเหลียวมา..ไม่เห็น
ต้นยางแห่งรักแม้เพียงสักต้นเดียว
ยางแห่งรักแห่งน้ำพักน้ำแรง
ที่กำลังผลิยอดงาม
ได้ถูกถอนหายเหี้ยนไม่มีเหลือร่องรอย
ให้สาวนาแทบหัวใจสลายคล้ายดั่งแก้วถูกเขาทุบทิ้งแตก
แหลกสลายไม่มีชิ้นดี
สาวนา..ไม่รู้ว่าฝืมือผีห่าซาตานตนใด
ที่ช่างใจดำใจร้าย
ทำลายได้แม้กระทั่งลูกผู้หญิงชาวไพร
ผู้มีดวงใจแสนซื่อแสนดี
ที่มีเพียงแรงใจแรงกายเหลือเพียงนิดน้อย
ไว้ค่อยประคับประคองชีวิตลำพัง
ยามเซซังถูกอ้ายทอดทิ้ง
อ้ายคนดี..
สาวนาร่ำไห้กลางสายฝนในวันนี้
ด้วยใจดวงร้าวกับร่างรานนี้ที่กำลังเสียใจ
หมดพลังใจหมดศรัทธาในผู้คนในคุณงามความดี
ที่สาวนาเพียรเพาะบ่มห่มหอมใจด้วยธรรมะมายาวยืน
สาวนา ไม่สบายไข้ขึ้นและ
ในท่ามกลางความเหว่ว้าสุดใจ
สาวนาเพียรพยายามให้อภัยเพื่อนมนุษย์
สาวนาได้แต่จุดเทียนต่อหน้าองค์พระปฎิมา
และก้มลงกราบกราน
ตรงหน้าเบื้องพระพักตร์พระพุทธผู้บริสุทธิคุณ
ให้ดวงใจดวงใสละมุนราวแก้ววิเศษของสาวนา
จงอย่าหมดสิ้นกำลังใจสิ้นเมตตาที่จะทำความดี
ให้ลูกนี้ได้พลีพร้อมจิตใสและมีเมตตา
ให้น้ำใจยังคงใสงาม
แม้วิบากกรรมจะตามมาทดสอบ
ให้หัวใจแสนบอบช้ำสุดทน
อ้ายคนดี..
โลกเรานี้ ไยถึงมีแต่ความทุกข์
ราวกับจะสอนให้เราสำนึก
ถึงความไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน
สอนให้เรารู้ที่จะเพียรสร้างกรรมดี
อย่าผัดผ่อน..
เพื่อหาทางหนีจากปลักตม
จากความหลงยึดมั่นถือมั่นงมงายจากความใจร้าย
หวังทำลายกันและกัน
แทนจะหยาดรินน้ำใจใสงาม
ในทุกยามแห่งชีวีชีวิตนี้ที่ช่างแสนสั้นเสียยิ่งนักแล้ว
ให้ดวงใจใสราวแก้ววะวับวาววะวับแวว
ด้วยดวงดอกธรรมดอกแห่งคำว่าคุณงามความดี
ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ในร่มธรรมร่มทองร่มฉัตรอันงดงามยิ่งใหญ่
เหนือสิ่งใดทั้งปวง
อ้าย..คนดี
หวังแม้นชาตินี้
อ้ายและใครจะทำร้ายใจดวงนี้ให้ย่อยยับสักปานใด
ก็คงให้อภัยด้วยจิตดวงใสดวงงามนี้
ที่กล้าแกร่งราวเพชรพรหม
ที่ซ่อนห่มหอมในห้วงชีวิตสถิตทอดอยู่ในบ้านภายใน
ที่เป็นลิขิตจากฟ้าดิน
ที่หามีผู้ใดและสิ่งใดจะกรายกล้ำทำร้ายได้นานไม่..
ตราบจนกว่าร่างและใจดวงนี้จะหมดสิ้นลม..!!