20 มกราคม 2547 15:14 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=30
เช้าแล้ว...
ฟ้าพรายแสงแดงพร่าง
พรายพรมอมชมพูรำไรรำไร
ในขอบฟ้าทิศตะวันออก
ชมพูพันธุ์ทิพย์ ร่วงพราว ให้สาวนาอาวรณ์อ้อนอาลัย
ไหนจะทองกวาวพราวช่อแน่น แดงดอกดกอมส้มห่มด้วยสายหมอกจางๆ
ริมทางก่อนถึงกระท่อมไพร..กระท่อมใจบ้านไร่ปลายนา..ของสาวนา..
ปีบ..เหลืองนวล ก้านยาว รูปแตร
บานเหว่ว้าหอมแรง อยากแสร้งนำมาทัดหู
แบบแม่หญิงโบราณ..คงงาม..ล้ำ..ร่ำภิรมย์ใจ
พวงคราม..ม่วงอมฟ้าหายากสี..ละม่อมละมุน
กรุ่นหอมหวานบานสะพรั่งพรึบบนซุ้ม
พวงแสด รูปหลอด ปลายแฉกแหวกคลุมหลังคากระท่อม
กลายเป็น.*หลังคาดอกไม้*..
กลายสีแปรเป็นส้มสดจัดจ้าท้าสายลมหนาว...แทน.
จำปี..จำปา..กระดังงา..เศร้าสร้อย ห้อยกลีบพ้อรอหนุ่มนา
กลับมาเสียที..มาชี้ชวนเด็ดดม
เสียบผมริมแก้ม แกมหอมพรม..ให้พร่างพรมภิรมย์ใจ..
จันทร์กะพ้อ.. บานพ้อรอระวี
พร่างหอมตลอดวัน และหอมพลันยิ่งจัดจ้านยามย่ำสนธนา
ในราตรีดึกสงัดงาม.ริมลำธาร สายสวยใส
ยิ่งหอมหวานบานแข่งกับดวงใจ
แข่งกับหยาดสายพรายน้ำผึ้งพระจันทร์ในวันนี้
********
จันทกะพ้อร่วง พรระวี
แสงสายัณห์ใกล้ลับกับทิวเขา
ทิ้งทอดเงาซีดจางกลางท้องทุ่ง
จันทกะพ้อระรินกลิ่นจรุง
อบร่ำคุ้งบ้านนาใกล้ราตรี
กลีบสีขาวพราวพลิ้วลิ่วลมคว้าง
คล้ายอ้างว้างหมองหม่นจนเหลือที่
อยู่ได้เพียงวันรุ่งของพรุ่งนี้
กลีบที่มีจะร่วงหมดรดแผ่นดิน
จันทเจ้าเอยเคยอาบฉาบกลิ่นหวาน
ย้อมวิญญาณให้ภักดิ์รักพื้นถิ่น
เมื่อกลีบเจ้ากลับที่ธุลีดิน
ยังไม่สิ้นสายเสน่ห์ทุกเวลา.
*******
จันทร์กะพ้อพ้อใจใครกันละหนอ..สาวบ้านนา
จันทร์กะพ้อพ้อใจใครกันหนอ
หลงให้รอให้รักแล้วพรากหนี
จันทร์หอมเศร้าร้าวรักด้วยภักดี
จันทร์ชีวีไยมาหมองต้องจากไกล
จันทร์กระพ้อพ้อใจเธอนะที่รัก
พ้อที่ภักดิ์ที่มั่นฝันหวั่นไหว
จันทร์กะพ้อพ้อเธอที่หัวใจ
ฝากฤทัยไยทิ้งเพ้อพ้อลา..
กลิ่นจันทร์กะพ้อหวานหยาดราตรีนี้
ฝากหอมคนดีริมแก้มยังห่วงหา
รอจันทร์กะพ้อรอน้ำผึ้งหวานจากจันทรา
รอวิวาห์จันทร์กะพ้อปลิดกลีบโปรยคำพร
แล้วจะหยุดพ้อหยุดเพ้อในอ้อมแขน
กอดแนบแน่นเพ้อฝากจันทร์ผ่านสิงขร
จันทร์กะพ้อหอมแก้มเราเห่กล่อมนอน
ขวัญออดอ้อนจันทร์กะพ้อพราวราวรับรู้รักยิ่งใหญ่ของสองเรา..ที่มั่นคง
********
และไหนยังมี..
ช่อดอกมะม่วง หอมหอมร่วงรื่นรมย์
ไปกับสายลมหนาวเคล้าคลุกใจ..พัดพร่างไปในยามเช้า..
โน่นนกเขา..ร้องขันคู
ในกอไผ่สล้างใบสะบัดไหวเสียงซอกแทรกๆเซาะเศร้า
ไก่ร้องกระต๊ากๆตีปีกพึ่บพั่บ ขุดคุ้ยหนอนรับแดดอ่อนอุ่น..
และโน่น ทุ่งข้าวละลิบลิ่ว ปลิวสะบัดไกวไหวรวงเรียวอ่อนๆ
สะท้อนแดดสีทองผ่านดงตาลเดี่ยวแลดูเปลี่ยวเหงา..
สาวนาหว่านข้าว *พันธุ์แก่นจันทร์*
ฝันว่าจะได้ใช้*แกะ*มาเกี่ยวเก็บทำเส้นขนมจีน
ให้อร่อยล้ำ ทำน้ำยาแกงแบบถึงพริกถึงขิงแซ่บซึ้งตรึงใจคนลิ้มลอง..
ให้จำจดรสมือไปแสนนานเลยทีเดียว..
(แกะทำจากไม้และมีคมเหล็กที่ปลาย)
สาวนา..ว่างนา เลยสานตะกร้าสานเสื่อสวย สลับสีจากกระจูด
ตะกร้าไว้หิ้วไปปลายนาริมไร่ เก็บผัก ดอกไม้ ตามประสาสาวทุ่ง
ที่มิยุ่งมิรู้จักกระเป๋าแสนเแพงหลุยส์วิตตงวิตตอง
นอกจากท้องนาท้องไร่ ให้แสนสุขใจพอกัน...
และเย็นนี้..
จะแกงขนุนสับใส่ปลาย่างหอมหอม
แกล้มแนมด้วยใบกะเพราป่า
ให้โอชารสหอมตรลบไปสามบ้านแปดบ้าน
ของหวานก็..น้ำกะทิแตงไทย..
ที่เก็บสดตอนแหวกพงหญ้ารกและพบรอยแยกแตกลายหอมแล้ว
มะพร้าว ก็มีริมรั้ว
ที่สูงชลูดแซมแกมรั้วชบาหลากสีเป็นทิวแถวแนวยาว
ให้สอยมาขูดมาคั้นสดเดี๋ยวนั้น
นำน้ำตาลหวานมันส์ได้จากต้นโตนด
ที่ใช้เตาเคี่ยวโบราณ
พร้อมมีกระบอกตักน้ำตาลกวาดสิ่งปลอมปนเก็บไว้ใช้ได้ตลอดปี..
สาวนา..มีเวลาหว่านพืชสมุนไพรมากมีไว้ด้านหลังครัวริมกระท่อมทับ
สะดวกกับการเก็บยามเข้าไต้เข้าไฟ
ยามตะวันชิงพลบ ยามที่ครัวกำลังอวลอบร่ำ
ด้วยกลิ่นอันหอมหวนของข้าวแกงร้อนร้อน ให้ท้องร้องจ๊อกๆ
ที่หนุ่มนา..เคยโผล่หน้ามาแล้วแอบกระซิบริมแก้มว่า
ยามนี้ที่สาวนาแก้มแดงแรงร้อนหน้าเตาไฟปะทุ
ดูช่าง..น่าหอมน่ากินกว่าแกงในหม้อเป็นไหนไหน..
*********
และบางวัน..
สาวนา..เข้าสวน มิได้ไปเก็บดอกลำดวน..
หากไปเก็บละมุดพุทรา
น้อยหน่า จำปาดะ เงาะป่าเงาะบ้าน มะไฟ
มาล้างเรียงไว้ในกระด้ง
ไว้ปรนเปรอปากท้อง
ยามนอนนับดาวตรงชานเรือน
ฟังเพลงขลุ่ย..คลอพ้อลมหนาว
กับนวลแสงดาวพราวะยับระยิบ
ที่สุกใสพร่างพราย
ราวใกล้จนแทบเอื้อมมือคว้าไขว่ใส่อุ้งมือได้เลยทีเดียวเชียว
บางค่ำคืน..
สาวนาจะก่อไฟทำ
*ขนมโค...*
ที่ต้องโม่แป้งข้าวเหนียวข้าวเจ้า
แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมน้ำนวดเอง
จนร่อนแล้วเด็ดเป็นก้อนๆ
เอาน้ำผึ้งแว่น(น้ำตาลโตนด)
มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆยัดไส้ไว้ที่ใจลูก
หย่อนไปในน้ำเดือด เมื่อสุกจะลอยขึ้นมา
แล้วเอาเคล้าคลุกกับมะพร้าวทึนทึกที่ขุดเตรียมไว้แล้ว
ให้จับทั่วลูก แล้วโรยเกลือนิดหน่อย
แล้วก็หยิบใส่ปากอมแก้มตุ่ย
ให้หอมนุ่มอุ่นลิ้นกรุบๆด้วยมะพร้าว
หวานๆด้วยน้ำตาลกำลังเหลวไหล..ชุ่มฉ่ำในปาก
มันๆเค็มๆ อร่อยแบบไพรๆ
ถึงใจเด็กบ้านนอกบ้านนา..ที่รู้ค่า...
และไม่เคยรู้จักคำโดนัท ..อันละแสนแพง..
เมื่ออิ่มท้อง
ก็นอนรับลมหนาวดูดาวพรายโชยฉายแสง
กับพร่างพรมลมโชยโปรยปรายปีบพราวเคล้าดวงใจ
กับดาวไสวเรียงรวง
กับดวงดอกไม้ไทยรายรอบกระท่อมน้อย
โมก ราตรี จันทร์กระจ่างฟ้า จันทร์ผา ลำดวนดง
ให้ไหลหลงละมุนละม่อมหอมไปถึงนวลใจเนียนนุ่ม..รัดรึง..
ซึ้งสุขในธรรมชาติงามเงียบเรียบง่ายไร้แสงสี
และ
ด้วยหัวใจดวงดี ที่ทุกคืนค่ำ
หัวใจสาวนาจะหอมกรุ่นด้วยศรัทธารัก
สร้างละมุนใจ ได้พายเรือลงไปในบึงบัว
ยามตะวันรอนรอนอ่อนอุ่นแสงยามสนธยา
ไปลอยลำดูฟ้าแสนหวานม่านเมฆช่อชั้นราวสรรค์เสก
ยามอาทิตย์ใกล้อัสดง..ลงริมชายชล
ไปเด็ดบัวหลากสี บัวหลวง บัวสาย
มาถวายต่อหน้าพระพุทธ น้อมนำดวงใจใสพิสุทธิ์อธิษฐาน
สวดมนต์ สร้างกุศล ศรัทธาปสาทะมั่นในศาสนา
และพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา
ที่งามล้ำให้ยึดมั่นในเหตุผลและสร้างแต่คุณงามความดี
ให้สมกับที่ได้เกิดมาในร่มเงาพระพุทธศาสนา
ที่บริสุทธิคุณยิ่งต่อมวลมนุษย์นี้ที่หลงว่ายวนในดงกรรม..เวียนวน..
ให้พ้นทุกข์พบสุขใจในความว่างทางสายสงบเสียที..
และ
นี่คือ..ชีวิตสาวนา
ในวันนี้ ที่ขอมีชีวีงามเงียบ เรียบง่าย
ไร้มนตราพาทุกข์ใจในโลกแสงสี
ขอแค่มีชีวีดวงดีติดดิน มิถวิลวัตถุมากมี และ
ขอเพียงแค่มีหนุ่มนาคนดีเคียงข้างร่างและใจ
มีจิตวิญญาณไพร ช่วยกันเพาะพืชพรรณ
สร้างฝันแสนดีกับท้องนาท้องไร่ให้อุดม
บ่มด้วยความรักกตัญญูในผืนดินถิ่นเกิด
เพื่อเลี้ยงทุกชีวี เพื่อนร่วมโลกให้ยาวยืน
เป็นพอใจ เป็นสุขใจเป็นเพียงพอแค่พอเพียงแล้ว..นะแก้วตานะดวงใจ!
*********
วิมานบ้านนา พรระวี
เสียงไก่แก้วแว่วหวานขับขานเช้า
น้ำค้างพราวพรายพรมห่มผืนหญ้า
เย็นยะเยือกหวามไหวในอุรา
รับทิวาวันใหม่ชื่นใจชนม์
สายหมอกโปรยโรยไล้ทิวไม้ลู่
ดาวฤกษ์หรู่แสงจางค้างเวหน
ดอกไม้ป่ากรุ่นกลิ่นหอมย้อมกมล
ผ่านตำบลทุ่งนาสู่ฟ้าไกล
เพลงชาวนาแผ่วผ่านจากบ้านทุ่ง
ล้วนแต่มุ่งทำงานคราดหว่านไถ
ไม่เคยทุกข์ไม่เคยท้อต่อสิ่งใด
มวลเภทภัยมิกล้ำกราย ณ ปลายนา
สายลมอ่อนโชยมาจากนาข้าว
กลิ่นสาบสาวจรุงอวลจากนวลหน้า
ประกายวิบแจ่มใสจากไรตา
โอ้..บ้านนาเปรียบปานวิมานแมน.