19 พฤษภาคม 2548 12:32 น.

เสียงสงฆ์สายธรรมแสงเทียนวันวิสาขะ!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
(รางวัลชีวิต)
...............



ฝนพรำสายมาเมื่อยามใกล้รุ่ง
สาวนานอนหนาวในมุ้ง
ในที่นอนอบอุ่น..

ฟังเสียงฝนพริ้งพราว ฟังเสียงฟ้าเศร้า ร้องครางครวญ...



สาวนานอนหลับตานิ่งนิ่ง
ฟังเสียงฝนทิ้งทอยทอดกระทบหลังคาจากดังเปาะแปะ เปาะแปะ....

ฝากความรู้สึกสงบสุขแสนหวานแสนดี

สาวนาค่อยๆควานคว้าเปิดวิทยุโซนี่ หาคลื่นวิทยุ
ฟังรายการเพลงลูกทุ่งหวานหวานรับอรุณ..



นอกหน้าต่างกระท่อม...
ม่านฝนยังพราวพร่าง
ราวหมอกเมฆทิ้งสายพรายพรม
ห้อมห่มเคลียแก้มแต้มดวงดอกหญ้าและดอกข้าวในนา 


ที่ณ..บัดนี้..
กำลังผลิยอดเยาว์เสลาชูช่อก่อรวงเรียวไสว
โอนเอนอ่อนอ้อนรับสายลมในยามเช้า

ให้หยาดน้ำค้างจับพราว
ให้เรียวใบไม้กลีบดอกไม้ได้ชื่นสดฉ่ำ

ให้ได้รับพรายแสงแรกแห่งดวงตะวันอันอ่อนอุ่น
ที่จะมาละมุนกลางกลียวเกสร
มาแทรกหอม ระเหยหาย พลัน
ให้...
พลังอุษาวดีแห่งทิวาวัน
พลันได้ทำหน้าที่..
พลีเพื่อผองชน..บนผืนโลกอย่างซื่อตรงคงมั่น..



เสียงบทเพลง
รักร้าวเมื่อหนาวลมแว่วมา
พาให้หัวใจสาวนา
ราวละเมอเพ้อพก...จนหัวอกหัวใจหวิวไหวหวั่นหวาม
รู้สึกเศร้าตามไปกับบทเพลง...


เมฆลอยกระจาย
อยู่ในฟ้าสูงแลลิบลิ่ว 
ลมหนาวเริ่มปลิว
ลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน 

ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจ 
น้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน 
คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง 

เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง 
ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคล้อย 
ฝนลา-ลาหนาวข้าวแตกรวง 
แต่รักลาทรวงสิ้นน้อง 
โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม 

เจ้าทิ้งให้พี่หนาวหนาวจนใจเหน็บ
 เจ็บดั่งหนามระกำตำทรวงให้ระบม 

เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารัก 
พี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม 
ให้ชมแล้วน้องก็ชัง 
เมฆลอยกระจายดั่ง
เหมือนหัวใจลอยละลิ่ว 
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมา
เมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง 
ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย 
ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง 
สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง...
***********





อย่างช้าช้า..สาวนาลุกขึ้นและ
เอื้อมมือคว้าเอาผ้าฝ้ายทอมือมาคลุมไหล่..ที่กำลังหนาวเยือก

สาวนาไม่รู้ว่า..
นาทีนี้...สาวนา
หนาวเนื้อหรือว่าหนาวใจ



หากทว่ารู้สึกราวร่างใจหนาวรวมกันไปทั้งสองอย่าง
ต้องค่อยๆรำลึกรู้แล้ววางจิตคิดรู้ทัน
แล้ว..
จึงภาวนาประคองขวัญ
ให้เลิกคิดถึงคะนึงหาอ้าย



ที่ณ..บัดนี้จะเป็นจะตายจะสบายดี อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ฤาว่า
กำลังนอนกอดอยู่กับใครในอ้อมอกเอนอิงอ้อนออดกันจนอุ่น

ก็ไม่รู้แล้ว...ก็ช่างเถอะนะ..



สาวนาคนมีกุศโลบาย..ฉลาดล้ำฉลาดคิด

รู้ทำจิตทำใจให้ใสสวยสงบ
จะได้ไม่ต้องพบคำม้วยมรณาด้วยตรอมตรมก่อนถึงเวลาอันสมควร



เพราะ
หลังจากได้ศึกษาพระธรรม
พาจิตเข้าพึ่งพิงในร่มพระรัตนตรัย
สาวนาทำใจได้แล้ว
และ
เพียรอ่านหนังสือธรรมะมากมาย
ที่ใช้เวลานานหลายปี

ที่เพิ่งจะค่อยๆซึมซึ้งให้เข้าถึงความทุกข์
จนเข็ดหลาบ จนขยาดไม่แม้อยากจะคิดรักใครอีกเลยแล้ว



ว่าแล้ว...
สาวนา..ก็ค่อยๆพาตัวเอง...เดินฝ่าสายหมอกหยอกรวงเรียว
เดินเดี่ยว ไปยังลำธารฝันสวรรค์สรวง...สวรรค์ไพร

ค่าที่มีเถาวัลย์ แมกไม้ 
สายน้ำที่ยังเย็นใส..จนแทบมองเห็นตัวปลาว่ายวน

ยังคงเห็นกรวดทรายวะวิบวับ ราวกับกระจกกระจ่างพร่างรัศมีเพชร


สาวนาค่อยๆถอดเสื้อ..
เผยให้เห็นเนินเนื้อหนั่นแน่น..สาวสล้าง
สีราวน้ำผึ้งรวง

ที่มีเพียงปวงบุปผาไพร..นกไพรเพียงนั้น
ได้พากันแย้มยลยามสาวนาค่อยมัดปมผ้าถุงกันลื่นหลุด



ก่อนที่จะ...ค่อยๆแหวกว่ายในสายน้ำ
ในยามอุษา...

ที่ฟ้ากำลังสาดสายแสงสีทองให้ผ่องพราวไสวไปทั้งราวไพรราวป่า
ให้พวงบุหงา พากันเบ่งบาน
คลี่หวานผลิช่อฝันประชันอวดดอกดกไสว

ให้ทอทอดลอดกิ่งไม้ใหญ่กิ่งไทรสาขา
ลงมากระทบร่าง
พร่างหยดน้ำวะวับวาวราวหยาดเพชรกลมกลิ้งบนเนื้อเนียน..



สาวนานอนลอยตัวนิ่งนิ่งในสายน้ำ
พลัน..ดอกจิกแสนหวานได้หว่านดอกพรูลงพร่างหอมห่ม
ลงบนตัวสาวนา..
ที่นาทีนั้นดูราวกับว่า
นางไม้นางกินรีกำลังหนีมาเล่นน้ำลำพัง



สาวนา...
กำลังนอนคิดถึงบทตำนานเกร็ดในพุทธศาสนา
ที่หลวงพ่อ ได้โปรดกรุณาเทศนา
เล่าให้อุบาสกอุบาสิกาพากันฟังในวันพระที่ผ่านมา

เพราะนี่ก็ย่างเข้าเดือนหกแล้ว
ฝนก็ทำท่าตกปรอยๆ กบเขียดก็พลอยจะพากันเริ่มร้องฮึมฮัมๆ



ในยามที่พระบรมศาสดา..
จะบรรลุแจ้งเป็น..*พระพุทธเจ้า..*
เพราะ..เฝ้าบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา 

ที่สาวนา ชอบคิดฝันจินตนาการไปทุกครา
ในทุกยาม ที่มา  ณ..ที่นี่..

ราวริมฝั่งฝันเนรัญชรามหานที..

ที่จิตดวงดีดวงดิน
ถวิลไปถึงภาพพิเศษพิสุทธิ์ที่ชอบผุดขึ้นในมโนนึก 



ที่..ราวกับมีพลังลึกลับ...ดึงดูดให้..หัวใจสาวนาถอยจิตกลับไป
ยิ่งเมื่อรำลึกได้ว่าใกล้วันวิสาขปุณมีเข้ามาทุกทีแล้ว...

สาวนา...
แทบท่องจำได้ขึ้นใจในเรื่องที่เล่าถึงพระพุทธเจ้า

ที่หัวใจสาวนา...พลีศรัทธารักแสนรัก...
แสนเทิดทูนบูชาในองค์พระบรมศาสดาของเรา


สาวนา หลับตา...
แล้วจึ่ง...นึกย้อน..
เมื่อตัวสาวนามานอนอยู่ในสายน้ำรักนิรันดร์

ที่สาวนามักจินตนาพาจิตสมมุติไปราวกับว่า
 
ณ..ที่นี่คือเนรัญชรามหานที 
ที่แสนสวยใสงาม...ทุกทีไป



และ
ในภวังค์ฝันอันแสนงาม.
ด้วยใจดวงดีมีพลังแห่งสมาธิ

ที่ยามนี้ได้ใช้เวลาอยู่ในป่าไพรกับงามเงียบ
กับสายน้ำแสนเฉียบเย็นฉ่ำ 
ที่กำลังระร่ำริน

ราวกับรับรู้ถึงดวงจินต์ดวงจิตสาวนา

ที่กำลังแสนพร่างปิติเกษมโบยบินกลับไปในอดีตก่อนพุทธกาลสมัย
...........



ย้อนรอยไปอีกสามสิบห้าปี 

ในคืนวิสาขะ...ราตรีเพ็ญบุญ...

ที่ฟ้าแจ่มกระจ่าง..ด้วยแสงแห่งเดือนเพ็ญโฉม

คืนที่ฟ้าโพยมพยับ
ราวกับเทพไท้เทวดามาร่วมชุมนุมพร้อมพรั่งกัน

...........


นับตั้งแต่พระองค์และปัจวัคคีย์
ได้ร่วมกันบำเพ็ญความเพียรอย่างแรง

ที่เรียกว่าทุกรกิริยา
ที่แปลว่า
การกระทำที่ทำได้ยาก 
คือทรมานตนในรูปแบบแปลกๆ
เช่นการอดข้าว อดน้ำ
นั่งทนยืนทนหน้าหนาวก็ไปแช่อยู่ในน้ำ



หน้าร้อนก่อไฟรอบตัว
ทรงทรมานจนพระกายซูบผอม 
ทรงเห็นว่าขืนทำต่อไปก็คงไม่สำเร็จจึงทรงเลิก

จนปัญจวัคคีย์ทั้งห้า
ก็คิดว่าพระองค์คงจะเลิกใช้ความเพียรเสียแล้ว

คงจะหันไปหาโลกียสุขต่อไป
จึงหนีไปเมืองพาราณสี ทิ้งให้พระองค์อยู่ผู้เดียว



สถานที่พระองค์ไปทำความเพียรแบบทุกรกิริยานี้คือ
*ถ้ำตุงคสิริ*
อยู่ห่างจากบริเวณต้นโพธิ์
เมืองคยา ประมาณสัก 5-6 ไมล์ 

ถ้าจะไปถ้ำตุงคสิริ
ต้องข้ามแม่น้ำเนรัญชราแล้วเดินทางต่อไปในป่า 
ซึ่งในสมัยพุทธกาลบริเวณนั้นเป็นป่าร่มรื่น



ถ้ำตุงคสิรินี้เป็นหน้าผา กันแดดกันฝนได้

ในถ้ำเข้าไปนั่งได้สบาย 

เมื่อปัจจวัคคีย์ออกไปแล้วจึงเป็นโอกาสเหมาะ
เพราะพระองค์ต้องการอยู่เงียบๆตามลำพัง

ได้เสด็จจากถ้ำ ตุงคสิริ
เดินเลียบแม่น้ำเนรัญชราขึ้นมาทางเหนือ
เดินทวนแม่น้ำข้ามฝั่งไป



*เห็นบริเวณต้นโพธิ์ร่มรื่นสบาย 

มีทุ่งหญ้าเขียวสด

บริเวณป่าก็ไม่ห่างไกลหมู่บ้าน *พอจะบิณฑบาตรได้ไม่ไกลเท่าใดนัก

นึกในพระทัยว่า 
*ที่นี้เหมาะสำหรับบำเพ็ญความเพียรหาสัจจธรรม

จึงเสด็จไปบำเพ็ญความเพียรที่นั่น 

การนั่งทำความเพียรมีหลายแบบเหมือนกัน



ในที่สุด..ถึง...*วันวิสาขะ เพ็ญเดือน 6

เมื่อตื่นบรรทมตอนเช้าแล้ว

พระองค์ก็เสด็จไปสู่แม่น้ำ 
อาบน้ำชำระพระวรกาย

แล้วประทับอยู่ใต้ต้นไทร

ขณะนั้น*นางสุชาดา ผู้เป็นคหบดีมั่งคั่งที่นั่น
ได้เคยบนบานกับต้นไทรไว้ตั้งแต่ยังสาวว่า



ถ้าได้สามีที่ดี และมีบุตรคนหัวปีเป็นชายแล้ว 
จะทำขนมมาสังเวยเทวดา

เมื่อสมปรารถนาแล้ว
ในเช้าวันนั้น นางก็ทำอาหาร

ที่เรียกว่า*ข้าวมธุปายาส*คือข้าวที่กวนกับน้ำนมสด
กวนจนเหลวเข้ากันดี เมื่อเสร็จแล้วก็จัดใส่ถาดทอง
 


บอกสาวใช้ให้ไปกวาดโคนต้นไทรให้เรียบร้อย

*จะนำข้าวมธุปายาส ไปถวายเทวดา*

สาวใช้เดินมาเห็นพระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทร
ก็คิดว่าเทวดามารออยู่แล้ว
จึงรีบไปบอกนางสุชาดาว่า

*เทวดา คงยินดีรับบัตรพลี เพราะมานั่งรออยู่แล้ว



นางสุชาดาก็ดีใจถึงกับพูดว่า

*ถ้าเป็นความจริงก็จะปล่อยสาวใช้ให้เป็นไท*
ไม่ต้องเป็นทาสต่อไป..

แล้วนางก็ยกถาดทองใส่ข้าวมธุปายาส ทูนขึ้นบนศรีษะ



เมื่อไปถึงก็เห็นว่า 
เทวดาท่าทางเรียบร้อย

จึงก้มหน้าถือถาดเข้าไปประเคน

พระองค์ก็รับประเคนทั้งถาด 
แล้วเหลือบดูนาง นางก็ทูลว่าถวายทั้งถาด
แล้วก็ลากลับไป




*ทรงถือถาด ข้าวมธุปายาส
เสด็จไปสู่ท่าน้ำเนรัญชรา

ฉันข้าวมธุปายาสหมดทั้งถาด 
แล้วก็ลอยถาดลงไปในแม่น้ำ

ในปฐมสมโพธิอ่านแล้วจะพบว่า
ถาดนั้นจมไปใต้ดินไปถึงเมืองพญานาค

พญานาคหลับอยู่นาน
ได้ยินเสียงถาดก็ตื่นขึ้นบอกว่า
วันนี้ตรัสรู้อีกองค์หนึ่งแล้ว
เมื่อวานนี้ก็ตรัสรู้องค์หนึ่ง

พญานาค นอนหลับเป็นล้านๆปี
เรียกว่าเล่าเพื่อให้เห็นปาหาริย์ไว้ให้สนุก

 


พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั่น จนบ่าย
จึงเสด็จจากริมฝั่งแม่น้ำ 

ระยะทางจากฝั่งแม่น้ำไปถึงต้นโพธิ์ก็ไม่ไกล
ราวร้อยเมตรเศษเท่านั้น
เสด็จไปด้วยอาการสงบ



ขณะนั้นมีพรานป่าชื่อ*โสตถิยะ*
ตัดหญ้ามาจะมามุงหลังคา

พอเห็นพระองค์ผ่านมา
ก็ถวายหญ้า ที่ชาวอินเดียเรียกว่า*กุสะ*

คำว่า*กุสะ*นี้ไม่ใช่หญ้าคาอย่างบ้านเรา
แต่เป็นตะไคร้หอม เรามาแปลว่าหญ้าคา ซึ่งไม่ถูก

ตะไคร้หอมต้นเหมือนหญ้าคาใบก็คล้ายแบบเดียวกัน
แต่มีกลิ่นหอม พวกฤาษีนักบวชชอบเอาใบมา*กุสะ*มาปูนั่ง



*นายพรานได้ถวายหญ้า 8 กำมือ
พระองค์ก็รับนำไปสู่ต้นโพธิ์
เมื่อไปถึงก็ทรงปูลงใต้ต้นโพธิ์
ยืนนิ่ง  อธิษฐานในใจว่า*



แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม

สิ่งใด ที่จะสำเร็จได้
ด้วยความเพียรความบากบั่นของตนแล้ว
ถ้าเราไม่ถึงไม่ถึงจุดนั้น
จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด

นี่คือ คำ *อธิษฐานยอมตาย*
ให้กระดูกเปื่อยอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ลุกขึ้น..



และ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
ที่เราทุกคนจะนำไปใช้ได้ 
ใช้ในเวลาที่จะทำอะไรให้ทำได้

ใช้อธิษฐานใจเวลาจะทำอะไร *คำอธิษฐาน*
หมายความว่า
*ทำจิตใจให้มั่นในเรื่องที่เราจะทำ*

ทำอะไรต้องทำใจให้มั่น 
การทำใจให้มั่นก็เรียกว่า ใช้กำลังภายใน
ให้เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน



คนเราจะทำอะไรต้องมีกำลังใจหรือกำลังภายในแล้ว
การกระทำก็ก้าวหน้า 

และ
หลังจากอธิษฐานแล้วต้องมีสัจจะ สัจจะ
หมายความว่าทำจริง มีสัจจะ  มีอธิษฐาน 
แล้วเราก็มีความเพียร ก็จะประสบความก้าวหน้า
.......



เมื่อ พระองค์อธิษฐานใจแล้ว
ก็ประทับเจริญภาวนา

ภาวนาคือ กำหนด อานาปานสติ
อานาปานสติ แปลว่า กำหนดลมหายใจเข้าออก
ควบคุมเวลาหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้



แล้วพระองค์..ก็ทรงบรรลุ*ญาณ*แปลว่าปัญญาหรือความรู้
คู่กับ..*ฌาน* แปลว่าเพ่ง
*พระองค์ก็ได้บรรลุ ญาณ ทั้งสาม 3

ในปฐมยาม 
มัชฌิมยาม 
ปัจฉิมยามราตรี สำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า*

คือหลุดพ้นจากความผูกพันทางใจด้วยประการทั้งปวง

บรรลุถึงเสรีภาพขั้นสูงสุด 
ได้รับความอิสะอย่างแท้จริง
ได้เป็นพระพุทธเจ้า



พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลก ในวันเพ็ญวิสาขะเดือน6 
ก่อนพุทธศก 45ปี 

ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า 
เมื่อพระชนมพรรษา 35 ปี 

ออกบวชอายุ 29ปี เที่ยวศึกษาค้นคว้า
ทำความเพียรอยู่จนได้เป็นพระพุทธเจ้า 

เมื่อตรัสรู้แล้วก็ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกตลอดเวลา 45 ปี



ได้ทรงกระทำ งานด้วยความตั้งพระทัย
เพราะ*พระองค์อธิษฐานใจ*

 คือภายหลังตรัสรู้แล้ว
ก็พักอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใต้ต้นเกด ใต้ต้นมุจลินท์

ซึ่งอยู่ในบริเวณ นั้น 7 วัน  7 แห่ง

แต่ละแห่งได้ทรงเปล่งอุทานออกมาด้วยความเบิกบานพระทัย
หลายเรื่อง 



และการตรัสรู้ของพระองค์นี้
ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยเทพเจ้า
ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยอำนาจเบื้องบน 
ไม่เกี่ยวเนื่องอะไรทั้งนั้น

แต่เกี่ยวด้วยความเพียร
ความตั้งใจเป็นการคิดค้นด้วยพระองค์เอง





เพราะฉะนั้น 

พระองค์จึงตรัสว่า
พระองค์ทรงเป็นสยมภู แปลว่า ผู้รู้เอง 

ไม่สามารถจะอ้างว่าใครเป็นครูเป็นอาจารย์ได้
เพราะเป็นเรื่องที่รู้ด้วยพระองค์เอง

อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่า
*พระองค์เคารพสมองคนว่าเป็นผู้มีปัญญา
สามารถทำอะไรก็ได้



...........
สาวนานอนคิดนานมาก
เพราะว่ามีใจดวงใสดวงงาม
ในยามนี้ 

และราตรีนี้คืนเดือนเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหก

ที่สาวนาและพุทธศาสนิกชนเฝ้ารอ
ที่จะได้ไปแสดงมุทิตาจิต
เวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ



ถวายชีวิตแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถวายจิตวิญญาณในร่มพระรัตนตรัย
เป็นลูกของพระพุทธองค์จะได้มิหลงทาง

ได้เพียรเดินตามรอยบาทอย่างมิให้คลาดคลา
แม้นจะต้องใช้เวลาแสนนาน 
ก็จงเพียรพยายามอย่าท้อ
และ
คือขอตั้งสัจจะอธิษฐานภาวนา
เพื่อจะได้มีหลักชัยแห่งชีวิตนำทาง
ดั่งดวงประทีปพร่างไสวในโคมแก้วงามท่ามราตรีเพ็ญนี้

ที่สาวนาตั้งใจจะประดิดประดอย
เด็ดดวงดอกไม้รายรอบวิมานดิน

มาร้อยรักพลีสิ้น ด้วยใจดวงศรัทธา
เพื่อสืบสานพระศาสนาที่แสนจะร่มเย็น
ให้โลกหล้าและมวลมนุษย์ได้รู้หยุดทำร้ายกัน

ได้หันมาเอื้อโอบใจปันแบ่งทุกสิ่ง
ก่อนที่จะพรากลาไป..ใช่จะมีชีวียาวยืนยาวนานนิรันดร์



พลัน...!..สาวนา

ราวได้ยินบทกวีพลีถวายเป็นพุทธบูชา
จากบุรุษแห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์
มิสิ้นเสียง สายแสงจากพลังแห่งแรงรักศรัทธา



ที่เขาก็คงปิติปรารถนา
เพียงเพียรรจนาฝากหอมงามฝากความดี
ไว้ในหล้านี่
*ที่ชื่อว่าแผ่นดินแม่มาตุภูมิ*
ให้ได้แสนภาคภูมิใจ กับชีวาชีวีนี้

ที่มิเสียชาติเกิดมาได้พบคำสอนล้ำค่า
จากฟ้าพุทธภูมิจากพระพุทธองค์ 


ที่ หวานแว่วแผ่วมาในมโนนึก

ให้รู้รำลึก  ลึกล้ำดำดื่ม
จนน้ำตาพร่างไหล
ไปกับสายน้ำใจสายน้ำนิรันดร์ พลันนะบัดนี้...!!!!

...........
...........



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
รางวัลชีวิต 
ชัชฎาพร ลักษณาเวช 
พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย... 
 



				
12 เมษายน 2548 11:33 น.

สงกรานต์รอหวานใจ!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2707
(คิดถึงบ้าน)
.............


ฟ้าสีไพลโพล้เพล้แล้ว
ตะวันแดงทอแสงสีส้มสุกสาดสายแสงแรงร้อน

หากทว่า..
ราวจะปลอบประโลมใจ
ให้สาวนา...ที่ไม่สบายใจหวิวหวิว
มีไข้รุมๆได้พยายามลุกขึ้นมา



เพราะ...
มีงานมากมายรอท่าให้สาวนาทำ
ทั้งวัวควายไร่นา..
ทั้งผักหญ้าที่สาวนาต้องหมั่นดายและรดน้ำ..

สาวนานอนฟังเสียงวัวควาย
มันร้อง มอมอ ...ออกันริมคอกใต้ดงไผ่
ราวรอให้สาวนาไปจูบหนอกบอกรักมันเช่นทุกเช้า


หากทว่า...
วันนี้สาวนาลุกไม่ไหว
ขอนอนคิดอะไรๆสักนิดนึง 
คิดซึ้งๆถึงอ้ายจะดีกว่า..



อ้ายจ๋า..
พรุ่งนี้วันสงกรานต์..แล้วสินะ
สองสามวันก่อนสาวนาเห็นเพื่อนๆอ้าย
ต่างพากันกลับมาบ้าน
หวังจะมารดน้ำสงกรานต์ดำหัวแม่พ่อกราบเท้าขอพร



ทั่วทุกบ้าน...เปิดลำโพงเฉลิมฉลองกันลั่น
และ..
ด้วยการดื่มกินไม่อั้นทั้งวันทั้งคืน..
จนกว่าเหล้าจะหมดไหจน
เงินในกระเป๋าจะหมดเกลี้ยง 
ต่างเลี้ยงดูกันจนนอนระเนนระนาดน่าอนาถใจ



หากแม่พ่อผู้แก่เฒ่า...ถึงแม้นจะแสนเศร้าระอาใจ
ก็..ยังเต็มไปด้วยความห่วงใยรักเมตตาเอ็นดู
เมื่อ..
ลูกหลานที่แตกสานไปอยู่ต่างถิ่น
เสมือนนกไพรบินพลัดป่า
ไปแสวงหาเหยื่อสร้างรวงรังใหม่ในป่าศิวิไลซ์เรียกว่าเมือง



ได้คืนหลังกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ได้มาล้อมวงกินข้าว
ได้มาแลกสาระทุกข์สุขดิบ
หยิบความรักมาวางพลีกันและกันในอ้อมกอดอ้อมใจ
หลังจากไปนานให้วิมานกระท่อมผุพังโย้เย้..เหว่ว้ารอ..



และ..
แม้นต่างต้องพากันระมัดระวัง
ให้สนุกกันพอดีๆภายในขอบเขตรั้วบ้าน
ไม่อย่างนั้นจะเศร้าตาม...มา



เพราะบางบ้าน
สาวนาได้ข่าว..ยังไม่ทันถึงวันสงกรานต์
ได้ไปทำบุญที่วัดไปกราบหลวงพ่อ
ได้ก่อกองทราย
ได้ไปจับใบดำใบแดง
เพื่อทำหน้าที่พลีให้สมกับคำว่าลูกผู้ชายไทย
ก็มาพรากจากลาลับไปเสียแล้ว...!

ด้วยความเมาแล้วไปขับมอเตอร์ไซด์
พาร่างใจจิตวิญญาณไปถวายวัดแทน



และ...
อ้ายรู้ไหม
สาวนา..นอนเป็นห่วงเป็นใยอ้าย..
เพราะ
สาวนาได้ข่าวว่า วันสงกรานต์ทีมีคนตายมากมายเหลือเกิน
เพราะ เมาแล้วยังมาขับรถ
ลืมกฎจราจร
พากันทำความเดือดร้อนให้ผู้บริสุทธิ์ไปทั่ว
สาวนาแสนกลัวจังเลย



แล้ว...
ไหนจะยังประเพณีแปลกๆแหวกแนว
ใช้น้ำแข็งมาขว้างใส่กัน
ใช้น้ำคลำน้ำสกปรก
ใส่รถในถังใหญ่ๆแล้วสาดโครมๆ
บ้างก็เที่ยวตระโบมป้ายสาวให้ได้อายด้วยเอาเปรียบ
ไม่มีความละเมียดละมุนเอาเสียเลยแล้ว



แล้ว...
วัฒนธรรมแสนดีประเพณีแสนงามจะมีสิริมงคลอะไรกันเล่า!..
ที่รอเฝ้าให้ลูกหลานไทย
ในแผ่นดินมาตุภูมิได้รู้ภูมิใจสืบทอด



ทำไม..!น้ำอบน้ำปรุงมีมากมาย
ไม่นำมาใช้
ให้หัวใจหอมกรุ่นทั้งผู้ให้ผู้รับเล่า
ทำไม..!จักต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่สร้างสรรค์
ให้สวรรค์แสนงาม...วัฒนธรรมแสนดีลอยลาล่วงไปด้วยเล่า



ฝรั่ง...นั้นเขาเอาอย่าง
บ้างก็สนุกสุขสันต์ในวันสงกรานต์อย่างไม่ทราบที่มา

คิดว่าแค่การสาดน้ำสนุกกันโครมๆ
แล้วมีสีสันแสนมันส์ดีแสนน่ารักดีในวิถีคนไทยผู้รักสงบ
ชอบสนุกสนานบานเบิกใจอย่างหาประเทสไหนเทียบทัน



หากจริงๆแล้วเรามีอะไรมากมาย..ที่งามกว่านั้น
ที่น่าจะเปิดเผยให้สายตาชาวโลกได้รับรู้
ให้ดูว่าประเพณีไทยนั้น
*วันสงกรานต์นานมา*ที่สาวนาเคยอ่านพบ
ไว้ประดับความรู้ว่า....

******


*วันตรุษและวันสงกรานต์เป็นเทศกาลสำคัญ
ที่คนไทยยังถือว่า
วันตรุษคือวันสิ้นปี วันสงกรานต์
คือวันขึ้นปีใหม่ดังกล่าว 
ดังนั้น จึงต้องตระเตรียมงานกันเป็นการใหญ่ 
จนมีคนที่พูดกันติดปากว่า 
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 
สิ่งที่ตระเตรียมกันนั้น จึงเป็นเรื่อง
ที่จะต้องกระทำกันเป็นพิเศษตามลำดับ ดังนี้ 




เครื่องนุ่งห่มเพื่อใส่ในโอกาสไปทำบุญที่วัด 
ตลอดจนเครื่องประดับตกแต่งร่างกายอย่างค่อนข้างจะพิถีพิถัน

ของทำบุญ เมื่อใกล้จะถึงวันงาน
ก็เตรียมของทำบุญเลี้ยงพระ 
และที่เป็นพิเศษของที่จะทำขนมพิศษ ๒ อย่าง
ได้แก่ ข้าวเหนียวแดงในวันตรุษ 
และขนมกวน หรือ กะละแมในวันสงกรานต์ 



นอกจากจะทำขึ้นเพื่อทำบุญแล้ว 
ยังแลกเปลี่ยนแจกกันในหมู่บ้านใกล้เคียง 
เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีในวันสำคัญ

การทำความสะอาดบ้านเรือน
ที่อาศัยตลอดจนบริเวณใกล้เคียง 
เพื่อให้ดูเรียบร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ที่บูชาพระและที่เก็บอัฐิบรรพบุรุษ 



แม้เสื้อผ้าที่ใช้สอยก็ต้องซักฟอก 
ให้สะอาดหมดจดโดยถือว่า 
กำจัดสิ่งสกปรกให้สิ้นไป
พร้อมกับปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ด้วยความบริสุทธ์ผุดผ่อง



สถานที่ทำบุญ 
วัดเป็นสถานที่ทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ 
และทำต่อเนื่องกันหลายวัน 

นอกจากจะทำความสะอาดกุฎิที่อาศัยแล้ว 
ยังต้องทำความสะอาดหอสวดมนต์ 
โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ ตลอดจนลานวัด 
เพราะต้องใช้ทำกิจกรรมหลายอย่าง 
ได้แก่ การทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา 
สรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย และงานรื่นเริงต่างๆ ด้วย 



นอกจากนั้นเขายังเขียนถึง

๑. พิธีหลวง พระราชพิธีสงกรานต์และพิธีราาฎร์
ที่สาวนาจะกระซิบบอกเล่าให้อ้ายฟังทีหลังนะจ๊ะ

............




อ้ายคนดี..ของสาวนา
สาวนายังรอท่าอ้ายกลับมา
ในวันมหามงคลสงกรานต์นี้
ที่สาวนาได้ยินเสียงบทเพลงแผ่วแว่วหวาน
ลอยข้ามลำประโดงมา...ให้หัวใสาวนายิ่งดายเดียว
ด้วยเหลียวหาไปไม่พบอ้ายคนดี


รู้บ้างไหม..
ทิวไผ่ยังซัดส่ายกอพ้อครางครวญรอท่าอ้าย
ว้วควายและสาวนา
ต่างพากันรอให้อ้ายมานั่งขี่คร่อมเคียงไปในท่ามดงตาล
ไปดูหยาดสายหวานแห่งพรายพระอาทิตย์ราวเรียวรุ้ง
อาบท้องทุ่งรวงเรียวสีทองผ่องผุด


ไปดูนกกระยางกระทุงเดินหยิบโหย่งในทุ่งนา
ไปดูนกการ้องเริงร่ากลับรัง
ไปรำลึกความหลังในบึงบัว
ที่เราสองเคยไปลอยคอยามฟ้าสลัวโพล้เพล้
เพื่อคลอเคลียฝากรักกัน
จนกว่าฟ้าแสนสวยจะใกล้ค่ำจึงจักอำลา



พร้อมเด็ดบัวมาหลากสี
มาพลีพับจีบด้วยแรงศรัทธา
มากราบกรานบูชาพระ..
และพร้อมสองเรา
ได้นั่งเคียงอธิษฐานจิตสวดมนต์ภาวนา



ณ..นาทีนี้
สาวนาคนดีแค่..อยากฝากให้สายลม
พาบทเพลงนี้ไปกระซิบแทนคำคิดถึง
จากใจสาวนานะ
ให้ไปเตือนใจอ้ายว่า
ให้รู้ว่ามีคนรักคอยคิดถึงอยุ่ที่วิมานวนากระท่อมไพร



รอให้อ้ายคนดีในดวงใจ
ได้คืนกลับมา
พาสาวนานุ่งผ้าถุงสีไพลใส่เสื้อผ้าไหมแสนงาม
เกล้ามวยสวยเสียบรายล้อมด้วยดวงดอกกล้วยไม้
หรือเล็บมือนางพร่างสีแดงชมพูนวล
ประดับด้วยปิ่นปักผมแสนงาม
ที่อ้ายเคยมอบให้
ห่มผ้าผืนลายช้างพลายสีทองเป็นสไบ
ไปทำบุญตักบาตรด้วยกัน
ไปดูหนังฟังเพลงใน*งานวัด*



และ..
กลับมานอนฟังน้ำค้างรินร่ำท่ามดุเหว่าแว่ว
ฟังเสียงขลุ่ยแว่วหวานริมลอมฟาง
ในท่ามกลางเดือนแจ่มกระจ่างฟ้า
สาวนาอยากได้ยินเสียงเพลง*เดือนเพ็ญ*
ที่ว่างเว้นคลอเรือนใจมาแสนนานแล้วนะอ้าย



และ
อ้ายจ๋า...
เมื่อเช้าสาวนาฟังเพลงข้าวใหม่ปลามัน
แล้วหัวใจทั้งขำทั้งคิดถึงอ้าย
เป็นบทเพลงที่สะท้อนสะเทือนใจดี
ว่า...
คนเรานี้หนายามแรกรักกันก็ดีไปเสียหมด
เหมือนน้ำต้มผักยังว่าหวาน
พอนานไปก็เป็นขมพาระทมใจเสียไม่มี



สาวนา..คนดี..แสนขำเมื่อ
ฟังบทเพลงยามสาวอ้อนอะไรๆอ้ายคนในบทเพลงก็ให้ได้หมด
สุนัขเห่าจะกัดก็บอกจะซัดด้วยลูกปืนหากมาเข้าใกล้
แต่พอไม่นาน..
ยามสาวอ้อนร้องเรียกอ้ายมาดูกลัวสุนัขดุดังเดิม
อ้ายก็เติมเจ็บจบด้วยน้ำคำว่า
*มันคงเห็นผีละซีท่า*อะอะ
ช่างน่าขำฤาช้ำดีละอ้าย..เอย..



สาวนา..ก็แค่ยกตัวอย่างมาให้อ้ายฟัง
จะได้รู้อย่าลืมรักคำมั่นสัญญา
และให้รับรู้ว่าสาวนายังคงรักภักดี
พลีทั้งจิตร่างวางทอดให้อ้ายไปนิรันดร์นะจ๊ะ
ไม่ว่าจะวันสงกรานต์
หรือว่า
จะกี่สักฤดูกาลจะนานสักแต่ไหน..ก็ตามที!!!!!

.................
...............



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2707
คิดถึงบ้าน... พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
 
จาก มานานคิดถึงจัง เลย
หอม เจ้าเอยละอองท้อง ถิ่น
อยาก กลับไปแนบซบไอ ดิน
บ้าน รำพึง คิดถึงเสมอ
อัส ดง อาทิตย์กล่าวลา
คืบ คลานมา คือคิดถึงเธอ
คืน เหน็บหนาว อีกแล้วซิเออ
บ้าน รำพึง คิดถึงไม่สร่าง
กี่ ร้อน กี่ หนาว
กี่หมื่นร้าว ราน
ไม่เคยสะท้าน ทุกเส้น ทาง
สู้ทน สร้างฝัน ถึงวันรุ่งราง
จะแบกไปถม ความทุกข์ระทม
ไม่ จำเป็น ดอกคำสัญญา
รั้ว ชายคา ที่แสนรื่นรมย์
ผ่าน ผุพัง เซซังทรุดโทรม
จะ กลับไป เอาใจซ่อมแซม

กี่ ร้อน กี่ หนาว
กี่หมื่นร้าว ราน
ไม่เคยสะท้าน ทุกเส้น ทาง
สู้ทน สร้างฝัน ถึงวันรุ่งราง
จะแบกไปถม ความทุกข์ระทม
ไม่ จำเป็น ดอกคำสัญญา
รั้ว ชายคา ที่แสนรื่นรมย์
ผ่าน ผุพัง เซซังทรุดโทรม
จะ กลับไป เอาใจซ่อมแซม...

.......
				
2 เมษายน 2548 19:54 น.

ดอกคูนเสียงแคน

สาวบ้านนา


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=5080
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1506


หน้าร้อนอีกแล้ว แล้งจนดินแตกระแหงไปทั่ว
เสียงแคนแตร๊นแตรแตร๊นแตรแว่วหวานปานพ้อ
มากับสายลมฟ้ากว้างลำประโดงและทิวไผ่ไหวกอ



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1506
ลูกทุ่งเสียงแคน   ยอดรัก สลักใจ : : Key Dm  

หนุ่ม ลูกทุ่ง อีสาน
สุขสำราญ ไปตาม ประสา
ข้อย จากบ้านเมืองมา
จนหนักหนาถือแคนเล่มเดียว
พบน้องก็ช่างงามนัก
ข้อยอยากทักอยากตามไปเกี้ยว
เหลือบดูแคนเล่มเดียว
เหลือบดูแคนเล่มเดียว
เกี้ยวอย่างไรอายใจเหลือเกิน
เกี้ยวอย่างไรอายใจเหลือเกิน

สาวเอยอย่าเพิ่งเดียจฉันท์
อย่าตัดสัมพันธ์ด้วยการทำเมิน
สาวเอยอ้ายอยากขอเชิญ
ฟังเพลงแคนเพลินๆสักหน่อย
ซุดสะแนนเพลงแคนอ้ายปล่อย
ล่องรถไฟละจับใจไม่ย่อย
ฟังเถิดสาวน้อยมันอร่อยถึงใจ

เสียง แคนบอก
สาวเอ้ยฮักบ่เสียง
แคนบอกสาวเอ้ยฮักบ่
ใจสิขอสัมพันธ์บ่ยั่นผู้ใด๋
หากได้น้องเป็นคู่เคียงสองหาก
ได้น้องเป็นคู่เคียงสอง
สิประคองขวัญตาบ่ห่วงหาไผซ่อน
บ่ห่วงหาไผซ่อน
หาก ว่าอ้ายผิดหวัง
จะกลับอีสานบ้านเคยอยู่นอน
หากได้เรียงเคียงหมอน
ไม่ไถ่ถอนจนวันชีพวาย
อีสานสิคนซื่อนัก
หากได้ฮักฮักเดียวบ่หน่าย
เชื่อหรือเปล่าทรามวัย
เชื่อหรือเปล่าทรามวัย
อยากดูใจเอ้าเซินเอ้าเซิน
เอ้า เซินเอ้าเซินเอ้าเซิน
เอ้า เซินเอ้าเซินเอ้าเซิน
เอ้า เซินเอ้าเซินเอ้าเซิน...

 
  




สาวนานวล
ยืนอยู่ริมทุ่ง
กับดงดอกโสนโอนเอนไหวอ่อนไปตามแรงลมร้อน
ในยามบ่ายคล้อยที่แดดยังกล้า
ฟ้ายังพร่างระยิบด้วยดวงดอกแดดแผดเผาจนเกิดประกายวิบวับ



ผิวแก้มนวล..เนียนราวกับสายน้ำผึ้งรวง
ราวกับรวงเรียวสีทองผ่องๆในเงางอบ

หากทว่าหัวใจนวลกลับบอบช้ำ
หานวลน้ำชุ่มฉ่ำสดใสเหมือนเนื้อนวลสักนิดสักน้อยก็ไม่มี

ที่บัดนี้..
แห้งพอกันกับนวลดิน..นา
กับฟ้าคราม
กับสายลมว่าวผ่าวร้อนรับฤดู
หมองไหม้ไร้...แล้งแห้งระแหงไปทุกถิ่นที่



หันไปเห็นทุ่งนาแดนทองราวแดนสวรรค์มาเยือน
มาบัดนี้พลันสวรรค์รอลอยเลื่อนลาลับ
ราวกับรอปิดประตูไม่ดูดำดูดี

จะมีก็แต่องค์พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย
ที่ทรงพระเสโททนไหลบ่ารับทุกข์
ทุกขวัญหล้าทุกหย่อมหญ้าทุกธุลีดิน



ทรงรับสั่งให้ทำฝนเทียมเตรียมการณ ์สู้ภัยแล้ง
ให้พสกนิกรชาวนาไทย
เจ้าแห่งผืนนาผืนดิน..มิสิ้นหวัง
รอพระพิรุณหยาดหลั่งชโลมหล้า
ลงมาจากจากราวฟ้าแดนสรวง



รอร่วงหยาดสายปรายโปรย
ไปทุกถิ่นที่
ที่มีไร่นาเขียวเขินเนินไพล

ให้เรียวรวง...ยังได้พราวพรายไสวพัดโบกไปมาราวคลื่นสีทอง
ให้ผ่องแพรพรมพลิ้วขจี
สะบัดสีสายงามแสนงามราวลูกคลื่น
ราวพรมธารทองห่มท้องนาทาบทาไปทั่วผืนหล้านาไกล



ด้วยหยาดน้ำพระราชหฤทัยใสเย็นดั่งหยาดฝน
เคียงกมลชนชาวนาชาวไร่ชาวไพรหัวใจทอง
ได้พลีผองพลังกำลังสร้างภูมิปัญญาแห่งแผ่นดิน...
ให้ลูกหลานไทยมีกินมิสิ้นหวังด้วยความอดหยากหิวโหย




คูน....ริมนา.
เหว่ว้าห้อยย้อยพวงดวงดอกเหลืองพราวไปทุกราวกิ่ง
ราวสายฝนสีทองรอลอยละล่องร่วงกราวพร่างพื้นหล้า



ราวกับว่าอยากประท้วงถามดินฟ้า 
ให้งามหล้ามาไย
ไม่ให้น้ำใสมารินหลั่งดั่งสายธารธารามิรู้สิ้น
ให้แผ่นดินไทยแผ่นดินทองงามผ่อง
ด้วยดวงดอกไม้ไทยไม้ไพร



ให้ละอองเรณูหวานใสห่มไปทั้งราวป่า
พากันออดอ้อนวอนสายลม
ค้อมน้อมพลีบูชาสังเวยแด่หล้าโลก
ให้สิ้นโศกสิ้นแล้งสิ้นไร้



ให้..คูนคูนคูนพูนเพิ่มธัญญาหาร
เพื่อปากท้องมาจ้องพูดจ้องจ่ายกับปัจจัยที่ห้า
ที่มาพร้อมกับความเหงาใจ
เชื้อโรคที่แพร่แสนไวเร็วเสียยิ่งกว่าแสง
ยอมอดตายมิให้ปากแห้งเลิกเจรจาพาที



และ
ขอมีความสุขทางปากกับลมลมลอยลอย
ยอมอ้อยสร้อยอดเอา...
นี่คือ
เงาดำมืดในใจสาวนาผู้แสนว้าเหว่แสนรักในวิถีไทย
ที่รอยไถมาแปรแพ้รอยน้ำเงินงาม
ตามตามรอยกรรมกันไปในกระแสโลกโลกาภิวัฒน์
อันคือวัด..ทางจิตฝังสนิทตั้งแต่ยังมิทันตาย..จริง!






ดอกคูนคูณดอกพราวอยู่เต็มต้น
คูณกมลเพิ่มพูนบานตระการต่อ
ดอกคูนบานไสวไม่เคยท้อ
มีคูณต่อคูณเพิ่มเติมน้ำใจ..

คูนดอกงามตามเติมต่อขอรักเพิ่ม
ดอกเดิมเดิมดอกดีดีเคียงนาใส
คูนดอกงามคูณมากล้นงามน้ำใจ
คูนไสวคูณสว่างกลางกมล..

คูนดอกงามขอคูณกลับให้มีสุข
ให้หมดทุกข์หมดเศร้ากลางไพรสนธ์
คูนดอกงามสร้างพลังเคียงกมล
คูณมงคลคูณดีงามนานนิรันดร์..นะดอกคูน......

********





ดอกคูนบานไสวในใจขวัญ
ทุกคืนวันพราวพร่างกระจ่างใส
ซึ้งน้ำคำซึ้งคุณค่าคุณน้ำใจ
ยามหวั่นไหวคูนเคียงข้างไม่ร้างรา..

คูนหัวใจสีทองงามผ่องผุด
คูนมิเคยหยุดเคียงหัวใจให้ห่วงหา
คูนรู้ไหมคู่ถิ่นไทยแต่เนามา
คูนคุณค่าคูนควรคู่รู้ใจกัน..

คูนอย่าท้อนะดวงใจนะยอดรัก
สองเราจักเคียงคู่ไปมอบใจฝัน
ให้น้องน้อยเก็บไม้งามตามตะวัน
ฝากใจขวัญเคียงใจคู่คูนพูนเพิ่มดี..ที่เรานี้อยากฝากฝันและฝากใจ!

**********


ดอกคูนพรากพลิ้วปลิวไปไหน. 
.........

ดอกคูนสีทองพราวราวพฤกษาสวรรค์
รับตะวันเจิดจ้าพาหลงใหล
มาวันนี้กลีบร่วงพราวเจ้าหายไป
ฤดูกาลผ่านไปไยลาลับกับตะวัน..

เคยเคลียคลอล้อลมไสวไทยทุกที่
ดวงฤดีผลิดอกหวานบานท้าฝัน
คู่วิมานวนาบานไสวทุกคืนวัน
อวดฉากฝันขวัญสล้างทางสายใจ...

ดอกคูนเคยล้อลมอย่าตรมเศร้า
คูนดอกพราวรอรับขวัญอย่าหวั่นไหว
บานท้าโลกลบโศกตรมนะดวงใจ
คูนสว่างบานกลางใจขวัญในวันนี้ที่เฝ้ารักที่เฝ้ารอ..

**************************



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=5080
พี่มีแต่ให้   
เอกชัย ศรีวิขัย : : Key Fm  
พี่ คนนี้ นั้นมีแต่ให้
เจ้าไฉน ไม่เคยให้พี่
อยากได้อะไร
หาให้ ทันที
ให้เจ้ามากอย่างนี้
ไม่ดีอีกหรือ แม่คุณ
พี่ วันนี้ พี่ก็ยังให้
เจ้าไฉน เห็นพี่เป็นหุ่น
เจ้าได้กำไร
รู้ไหมใคร ขาดทุน
ดอกเบี้ยความรัก สิ้นสูญ
ต้นทุนรัก ก็ไม่เห็น
ทำ เหมือนพี่ ไม่มีหัวใจ
ใคร นะใครที่ช้ำไม่เป็น
ให้เจ้าหมดแล้ว
พี่ไม่แคล้ว ต้องลำเค็ญ
หรือเป็นกรรม
ของเราคอยเฝ้าราวี
พี่ คนนี้นั้นมีแต่ให้
เจ้า วันไหนเจ้าจะให้พี่
ให้ความจริงใจ
ให้ความรัก พี่บ้างซิ
ให้เจ้ามาก อย่างนี้
ให้พี่ ไม่ได้เชียวหรือ
  
พี่ คนนี้นั้นมีแต่ให้
เจ้า วันไหนเจ้าจะให้พี่
ให้ความจริงใจ
ให้ความรัก พี่บ้างซิ
ให้เจ้ามาก อย่างนี้
ให้พี่ ไม่ได้เชียวหรือ...

 
  


				
21 มีนาคม 2548 15:28 น.

ใบไม้ร่วงรวงใจสาวนาไร้รุ้งเรียว!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
..........



หัวใจสาวนา..
กำลังโศกเศร้าดายเดียวเปลี่ยวเหงาไร้ร้างอย่างที่สุด
ในวันนี้..นาทีนี้...
ราวกับใบไม้ป่า...
ที่ร่วงเกลื่อนกล่นรอรับสายลมร้อน
ฟ้อนฟายพาปลิดปลิวลิ่วลอยเคว้งคว้าง...อย่างไร้จุดหมาย



ทุกอย่าง..รายรอบตัว
ดูแห้งแล้งหมองหม่น เทาทึม
แสนปวดร้าวเศร้าหมองไปเสียหมดเสียสิ้น

สาวนา...
กำลังยืนถวิลน้ำตาซึมอยู่ริมคันนา 

แล..ไปยังบึงบัวเหว่ว้า..ที่น้ำเริ่มแห้งขอด 
บัวสาย...ที่เคยชูช่อสะพรั่งหลากสี

มาบัดนี้...เหลือเพียงก้านกอหักงอ
รอเวลาเหี่ยวเฉาคาบึง 
รับลมแล้ง...
ดินที่แตกระแหงแห้งผาก
พอกันกับแก้มเหี่ยวย่นของหญิงชายชราชาวนา
ที่จำต้องรอรับโศกโลกหยิบยื่นชะตากรรมให้..อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง



ลมหายใจของสาวนา.. กำลังขาดเป็นห้วงๆ
เหมือนรวงเรียวซังข้าวแห้งผากตายซาก
รอพรากลา
รอวันตายไป
พร้อมกับดวงชีวาชีวีนี้...
ที่ช้ำฤดีตรอมตรมคงไม่นานแล้ว..



คูน...ยังคง..ทิ้งสายพรายพรมห่มราวไพรเหลืองพราว 
หากไยเล่า
หัวใจสาวนาราวจะร่ำไห้
มองไม่งามไสวผ่องผุดเสมือนสายฝนสีทองดั่งเดิม



ตะแบก..หม่น...ยืนต้นชูดอกสะพรั่งม่วง
รวงดอกยังคงระย้าระยับ
ระบัดไหวไปตามสายลมร้อน
อ้อนให้หัวใจสาวนา..หมองม่วงหม่นพอกัน

เหมือนสายฝนกำลังพรำพรมรินรดรวดร้าว
ให้รานร้าวเศร้าหมองอยู่ในห้องหับหัวใจ
อย่างยากที่จะกระซิบบอกใคร



ภัยแล้ง...ภัยแล้ง 
ที่สวรรค์มิได้แกล้ง
พระพรหมมิได้สั่ง

หากทว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์นับพันล้าน
ผู้มิได้เกิดมามีชีวาชีวิตเพื่อสร้างสรรค์
หากเกิดมาเพียงเพื่อทำลายทำลายและทำลายระบบนิเวศน์

อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างผลาญพร่าบ่าโหมรานรุก
ให้เร่าร้อนไปทุกหย่อมหญ้า..ทั้งหล้าโลกทุกธุลี



สาวนา...
นั้นมาตรแม้นเกิดมา..
เป็นเพียงหญิงชาวป่าชาวไร่ชาวไพร
หากหัวใจดวงทอง
ก็แสนรักดินรักน้ำรักป่ารักธรรม ธรรมชาติ



และ
แสนจะเข้าใจวิถีไพร วิถีใจ
ที่ควรจะรู้อยู่..
รู้คิดรู้ค่า
รู้ว่าคนเรา
เกิดมาเพื่อพึ่งพาพิงพึ่ง

มิใช่มิเกรงกริ่งมหันตภัย
หาญกล้าจะเอาชนะความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ
จนได้ให้บทเรียนพิโรธโกรธเกรี้ยวสอนสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มนุษย์ก็ยังหาได้หลาบจำไม่..



ยังคงคิดว่า
โลกศิวิไลซ์ไฮเทคโนโลยี่
*คือเป้าหมายชีวีชีวิตที่สุดยอดแล้ว*ละกระมัง..
ช่างแสนน่าเศร้าโศกสะเทือนใจเสียนี่กระไร



มาวันนี้...
สาวนาอยากถามนัก 
ด้วยฤดีที่เหน็บหนาวร้าวรวดดวงใจเป็นยิ่งนัก
ไปกับความแล้งไร้รายรอบ
กอปรกับนวลเนื้อใจมนุษย์
ที่สุดแล้งไร้ราวทะเลทรายแห้งผากพอกัน



ว่า...
หากโลกกำลังเข้าขั้นวิกฤต
ชีวิตมวลมนุษย์ 
ยังมิหยุดคิดทำลายกันและกัน

แถม
ยังหันไปห้ำหั่นทำลายธรรม ธรรมชาติ 
วัฏฏแห่งดินน้ำสะอาด...ป่าดงพงไพรจนไม่เหลืออะไรแล้ว
เราจะเจริญศิวิไลซ์ไปทำไมกันเล่า ...นะเจ้ายอดดวงใจ



ให้โลกสิ้นเงียบงันว่างเปล่า
พบแต่ความเหงาวิปโยคโศกครวญจากภัยพิบัติ

แผ่นดินไหว
พายุพัดถล่มให้น้ำทะเลห่มหล้า
กวาดล้างมิเหลือหลอ
รอวันตายไปถ้วนหน้าทั่วหล้าเท่าเทียม
ไม่ว่ายากดีมีจน คนในโลกนี้
ที่จะพากันตายสลายหายวับลับไปในพริบตา...ราวฝัน..ดั่งฝัน



ให้ฟ้าดินอินทร์พรหมสวรรค์
ต้องพากันหลั่งน้ำตาสังเวย
กับสมองไร้ค่า
หาคิดเป็นกันไม่..

โอ้ดวงใจมนุษย์มนามากหน้าทั่วหล้า
ที่ยากหยั่งถึง
ยากฝังความสำนึกลึกซึ้งลึกล้ำตอกย้ำตราตรึง
ให้คะนึงถึงสัจจะธรรม ..

ให้มีหัวใจดวงทองใสล้ำพิไลพิลาส
รู้รักธรรมชาติเลอค่า
ที่ฟ้าดินได้อุตส่าห์โปรดประทานพรให้มา
อย่างน่าจะชื่นชมโสมนัสยินดีปรีเปรมย์เป็นที่สุดแล้ว..



อย่าหลงละเมอ
ใช้ชีวาชีวิตไปในทิศทางประมาท
ให้
ป่าเขาลำเนาไพร
ห้วยละหารธารน้ำใสระริน
สัตว์ป่าหายสาบสูญสิ้นแสนพูนเทวษอาดูร..



ดาวดวงคงร่ำไห้
สายหมอกคงร่ายโศลกพลี
ให้ทุกดวงวิญญาญ์ในกาแลกซี่ได้เหน็บหนาว...
ไร้ที่สถิตใดไปตราบชั่วนิจนิรันดร.....



คิดคิดไปแสนเปลี่ยวเปล่าใจเป็นยิ่งนัก
ในใจดวงดีดวงภักดีพลีดินดวงนี้
ที่...
รักผืนป่า
รักเพาะปลูกพืชพรรณ
รักสายน้ำนิรันดร์
รักกระท่อมไพร 



หัวใจดวงที่คิดดีคิดได้
รู้ค่าความพอดีพอเพียง
ไม่เบียดเบียนโลกให้พบวิปโยคเร็วไป
สอนให้หัวใจเพียรรักพักอิงพิงพัก
ในเงื้อมเงางาม
อย่างผู้ซึ้งค่า 



ว่าเราทุกดวงใจทุกร่างมนุษย์นั้น...ก็แค่ธุลีหล้า
แค่เกิดมายังประโยชน์ให้โลก
และ
รู้คืนกลับให้ผองชน
มาเพียงใช้กมลละไมหอมกรุ่นละมุน
มองโลกหมุนสวยใส



มารักธรรม..ธรรมชาติมาตามรอยบาทพระศาสดา
มารักยอดพระรัตนตรัย
มารักษ์ดำรงสวยใสให้คงงามไว้ให้นานเท่านาน
ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์เป็นนิรันดรรัก
ได้พักพิงใจไปด้วยกัน



และ
เผื่อหัวใจได้มาสร้างสรรฝันดีฝันพลี
ไว้ให้ผู้มาทีหลังได้มาเสพสุนทรีย์ 
ที่ดีไม่ดีก็คือเราเองนั่นแหละ
ที่อาจต้องคืนหลังกลับมา
ว่ายวงวนวิบากรรม
น้อมนำมาอีกชาติและอีกชาติ..ใช่ใคร..เสียที่ไหนเล่าทุกทุกข์เจ้าจอมใจ
........



สาวนา..คิดไกล
ด้วยดวงใจบอบช้ำ
ไปกับลมคิมหันต์พัดใบไม้แห้ง
ที่กำลังลิ่วลอยควะคว้างถลาขึ้นกลางฟ้า
ให้เหงาใจเหว่ว้าอย่างสุดทน



สาวนา...
คิดถึงลำธารที่เคยหวานใส
หอมอวลระคน
ด้วยกลิ่นดงดอกไม้ป่าดอกข่าไพร
ดอกกล้วยไม้ในดวงใจหลากสีสันที่พากันขึ้นตามคาคบ


เห็ดที่รอหยาดวสันต์พรมพร่างใส่ดินสีบานเย็น
ให้แทงงอกออกมา
เพื่อเป็นอาหารชาวป่าชาวนาชาวไพร
ให้เอร็ดอร่อยไปตามวิถีชนบท
ที่แสนสดชื่นรื่นรมย์ในทุกโมงยาม แห่งงามไร้เงิน..


ให้ชีวิตได้ดำเนินดำรงไป 
ไร้ศิวิไลซ์หนี้...ลีลาเมืองวัตถุ..
ที่ทุกผู้คนแม้นทารกน้อยในครรถ์มิทันได้เติบใหญ่
พอเกิดมาพลัน
แค่ได้ร้องอุแว้หายใจในวันแรกนาทีแรก
ก็จำต้องรับกงกรรมกงเกวียนเวียนหนี้สินจากบุพการี



ที่ดีไม่ดีบางที
เวียนว่ายยังอยู่ในระบบเงินผ่อน 
อ่อนล้าแรงพ่วงไปอีกสักยี่สิบปี
เพื่อชีวีจะมีบ้านสักหลังรถสักคัน
ฝันตามๆกันไปตามโลกย์

แบบอยู่ไปวันวันตามวัฎฎเมืองเรืองรุ่งกรุงกรง
หลงทางห่างไกลคำว่าไพรพงเข้าไปทุกทีๆ..
ซึ่งเป็นวิถีเพื่อความอยู่รอดแบบสังคมอุตส่าห์หากรรม..



สาวนา...
คนหัวใจรักไพรพงชนบทท้องนาป่าเขาลำเนาไพร
จึงไม่เข้าใจยากเข้าใจยากทำใจ

ว่าระบบเมืองระบบสังคมในทุกวันนี้
ที่พลีสร้างบ้านแปลงเมืองกันให้เรืองรุ่ง
เพียงพุ่งทัศนคติลงเหวพากันทำลายเปลือกโลก
ให้ยุบยู่อยู่ทุกวี่วันทำไมกันเล่า..



ฤาว่า..เรายังคงไม่เข้าใจ 
ว่าชีวิตที่แท้จริงเกิดมาเพื่ออะไร 
ทำไมหมุนไปในทิศทางทำลาย
ทั้งๆที่รู้ว่า
*หายนะ*กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกทีๆแล้ว



สาวนา..
เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ในวันนี้
ถึงที่มาแห่งภัยแล้ง
ที่คนเมืองลวงเมืองหลวงเอง
จะแสร้งทำไม่รู้ไม่ห่วงคงไม่ได้อีกเช่นเฉกเดียวกัน



เพราะ
มิช้านาน
หากยังตะบี้ตะบันพากันใช้น้ำสะอาดอย่างไม่บันยะบันยัง
เมืองทั้งเมืองจะเกิดวิกฤตน้ำภายในสิบปีนี้
ไม่นานเกินรอ
ขอเพียงอย่าเพิ่งลาตายไปเสียก่อนแล้วกัน
คงพอทันได้เห็นอย่างแน่นอน



หากทุกดวงใจไทยไท
ยังไม่ไหว..
ไม่มีจิตสำนึก..ช่วยกันรณรงค์หาทางออกไว้
ก่อนวันจะสายเกิน..
อย่ามัวเพลินใช้น้ำกันโครมๆ
ทุกโรงแรม ร้านอาบอบนวด 
และทุกครัวเรือน
รัฐบาล
ต้องมีมาตรการแก้ไขให้ทัน
มิฉะนั้น มิใช่เพียงชาวไร่ชาวนา
หากทุกลีลาชีวิตจะไร้สุข..ทุกข์ใหญ่หลวงตามมาเลยทีเดียว..เชียว



หัวใจสาวนา.
เลยพาให้คิดถึง..น้ำพระทัยมากเมตตาบารมี
ที่มีโครงการหลวง*ทำฝนเทียม*
ผ่านเลยล่วง
มาช่วยชีวิตคนไทยชาวนาไทยไว้ราวห้าสิบปีแล้ว
นะทุกเจ้าแก้วจอมใจ 
*ฝนที่หยาดรินรดรวงข้าวราวรวงเพชร
จากหยดน้ำค้างกลางพระราชหฤทัยที่ทรงพร่างริน
จากองค์พระประมุขไทย
จอมราชันย์ขวัญหล้าแห่งทุกดวงใจผองชน..



ที่...
ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล
และทรงความอัจฉริยะ
ด้วยคุณลักษณะนักวิทยาสาสตร์
หลังจากทรงสังเกตวิเคราะห์ข้อมูล
และ
หลังจากได้เสด็จพระราชดำเนิน
เพื่อทรงเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ย่านบริเวณเทือกเขาภูพาน แล้วทรงสังเกตว่า
มีปริมาณเมฆมาก
ปกคลุมเหนือพื้นที่ระหว่างเส้นทางบิน 
แต่ไม่สามารถรวมตัวจนเกิดเป็นฝนตกได้
...............



และ..ณ..วันนี้
ที่สาวนาได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ
*ฝนหลวง* หรือ*ฝนเทียม*ว่า



***ได้แก้ปัญหาให้กับเกษตรกรที่เผชิญภัยแล้ง
เพิ่มปริมาณน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ
แก้ปัญหาน้ำขาดแคลนเพื่อการอุปโภคบริโภค
แก้ปัญหาเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่ตื้นเขิน
เพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า
นอกจากนี้
ยังช่วยบรรเทาภาวะแวดล้อมเป็นพิษอันเกิดจากการระบายน้ำเสีย
และขยะมูลฝอยลงสู่แหล่งน้ำ ช่วยให้มลพิษเจือจาง***
และ..



ทั้งสิ้นทั้งหมดนี้..
คือ..
หยาดน้ำทิพย์มาประโลมหล้าประโลมใจจากฟากฟ้า
ที่ทรงหยาดน้ำพระทัยมากล้นเปี่ยมท้นพระมหากรุณา
แห่งพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย...
อีกครา...
เพื่อทรงดับทุกข์
ที่จะหลั่งสายปรายโปรยลงทั่วหล้า
จนกว่าทั่วฟ้าไทยไทและปวงประชาจะสิ้นทุกข์.....


รู้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
และหันมาสร้างจิตสำนึก
ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

รู้รักษ์ป่า
รักน้ำ
รักธรรมชาติ..ให้ดำรง
เพื่อยังคงเป็นมรดกให้ลูกหลานไทย
ได้ชื่นฉ่ำใจ
ได้พบแผ่นดินไทยแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
ได้มาครองกมลแสนดีแสนงาม
เพื่อรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไปตราบชั่วฟ้าดิน..สลาย!

***************




http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6197
สายฝน   
เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key C  
เมื่อลมฝน บนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้ว ลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอน รากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่าน บันดาลให้ฝนหลั่ง
เพื่อประทัง ชีวิตมิทราม
น้ำทิพย์สาด
เป็นสาย พรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคาม ชื่นธารา

สาดเป็นสาย
พรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้ง อร่ามตา
รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา
ยาม เมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วย อำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำ ดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่ง ลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพันธุ์ไม้ ชื่นยืนยง...

********************
 


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป
หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ
สวยงามสดใส จริงเอย
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ

ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ...




				
15 มีนาคม 2548 01:59 น.

รวงรอฝน!

สาวบ้านนา


คืนนี้จันทร์เสี้ยวเกี่ยวกิ่งฟ้า
อีกคราแล้ว

สาวนาแหงนเงยดูฟ้า...
แล้วหยาดน้ำตาใสใสก็ค่อยๆไหลออกจากตา
หยาดมาจากความซึมซึ้ง
ด้วยลึกล้ำถึงก้นบึ้งแห่งความรักในดินนา

ฟ้าเดือนสาม
แม้นแสนจะอ้างว้างว่างใจสักเพียงใด
ด้วยวสันต์ลามานานแสนนานแล้ว


ให้ใจดวงน้อยน้อยรานร้าว
ราวรวงเฝ้าหลงคอยเคียวมาเกี่ยวเก็บ

หากไยเล่าใจสาวนา
กลับไม่เคยน้อยใจในฤดูกาลฤดีระกำ
ที่อ้ายเคยทำและไม่ยอมกลับมาพรำพรม
จนคนและนาน้อยคอยจนแห้งผาก..พอกัน



โอ้..อินทร์พรหมยมพญา
ชะตาชีวิต
ไยลิขิตให้สาวนา
ดั่งเกิดมาคู่กันกับน้ำตา
กับนากว้าง
กับรวงเรียวลอมฟาง
กับบึงบัวสล้าง
กับอ้างว้างฟากฟ้าแสนไกล
กับสายธาราใสฉ่ำเย็น
กับเดือนเด่นกลางฟ้า
กับความเหว่ว้าเงียบงันฝันไกลไม่เหมือนใคร
กับหัวใจใสดวงทองดวงผ่องผุดของสาวนา
กับวสันต์ลีลา
กับเวทีฟ้าเล่นแสงสี
ในยามเช้าแสนงามตระการ


กับยาม
ที่ใบไม้สีน้ำตาลผลัดใบสีทอง
ค่อยๆ...
ลอยละล่องปลิดปลิว
รำฟ้อนอ้อนสายลมในยามเย็นอย่างเงียบงัน

ให้ราวป่าเต็มไปด้วยสีสันสลับสล้างสะพร่าง
สะท้อนรับกับสายแสงตะวันลา
กับฟ้าเจือแสงสีแสนสวยเป็นยิ่งนัก


กับดวงดอกลั่นทม
งามหอมระทมทับระทวยใจไปทั่วทั้งแนวไพร

กับเสียงดุเหว่าไพร
เรไรกบเขียดจิ้งหรีดกรีดก้องร่ำร้องระงม
ผสานผสมพริ้งพราวราวเทพบรรเลงเพลงไพร
ให้หนาวใจหนาวกายอย่างที่สุด

คืนนี้..
เดือนมืด
สาวนาคิดถึงลูกควายตัวจ้อยตัวน้อยๆนิดๆมาก

คิดถึงดวงตาใสซื่อที่ดูแสนไร้เดียงสา
ที่แสนน่ารักน่าเมตตาเอ็นดู
ให้สาวนาเดินอ้อยสร้อยมาดู
ที่คอกของแม่ลูกคู่พันผูกใต้ชายตาไผ่ใบหนา



เห็น.
ลูกควายน้อยค่อยๆ
เอาจมูกถูไถไปมาบนใบหน้า
ของแม่ควายด้วยความรักใคร่ 
ยามเข้าไต้เข้าไฟ

นอนคลอเคล้ากันในคอก
หลังเสร็จงานนาหว่านดำ
ที่สุมไฟกันไว้มิให้เหลือบยุงริ้นไรไต่ตอม

สาวนา..
รู้สึกหัวใจแสนอ่อนโยนเป็นสุขนัก
แม้จะดายเดียวอ้างว้างร้างไร้ในทุกสิ่ง
ในนิยามแห่งความหรูหรา
มากมีมากมาย
มิอยากได้ครอบครองเป็นเจ้าของวัตถุแสนแพง



หากสาวนา
ขอแค่มีชีวิตอยู่
ดูโลกราวมีโชคนับแสน
ที่ได้เกิดมาสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้

ได้เกิดมาคลุกดินโคลนนาเลน
ได้มาเห็นโอนเอนตาลเดี่ยวริมทุ่ง
ได้มาใช้ชีวิตมิยุ่งเหยิงวุ่นวายสับสนยอกย้อน>



ได้มาเดินอรชรมีชีวิตชีวาในทุ่งกว้าง
ได้มารับรอยรักรอยร้างรอยเศร้าเฝ้ารอรออ้ายริมลอมฟาง
ท่ามกลางดาวสวยแสนสุกใส
กับกองไฟหอมควันฟืน
ได้ชื่นได้ฉ่ำกับรอยไถไม่มีวันแปร

ได้มีหัวใจดวงแท้แท้ราวดวงทองผ่องพิสุทธิ์ดิบดิน
ได้มาพานพบเพียรขุดทรัพย์ในดินในนา
ขึ้นมาพลีบูชาโลกและผองชน
ในนามแห่งกมลคนยากไร้
ใช้ร่างตากแดด
ใช้มือกร้านกำเคียวเกี่ยวข้าวมาอย่างหนักหนา
ยาวนานนัก
จนหยาดเหงื่อและทุกหยาดโลหิตรัก
ในร่างราวรวงร้อยคอยค้อมพวงคารวะพื้นพสุธา>



ให้สมกับที่เกิดมา
แม้จะมีหยาดน้ำตาในทุกข์รัก
หากยังแสนโชคดีนัก
ที่ได้ใช้หยาดน้ำตานั้น
ผันหลอมละลาย
กลายมารินรดพร่างพรมลงสู่ท้องนา
ดั่งสายธาราใจไม่สิ้นสุด
เพื่อหล่อเลี้ยงมวลมนุษยชาติมิให้อดตาย


สาวนา...
เลยยิ้มทั้งน้ำตาในราตรีนี้..ที่แสนมืดมิด
หากทว่าดวงใจสาวนา
ดวงน้อยนิดหาดายเดียวไม่ที่มีแต่น้ำตามาตราบชั่วชีวิต

เพราะหัวใจสาวนายอมอยู่อย่างผู้รู้ตน
อย่างผู้มีเนื้อกมลดวงงาม
ยอมหลั่งหยาดเหงื่อและหยดน้ำตานั้น
เพื่อพลีบูชาเทพีพสุธาชะโลมหล้าชะโลมดิน
ด้วยความรักภักดีมิรู้สิ้น
ในผืนดินธรรมแผ่นดินทองแผ่นดินไทยนี้..ไปตราบชั่วกาล..!

......................




ใจสาวนา..รออ้ายดั่งสายวสันต์..พร่างสู่ทุ่งขวัญแลทุ่งใจ...
............

มองฟ้าครามยามอ้ายลามาหลายฝน
ดอกน้ำตาหล่นปนดอกข้าวทั้งเช้าสาย
ดอกคิดถึงคลึงคลอทุยยามขี่กาย
ดอกพิสวาทวายตายทั้งเป็นมิเว้นวัน

ลมฤดูพัดฤดีกี่ปีล่วง
ทั้งบัวหลวงบัวผันสะพรั่งฝัน
รอคนดีพายเรือน้อยกลางแสงจันทร์
เก็บเกี่ยวขวัญให้ไออุนละมุนละไม

จะเดือนสามเดือนสี่ใครขี่ทุย
ให้เฝ้าลุยท้องนาฟ้าสวยใส
สู่กระท่อมทองกวาวมิหนาวใจ
หอมข้าวใหม่นาน้อยหุงคอยรอ

จะกี่แล้งกี่ร้อนหอมมิห่าง
มิอ้างว้างสู้ความจนมิเคยท้อ
แม้ความจนเต็มเกวียนก็เพียรพอ
สองแรงรอรินหยาดเหงื่อเพื่อผืนดิน

ดอกโสนบานไสวไม่สิ้นหวัง
ข้าวเหลือซังรอหว่านใหม่ไม่รู้สิ้น
ถึงรวดร้าวหนาวกระดูกปลูกไม่พอกิน
จะไม่สิ้นคิดขายนาน้อยคอยดวงใจ

ไร่สาวนาสาวไพรรับไถภักดิ์
จากน้ำรักน้ำเหงื่อหอมงามใส
จากกลิ่นโคลนกลิ่นควายกลิ่นชายไพร
รับหวามไหวให้ตกพรูสู่เนินทอง

ใบกระถินผลัดใบรอผลิกอใหม่
ริ้วลมไพรไล้ตะแบกหวานบานทั่วหนอง
ทั้งบัวตูมบัวบานรออ้ายเด็ดเคียงประคอง
ทุ่งรวงทองรอทุยมาลุยนา

ฝนหลงฤดูเพียงฤดีอ้ายอย่ากรายหลง
ท้องนาคงแนวเหลืองสุกปลั่งพรั่งพรรษา
ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในวิมานนา
หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน

ไกลแค่ฟ้าตามองไขว่ไปตามฝัน
เมื่อสวรรค์เยือนหล้าแสนหอมหวาน
ทุ่งรวงทองห้วยหนองคูนตระการ
ดุเหว่าไพรร้องเศร้าหวานขานถวิลสิ้นสนธยา

สาวบ้านนาถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว
แม้นเหน็บหนาวเพียงใดหลังสู้ฟ้า
หัวใจทองผ่องพิสุทธิ์พลีบูชา
เทพีพสุธามิสิ้รักภักดิ์เรียวรวง

ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง
ให้ลึกซึ้งจมแม่พระธรณีที่แหนหวง
เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง
เผื่อบวงสรวงแม่ขวัญข้าวคราวใครคืน

กี่วสันต์รอมาฟ้าเปลี่ยนสี
ชั่วชีวีมีชีวารักนาผืน
เจ้านกไพรโผบินไปไม่กลับคืน
สาวนายืนหยัดอยู่คู่นาใจ

กี่สายฝนสายฝันสวรรค์ลอย
สักกี่ร้อยตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว
จิตสำนึกใครจะอยู่จะตายไป
ใจสาวนาสาวไพรไม่ทิ้งกล้านาสุดท้าย!รออ้ายคืน!
......................





http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=202
เสียงดุเหว่าแว่ว   
ทูล ทองใจ : : Key Fm  

เสียงดุเหว่าแว่วมาเหมือนเตือนให้
สอง เรา ผวา จาก กัน
ค่อน คืน ตื่น ฝัน เราเกี่ยวแขนกัน
เที่ยวในแดนฟ้า พบวิมานเทวา 
ผ่านดาราน้อยใหญ่ปราสาทสีทองงามผ่องอำไพ
โอ้เพลินใจในแดนสวรรค์
กอดกัน กระซิบกระแซะกัน
ชวนชมนั่นดาว ระยิบระยับตา
เพลินอยู่จนเสียงดุเหว่าแว่วมา
เป็นสัญญาให้เราจากกัน
อิงแอบ แนบ ปลอบใจ 
เสียงสะอื้น ยังจำได้ ร่ำอยู่จนใกล้ สว่าง
ฟ้าสางแล้วเรา ต้องพรากจากกัน
เสียง ดุเหว่า แว่วร้อง อยู่
กระตู้วู้ เมื่อครู่ เลือน หาย 
แสนเสียดาย สุดจะหมาย กลับ คืน...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา