14 กันยายน 2548 19:59 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4721.html
(ข้าวคอยเคียว)
.................
ฝนพรำทั้งวันคืน
ให้หัวใจสาวนาเหว่ว้าเหลือดี
เพราะ..
สาวนาคนนี้...
มีกระท่อมไพรมุงหลังคาจาก
และ
แสนหนาวเยือกใจ
ยามเมื่อได้...
ฟังเสียงสายฝนหล่นลากระทบหลังคาทีไร
ให้ใจสาวหวิวหวิวหวั่นหวั่น
ราวขวัญหายอย่างไรก็ไม่รู้
สาวนา...
นอนดูสายฝนพร่างลงกลางใบบัว...บึงบัว
ที่กำลังชูช่อสีขาวพร่างพรึบพราวนวลไปทั้งสระไสว
จากกระท่อมไพรของสาวนา
ที่มีชานเรือนเปิดโล่ง
ให้นอนแลละลิบ
ไปถึงทิวทิพย์ทุ่งนาป่าเขา
ที่ทอยทอดซ้อนซ่อนสลับ
สูงเสียดฟ้าท้าเฆมฝนอยู่รำไรรำไร
กระท่อมไพร...
ที่สาวนา
ใช้ต้นไม้ใหญ่แบบไม่เหลากลมเป็นเสาบ้าน
ให้ฝันงามโดดเด่นเป็นสง่า
โชว์ลีลาความเป็นไม้ธรรมชาติ
ราวต้นไม้จริงมาให้พิงพัก
ไม้ฟากที่ปูพื้นกระท่อมก็แผ่นโต
เป็นเนื้อไม้ดิบเดิม
ไม่ทาสี...มีแต่ลวดลายไม้อันแสนงาม
ที่รู้ว่า...ผ่านกาลเวลาร้อนหนาวมายาวนาน
หลังคานั้น
สาวนามุงเลียนแบบบ้านชาวป่าอัฟริกา
และ...
มีชานแสนกว้างไว้โอบกอดบึงบัว
ให้ออกมายืนทอดทัศนายามฟ้าสลัวโพล้เพล้
และ...
ดูดาวเดือนเกลื่อนฟ้าไพรในยามค่ำ
ทุกอย่างสาวนาจำมาจากนิตยสารที่ผ่านตา
และ...
ฉลาดพอ
ที่จะนำมาดัดแปลงให้เป็นวิมานนาสำหรับสาวนา
ตามประสายาก
อย่างอ่างอาบน้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์
ที่จำลองแบบมาแล้วหล่อด้วยปูน
ราวกับอ่าง..จากุชชี่..ที่ได้ยินช่างแอบเรียก
ช่างงามกระจ่างหล้าน่านอนอาบนัก
เพราะ...
ได้นอนพักใจบ้าง
แม้บางทีอย่างไรอย่างไรก็ยังชอบอาบน้ำ
ในบึงบัวในโอ่ง
หาก...
ยามฟ้าโล่งอยากแลดาว
สาวนาจึงจะเลือกไปใช้บริการ
ให้ได้เฝ้านอนดู
มวลหมู่ดารารายพรายพราวกระพริบระยิบระยับ
มาหลิ่วตาล้อ
มาพ้อพร่างอิจฉาสาวนา
ที่อย่างไรๆ
ก็ยังอายผีสางเทวดามิกล้าเปลือย
มิกล้าอาบน้ำแบบเย้ยฟ้าท้าดิน
ยังมิสิ้นนวลใยแห่งอาย
ยังใช้ผ้าถุงให้วับแวมหวามไหวอยู่
สาวนา..
มีฝักบัวที่ทำจากลำรางไม้ไผ่
ที่แสนเก๋ไก๋และธรรมชาติดีจัง
และ...
ทุกสิ่งอัน
สาวนาก็จำมาทำเอาเองทั้งนั้น... ให้ฝันเป็นจริง
ด้วยทุกสิ่งจากธรรมดาชีวิตรายรอบ
พยายามมาประกอบกัน
ให้ชีวีชีวิตสาวนาสาวบ้านป่าบ้านไพร
ได้ไสวงาม ตามมีตามเกิด
หากที่แสนเลิศหรู โรแมนติก เสียยิ่งกว่าคฤหาสน์
ก็ตรงที่ฉลาดรู้อยู่ให้เป็น...
เน้นอิสราจากงามฟ้าดิน
มาแต่งแต้ม
มาแกล้มใจให้มิสิ้นไหวหวาม
ให้งามได้ด้วยความดิบเดิม
และ
สาวนาชอบใช้ม่านมุ้งฟูกนอนสีขาว
ที่ดูสะอาดตาสบายใจ
แสนสงบในท่าทีสมถะ
มีความเรียบง่ายแบบพอดีพอเพียง
และ
ในชีวาชีวิตสาวนา
ชอบนอนดูสายฝนหล่นลา
จากหลังคาจากยามพรากเม็ดหยดย้อย
ห้อยเป็นรวงรายพรายพริ้งทิ้งตัวลงมา
ดูราวหยาดน้ำค้างเพชรจากฟากฟ้ากว้าง
ช่างแสนสวยใสงามจับใจจับตานัก..
และ
ชอบนอนนิ่งแนบหน้านวล
แอบดู...
มวลภู่ผึ้งบินว่อนร่อนภิรมย์คลึงเคล้า
กลางกลีบเกสรอวลอรชร
ของมวลดวงดอกไม้รายรอบเรือนกระท่อม
ที่สาวนารักแสนรัก...
ได้พักใจ...
ไปกับ
สีแห่งเขียวไพลไสวรวงเรียวระย้าย้อย
ที่สุกห้อยเคลียไคล้ดิน
ที่แสนทำให้ใจสาวนารู้สึกชีวินแสนสงบสุข
และ
กับวิถีไพรวิถีนา..
ที่ไม่จำต้องพาร่าง
ให้เร่าร้อนรีบเร่งเคร่งเครียด
ได้สุขใจ
ไปกับความงามเงียบนิ่งงัน
กับการหาผักปลามาแค่ดำรงชีพชอบ
ได้ประกอบอาชีพสุจริต
เป็นสาวนา...
ที่ได้ปลูกข้าวทิพย์นิรมิตเลี้ยงท้อง...แด่ผองชนคนไทย
ไปทั้งผืนดินทอง แผ่นดินธรรมที่แสนงามล้ำนี้
และ...
กับชีวีที่ได้ฝึกสมาธิ
มีความสงบสงัด
มีวัดวาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางจิต
มิพาชีวิตหลงผิดทาง..ธรรมทางทอง
และ..
นี่คือชีวิตที่..สาวนาพอใจแล้ว
เพียงสิ่งดียว...ที่บางครั้งคราว
หัวใจสาวนาคนดียังมีเลือดเนื้อ
ยังเหลือความรัก
สาวนา...ก็อดคิดถึงอ้ายไม่ได้ในบางครั้งครา
ตามประสาปุถุชนคนธรรมดา
ทั้งๆที่อ้ายตัดใจลา
พรากสาวนาไปทำหน้าที่รักษาแผ่นดิน
แถวชายแดนโน่นแล้ว
สาวนา นอนคิดถึง...สงสารอ้าย
จะดีร้ายอย่างไรก็ไม่รู้
นับวัน..
จะได้ข่าวแต่คนนั้นตายคนนี้หายไป
แล้ว...
อ้ายยิ่งไปเป็นทหารรับใช้แผ่นดิน
จะให้สาวนาปิดตาปิดใจมิยลยินอะไรได้อย่างไร
สาวนายังมีหัวใจดวงนวลนะ
ถึงแม้นว่าจะเกิดมากับทุ่งนาป่าเขา
ที่มีวิถีชีวิตให้ทนอดทนเอาในทุกสิ่ง
และ..
ทนนิ่งถ่อมตนเงียบงามอย่างรู้รักพอเพียงสมถะ
แต่มาวันนี้ ..
ใจดวงดีสาวนาชักทนไม่ไหวแล้ว
กับปัญหาบ้านเมือง
ที่ฟังแล้วไม่ประเทืองประทับใจ
และ
แสนจะน่าห่วงใยเสียไม่มี
ทั้งภัยจากธรรมชาติ สึนามิจากไปไม่ทันไร
น้ำท่วมใหญ่ก็ตามมาหลายพื้นที่
ไหนจะผองภัยจากคนใจร้ายใจดำ
ที่คอยฆ่าฟันกันไปมา
ราวหนังจีนล้างแค้น ที่แสนจะน่าเวทนา
ที่หารู้ไม่ว่า..
ในที่สุด...
แผ่นดินที่ตัวเองเคยอาศัยข้าวสุกซุกหัวนอน
ก็ไม่มีจะอยู่ ....
แผ่นดินที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เรือกสวนผลไม้ไร่นา
มาพากันแล้งไร้ ..
ดั่งคล้ายตายดับไปกับความสิ้นคิด..
สาวนา..ไม่รู้ดอกว่าใครถูกผิด
เพราะ...ในชีวิต สาวนาคิดแค่ว่า
แผ่นดินไหนให้ร่มเงาอาศัยแด่เรา
แผ่นดินนั้น...
คือแผ่นดินแห่งกตัญญุตา
ที่จะรักษาไว้ด้วยหยาดเลือดสุดท้ายพลี
ที่ที่เรา..
จะได้ปิดเปลือกตา
พาร่างวางกลางพื้นพสุธาได้อย่างสมภาคภูมิใจ
ไม่เสียที
ที่ได้อาศัยข้าวน้ำให้ลูกหลานอิ่มท้อง
อยู่อย่างปรองดองสามัคคีสงบสุขมานานวัน
ทำไม...!
เราต้องมาผลาญพร่ากัน..ด้วยความไม่เข้าใจ
และ...
แบ่งแยกศาสนาใดศาสนาเขา
ในเมื่อทุกศาสนา...ก็สอนให้เราเป็นคนดี มีเมตตา
ฤาว่า...
สอนให้ฆ่ากัน....
อันนั้นคงมิใช่ศาสนาแล้ว
คงเป็นลัทธิของอมนุษย์ปีศาจ..
ที่ชอบความโหดร้ายทารุณ
ให้ตายๆกันไปไม่ได้ผุดเกิด
เพราะ..
มนุษย์ประเสริฐใครเขาจะทำกัน..
มีก็แต่..พวกมาจากโลกันตร์อเวจีนรกเพียงนั้น
ที่มิจิตดำสกปรก
คิดแต่เรื่องรกไร้
คล้ายเห็นความตาย!
และ
มรณะแห่งชีวีผู้อื่นเป็นผักปลา
ไม่สงสารเด็กไร้เดียงสา หญิงไร้สามี
ผู้ไม่มีทางสู้...ผู้บริสุทธิ์..
ต้องอยู่อย่างไร้ทิศทางหางเสือ
เมื่อมาขาดนาวานาวีแห่งชีวีชีวิต
คิดๆแล้วสาวนา
ก็ว่าแสนน่าสงสารจิตวิญญาณ
ผู้คนบนผืนโลกนี้...
ที่แสนหาเรื่องทุกข์เทวษมิรู้สิ้น
ขนาดดินฟ้ามาสอนสั่ง ก็ยังมิเคยสำนึก..
สาวนา..นึกนึกแล้ว
ต้องรีบใช้สติสมาธิมากำกับ กับวิบากกรรมนี้
ที่แสนที่จะทำให้โลกแห่งดวงใจผู้พิสุทธิ์
ต้องมาสะดุดโศกสะเทือน
ที่ทอดทับไปทุกหย่อมหญ้า
ไหนจะน้ำฟ้าลงโทษ
ไหนจะพิโรธจากพายุ
ไหนจะน้ำมันแพงแข่งกันให้คนบ้า..
หากไม่รู้ค่าการรู้รักความสมถะพอเพียง
สาวนา...
รักแสงตะเกียงมาตั้งนานแล้ว
และรู้ว่าอย่างไรๆ
จะมีไฟหรือไม่มี
สาวนาคนนี้ก็พอทำใจยอมรับได้
มิใช่...
เพราะจำใจ
หากเพราะ..ในดวงใจเคยชินมาแต่เด็ก
และ..
คนเราทุกวันนี้ คงต้องทำใจฝึกใจไว้
ให้รำลึกนึกกลัวว่า...
มิช้านาน
คงถึงกาลที่โลกนี้จะไร้สิ้นทรัพยากร...แล้ว
วันนี้...
สาวนามาบ่นเพ้อละเมอหาทุกข์ใจจัง
ทั้งๆที่...
สาวนาแสนรักสายฝน
กมลสาวนาแสนสุขใจ
ยามได้ยินเสียง
ไพรพงแมกไม้กรายกิ่งไกวไหวรับ
หยาดละออละอองของพระพิรุณร่ำ
หยาดน้ำตานางฟ้า ที่พลีมาฝากจากดวงใจ
ไม่ให้ชาวนา
ไร้ฝน ทุกข์ทนเพราะแล้งน้ำ
ขอเพียงอย่าให้มากไป ไม่อย่างนั้น
ก็พลันเศร้าไปอีกแบบ
เพราะ
รวงเรียวเขียวไสว
จักจมไปกับสายน้ำ..อย่างน่าเสียใจเป็นยิ่งนัก
วอนขอพระพิรุณได้รับรู้
อย่าให้อู่ข้าวพังทลาย
ให้แม่พระโพสพ
ต้องขวัญหายเลยนะหยาดสายธาราทอง
..........
และ..
ทุกคราที่ฝนมาฟ้าหม่น
ในกมลสาวนา...
จะจำได้...
ถึง..
คำอ้ายที่เคยให้คำมั่นกับสาวนาไว้ว่า...
จะพาสาวนาไปดู...
ความประหลาดของเมือง....*คำชะโนด*
หนึ่งในตำนานพญานาคราช
ดงชะโนด...
ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอบ้านดุง
พื้นที่ราว 20 ไร่
ซึ่งมีน้ำล้อมรอบคล้ายเกาะ
มีดงต้นปาล์มชนิดหนึ่ง
ลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวขึ้นอยู่
เรียกว่า..*ต้นชะโนด*
คนสมัยก่อนเรียกที่นี่ว่า....
*วังนาคินทรคำชะโนด*
เชื่อกันว่า..
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางดง
เป็นประตูไปสู่เมืองบาดาล
เป็นที่อยู่อาศัยของพญาสุทโธนาค
ที่แปลกคือ....
ในดงชะโนดมีน้ำน้ำซับน้ำซึมอยู่ตลอดเวลา
แต่กลับไม่มีน้ำท่วมเลย...
และ....
จะพาไปไหว้พระอจนะ
ที่เมืองสุโขทัย...
ที่สาวนาอ่านมาจากหนังสือที่ยืมมาจากหลวงพ่อที่วัด
ไปดูความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ
ที่มีเรื่องเล่าขานเป็นตำนาน
ที่สาวนาแสนจำจดไว้ด้วยความงดงาม
ด้วยความเชื่อศรัทธา
และ
มากล้นค่า ในดวงใจสาวนานี้
ที่คิดดี คิดได้ คิดให้ คิดรัก
คิดเพียง...
อยากเดินไปตามรอยพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ที่....
สาวนาเชื่อว่า
คือเส้นทางสว่างสะอาดสงบที่สุดแล้ว
พระอจนะ ที่วัดศรีชุม
หนึ่งในความพิศวงบนแดนดินมรดกโลก
และ..
แม้ลักษณะวิหารของวัดศรีชุม
จะเหลือเพียงองค์พระและผนังสี่ด้าน
แต่...
ความงดงาม
ก็ยังคงประจักษ์แก่สายตาคนรุ่นหลัง
องค์พระอจนะนั้นดูศักดิ์สิทธิ์เร้นลับ
หากดินผ่านช่องบันไดแคบๆไปยังผนังด้านข้าง
ที่...
ช่องหลีบนั้น
เมื่อเสียงใดถูกเปล่งออกมา
ผนวกกับความอลังการขององค์พระประธาน
คงเป็น..
ความอัศจรรย์หนึ่ง
ซึ่งสืบเนื่องถึงที่มาของความเชื่อว่า
*พระอจนะพูดได้*
และ...
สาวนาอยากไปดู..
ความงดงามแห่งเจดีย์ศิลปะสุโขทัยแท้
ที่อยู่ในวัดมหาธาตุ
ภายในอุทยานประวัติศาสตร์
ที่เคยมีเจดีย์มากมายได้สำรวจพบถึง200องค์
ไหนจะโบราณสถานโบราณวัตถุอีกตั้ง215แห่ง
ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
แล้ว..
ยังมีวัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว
และ
วัดนางพญา
ไหนจะ..
มีเครื่องทองโบราณ ที่เมืองศรีสัชนาลัย
ที่มี..
เทคนิคสีสันการลงยาแปลกตากว่าที่อื่น
เช่นสีแดงสีเขียวและสีน้ำเงิน
และ..
ยังมีเครื่องประดับที่งดงามแบบทองโบราณ
ที่แสนตระการตาตระการใจ
ที่ชาตินี้ สาวนา คงไม่มีวาสนาได้ใส่
แต่ก็ยังดีแค่ได้ดูได้รู้ซึ้งค่า
หาได้ปรารถนายึดติดไม่
แต่อ้ายนั่นแหละสัญญา..
ไม่รู้กี่หน้าฝนแล้ว
ว่า...
ปีไหนฝนฟ้าดี ข้าวมีล้นฉาง
จะแบ่งเงินให้สาวนาซื้อทองใส่
สาวนาดีใจ ...
มิใช่ตรงจะได้ทอง
หากทุกสิ่งที่มาจากใจอ้ายของสาวนา
สาวนาซึ้งค่าทั้งนั้นแหละ
เพราะ...
คือความทรงจำความรัก
ไม่ว่า...สร้อยฤากำไลแห่งรักแห่งภักดิ์นั้น
จักจะเป็นเงินหรือเป็นเชือกถักธรรมดาๆ
เพราะ..
สำหรับสาวนามันมากล้นคุณค่าทางใจ
ว่า..
อ้ายยังมีเยื่อไย
ยังมีน้ำใจรักคิดถึงสาวนา
นั่นคงมีค่าเกินกว่าจะประเมินประมาณได้ละกระมัง..!
สาวนา...
นอนหนาว...ดูฝนพรำ
พร้อมกับ..
ได้ยินเสียงอึ่งอ่างกบเขียดร้องกันลั่นบึง
สาวนา...
แสนสงสารเจ้าลูกควายสายน้ำ
ที่ณ..บัดนี้เริ่มเป็นหนุ่มใหญ่วัยกำดัด
หากทว่า..
ยังไม่มีคู่จัดแต่งให้
จะได้ผลิตพลเมืองควายน้อยๆมาห้อยหน้าตามหลัง
ทั้งแม่ควายทั้งสาวนา...พาให้นึกเอ็นดู
สาวนา..
นอนดูสายฝน
แล้วทนไม่ไหว...
เลยคว้าไม้กวาดไม้ไผ่ออกไปกวาด
ดวงดอกแก้วที่พร่างหล่นจนเต็มพื้นลาน
สาวนาดีใจ
ที่เห็นลั่นทมสราญดอก..ในหยาดน้ำฝน
และนั่น..
พรายพร่างพรมด้วยดวงดอก โมก มะลิ พุดซ้อน
ไหนจะยังบานชื่นอวด อรชรอ้อนหวานบานแฉ่ง
แย่งกันเริงรื่นชื่นฉ่ำใจไปกับสายวสันต์พร่างงาม
ดวงใจสาวนา...
จึงพร่างสด..ด้วยบทเพลงแห่งฝนฝันปันใจ
ให้แสนไหวหวาม ในยามนี้
ที่สาวนาคนดี...ยอมพลีร่างให้
รับหนาวดายเดียวได้ลำพัง ...
อย่างมิสิ้นหวังรอหวาน
ราว...
กลีบดอกไม้คลี่บาน
รอเพียงหยาดน้ำผึ้งรักจากอ้ายในวันที่กลับมา
และ...
ไม่ว่าจะ...
กี่ทิวาราตรี...กี่ฝนหนาว..กี่เศร้าฝัน
ใจสาวนาก็ยังซื่อสัตย์มั่นคง...
ยังคงรำลึก..นึกถึงบึงบัว
ยามฟ้าสลัวเข้าไต้เข้าไฟในอ้อมอกอ้าย
ที่อ้ายเคยพิร่ำพิไรรำพันว่า...
แม้นบัวนับหมื่นนับพัน...ไหนเลยจะงามสล้าง
เท่าบัวงามดอกหวาน..ของสาวนา
และ...
กับฟ้าครวญฝนคราง
กับ..
เสียงพร่างพรมเปาะแปะๆ
ของสายฝนยามหล่นร่วงลงบนหลังคาจาก
ในยามยาก...
ที่สาวนา..
ให้อ้ายนอนเอนอิงในอ้อมตักในกระท่อมไพร
และ...
ในท่ามแสงตะเกียงระริกระริกริบหรี่ไหว
กับ..
ใจและร่างราวหลอมละลาย
ไหวสะท้อนสะท้านสะทือนเลื่อนลอยราว
ตกในหอมห้วงแห่งสวรรค์สรวง..
จนดุเหว่าแว่วแผ่วมาในยามฟ้าสาง
กับ..
ร่างนวลสล้างของสาวนาในม่านมุ้ง
ที่อ้ายบอก..
สุดแสนซึ้งยามสาวนาหนุนนอนซบไหล่
ได้อยู่ในอ้อมใจกันและกัน
แล้วนิทราฝันดี..เมื่อพลีสิ้นรักแล้ว.....
ราตรีฝนราตรีฝัน...
สำหรับสาวนา
ในวันนี้...
ไม่มีร่างอ้าย
สาวนาได้แต่
ถวายมาลัยบัวบูชา
สวดมนต์ภาวนาวอนไหว้
หน้าพระพักตร์พระพุทธ
ให้ทุกฝ่ายหยุดเข่นฆ่ากัน
ให้อ้ายพลันได้คืนหลังกลับบ้าน
กลับมาสู่อ้อมตักแสนหวานของสาวนา
แต่ถึงไม่มีอ้าย..ในวันนี้
แค่หลับตาพลีฝันฝันฝัน
คำหวานคำมั่นสัญญา
ก็จักมาปรากฎพร่างแก่ดวงจิต..
เป็นสถิตรักนิรันดร์ไปตราบชั่วกาล......!!!!!
************************************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4721.html
ข้าวคอยเคียว ผ่องศรี วรนุช
ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา
พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย
คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย
ปีเคลื่อนเดือนคล้อย
รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล
อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย.
31 สิงหาคม 2548 08:20 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html(แสนแสบ)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song203.html(แสบทรวง)
เช้าใหม่อีกคราแล้ว
สาวนายังนอนหนาวกับสายฝนพร่างลำพัง
ในกระท่อมไพร
ที่ได้ยินเสียงฝนครางฟ้าครวญทีไร
ใจสาวนาก็แสนเงียบงามสงบสุขเสียเหลือเกิน
และ....ระยะนี้
สาวนาฝันซ้ำๆ
ถึงทะเลสาบสีเงินอันแสนเงียบเรียบเย็นบ่อยครั้ง
ราวกับพลังจิตสาวนา รอท่าจะไปสัมผัสสายน้ำใส
แล้วแหวกว่ายอย่างสบายอกสบายใจ
ในท่ามกลางความร้างไร้ ที่สาวนาโหยหามาตลอดชีวิต
และ...
หากเนรมิตรได้ดั่งฝัน
สาวนาอยากให้ผู้คนบนผืนโลกนี้นั้น
อยู่กันแบบพึ่งพาพึ่งพิงอิงธรรมชาติสวย
อยู่แบบไม่เดียดฉันท์กันและกัน
และ..
ยังคงใช้วิถีชีวิตเรียบง่ายสงบงามแบบโบราณๆ
ที่รู้สึกไม่เหน็ดเหนื่อยมากมาย
กับการวิ่งตามกระแสโลกย์
ที่ดิ้นรนเติมโศกมากกว่าสุขจากทุกทุกข์วัตถุ
จนใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมิบันยะบันยัง
จนโลกใกล้จะพังใกล้จะล่มสลายแล้ว
ทั้งป่าหมด น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยจากคลื่นยักษ์
ทั้งน้ำจืด น้ำมัน ที่ณ..วันนี้ใกล้จะถึงเวลาหมดบ่อ
รอเวลาแห้งเหือดแล้ว
ชีวิตสาวนา
ผู้เกิดมากับแสงตะเกียงกับแสงเทียน วัวควายไร่นา
คงไม่ทุกข์ท้อเพราะพอปรับตัวได้
แต่..
น่าห่วงใยหนุ่มสาวไทยรุ่นใหม่
ที่จักทำใจ...ละความสบายได้ละหรือ
เมื่อชีวิตเกิดมาแล้วหลงยึดถือความสะดวกสบาย
ไม่เคยได้สัมผัสกับความยากลำบาก
ในวิถีนาไร่ ใช้ชีวิตติดดินแบบพอเพียงเพียงพอ
ที่เงินทองแทบไม่จำเป็นต้องมี
ขอมีเพียงแผ่นดิน...ที่ทำกินจากทรัพย์แสนอุดม
ที่จะพลิกฟื้นให้มิตรอมตรมเลี้ยงชีวินได้ตราบวันตาย
หากตราบใดยังมีแรงกายแรงใจที่จะไม่ยอมแพ้...
และ...
ที่แสนดีคือได้ชิดใกล้ใช้ชีวีกับธรรมชาติอันแสนสะอาดสงบ
ได้พบกับอากาศบริสุทธิ์ใส
ฟ้าที่ไร้เมฆหมอกมลพิษใดใด
มิปลิดชีวิตให้ตายแบบผ่อนส่ง
ยังคงมีอาหาร..พืชผักสวนครัว ผักริมรั้วไม้ไผ่
ที่ปลูกเอง ไร้สารเคมีตกค้าง
มีไม้สล้างใช้เป็นค้าง
ให้ผักได้เลื้อยพันไต่ตามทอดยอดแห่งความฝันชูไสว
ใบเขียวอวบงาม
อย่างตำลึงริมรั้ว ฤาค้างถั่วฟักยาว เถาน้ำเต้าแตงไทย
มีสระใหญ่กว้างไว้เลี้ยงปลา
พร้อมปลูกบัวสะพรั่งไว้กรายกลิ่นเกสรอันแสนจรุงใจ
มีเรือนไทยหลังเล็กในพุ่มไผ่
ไหวรับระบัดแดดลมพรมพร่างให้เสียงซู่ซ่า ซัดส่าย
คล้ายเสียงดนตรีธรรมชาติ
มีสายน้ำลำคลองเล็กๆใสสะอาดไหลพาดผ่าน
มีเรือมาดไว้รอพายพาไปตามคุ้งโค้งแลโล่งละลิบ เพื่อไปเก็บสายบัว
ไปนอนดูฟ้าสลัวยามย่ำค่ำ
ที่แสนงามล้ำมลังเมลือง
ด้วยแสงสีจรัสแจรงราวรุ้งแรงแฉกพราย
ไปฟังสายน้ำไหลระรินๆมิสิ้นสาย
ดูมวลหมู่ภมรร่ายระบำเริงร่า
ดูฟ้ายามโพล้เพล้
ฟังเสียงเห่กล่อมจากเรไรร่ำจิ้งหรีดร้อง
จั๊กจั่นประลองเสียงกันระงม
รอน้ำค้างพรายพรม ให้หนาวใจ...หากทำไมแสนสุขล้ำดำดื่ม
ดูหิ่งห้อยนับร้อยพันพริบพราว
ราวดาวดวงดาระดาด
ที่นัดกันมาประดับหล้าจากฟากฟ้าแสนไกล
ฟังเสียงสายธาราทองไหลล่องปองรักริมฝั่ง ฝัน
กระซิบพร่ำรำพันรัก
ดูฝูงปลากระโดดโผงทั้งลำประโดงฮับเหยื่อ
เหนือโพงพางกลางท้องน้ำทุ่งลานเท
ดูเหว่ว้าของดอกผักบุ้งม่วงละมุนริมคลอง
ที่แสนหวานละไมนะภายในจิตวิญญาณ
ดูพระพายเรือช้าช้ามารอรับบิณฑบาตร
จากท่าน้ำในยามอรุณรุ่ง
ที่ทั้งโค้งคุ้งน้ำยังเคลียไคล้
ด้วยสายหมอกหยอกสายน้ำปลุกให้ตื่น
มาฉ่ำชื่นระรื่นระริน
ดูควันไฟลอยอ้อยอิ่งอวลเหนือยอดไม้ ใกล้ชายคากระท่อม
ดูละอองหยาดน้ำค้างกลางใบบัว
ที่ราวเพชรกลมกลิ้งกรายกลับวะวับแวม
ดูวะวาววับของสายแสงพระอาทิตย์
ยามทอดจับเรียวรวงสีทองผ่องพราย
คล้ายดั่งรวงเพชรเกล็ดแก้ว...ผ่องพรรณ
ดูใบตองในร่องสวนราวสไบนางฟ้า น่าฝัน
แล้ว
ตัดมารองข้าวในขันขาวหอม..โรยด้วยดวงดอกมะลิพราวนวล
ชวนกันไปใส่บาตร...
หวังอธิษฐานจิตให้มีชีวาชีวิตสว่างสงบพบทางแห่งพระนิพพาน
อันคือความว่าง ความงาม ความดีที่พลีพอดั่งรอสุขนิรันดร์...
........................
และ
ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น
คือ...ทุกสิ่งอัน
ที่สาวนา..กำลังวาดวงให้ทุกดวงชีวี
หันมามีชีวีรักความเรียบง่าย
รู้ใช้ชีวิตติดดิน ที่สาวนานี้กำลังถวิลจะทำ..*เรือนสเตย์*
ให้...
ผู้คนที่รักความดายเดียวเหว่ว้า
รักความงามง่าย ได้มาชิดใกล้ในวิถี
ในไม่ช้านานนี้ ที่ฝันคงเป็นจริง
เรือน...ที่จะมีกลิ่นควันไฟจากฟืนใหม่ปะทุ
มีกลิ่น..ข้าวหอมๆมาปลุกในยามเช้า
มีสายลมหนาวพัดพร่างนวลละอองเกสรดอกไม้ไทยรายรอบ
มาพร่างพรม ให้อวลอารมณ์เอิบงามในทุกอรุณแจ่ม
เรือนที่จะมีลีลาวดีมาแต้มลีลา
มาโอบกอดปรารถนาปลอบประโลมริมหมอน
ให้ดวงใจทุกดวงอรชรอันแสนอ่อนไหว
ได้รับอ่อนหวาน
ปานประหนึ่งมีเรียวรุ้งมาประดับรับงามในทุกยามลืมตาตื่น
อย่างชื่นฉ่ำใจ..อย่างหาใดจะเทียมทาน
มีบัวผันบัวเผื่อนบัวหลากสีตระการ...มาชูช่อพ้อในคลอคลองตา
ยามค่อยๆลืมตาผ่านม่านหน้าต่างลายลูกไม้ลายนกยูงรำแพน
มีเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ให้สะเทือนมุ้งสะท้อนใจมิให้สิ้นไร้ไฟฝัน...
ที่จะปันพลี...สิ่งแสนดีแสนงาม...
ฝากประดับหล้าพสุธาทองพสุธาธรรม
มีมาลัยมะลิลา มาวางไว้ในพานทอง
ทุกเช้าค่ำหน้าพระพักตร์พุทธ
ให้จุดเทียนทองไสวพลีบูชาสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น
มีหมอนขวานให้นอนนิ่งราวหญิงโบราณ
หวานด้วยดวงใจอิ่มงามเอิบงามในท่ามดงลำดวน
ริมชานเรือนไว้ทอดทัศนาดูฟ้าพริบพราว
ด้วยดาวเดือนในราตรีนับพันสุกพร่างสว่างไสว...ใกล้แสนใกล้
มีเถาไม้เลื้อยรสสุคนธ์ คละปนสายน้ำผึ้ง ตรึงตรา
มาพาพร่างกลิ่นให้มิสิ้นรสสิ้นรัก
ได้ทายทักได้พักพิงใจ..ไปตราบนาน....
และ...
ทั้งหมดนี่...
คือความงามงด
ที่เราเนรมิตร..มารินรดหยาดหวาน
ให้ตระการใจในแวดวงฝันให้เป็นดั่งสวรรค์จริงได้..สวรรค์บนดินได้
หากทุกดวงใจยังถวิลมิวาย..อยากชิดใกล้
ได้อาศัยฝากกายใจ...ไว้ภายใต้เงื้อมเงาแห่งอดีต
ที่
มีเพียงเราคนรุ่นใหม่....จักสืบทอดไป
หากยังมีหัวใจ...ยังรัก...ยังเข้าใจ...ในวิถีไพร..วิถีไทย..วิถีธรรม...วิถีทอง
อันคือครรลองแห่งความงามเย็นเป็นนิรันดร์...
ในหอมห้วงแห่งดวงใจ
มิสิ้นฝัน ฝันฝัน..ตราบใดที่ยังมีอุทัยโลกหมุน..!!!
******************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ ...ชรินทร์ นันทนาคร
อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ
เจ็บจำดังหนามยอกแปลบ แปลบ
แสบแสนจะทน
โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน
อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน
ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง
อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ฝั่ง ยังร้องสั่งกัน
สิ้นเดือนสิบสอง น้ำนองแห้งคลองขอดพลัน
สิ้นความรักจากกัน
เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม
แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง
นี่คือโลงทองของเรียม ขวัญ เขาฝากชีพจม
แต่คลองยังช้ำ เหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม
พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song203.html
แสบทรวง ทูล ทองใจ
น้ำตาผู้ชายที่ไหล ริน หมายถึงความสูญสิ้น
เอนกอนันต์ นา นา
ภายในดวงใจ ไม่มีใครรู้ ว่า
ผู้ชายที่หลั่งน้ำตายิ่งกว่าฟ้า ร้องไห้
รักเธอทุ่มใจให้ทุกทาง
แขนฉันพลี สองข้าง
ยอมเหนื่อยเพื่อนาง กลาง ใจ
อุตส่าห์บากบั่น ฟาดฟันฝ่าความหมองไหม้
เพื่อเธอมิใช่หรือไร
ไม่เห็นใจฉันเลยขวัญตา
ได้ ยินเสียงเพลงแสนแสบ ก้องหู
ยิ่งกว่าตะปู ตอกย้ำให้ช้ำอุรา
เสียง ครวญ แสนแสบแปลบทรวงหนักหนา
โอ้อนิจจา ฉันต้องมาช้ำทรวงเพราะเธอ
รักคนที่เขาไม่รักเรา เห็นน้ำใจแล้วเจ้า
มันแสบทรวงเศร้า ละ เมอ
วิมานทลาย เสียดายที่ความรักเก้อ
ฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอ ชื่นเพราะเธอ
ช้ำเพราะเธอคนเดียว...
28 สิงหาคม 2548 08:34 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5185.html
....................
ต่อแต่นี้ไม่มีแล้วเอย
หัวใจที่เคยขี้แย
ไม่มีแล้วหัวใจอ่อนแอ
จะมีก็แต่
ใจใหม่ที่แกร่งดังหิน
ต่อแต่นี้ไม่มีน้ำตา
ที่เคยนองหน้า อาจิณ
เรื่องผ่านไปให้ทานกันกิน
บอกแลกชีวิน สิ้นคราฝนซา
ต่อให้กราบอภัยร้อยที
ใจใหม่ดวงนี้ ก็ไม่มีทาง
สิ้นสุดกันทีไมตรีทุกอย่าง
จบแล้วหนทาง
ระหว่างรักเรา
ต่อไปนี้ไม่มีเหมือนเคย
ให้เลือนลางเลยแม้เงา
ไม่มีแล้วหัวใจโง่เขลา
แยกทางของเรา
จากไปให้ไกล
ต่อให้กราบอภัยร้อยที
ใจใหม่ดวงนี้ ก็ไม่มีทาง
สิ้นสุดกันทีไมตรีทุกอย่าง
จบแล้วหนทาง
ระหว่างรักเรา
ต่อไปนี้ไม่มีเหมือนเคย
ให้เลือนลางเลยแม้เงา
ไม่มีแล้วหัวใจโง่เขลา
แยกทางของเรา
จากไปให้ไกล...
*********************************
เช้าแล้ว
ดอกไม้ป่าและดอกไม้ริมรั้วบานสะพรั่งพราว
สาวนา
เปิดเพลง*ใจใหม่ฟัง*
ไพเราะได้ความรู้สึกโดนใจดี
บางทีสาวนาคิดนะ
คนเรานี่หนอแค่เราคลิ๊กหัวใจเราเอง
แค่ตัดใจ..หักใจนิดเดียวเอง
ทุกอย่างก็ไม่ต้องทนทุกข์บรรเลงอยู่แต่ความรานร้าวใจ
ที่สาวนากำลังอยากกระซิบฝากไป
อยากให้ทุกคนดีทุกดวงใจได้มี
*หัวใจใหม่ หัวใจใหม่*
และ
สาวนาก็สวมวิญญาณราวกับคนอกหัก
แล้วร่ายรักรจนาออกมาตามภาษาเพลงสะเทือนไว้ดั่งนี้...
*คืนนี้ดาวดับเดือนลับเมฆหมอง
แล้วใจใหม่ก็เกิดใหม่ในครรลองที่ควรจะเป็น
จันทร์เอ๋ยขอหลีกเร้นไม่รอหยาดสายหวาน
สิ้นน้ำผึ้งจันทร์
สิ้นศรัทธาฝัน
สิ้นสายใยผูกพัน
สิ้นเยื่อขาดใยมาขออภัยทรุดร่างครวญคราง..ก็ไม่มีทาง
ใจใหม่ยอมแรมร้างยอมเดียวดายไร้ใครไม่มีทุกข์ทน....*
*หันหลังลามีฟ้ามีดาวเป็นเพื่อน
มีเส้นทางร้างเลือนแทนที่ในใจใหม่
ใจใหม่ ใจใหม่ ใจใหม่
ใจที่ไม่มีใคร..ไม่มีสักคน
ใจที่เลิกทุกข์ทนในกมลไม่หวังใครเป็นเพื่อนแม้นจิตวิญญาณ
ใจใหม่แค่ตั้งใจให้สวยใสตระการ
ไม่หวังไม่หวานไม่รานไม่เศร้า
คือใจใหม่ ใจใหม่ ใจใหม่
ใจที่รักเหงาเงียบเดียวดาย
หากสิ้นไร้รักใคร*
ใจใหม่ใจใหม่ใจของเราเอย...
ใจใหม่ ใจใหม่
ใจดวงไม่สนใจ
ไม่ให้ใครสำคัญเท่าใจเรานั้นเท่าใจใหม่นี้
ต่อไปนี้อย่าหวังชั่วชีวีจะมีน้ำตานะใจใหม่ ใจใหม่
และถึงหันหลังมากราบขอขมาขออภัยสักพันครั้ง
จะไม่มีวัน ไม่มีวัน ได้ใจใหม่ ได้ใจใหม่ ไม่มี ไม่มี ไม่มีวัน..!!
*******************
และ...........!
วันนี้ นาทีนี้เราก็จะมี
*ใจใหม่.*
.
ใจดวงใส..ดวงงาม
ดวงที่มิตกหลุมพรางเล่ห์ลมลวงใคร
ไม่ให้คน..ให้ใคร..มาสลักสำคัญอันใด
ในใจใหม่... ใจเรา ..!
นอกจาก...
ความว่างเปล่าอย่างเงียบงามสงบงาม...ตามลำพัง..ลำพัง....
สาวนากำลังมีมากเรื่องราวให้ต้องทำแล้ว
ทั้งเรื่องเรือกสวนวัวควายไร่นา
ในยามเช้านี้
สาวนา..คนดีคนนี้
ที่กำลังเพียรคิด
*แต่ทำดี พูดดี ไปในสถานที่ดี
กำลังจะพลีชีวีไปวัดแล้ว
และ
ต้องกวาดดวงดอกแก้วตรงลานหญ้า....
ที่พากันร่วงลาพร่างพื้น...เมื่อคืนฝนพรำ...
ต้องรดน้ำให้พันธุ์ไม้ไทย รายรอบกระท่อม
ทั้งลีลาวดีสีชมพูทั้งโมกหมู่ทั้งมะลิซ้อนมะลิลา
และอีกนานาพรรณเลยทีเดียว
ที่ทุกวันมาสาวนาได้เชยชม
ได้ดอมดมดอกดวงดอกดก..ตลอดเวลา..
สาวนา
จึงสุขใจกับใจใหม่ ใจดวงดี
ดวงที่...
ชอบให้กาลเวลา...
พาทุกอย่างที่เป็นขยะใจผ่านเลย ....เป็นเพียงเงาอดีต...
ไม่เคยเอามากักเก็บกรีดใจ
ให้เหน็บหนาวร้าวรานกับใจใครนาน..
และ..
ยังหวังหวานว่าพลังใจดวงปิติเกษม
จักยังคงสถิตไสวอยู่ณ..ภายใน
ดั่งอัญมณีไพรไปตราบชั่วชีวี..ตราบชั่วนิจนิรันดร......
...........................
6 สิงหาคม 2548 08:11 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
(ลาสาวแม่กลอง)
ฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
น้ำเริ่มเจิ่งนองไปทั่วทุ่ง
เสียงกบเขียดพากันร้องระงมด้วยความเบิกบานสราญใจ
ข้าวในนาก็ระบัดใบเขียวใสระย้าย้อยห้อยรวงเริ่มผลิที่รอเกี่ยว...
สาวนา
ตั้งใจจะปลูกกระท่อมใหม่สักหลัง
ที่เปิดโล่งเป็นโถงเรือนว่างๆ
ไว้สำหรับสอนเด็กๆแถวบ้าน
ให้อ่านเขียนและวาดภาพ
พร้อมทั้งเป็นโรงเล่านิทาน
มีหนังสือที่รับบริจาคมา
เพื่อจะพัฒนาให้เยาวชนคนที่ขาดการศึกษา
ได้มีเวลาค้นคว้า
และ...
เรียนรู้โลกกว้างทางไกลที่ไปไม่ถึง
ด้วยการปลูกฝังให้รักการอ่าน
ที่คือหน้าต่างโลก ประตูโลก
จะทำให้คนเต็มคน มีปัญญา
พารู้ทันเท่ามิเฝ้าตกเป็นเหยื่อโศก..สิ้นสุขทุกข์วนในสังคมเทียมเทียม...
และ...
สาวนาเตรียมสอนธรรมะพื้นฐานแบบง่ายๆ
ที่คงยังดีกว่าหายใจไปวันวัน
ได้สร้างสรรสังคมชนบท
ให้แสนงดงาม...ตามแบบอย่างพุทธศาสนิกชนที่ดี
ที่จักเป็นผู้ให้ ไร้ร้องขอ
อย่างมีเมตตาธรรม
แด่เพื่อนมนุษย์ที่ร่วมเกิดเจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อย่างรู้ว่าวันเวลาแห่งชีวิตนั้นแสนสั้นนัก
จะทำอะไรที่ประเสริฐแสนดีพลีได้เพื่อผองชน...ก็จงรีบทำ
ไม่เว้นแม้กระทั่งกับสัตว์
ที่เปรียบประดุจดั่งเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก
ที่ยอมเหนื่อยยาก...ลากแอกแบกคันไถ..คู่ใจมาแสนนานวัน
และ
ในดวงใจใสใสของสาวนานั้น...
ก็แสนสงสาร..*เจ้าวัวควายเพื่อนยาก*
ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนหลังคาจากที่ผุพังให้เสียทีเดียวพร้อมกันเลย
เพราะฝนตกทีไรก็รั่วซึม
สาวนา..
จึงคิดจะมุงด้วยหญ้าแฝก
เป็นหญ้าแฝกหอม
หรือที่เรียกว่าหญ้าแฝกลุ่ม หญ้าแฝกบ้าน
สาวนาขอแรงเพื่อนๆมาช่วยกันเกี่ยวหญ้าแฝก
ที่ขึ้นอยู่ริมคันนา
กันดินทะลายที่สาวนาตั้งใจปลูกไว้รายรอบ
ตามกระแสพระราชดำริ
*ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...*
ที่สาวนาเคยอ่านพบ
และ..
เพียรนำมาลองปฎิบัติจนได้ผลตาม
อย่างแสนน่าภาคภูมิใจ...
ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงพระราชดำรัสเอาไว้ว่า...
"เราจะสร้างของดีซ้อนบนของเลวนั้น
ต้องสร้างผิวดินใหม่ขึ้นมา
เมื่อหญ้าแฝกเจาะดินลงไปแล้ว
จะนำดินที่มีอาหารลงไป
เวลาน้ำฝนชะมาจากภูเขา ชะใบไม้มาติดหญ้าแฝก
ดินจะเพิ่มขึ้น แล้วก็ดินเลวจะเป็นดินดี"
*พระองค์ท่านหวังเห็นภาพอนาคตธรรมชาติอยู่รอด
ปวงประชาพึ่งพาตนเองได้ *
และด้วยพระปรีชาญาณและพระวิสัยทัศน์
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงริเริ่มพัฒนาพื้นที่ห้วยทราย
จนปรากฏผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน
รวมทั้งแนวพระราชดำริทั้งปวง
ที่ได้พระราชทานไว้
ซึ่งมีใจความสำคัญ
ในการสร้างความรู้รัก สามัคคี
และ
การร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่างๆ
โดยมีผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่แก่ประชาชนเป็นสำคัญ
ส่งผลทำให้ประชาชนมีความ
"พออยู่ พอกิน" สามารถ "พึ่งพาตนเองได้"
มีชีวิตความเป็นอยู่
ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่
"ประชาชนอยู่รอดและธรรมชาติอยู่รอดด้วย"
ซึ่งการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้
ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของรูปแบบการบริหารจัดการ
ที่สมควรจะนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติ
ในการพัฒนาพื้นที่ชนบทอื่นๆ ของประเทศต่อไปได้อย่างดียิ่ง
และ
ความสำเร็จดังกล่าว
ได้สร้างความปลาบปลื้ม
และพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก
ดังจะเห็นได้
จากก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนิน กลับกรุงเทพมหานคร
ได้มีพระราชกระแสกับเจ้าหน้าที่
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ
ที่ส่งเสด็จ ณ พระราชราชวังไกลกังวล ความตอนหนึ่งว่า
"สิ่งที่ทำไว้ที่ห้วยทราย
นับว่าประสบความสำเร็จดีมาก
ต้องบันทึกเอาไว้เป็นทฤษฎีหรือตำรา...ฉันปลื้มใจมาก*
*ทฤษฎีใหม่นี่ หลักสำคัญอย่างหนึ่ง
คือหน้าฝน หน้าทำนา น้ำฝนจะทิ้งช่วง
ไม่มีที่ไหนฝนไม่ทิ้งช่วง ฝนทิ้งช่วงเสมอ
ฝนทิ้งช่วงทำให้เกษตรกรเดือดร้อน
น้ำที่เก็บตุนเอาไว้ให้เป็นการสม่ำเสมอ
regulate แปลว่าทำให้สม่ำเสมอ ได้น้ำสม่ำเสมอไม่ล่มจม''
เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดินในแปลงไม้ผลและไม้ยืนต้น
ปัจจุบันแม้ว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่ตกในแต่ละปี
จะมีปริมาณเท่าๆ หรือใกล้เคียงกัน
แต่
เกษตรกรก็มักประสบปัญหาภัยแล้ง
หรือภาวะพืชที่เพาะปลูกขาดแคลนน้ำเป็นประจำ
ก่อความเสียหายแก่เกษตรกร
และเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก*
*การแก้ไขปัญหา
ภาวะพืชขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการ
ในการเก็บรักษาความ ชุ่มชื้นไว้ในดินได้อย่างยาวนาน
แต่
เท่าที่ผ่านมาตราบปัจจุบัน
ความชุ่มชื้นเกษตรกรส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เกษตรน้ำฝน
ยังคงเพาะปลูกติดต่อกันมาโดยมิให้ได้มีมาตรการ
ในการช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นในดินเลย..*
*ดังจะเห็นได้จากการที่ฝนตกลงมา
ก็ปล่อยน้ำฝนเป็นจำนวนมาก
ไหลบ่าออกจากพื้นที่ลงสู่แม่น้ำลำคลอง
ซึ่ง
นอกจากจะเป็นการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
น้ำฝนที่ไหลบ่า
ยังจะกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน
ซึ่งมีปุ๋ยและธาตุอาหารพืชที่สำคัญให้สูญเสียไปอีกด้วย
การปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดิน
สำหรับปลูกไม้ผลก็ใช้หลักการเดียวกัน
ทั้งนี้วิธีการและรูปแบบการปลูกหญ้าแฝก
ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่
ที่เกษตรกรสามารถเลือกใช้รูปแบบหนึ่งตามความ เหมาะสม.*
(http://www.chaipat.or.th/journal/dec98/thai/huaysai.html)
***********************************
สาวนา...
จึงเตรียมหุงหาอาหารแต่เช้า
เพราะวันนี้คงยุ่งทั้งวัน
ต้องเตรียมการณ์ให้พร้อม
สาวนาต้องการให้หลังเสร็จงาน
ที่ทุกคนต่างมีน้ำใจ
จะได้มีเวลาพบปะสังสรรค์กัน
สาวนาจะได้แสดงฝืมือทำกับข้าวอันแสนลือลั่น
ว่าฝืมือสาวนานั้น..*ราวแม่ครัวหัวป่าก์*
ที่ใครไปใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ
อย่างให้จำจดไปเลยทีเดียวและรับรองจะ
*ไม่ผิดหวังในรสชาติอย่างแน่นอน...*
สาวนา...ผู้หญิงหัวใจสะออน
จึงเปิดเพลงจากวิทยุฟังยามอยู่ในกระท่อมครัว
กับฟ้าสลัวเลือนลาง
กับใจดวงดายเดียวอ้างว้าง
และ
น้ำตาสาวนาก็พร้อมจะพร่างจะรินทันที
เมื่อได้ยินเสียงเพลง..
*มหาอมตะนิรันดร์กาล*นี้ที่หวานแว่วมาจากลำโพง
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
ลาสาวแม่กลอง....พนม นพพร-โอภาส ทศพรอ๊อด
สิ้น แสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง
พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัย สมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราช การทหารเรียกใช้
ลูกน้ำเค็มโอ้ทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้คุ้มครอง
พี่ต้องขอลาจากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา
เมื่อ สงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืน ค่ำแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระ ปฎิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมา ร่วม ใจ
ป้อม พระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนไห้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
...........
เพลงนี้
อ้ายร้องให้สาวนาฟังยามฟ้าสาง
ยามที่ฟ้า....
ยังพรายพร่างด้วยสายหมอกหยอกรวงข้าวใหม่ในนาหอม
กับพวงพะยอมคลี่กลีบกรายกลิ่นเกสร
กับเสียงอ้อนวอนเว้า...ขอรักรักรัก
กับแสงดาวเดือนรำไรที่เป็นประจักษ์พยาน
ในท่ามเลือนลางม่านเมฆ
กับมวลดอกไม้ไทยร่ายเสกมนต์หวาน
กับเสียงม่านฝนพร่าง..พรมพรำสร้างบรรยากาศให้แสนรัญจวนใจ
และกับในยามที่พงไพรแว่วหวานด้วยเสียงดุเหว่าร้อง
เพียงไม่มีเสียงหวูดรถไฟประกอบก็เพียงนั้น
แต่....
ก็ทำให้หัวอกหัวใจสาวนากระจุยกระเจิง
ระเริงไปด้วยความสุขซ่านหวานซึ้งในอ้อมอกอุ่นของอ้าย
ผู้ที่สาวนารักแสนรัก
ที่ชอบขอหนุนตักสาวนา
และรักเสียงเพลงสาวนาเป็นชีวิตจิตใจ...
ยามนั้น
อ้ายจะเชยปรางสาวนาหอมหอมหอมแบบบในหนัง
แล้วจะกระซิบรำพันคำรักออดอ้อน
ให้สาวนาระทวยอ่อนในวงแขน
ที่ยินดีพลีทุกสิ่งแสนหวงให้อ้ายได้ด้วยภักดีอย่างมิต้องลังเล
เพราะ
อ้ายคือผู้ชายคนดีคนเดียวในชีวิต
ที่เข้ามาเกี่ยวจิตเกี่ยวใจเกี่ยวชีวิตสาวนา
ที่
สาวนายินดีพลีร่างใจให้ตราบจนชั่วฟ้าดิน
และจะถวิลไปตราบชั่วฟ้า..กัลปาวสานต์เลยทีเดียวเชียว..
..............
สาวนาลงไปเด็ดพริกสวน กระเพราป่า มะเขือพวง
ตั้งใจจะแกงให้หอมเลย
และ
เด็ดผักบุ้ง ตำลึง ฟักแฟงแตงกวาใส่ตะกร้ามาพร้อมกัน
เผื่อจะทำแกงจืด และน้ำพริกไว้สำหรับอีกมื้อ
ไหนจะผลไม้สารพัน
ที่กำลังห้อยย้อยผลดกไปทั่วทั้งสวนริมท้องร่อง
ที่สาวนาแบ่งพื้นที่ตามทฤษีใหม่
ที่ให้มีทั้งสวนสมุนไพร
และขุดบึงเลี้ยงปลา
ไว้ได้ทำอาหารกิน และประทังชีวินแต่พอเพียงเพียงพอ
แบบชาตินี้
จะไม่มีวันเสี่ยงกับการจะต้องอดตายอีกแล้ว
เพียงคนไทยทุกคนมี
*พระขวัญแก้ว
*พระเจ้าแผ่นดินภูมินทร์ภูมิพลมหาราชา*
คอยชี้แนวทางให้เกษตรไทยทั่วฟ้าดิน
ในแผ่นดินธรรมผืนดินทองนี้
ที่พระนามของพระองค์ราวกับสวรรค์เสกลงมา
ให้ธำรงพระปรีชาเป็นดั่งขวัญหล้าพระขวัญเกล้าแห่งผองชนชาวไทย
พระผู้มากพระเมตตาล้นน้ำพระทัย
ผู้มีพระการุณยคุณยิ่งใหญ่แด่ผู้ทนทุกข์ยาก
ที่..
ธ..ทรงเป็นดั่ง*พลังแห่งแผ่นดิน*ดั่งพระสมญานาม
อย่างยากยิ่ง
ที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในหล้าโลกได้เทียมเท่า..
..............
สาวนา..
เก็บเงาะพวงแดงลูกโต แตงโมกลมเขียว
แตงไทย...ที่ตั้งใจจะทำน้ำกะทิหอมมันราดให้อร่อยเป็นของหวาน มื้อเย็น
แล้วไหน...จะยังมีมะละกอสุก กล้วยหักมุก
กล้วยเล็บมือนางที่กำลังกางฟ้อนอ่อนละออจากเครือเหลืองละมุน
ไหนจะยังไม่พอ
ยังมี...*ชมพู่เพชร*
ที่หวานแสนหวาน
เพิ่งเด็ดสดฉ่ำ
ที่ได้พันธุ์มาจากเมืองน้ำตาลเพชรบุรี
และ..
นานหลายปีถึงสูงใหญ่ใบดกเขียวและได้เด็ดชิม
มีมะม่วงมันส์พันธุ์...เขียวเสวยแสนอร่อยหลายร้อยลูก
ห้อยย้อยเขียวเรียวพวงพราว ที่สาวนาเด็ดมาจนเต้มตะกร้าเลย
และนั่น...
สาวนาเห็นพี่ทอง...ค่อยๆย่องมาคนแรก แหวกกอข้าวมาแต่เช้า
พี่ทองบอก
*ขอมาฝากท้อง*กับฝืมือสาวนา
และจะได้มาปรับเตรียมพื้นที่รอเพื่อนๆ
ที่จะพากันมาร่วมแรงสามัคคีชุมนุม
สาวนาจึงดีใจ
รีบเข้าครัวไปจุดไฟก่อฟืนหุงข้าวหอมใหม่
และ
ปล่อยให้พี่ทองและเพื่อนพ้องที่กำลังจะตามมา
ได้พากัน
ทักทายกันเสียงขรม...
ก่อนที่
จะช่วยกันคนละไม้ละมือรื้อเรือนเก่า
และมุงหลังคาด้วย แฝกตับ
ที่สักพักสาวนาจะเป็นลูกมือคอยช่วย
ด้วยความลุ้นระทึก
ที่จะได้เห็นผลงานอันแสนน่าชื่นใจเสียไม่มีแล้ว...
ใจดวงแก้วดวงทองดวงธรรมอันผ่องผุด
จึงแสนสุขพิเศษในยามนี้
ที่จำต้องแอบคลี่ยิ้มหวานหวาน
อย่างบานเบิกใจอย่างสราญใจ....ไปกับสายลมแสงแดด
และ.ให้
ใจดวงดีที่ระทมตรมตรอมเพราะคิดถึงอ้าย..
ค่อยทุเลามิเหงาเงียบ..อีกต่อไป.....
................................
5 สิงหาคม 2548 11:54 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song569.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4867.html
นกเขาไพรบนกิ่งชมพู่คู่คลอชายคา
มาขันก้อง
มาร้องเพลงเสียงแสนหวานใส
ปลอบประโลมใจสาวนาแต่เช้าตรู่
ที่ดาวยังรุบหรู่เดือนก็ยังริบหรี่ในม่านฝน
กมลสาวนาเลยแสนงามเงียบ สงบสุขเสียเหลือเกิน
เหนือเตียงโบราณ
ม่านมุ้งขาวพราวไสวกำลังระบัดโบก
ด้วยสายลมฉ่ำโชยในยามเช้า
มีดวงดอกลั่นทมพันธุ์ใหม่
*พันธุ์หอมแผกกลีบซ้อนอรชรกว่าเดิม
เพราะมีกลีบเพิ่มเกินกว่าห้ากลีบ*
ที่สาวนาเพิ่งได้มา..
และกำลังพากันผลิแย้มแต้มหอม..เศร้าหวาน
ทั้งกอตระการหว่านกลิ่นฉมให้ชมให้ชื่นให้เชยไปทั่วทั้งลาน...
ไหนจะ....
ลั่นทมสีขาวขลิบชมพู
โคนดอกดวงหลืองละมุน
ที่มีลักษณะพิเศษพิสุทธิ์
ตรงที่...
จะหยุดดอกไว้แค่*แรกแย้ม*
*ไม่ยอมบานให้หวานโรยเร็วอย่างสาวสะพรั่ง*
ขอแค่
ตูมตั้งเต่งดอก...หลอกอวลมวลหมู่ภู่ผึ้งภมร...
ให้หลงซึ้งซ่านหวานเสน่หานานแสนนาน...
แล้วนั่น....
กุหลาบพันธุ์ใหม่....อีกนั่นแหละนะ
ที่ชื่อว่า*กุหลาบพันธุ์บัวทอง*
สีชมพูหวานพริ้งขอบกลีบหยิกหยัก
ยึกยักแบบจะคลี่กรายดีหรือไม่..ละหนอละนี่
ราวบานไม่เต็มที่
หากให้พิศแปลกแหวกหวานออกไป
ที่ในรอยใจสาวนา..ตราจำไว้มิเคยลืม
ยามที่อ้ายจัดขันหมากมา
และเคียงกุหลาบระย้ากลีบหวาน*คือแหวนหมั้น*
อันแสนมากล้นค่ายิ่งใหญ่
ที่อ้ายบอกว่า
คือแทนใจแทนร่างแทนรักนิรันดร์
แทนสวรรค์สวาทพลี
ที่อ้ายใช้เวลานานปีเพื่อรอวันนี้
ที่อยากพลีภักดิ์วางแทบเท้าสาวนาไปตราบวันตาย
ขอร่วมใช้ชีวิต..*ดั่งทองแผ่นเดียวกัน*..
และ...
นับแต่นั้นมา
สาวนาเลยลงดงกุหลาบกอ..ไว้มากพันธุ์
ทั้งพันธุ์ไทยพันธุ์เทศ
ที่สาวนาจะมารำพันรำพึงให้ฟัง
เมื่อถึงวันแสนซึ้ง..*วันแห่งความรัก*
และ....
ทั้งหมดคือมาลัยขวัญ
ที่สาวนานำดวงดอกไม้สวรรค์เคียงดิน
มาร้อยมาถักมารัดเป็นพวงงามเข้าด้วยกัน
เพื่อพลีกำนัลแด่ตัวเอง..ให้นิทราฝันดี ไปกับราตรีกาล
ในม่านฝนมนต์ฝัน
กับะระรินร่ำของบทเพลงไพร
เสียงไรไรจั๊กจั่นพากันกรีดปีกประลองเสียงทั่วเถียงนา
สาวนา...เพิ่งลง
*รักแรก* แทรกกอไปตามริมคันนา*
รอท่ากำลังจะบานสะพรั่งพรึบ
แล้ว
จะได้นำมาค่อยๆรวมร้อย
กับดวงดอกดาวเรือง บานชื่น หงอนไก่
ปักแซมแต้มไปกับใบข้าว
ให้งามพราวแบบดิบเดิมติดดิน
ตามแบบสาวนา
ผู้ชอบลีลาดอกไม้แบบไร้จริตมายา
ที่น่าเสน่หาสวาทหวามกว่ากัน
หากแค่ปันปรุงหยิบใส่ก็แสนสวยใสสดหวาน
บริสุทธิ์ตระการแบบบ้านๆนานาแล้ว..ละนะ
สาวนา จูบผ้าทอผืนเก่า...ที่ฉวยเอามาคลี่คลุมร่าง
มิให้ไอฝนที่กำลังพร่างมานิดๆได้กระทบกาย
เพราะสาวนาไร้อกอุ่นใครมาโอบกอดมากระซิบพลอดคำรัก
ไร้ผู้พิทักษ์องครักษ์ใจ
สาวนาจึงจำต้องใส่ใจในร่างราน
มิให้หนาวพานพาป่วยไข้ ไร้หมอมารักษา ไร้ใครมาดูมาแล
สาวนา..เหน็บหนาวแค่ไหน
ก็ตัองเข้มแข้ง
เพราะต้องใช้แรงแลกงานหาเงิน
เพราะต้องทนทำนาหว่านกล้า ไถดายหญ้า
ไหนจะวัวควาย
ที่ดั่งเพื่อนตายเพื่อนยากที่ฝากผีฝากไข้
เมื่อสาวนาไร้คน ไร้ใคร
ก็มีเพียงควาย เท่านั้น ที่เคียงใจเสมอมา
ให้ระบายเหว่ว้า
ให้หลั่งน้ำตาพลีบอกหยอกเล่น
ยามเย็นหลังเสร็จงานนา
ที่จะพากันไปอาบน้ำในบึงบัว
กับฟ้าสลัวโพล้เพล้
กับเดียวดายจนเกินกว่าจะบอกใคร..แล้ว
เช้านี้...สาวนาจึ่งดีใจ
ที่นกไพรมาร้องเคียงใจ
ขับขานเสียงหวานใสปานประหนึ่งนกโกกิลา
ให้ใจสาวนาคะนึงหาอ้าย ที่หายไปนานแล้ว
ราวดอกแก้วลาลานซ้ำแล้วเล่า
ราวดอกโสนบานรอพ้อพร่างมากับหลายฤดูกาลเกี่ยวเก็บ
ที่ใจจะหนาวเหน็บเจ็บปวดสักปานไหนก็ต้องอดทน...คอย
สาวนา...
ค่อยๆจูงควาย
พาร่างย่ำรอยหยาดน้ำค้างฝ่าดงข้าวใหม่
ค่อยๆบุกฝ่าหนามไหน่คันใบข้าว
ที่ค้อมพราวรวงเรียวระย้าย้อย
ที่ห้อยรวงทองแทบถึงดิน..จนได้กลิ่นหอม หอม หอม จากย้อมยวง...
สาวนา..จะไปอาบน้ำ
ปล่อยร่างที่สล้างละออด้วยเนียนแดด
ให้แฝงฝังในพรายชล
ให้ละลนละลายกลายร่างราวนางไม้แม่เอย
อย่างในบทเพลง
ที่สาวนาชอบฟัง
ที่คุณพร ภิรมย์ ร้องได้ล้ำในอารมณ์คำ...แสนดื่มด่ำใจ
ที่ในห้องใจ สาวนายามนี้
กำลังอยากให้อ้ายมาร้องให้ฟังแทนเสียมากกว่า...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4867.html
น้ำตาลาไทร.... พร ภิรมย์
ลาแล้วแก้วตา
สัญญาให้ไว้ยังจำ
บุญหนีบาปนำ
พี่มาไม่เจอนวลนาง
ทั่วถิ่น พนาตามหาหมดทาง
เจ้าทิ้งสัญญาหรือนาง
พี่อ้างว้าง อารมณ์
นางไม้แม่เอย
ไยเฉยให้ช้ำวิญญา
นวลน้องไม่มา ยิ่งพาอุราระบม
หรือเจ้า เขาไพรบังไว้ซ่อนชม
ข้าขอจอมไพรพนม
ยอมสิ้นลมบวงสรวงจอมไพร
เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา
อุ้มสมพานางน้องมา
ให้ข้าเถิดหนาพระไทร
มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ
ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา
ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ
เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
พี่นี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม
เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา
อุ้มสมพานางน้องมา
ให้ข้าเถิดหนาพระไทร
มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ
ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา
ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ
เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
พี่นี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม...
.................
สาวนาค่อยๆใช้มือลูบไล้
อาบน้ำให้เจ้าควายน้อยตัวจ้อยแสนรัก
แล้ว
กระซิบกับมันเบาเบา...
คงไม่นานแล้วนะ อ้ายคงกลับมา
อ้ายคงไม่ปล่อยให้สาวนาละห้อยหานานจนเกินรอ..ว่าไหม..
และ....
วันนี้รู้ไหมสาวนาตั้งใจว่า
จะไปกราบพระธุดงค์
ที่ท่านมาปักกลดตรงเนินผาหลายทิวาราตรีแล้ว
และ
คิดว่าจะคลุกข้าวเม่าใหม่ให้หอมหวานไปถวายท่าน
และ...
จะกราบกรานให้ท่านเทศนาสอนใจ
ให้สาวนาสาวไพร
ได้พบปิติเกษมใจ
ในความว่างกระจ่างสว่างสงบ
เพื่อสยบรำงับ ดับทุกข์รักทุกข์รอ อ้ายคนดี
ที่
สาวนานี้...ปรารถนาให้หมดเชื้อไฟใยฝันสวรรค์รอ หวาน ลมลมแล้งแล้ง
ราวแกล้งลวง อีกต่อไป...
สายฝนเริ่มโปรยไพร..หลั่ง..สั่งฟ้า
ราวกับว่า
จะได้ยินคำอธิษฐานภาวนาของสาวนา ...ในนาทีนั้น
ราวฟ้าสวรรค์เมตตารับรู้
และ.....
ให้คอยดูกันต่อไปว่า
เจ้านกไพร...
จะหวนคืนกลับมา สู่รังรักรังใจ
สู่รังแห่งภักดี ยิ่งใหญ่
รังที่แสนเงียบงาม สงบสุขใจ ของสาวนานี้ฤาไม่....
ฤาว่า ...จักปล่อยให้
*กลีบดอกไม้ไหว...ณ..กลางดวงใจสาวนาร่วง... กระจาย...!
....................................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song569.html
กุหลาบร่วง พรานบูรณ์
สาย ลม ผวน ทวน ไป
ใจ ของ เรา หาย วาบ
กลิ่น กุหลาบ เจ้า เอ๋ย นะ
ก่อน เคย มี กลิ่น หอม
ยั่ว ย้อม อา รมณ์
สาย ลม เชย เคยได้ดม
ชื่น อารมณ์ เพียง ชั่ว คืน
คิด ไป ใจ หาย
กุหลาบ กลาย
ไป เป็น ของ เขาอื่น
ปลูกเอาไว้
หวัง ใจ ว่าจะได้ชื่น
สู้เร่งวัน เร่ง คืน
มิทันได้ชื่น สิ กลับต้องช้ำ
สาย ลม หวน ทวน มา
พา หัว ใจ ให้ จำ
เมื่อ กุหลาบ แตก ช่อ นะ
ก่อ เป็นกอ ระกำ
สุด จะ ช้ำ วิญ-ญา
สาย ลม เชย รำเพยพา
กลิ่น เอา มาให้เรา ดม
เดี๋ยว นี้ ซิ หนอ
ยังสู้แตกกอ
เอาไว้ให้ ชื่น ชม
สุดเสียดาย
เขาเด็ดดอกเอาไปดม
อก เรา ต้องระทม
เพียงต้อง สาย ลม
ยังเร รวน
สายลม หวน ครวญ เสียง
แม้น เพียง เรา ครวญ
กลีบ กุหลาบ ที่ เหลือ นะ
เชื่อ ใจ ว่า จะ หวน
ทวน สาย ลม มา
สาย ลม เชย เคย ได้ พา
กลิ่น เอามา ให้ชื่น ใจ
คิด ไป แสน ห่วง
กุหลาบ ร่วง
ช่อ แห้ง ติด ใบ
เถอะ จะสู้ รด น้ำ
พรวนดินไว้
ช่อ ที่ แห้ง ติด ใบ
ช่อนี้เอาไว้
ให้ ชื่น บาน...