13 ตุลาคม 2548 08:54 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
(มนต์รักลูกทุ่ง)
.............
ฟ้าสว่างอีกคราแล้ว
ดวงดอกแก้วยังหอมพร่างในอุษา
ตามสาวนามาสิคนดี
มาตามเส้นทางสายงาม
สายชนบทในยามเช้านี้
ที่น้ำค้างในพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า
ยังฉ่ำเย็นพราวราวรวงเพชรในกลางกลีบเกสร
เห็นนั่น...ไหมเล่าเจ้าคนดี
ผีเสื้อนับร้อย..
กำลัง..
กรายปีก..ร่ายร่อน
ฟ้อนพรายพร้อยแพรวพราว
เฝ้าเผยอปีกพลางพร่าง
แตะแต้มทั่วทั้งท้องทุ่งดอกไม้บาน
แย้มเปิดกระโปรงบานอวดตระการงาม
แห่งลวดลายคล้ายแผกนิรมิต..
มีเพียงสีเดียว..หนึ่งเดียวในโลก
................
ขุมปัญญาในอณูของดอกไม้
เป็นมนต์ร่ายระบำรอผีเสื้อ
ขุมปัญญาที่ธรรมชาติโอบเอื้อเฟื้อ
คือเหลือเชื่อมหัศจรรย์รักผลักดันมา..
โลกหมุนไปมีธรรมชาติมีทุกสิ่ง
จักรวาลมีสิ่งลี้ลับให้ค้นหา
ไยดวงจันทร์ถึงโคจรรอบโลกทุกวันมา
ไยมนุษย์ต้องเหว่ว้าอาวรณ์ออดอ้อนใจ
เพราะคือมหัศจรรย์รักในโลกนี้
ให้มีดีมีร้ายหรือไฉน
ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สืบทอดไป
เป็นบ่วงใจบ่วงกรรมย้ำโลกเรา
ตัดบ่วงใจตัดเยื่อใยสิ้นสวาท
หมดสิ้นชาติหมดสิ้นกรรมใจเลิกเขลา
ไม่หมุนวนหมุนเวียนใช้กรรมเก่า
ให้ใจเราว่างว่างวางเฉย..เลิกรักใคร!
................
ดวงใจ...
เห็นสายธารระรินไหล..อย่างเงียบงาม
ท่ามโตรกผาป่ารกไหม..
ในพงไพรพฤกษาพนาขวัญ
กับ
เสียงนกกาพากันผกโผผินบินอย่างแสนมีอิสราเสรี
ในฟากฟ้านี้..
อันแสนกว้างใหญ่ไพศาล
อันแสนเวิ้งว้าง..ว่างใจ..
ให้...
ค้นหา..*แดนดินแห่งความฝันอนันตกาล*
อันแสนสงบงาม..เงียบ
เพื่อ..
มาปันพลี..มากระซิบบอกมิ่งมิตรน้องพี่
ว่าโลกนี้..
ยังมีสวรรค์ใจสวรรค์ไพรสวรรค์วนา
*สวรรค์บนดิน*.ใช่บนฟ้าในทุกถิ่นที่
หากมีใจดวงดีดวงนวลดวงงาม
ดวงตาภายในมองเห็นธรรม ธรรมชาติ
จากพลังจิตแห่งปิติเกษมเอมอิ่ม
อันคือ..
แย้มยิ้มเยือนอยาก..ให้..
ในทุกเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย..
ใช่นานวัน...
คนดี..
เห็น..สายน้ำสีทอง
ที่ค่อยๆ...ละล่องละหลั่งถะถั่งริน
ระริกระริกกระซิกกระซี้..กระซิบกระซาบ
ให้กำซาบอาบเอิบดวงจิตบ้างไหม
ดั่งเสียงดนตรีไพร
หวานพร้องซร้องแสนเสนาะไพเราะ
ที่..
จักแปรผ่องใยยวงให้หอมห้วงละหาน
ไปตามสายแสงแห่งพระอาทิตย์อันแสนจรัสจรุง...
ราวรุ้งพราว ในทุกคราวกาล...
ดวงใจ...
นั่นทิวเขาสลับซับซ้อนดูยิ่งใหญ่
หากเพราะเขียวไพรแห่งป่าดงดิบ
ได้เพียรให้..
ทุกมวลสรรพชีวิตทั้งคนสัตว์ได้ดำรงประโยชน์
ได้พึ่งพักพึ่งพิง
ได้อิงป่าไม้งาม ได้ดำรงความร่มเย็นดับแล้งไร้
ให้นกกาได้อาศัย
ได้ธำรงสายโซ่แห่งวงวัฎฎะไพร
อันคือ สัจจะใจสัจจะจริงแห่งชีวิต
ที่สอนบทเรียนธรรมอันแสนล้ำลึก
หากมนุษย์มักนึกไม่ถึง
ไม่ลึกซึ้ง ไม่ดื่มด่ำพอ
ต่างพากันหลีกลี้หนีพ้นธรรมชาติ
ไม่ตระหนักถึงการเกี่ยวพันกันอย่างรู้คุณค่า
แห่งค่าคำป่ารักน้ำ คนรักไพร..ใจรักกันและกัน
ใช่เพียงเกิดมาทำลาย ทำร้ายกัน
อย่างมนุษย์ทั่วโลกหล้า
ที่ยังกล้ากล่าวคำว่าตัวนั้นคือสัตว์
แสนสุดประเสริฐเลิศกว่าสัตว์ใดแล้วในปวงปฐพี
คนดี...
พุทธสนานิกชนคนในชมพูทวีป
อินเดีย ปากีสถาน..สิ้นหวานไร้หวัง
ต่างเซซัง อดหยาก หิวโหย
ด้วยโพยภัยแห่งอำนาจดินฟ้า
ที่..
กำลังมาสอนเหว่ว้าให้ทุกมวลมนุษย์ในหล้า
ได้พบ..
บทเรียนหนาวเหน็บ...โศกสะเทือน..
ก่อนสายเกินไป..กับใจทุกดวง
ที่ยังมืดบอด..มิรู้ว่าสุดยอดแห่งการเกิดมา..
คือได้พบพระพุทธศาสนา
และ
ธรรมะธรรมชาติอันแสนพิลาสพิไล
ที่จักเกาะเกี่ยวไปด้วยกัน
อย่างมีเมตตาปรานีอย่างยากแยกออก
ดวงใจ...
เห็นเรียวรวงข้าวทองระย้าระยับ
ที่กำลัง..
ห้อยย้อยทายทักแตะแต้มเคลียผืนดินถิ่นพสุธาไทย
ในท่ามทุ่งเขียวไพลไหม
เห็น..
ดอกดวงใจที่จักไสวเฝ้ารอดู...
ดวงดอกข้าวพร่างพรูละอองเรณูเขียวใสอ่อนเยาว์
ชำแรกแทรกกลางกอ
รอแย้มผลิจากเรียวรวงแห่งรักรักรักภักดีดินบ้างไหม
คนดี..
ตามสาวนามาสิ..
มานั่งนิ่งนิ่ง ริมคันนาในยามฟ้าหลัวโพล้เพล้
มาดูตะวันดวงสีไพล ด้วยดวงใจละมุนละเมียด
มา..
ฟังเสียงเพรียกยามสายลมล่อง
ต้องมากระทบปลายยอดข้าวเบา..
ที่..
ราวผืนพรมแพรไหม
ไหวระบัดสะพรับสะพรั่งพรึบ..
ไล่ลอนให้อ่อนหวานอ่อนช้อย
แสนสร้อยเศร้า..ซาบซึ้ง
ด้วยอึ้งอั้นในภาพฝันแสนงาม
หากทว่า..
คือความจริงยิ่งกว่าจริง..
ที่รายล้อมหอมใกล้ เพียงได้ชิดดูมองรู้งามเงียบ
ดวงใจ...
เห็นดงดอกโสน...
เหลืองพราวห้อยเคลียดงข้าวระยับระย้า
กับ...ต้นหว้าตาลเดี่ยว
ควายเคี้ยวเอื้องในห้วยหนองคลองบึงบ้างไหม
และนั่น..
เห็นใครกันนะ..นั่งตกปลา รึมบึง
จนให้..
คะนึงถึงมนต์เพลงลุกทุ่ง
หอมเอยหอมดอกกระถิน
มิสิ้นกลิ่นรวง..ข้าวใหม่
ที่แสนหอมหวานเกินกว่าใดในหล้า แล้ว
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
มนต์รักลูกทุ่ง ละครทีวี
หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง
มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อย
ก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า
บัวตูมบัวบาน
หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่ว
พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา
หวานแว่วแผ่วดังกังวาน
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...
.....................
คนดี...
เห็นกระท่อมไพร กระท่อมใบไม้
ที่สาวนาสาวบ้านป่าบ้านไพร
ได้ใช้ชีวีเรียบง่ายธรรมดาๆ..รักนาเก็บเห็ด
เพาะเมล็ดพืชพรรณผัก
ไปวัด..กราบพระในโบสถ์คร่ำ
พร้อมกับการกลับมา..
ระร่ำระริน..
สวดมนต์อธิษฐานจิตภาวนามิสิ้น
ในท่ามแสงเทียนแสงตะเกียงเหว่ว้า
เพื่อสอนคุณค่าแห่งลมหายใจ
ให้...
รู้ค่ารักภักดีแบบวิถีไทยโบราณ
รักความเป็นกุลสตรี รักความดีดั่งดวงมณีมีค่า
ให้หอมเกินกว่าปวงดอกไม้ใด
รักเรือนชานสวยใสสะอาดแบบพอใจพอเพียง
รักที่จะ..
พลีหยาดเหงื่อเลี้ยงผองชนคนไทย
ด้วยยังหยัดยืน วิถีไทยวิถีทุ่ง ยังมุ่งเพาะปลูกข้าว
ยัง..
เฝ้าฝันพลีที่ทุ่งทองเพื่อไว้เลี้ยงผองคนไทย ในแผ่นดิน
ให้..
มิสิ้นสุดหยาดเลือดรัก
อันแสนภักดิ์พลีต่อวิถีเกษตรกรรม
อันคือ วิถีทำวิถีใจแสนล้ำค่า
ที่โลกหล้าและผู้คน จักมิต้องทนหิวท้อง
และ..
ได้พบคลองธรรม ครองใจ
รู้รักในชีวีแสนงามเงียบสงบสมถะ
รู้ค่าความพอดีพอเพียงเลี่ยงวิถีเร่าร้อน
ไม่ต้องมาแย่งชิง กันทำร้ายทำลายโลก..
คนดี..
เห็นสาวนาไหม...
กำลังขี่ควายไปตามชายทุ่งริมบึงบัว..
และ..
ในงามสลัวของเงาดาวพราวดวงดอกบัวพร่าง
จะมีร่างนางหนึ่งราวนางไม้นางไพร
ที่จะดำผุดดำว่าย ได้ชิดใกล้กับสายน้ำใส
ได้เด็ดบัวไสว..
ด้วยดวงใจแสนพิสุทธิ์ไปถวายพระในยามค่ำ
ดวงใจ...
เห็นแล้วใช่ไหม..
ทำไมสาวนา..
จึงยังมาพลีฝากคำมาระร่ำรินรจนาร้อยรส
บทบาทแบบย้ำเตือน
มิให้สาวไทยลาเลือนรักแบบวิถีโบราณๆ
ที่คือ..
ความหวานหอม..
ดั่งดวงดอกไม้ป่าอันแสนงามบริสุทธ์ใส
เพื่อเป็นพลังใจพลังต้าน
ให้ดวงดอกไม้ในม่านเมืองที่ต้องมนต์หมอกมายา
ได้พากันตระหนักชัด
ถึง..ค่าชีวิต..ลมหายใจ..และความรัก
ที่จักสดสวยแสนงาม
หาก..
มีเพียงความรู้จักรักความพอดีพอเพียง..
ไปจนตราบชั่วกาลนานเนานิรันดร์
กับลมหายใจแสนสั้นอันแสนนิดหนึ่งน้อยนี้
ที่..
ควรพลี*ให้รัก*ทั้งกับคนและโลก..
ใช่เพียงฝากโศกทำลาย...!
..................................
เธอมาเยือน..
เหมือนสายฝนพรำผิดฤดู
เหมือนฝันที่ค้างอยู่
เหมือนรู้ทั้งรู้แค่ฝันไป..
เธอมาเยือน...
เหมือนสายลมพัดหวั่นไหว
เหมือนเรียวรุ้งโค้งฟ้าไกล
เหมือนน้ำตาแต้มใจทุกทุกวัน...
เธอมาเยือน..
เหมือนทุ่งดอกไม้แห่งความฝัน
เหมือนโลกนี้ละออทุกทุกวัน
เหมือนสวรรค์เยือนหล้ากระจ่างใจ....
เธอมาเยือน..
เหมือนเพื่อนเหมือนดอกไม้ตระการไหว
เหมือนจันทร์เสี้ยวลบเศร้าในดวงใจ
เหมือนแมกไม้ไพรไหวกิ่งฝันมอบวันงาม..
.............
ทุกแห่งหน...
ฉันเห็นเธอในดอกไม้สายลมไหว
มวลนกไพร ในฝนพราย แมกไม้ฝัน
ในดวงดาว ในอุ่นแสง แห่งตะวัน
ในความฝัน ในยามตื่น ชื่นฉ่ำใจ..
ฉันเห็นเธอ ในดวงจันทร์ ฝันเคียงฟ้า
ในเมฆา ในเรียวรุ้ง กระจ่างใส
ในผีเสื้อ ในสายน้ำ ในขุนเขา ในเงาใจ
เธอสถิตอยู่กลางใจในเรียวตา
(ในศรัทธาในรักนี้ มิมีวันจะลบเลือน!
......................
9 ตุลาคม 2548 19:47 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song94.html
(ขวัญใจเจ้าทุย)
............
ในท่ามกลาง....
แสงตะเกียงริบหรี่ไรแสงดาวรุบหรู่รำไรๆ
สาวนา...
จุดเทียนทองเทียนชัยหน้าพระพักตร์พระพุทธ
พร้อมน้อมถวายมาลัยรวงข้าว
ที่สาวนา...
ตั้งใจสอดสร้อยร้อยด้วยศรัทธาปสาทะของสาวนาเอง
มาลัยที่..
สาวนาใช้ใจดวงงามดวงดีพลีสมาธิประดิษฐ์
คิดร้อยเรียงรวงข้าวสีทองสุกปลั่ง
เย็บติดกันกับเรียวใบเขียวไพล
แล้ว..
แซมไสว
ด้วยมะลิพุดซ้อนอรชรอ่อนหวานประดับรายรอบ
และ..
นี่คือมาลัย..ที่คงเป็นมาลัยหนึ่งเดียว
ที่เกี่ยวก่อเกิดจากวิถีทองวิถีทุ่ง
อันจักหอมจรุง...
กว่ากลิ่นใดในหล้าโลกแล้ว สำหรับใจดวงดินดวงนี้
น้ำตาจากพลังปิติเกษมของดวงใจสาวนา
พรายพร่าลง ...พร้อมกับน้ำตาเทียน...
ในนาทีนั้น..
เมื่อสิ้นสุดเสียงสวดมนต์อันหวานแว่วก้องกังวาน
ผ่าน..
ฟากฟ้าไกล..ลอยลมไป
ในท่ามแมกไม้
ทุ่งกว้างมิร้างรักแห่งรวงเรียวที่รอเกี่ยวเก็บ..
ในหนาวเหน็บของสายลมในยามค่ำ
ราวกับ..
ทวยเทพยดาฟ้าดิน
สิ้นทั้งสวรรค์อินทร์พรหมมาร่วมรับรู้รับฟัง..
แสงเทียนทอทอดจับเสี้ยวหน้างามเศร้า
ดูอิ่มพราว...
ราวแม่เนื้อทองผ่องพรายฉายฉาน
ด้วยพลังแห่งบุญเกษม..
สาวนา...
เดินเหว่ว้าดูดาวเดือนเกลื่อนนภาในยามค่ำ
นั่น..ดาวประจำเมือง ประจำใจ
ที่มากดวงใจ มักใช้เป็นแรงฝันบันดาล
ให้ฝากรัก...
ยามอ้างว้างต้องแรมร้างแม่เนื้อนวลพ่อนกไพร
สาวนา..หนาวในดวงใจนิดนิด
เมื่อคิดถึงอ้ายกับบทเพลงนี้
ที่...
อ้ายพลีร้องไห้ฟังในยามค่ำ
ยามที่มาเอนอิงพิงไหล่กันริมลอมฟาง
แล้ว..
ชี้ชวนกันชมดาวพราวพร่างฟ้า
ที่ต่างพากันราวจะกระพริบตาล้อ
เมื่อมองเห็นอ้าย..
คล้ายจะแอบจุมพิตแก้มนวลแก้มนางมิร้างราสักนาที..
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
คิดถึงพี่ไหม... โอภาส ทศพร
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจพี่
ห่างกัน อย่างนี้
น้องคิดถึงพี่ บ้างไหม
อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้
ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน
คิดถึง พี่ก่อนน้องนอนก็ได้
เมื่อยาม หลับไหล
น้องเจ้าจะได้ นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใดแก้วใจโปรดมอง
แสงของนวลจันทร์
เราสบตากัน ในแสงเรื่อเรือง
คืนไหน ข้างแรม ฟ้าแซมดารา
น้องจงมองหา ดาวประจำเมือง
ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว
ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองเนืองถึง
สุดมุมเมือง ไม่ไกล
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจเจ้า
พี่ตรม พี่เหงา
เพราะคิดถึงเจ้า เชื่อไหม
ฝากใจกับจันทร์ ฝากฝันกับดาว
ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน.
............
คืนนี้..
สาวนา..มีเพียงเจ้าสายน้ำ*ควายน้อยเพื่อนยาก*
ที่เคียงใกล้
สู้ลำบากฝากรอยไถไม่แปรมาด้วยกันนานปี
*ควาย..*
ที่ซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณคนและแผ่นดิน
เสียยิ่งกว่าอมนุษย์มากหน้าเป็นไหนไหน
ที่..
พากันทำร้ายทำลายผืนดินเกิด
แล้ว
ยังจะนับเป็นสัตว์ประเสริฐได้อย่างไรกันเล่า..
สาวนา...จูงเจ้าสายน้ำออกจากคอก
แล้วกระซิบบอกเบาๆ
*เจ้าให้ข้าซ้อนซบโอบเจ้าขี่ไปทั่วทุ่งจะได้ไหม..จ๊ะ*
*เพราะ..
ข้าอยากย้อนรอยรักรอยอดีตแห่งข้า
ที่อ้ายเคยพาข้าไป
ชมทุ่งไสว และลงไปเล่นน้ำ
ในท่ามบึงบัวสล้าง ในท่ามสายฝนพรำ*
ที่เราต่างพากันลงไปดำผุดดำว่าย
แล้ว..
อ้ายก็เด็ดบัวแรกแย้ม..
มาทัดแก้มแซมผม
พร้อมดอมดมพรมจูบลูบไล้ไปทั่วทั้งร่างข้า
ด้วยแสนรักนะ...เจ้าสายน้ำ*
*มามะ..เจ้ายอมแล้วใช่ไหม
เราไปกันนะ
อ้าวแล้วทำไมเจ้ามีน้ำตาละฮึ
ควายขี้แย ก็มีด้วยเหรอนี่
นึกว่าจะมีแต่คนอย่างข้าเสียอีก..*
สาวนา..ค่อยๆดึงร่าง
ที่แสนอ้างว้างใจขึ้นไปบนหลังเจ้าพื่อนยาก
พร้อมกับ...น้ำตาซึม
เมื่อรำลึกนึกถึงเสียงหัวเราะของกันและกัน
สองคน กับหนึ่งควาย...
ที่
เคยว่ายเที่ยวท่อง
ล่องคลองบึงในคืนผ่องเพ็ญจันทร์พราว..
ราว..ขวัญ..เรียม นานมา..
สายลมรำไร..
แสงเดือนรุบหรู่...
หมู่เมฆนวลเริ่มร่ายระบำรับขวัญงาม
ในท่ามสายฝนเริ่มปรายปรอย
หัวใจดวงนิดน้อยบอบบาง
ในร่างและสองมือหยาบกร้าน
ที่...มิเคยท้อพ้อโลกแลโชคชะตา...
ไม่เคยก้มหน้ายอมพ่ายให้อายฟ้าดิน
เธอ..ปล่อยร่าง
ที่มีเพียงอาวรณ์ถวิลถึงผู้เป็นที่รัก
ค่อยๆโอบรัดร้อยเจ้าสายน้ำไว้
ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม
พร้อมซบหน้า....
ร่ำไห้สะอึกสะอื้นไปกับหลัง..*ลูกควายสายน้ำ*
อย่างสุดฝืนทน...แล้ว...
กับเสียงฝนครางฟ้าครวญ..
กับมวลเมฆหมอง
กับครรลองชีวีชีวิต
สาวผู้มีลิขิตชะตา
ให้รู้ค่ารักนวล...
ให้ดวงใจหอมอวล ด้วยกลิ่นโคลนดินสาบควาย
ให้รู้ค่าผืนพสุธาไทยพสุธาทอง
ได้ท่องไปในวิถีธรรม ธรรมชาติอันแสนพิลาสพิไล
ท่องไปในราวไพรราวป่า...
ราว..สาวบ้านนาผู้มิเคยสิ้นรักภักดี...!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song94.html
ขวัญใจเจ้าทุย รวงทอง ทองลั่นทม
เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินไหมใครมากู่ กู่
เรียก หาเจ้าอยู่ อยู่ หนใดรีบมา
เจ้าทุยเพื่อนฉัน ออกมาหากันดีกว่า อย่า
เฉยเลยอย่าอย่า มะมา เร็วไว
เกิด มามีแต่ทุย เป็นเพื่อนกัน
ค่ำเช้า ทำงาน ไม่ทิ้งกัน ไม่หายไป
ข้า มีข้าวและน้ำ นำมาให้
อีกทั้ง ฟางกองใหญ่ อย่าช้าไย อย่าช้าไย
เจ้าทุยเพื่อนจ๋า ออกไปไถนาคงเหนื่อย อ่อน
เหนื่อย นักพักผ่อนก่อน หนาวจนอ่อนใจ
ข้าจะอาบน้ำ ป้อนฟางทั้งกำคำใหญ่ ใหญ่
จะสุมไฟกองใหม่ ใหม่ ไว้กันยุงมา
เจ้ามีคุณแก่เรามามาก มาย
ถึงแม้ เป็นควาย เจ้าเหนือกว่า ดีเสียกว่า
ผู้ คน ที่เกียจคร้าน ไม่เข้าท่า
ทุยเอ๋ยเจ้าดีกว่า ช่วยไถนา ได้ทุกวัน
เจ้าทุยนี่เอ๋ย ข้าเคยเลี้ยงดูมาก่อน เก่า
เมื่อ ครั้งยังเยาว์เยาว์ ทั้งทุยและฉัน
ข้าเคยขี่หลัง นั่งไปไหนไป ไม่หวาด หวั่น
จะสุขทุกข์เคยบุก บั่น รู้กันด้วยใจ
เติบ โตมาด้วยกันในไร่ นา เคยหา กินมา
ข้าเห็นใจ ข้าเห็นใจ
เจ้า ทุย ยากจะหา ใครเทียมได้
ข้ารักดัง ดวงใจ ไม่รักใคร ข้ารักทุย...
8 ตุลาคม 2548 22:17 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song197.html
สาวนา..
กำลังฟังบทเพลงนี้
ที่...
อ้ายทิ้งไว้ให้ก่อนลาไกล...ไปรับใช้ชาติอีกคราแล้ว
ด้วย...หยาดน้ำตาแห่งความคิดถึง
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
อันเป็นดวงใจ ทูล ทองใจ
ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ
โอ้เป็นความรักยิ่งใหญ่
เหมือนดาวรักใคร่ฟากฟ้า
เหมือน ดังแสงสุริยา
สาดแสงส่องพื้นภพหล้า ลงมาจูบทานตะวัน
เห็นใจเถิดฉันนั้นยังดำรง
เทิดทูนความรักสูงส่ง
ซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปรผัน
หวัง ใจได้คู่เคียงกัน
ตราบนิรันดร์มั่นหมายสวาท
เป็นทาสความรักเสมอ
อันเป็นดวงใจมานานแรมปี
เป็นราชินี แห่งใจฉันนี้คือเธอ
ทุกๆ ค่ำเช้าเฝ้าละเมอ
จิตใจพร่ำแต่เพ้อว่า รัก รักเธอรักจริง
ฉันรักเธอเหมือนดังดวงชีวา
ไม่เคยจะคิดเลยว่า สัญญาแล้วจะทอดทิ้ง
เห็น ใจฉันบ้างยอดหญิง
มอบหัวใจให้แล้วทุกสิ่ง
ด้วยความสัตย์จริงเสมอ
แด่เธอ ผู้เป็น ดวงใจ...
...........
และ..
ยิ่งแสนโศกสะเทือนใจ
เมื่อ..
ก่อนเดินทางไกล...
อ้ายได้รับข่าวร้าย
ว่า..
เพื่อนทหารพรานห้านาย..ได้มาพรากลา
ลงอีกคราครั้งแล้ว
*วีรบุรุษผู้ได้พลีชีพอย่างหาญกล้า*เพื่อผืนดินแม่มาตุภูมิ
1..ทพ.ณรงค์ นพพักตร์
2.. ทพ.การันต์ ยวนแดง
3. .ทพ. สมรลักษณ์ นิติสัย
4. .ทพ.นที เขื่องแก้ว
5. ทพ.วายุ พัฒน์ฉิม
และ..
บาดเจ็บอีก
1 นาย ชื่อ ทพ.เอนก ชุมบาล
ที่แผ่นดินไทย..และผองชนคนไท
ได้จารึกไว้ด้วยดวงใจแห่งความเทิดทูนคารวะ
วีรชนผู้กล้า
ผู้ได้ปะทะกับกองโจรก่อการร้าย
ให้ธงไตรรงค์คลุมร่างอย่างสมชายชาตินักรบ..!
อ้าย...นั่งเหม่อลอย..มองฟ้าไกลอย่างไร้จุดหมาย
ถอนหายใจยาว..หากไม่เคยปริปากบ่น
ถึง..
ทุกข์ยากลำเค็ญ
กับชีวิตอันแสนเข็ญที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
ที่ต้องจากบ้านนาลาเมียขวัญเมียแก้วอีกแล้ว..
อ้าย...เพียงกระซิบสั่ง
ให้สาวนานั้นต้องเข้มแข็ง
อย่าอ่อนแอแพ้พ่าย..
เมื่อได้เกิดมามีผัวเป็นชายชาติทหาร
จงได้ภาคภูมิใจ
และ
ให้เตรียมใจไว้ให้พร้อม..
ให้น้อมนึกถึงคำมรณาณุสติ
ที่...ทุกชีวี..
ต้องมาพบพรากจากลากันเป็นธรรมดาๆ..
แต่..
จะด้วยเวลาไหนและด้วยในหน้าที่ใดก็ตามที
หาก..
ต้องตายลงเพราะได้ทำหน้าที่
ปกป้องปักษ์พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย
ก็จงอย่าได้เสียใจ ..
ไม่ต้องร้องไห้..คร่ำครวญอาลัยอาวรณ์
ให้..
ใจดวงสะออนอรชรของสาวนา
ได้เพียรเข้มแข็งและรับรู้ว่า..
อ้ายมีความสุขและยินดีพลีชีวิต
ทุกหยดหยาดเลือด
และ..
ทั้งร่างและจิตวิญญาณ..ได้ทอดสถิต
ได้หลับสนิท..ในเงื้อมเงาแห่งพื้นพสุธาไทย
ใต้ร่มรัตนตรัย
ร่มไตรรงค์
ใต้ร่มเศวตรฉัตร
อันพิพัฒน์เรืองรองมาอย่างยาวนาน
ให้ลูกหลานเหลนโหลนไทย..ภายภาคหน้าได้ภาคภูมิใจ
ได้มีผืนแผ่นดินไทผืนดินทอง..ไว้ให้คงได้หยัดยืนอย่างทรนง
จงอย่าถวิลเทวษ..
จงทำหน้าที่เมียหทาร
ที่...
ผ่านสมรภูมิเกียรติยศ..ให้อย่างสมศักดิ์ศรี
มิให้อ้ายนี้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
เพราะ..
คนเรานั้นเกิดมาก็ตายแค่หนเดียว
เสี้ยวชีวิตนิดน้อย
อยู่ที่เราจะเลือกใช้ลมหายใจให้คุ้มค่าแค่ไหน
จะเพียงแค่เพื่อตัวเองและครอบครัวกระนั้นหรือ
ฤา..
จะให้โลกลือ ว่าช่างสมค่าคน
ที่ได้เกิดมา
ให้พอเรียกได้ว่า..*เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด*..ได้อย่างมิอายฟ้าดิน
สาวนา..กอดคอ..เจ้าสายน้ำอย่างแสนรัก
แทนใจดวงภักดี
ที่ยังมี..อ้ายคนดี..ทอดทับในหอมห้วงหัวใจทั้งควายคน
สาวนาจำคืนสุดท้ายได้
คืนที่อ้าย..
เปิดบทเพลงแห่งความรักภักดี
พลีให้สาวนาฟัง
จน...
สาวนาต้องละหลั่งรินน้ำตาสะอื้นไห้..
ภายในในอ้อมกอดอ้ายอย่างแสนจงรัก....
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song202.html
เสียงดุเหว่าแว่ว ทูล ทองใจ
เสียงดุเหว่าแว่วมาเหมือนเตือนให้
สอง เรา ผวา จาก กัน
ค่อน คืน ตื่น ฝัน เราเกี่ยวแขนกัน
เที่ยวในแดนฟ้า พบวิมานเทวา
ผ่านดาราน้อยใหญ่ปราสาทสีทองงามผ่องอำไพ
โอ้เพลินใจในแดนสวรรค์
กอดกัน กระซิบกระแซะกัน
ชวนชมนั่นดาว ระยิบระยับตา
เพลินอยู่จนเสียงดุเหว่าแว่วมา
เป็นสัญญาให้เราจากกัน
อิงแอบ แนบ ปลอบใจ
เสียงสะอื้น ยังจำได้ ร่ำอยู่จนใกล้ สว่าง
ฟ้าสางแล้วเรา ต้องพรากจากกัน
เสียง ดุเหว่า แว่วร้อง อยู่
กระตู้วู้ เมื่อครู่ เลือน หาย
แสนเสียดาย สุดจะหมาย กลับ คืน.
...............
ยามนี้...
สาวนา...
นอนเดียวดายริมลอมฟางลำพัง
มีเพียงหัวใจดวงระริบหรี่
แม้นจัก..
มีแสงกระจ่างพร่างพราว
จากมณีเดือนมณีดาวมาเคล้าคลอ
มากระพริบพ้อล้อพราย
หว่านสายแสนหวานตรงหน้า
สาวนา..น้ำตาซึม
เมื่อคิดถึง..
อ้อมกอดรัดรึงในคืนอำลา
ก่อนอุษาฟ้าสว่าง..
ในท่ามดาวประกายพฤกษ์
กับ
เรียวไผ่ในไรแสงรุบหรู่ไหวระบัดซัดส่าย
ราว..
กำลังร่ายมนต์ช่วยปลอบประโลม
สายน้ำ..ในลำประโดง..เงียบงัน!
คืนที่..สิ้นไร้แสงจันทร์..
มีเพียงเงาเมฆหม่น...
ทั้งในใจคนทั้งสองและคลองฟ้า
ที่ณ..บัดนี้
สายพระพิรุณกำลังร่ำไห้สั่งลา..*ค่ำคืนแห่งรักนิรันดร์*
คืนที่อ้าย..วอนขออ้อนรักรำพันจนรุ่งสาง
ในท่ามน้ำตาของสาวนา
เปียกอกรดระริน..
ด้วยแรงรักแรงรัดร้อยมิรู้สิ้นสายสวาทเสน่หา
ดั่งสร้อยโซ่ปรารถนา ...
ที่รู้ซึ้งค่า..
ถึงวันคืนแห่ง..*การอำลา*จากกัน
อันคืบคลานมาอย่างมินานช้า
ใกล้เข้ามา ใกล้เข้า มา...
ที่รอเวลาให้หัวใจทั้งคู่นับถอยหลัง
..............
.................
อ้ายพรมจูบละเมียด เนิบนาน
ลาสาวนาริมกระท่อมอย่างถนอมนวล..
ดวงดอกไม้รายล้อม..ราวพร้อมพลีเลิกผลิบาน
มีเพียงรานเหงา
จูบแล้วจูบเล่าเฝ้าวนรอย
และ..
ก่อนจะถอย...เดินลาจาก
ไปอย่างช้าช้า...
ไม่...หันหลังมา..มองดูร่างของสาวนา..อีกเลย...!
ที่ณ..บัดนั้น
พลัน...
ทรุดร่างลงกับพื้น...พลางร่ำไห้
อย่างสิ้นไร้หวังใด..
ในชีวาชีวิตอันนิดหนึ่งน้อยนี้แล้ว
ลมหายใจ.สาวนา..เริ่ม..ขาดห้วง..
ก่อนที่..ราวกับ
จะได้ยินเสียงอ้าย..ก้องกังวานมาจากปวงป่าฟ้ากว้าง
และ..
กับสายลมที่กำลังพร่างรินมาโอบกอด
*เป็นเมียทหารไทย
ต้องใจสู้ต้องรู้เข้มแข็งกลืนกล้ำ
รู้คำอดทน
รู้ค่าคำเกียรติศักดิ์รักแห่งตน
ที่แสนยิ่งใหญ่
จง...เชิดหน้าภาคภูมิใจนะคนดีนะดวงใจ..
ที่ชีพอ้ายนี้...
ได้พลีเพื่อพสุธาทองแผ่นดินแม่ขอเงราทั้งคู่แล้ว...!!!!
...................
..............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song197.html
จูบมัดจำ ทูล ทองใจ
ต่าง วิงวอน อ้อนรัก พรอดพร่ำ
รัก แสน หวานฉ่ำ พี่จูบมัดจำ ตลอดทั้งคืน
กอดนวลไว้ แนบกายฝังใจระรื่น
ไออกอุ่นหนุนรักชื่น
พี่กอดขวัญยืน มิจางห่างน้อง
จะ มีใครที่ไหนกันเล่า สวยงามเกินเจ้า
พี่เฝ้าเล้าโลม โฉมนิ่มเนื้อทอง
สุดจะสรรค์ เนินถันเจ้างามขาวผ่อง
ดังหนึ่งพิมพ์ ยามยิ้มมอง
สวาทรักปอง น้องนางนั่งชม
จวนแจ้ง แล้ว หนา เดือนตกจะลับตา
นกกาต่างกู่ หาคู่ภิรมย์
นกกู่ พี่กอดเจ้าไว้มิให้ระทม
สองเราต่างเฝ้าเชยชม
จนสิ้นแสงโดมแห่งจันทร์
พี่ ต้องลาก่อนฟ้าสว่าง น้องนวลแนบนาง
เฝ้าจูบสองปราง เพื่อฝากสัมพันธ์
แต่คืนนี้ พี่ไปอย่าได้ไหวหวั่น
คืนใหม่เราค่อยพบกัน
เพื่อสร้างวิมานฉิมพลีที่คอย...
7 ตุลาคม 2548 13:33 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song30.html
(ทุ่งรวงทอง..บ้านเรา)
อ้าย..คนดี...
กลับมาหาสาวนาในราตรี
ราตรีที่..
สายฝนกำลังกระหน่ำหนัก
พายุ..
กำลังพัดจัด
จนต้นไม้รายรอบกระท่อมแทบโค่นหักไปตามๆกัน...!
เสียงลมแรง... ฟ้าครวญ ..ราวฟ้าดินรับรู้
กับค่ำคืนนี้..ที่ฟ้ากำลังรอเวลาพลีร่ำไห้
คืนที่..
นกไพรพเนจรดายเดียว
ผู้ได้รอนแรมร้างไร้จากรังรักในรวงใจของสาวนา
ได้คืนหลังกลับมา..หา
ดาวรุ่งแห่งทุ่งข้าว..!
หลังจาก..ที่เต็มใจ
ต้องจากต้องพรากลา
ไปทำหน้าที่ทหารพรานอาสาสมัคร
ผู้พิทักษ์ปกบ้านป้องเมือง
ทางชายแดนภาคใต้มานานเกือบปี..
คนดี..
ที่กลับมา...
กับดวงตาสีสนิมโศก
ที่โศกยิ่งกว่าโศก..เศร้าเกินกว่าเศร้า..
ราวกับว่า...
*โลกแสนงามในดวงใจ*กำลังจะลาลับดับสูญสิ้น...
พร้อมผิวดำกร้าน...
อย่างผู้ผ่านสมรภูมิแห่ง
*โศกนาฏกรรมไทยฆ่าไทยกันเอง*
ที่ทำกันอย่างไม่ยำเกรงกฏหมาย
มีเพียงกฎหมู่ ...
ที่แสนโหดร้ายทารุณ
จนยาก..
ที่จะหาคำใดมาบรรยายถึง...
ความน่าสะพรึงกลัวได้เทียมเท่า..!
และ...
ผู้ที่เป็น..*สุภาพบุรุษชายชาตินักรบ*..จริงๆ
กลับต้องมา...
เสียสละ..
ทั้งร่างแลดวงจิตวิญญาณ..อันแสนหาญกล้า
ไว้ให้...
*ผู้เป็นที่รัก*เบื้องหลัง
ได้พลีหลั่งรินน้ำตาด้วยความทุกข์เวทนา
อย่างแสนอาลัยอาวรณ์..เทวษถวิลมิรู้สิ้น
และ...
ด้วยคำถามแห่งความไม่เข้าใจจากไทยทุกทุกข์ผู้คน
บนผืนดิน..แม่มาตุภูมิ..
ที่ปนปลื้มด้วยความภาคภูมิหากแสนโศกสะเทือน
ด้วยหยาดน้ำตา
เมื่อ..เหลียวไป..
พบผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจนั้น
กลับมาด้วยธงไตรรงค์คลุมหน้าคลุมร่าง..
อย่าง..ทรนงองอาจ อย่าง..มิเสียชาติเกิด..
อย่างที่..
คนทั้งผืนแผ่นดินจักเทิดพลีคารวะ..
และ..
กับทุกดวงตาดวงใจไทยที่มีคำถามตามมาว่า..
ทำไม..ทำไม..และทำไม...และเพราะเหตุใดอย่างไม่มีวันสิ้นสุด....?
อ้าย..หลับตา...
ราวทารกน้อย..ในอ้อมกอดอ้อมตักของสาวนา
ที่กำลัง..
ไล้ลูบใบหน้าอย่างแสนรักบูชา..
ในท่ามกลางแสงตะเกียงระริบหรี่ ระรุบหรู่..
สาวนา...ค่อยค่อยพลีจุมพิต..ที่เปลือกตาอ้ายอย่างละมุนละเมียด
ก่อนที่..
จะเบียดซุกตัวในอ้อมกอดอันอวลกรุ่น
ด้วยไออุ่นแห่งรักของกันและกัน
พร้อม...
ขับลำนำเห่กล่อม..*เจ้าจอมใจเจ้าดวงใจ*ของสาวนา
ด้วยบทโศลกแสนซึ้ง ..ที่ท่องไว้จนจำขึ้นใจ
ด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าสะเทือน
เสมือน...
กับกำลังจะวอนไหว้..ด้วยหยาดน้ำตา
ให้เทพยดาฟ้าดิน..สิ้นอินทร์พรหมได้รับรู้...รับทราบ..ทั่วกัน...
.......................................................................
นิราศจักรวาล..ของคุณชัยพร ศรีโบราณ
กวีนิพนธ์ยอดเยี่ยมประจำปี 2548 นายอินทร์อะวอร์ด
........................................................................
ตอนที่11
สองราแรมรอนอ่อนล้า
ขอขมาเจ้าของครองหน
เรณูธุลีลอยวน
ลงบนใบข้าวเนาพัก
ทางไกลเนิ่นช้าคลาคล้อย
ร่อยหรอแรงเฉื่อยเหนื่อยหนัก
รวงข้าวกล่าวความถามทัก
ท่านเป็นที่รักของเรา
สองท่านฝันถึงถิ่นไหน
เหตุใดดูขรึมซึมเหงา
คงเหนื่อยเหลือเกินเชิญเนา
ไม่เก็บค่าเช่าค่าชม
เรณูว่าเราเฝ้าหวัง
ยังลานบุษบาวนาศรม
พบมิตรสุวมาลย์เกลียวกลม
รื่นรินกลิ่นฉมรมณีย์
ร่วมก่อช่อดอกออกผล
หลากล้นลวดลายหลากสี
ประดับดวงใจไมตรี
คลี่บานความหวังยั่งยืน
ธุลีว่าเราเฝ้าหวัง
ยังแดนอุดมร่มรื่น
ร่วมมิตรเม็ดดินกลมกลืน
เป็นผืนผไทไศลา
ขอเป็นธุลีน้อยต้อยต่ำ
คอยค้ำลำต้นบุปผา
เพื่อให้ดอกไม้นานา
บานแย้มแต้มค่าฟ้าดิน
รวงข้าวว่าน่าเศร้าเพราะดาวนี้
สุมาลีหอมละมุนได้สูญสิ้น
นับพันปีผ่านไปเกินใฝ่จินต์
นิราถิ่นอุทยานนิรันดร
ฉันเกิดเวียนดับกับดาเรศ
เคยเห็นเหตุนานาอุทาหรณ์
ยังเหลือเธอเท่านั้นท่องสัญจร
เป็นเกสรสุดท้ายที่ทนทาน
อยากให้ฝันของเธออันเลอเลิศ
ปรากฏเกิดสวนศรีที่ไพศาล
หนึ่งเรณูธุลีลอยจักรวาล
ร่วมกันสร้างอุทยานให้ยืนยง
เสียดายแต่ดาวรุ่งของทุ่งข้าว
สูญสุมามาลย์รานร้าวไม่เหลือหลง
ร้างละอองเรณูอยู่ดำรง
เพื่อสืบพงศ์บุปผาไปช้านาน
กาละหนึ่งนกดำทรงอำนาจ
ใจอุบาทว์หยาบกระด้างมุ่งล้างผลาญ
หลงกากเดนเหม็นเน่าเป็นเผ่าพาล
ละโมบบ้าสามานย์ก่อการร้าย
มันเกลียดชังบุปผชาติสะอาดหอม
จึงพ่นไฟไหม้หลอมลาญสลาย
รากแก้วของผองผกาละลายวาย
พลันเสื่อมคลายสุคนธาจากฟ้าดิน
ความหอมหวานอ่อนไหวได้สูญเปล่า
เหลือแต่ข้าวรุกขาชลาสินธุ์
พอให้มันอาศัยได้ดื่มกิน
ดับแสงจินตนาการจากลานใจ
ทั้งธุลีเรณูหดหู่ยิ่ง
ความเป็นจริงไกลกันกับฝันใฝ่
เราจะต้องท่องดาวนานเท่าใด
จึงดอกไม้บานสะพรั่งอีกครั้งคราว....
...............
เสียงอันหวานเศร้ารานร้าวนั้น
พลันก้องหวานสะท้านสะท้อนสะเทือน
ไปทั้งหุบไพร ฟ้ากว้าง
กับเดือนร้างแรมลา
กับ....
หยาดน้ำตานางฟ้าที่กำลังพร่างพรม
ห่มท้องนาอย่างหน่วงหนัก ราวรับรู้ รับฟัง
รวงข้าวกระซิกกระซิกร่ำไห้..ค้อมพวงพรายพราวทองลงพลีดิน
ก่อน..จะสิ้นเสียงไห้โหยแหบพร่าไปกับน้ำตาแห่งฟ้าดิน
กับกลิ่นอวลแห่งพวงพะยอมป่าปวง
ที่พากันปลิดกลีบโรยร่วงทิ้งก้านกอ
พ้อพลีดวงดอกร่วงพราว
กราวลงพร่างพื้นพสุธา...ราวสิ้นแล้วซึ่งหวังใด..!!!!
.............
สาวนาพึมพำ..ทิ้งท้าย
พร้อมกับ
ดอมดมพรมจูบ
ลูบไล้แผ่วละมุนไปตามใบหน้า
ริมคางสากกร้านของอ้ายอย่างรักแสนรัก..
* หลับให้สบายนะคนดี*
ไม่มีอะไรจะหมายมากรายกล้ำ
มาให้ฝันร้ายได้อีก...*
*ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น...
ด้วยพลังอำนาจ
แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
คู่ฟ้าดิน...
ด้วยบุญญาบารมีแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช
และ...
ด้วย..
หยาดน้ำพระราชหฤทัยของพระพ่อขวัญแม่เมือง
ที่..
คอยพร่างหยาดสาย...ให้ทุกราวเรื่องร้ายได้กลายดี
ให้ทุกคน..ที่คิดผิด..ได้สำนึกตัว
ได้ตระหนักรู้ว่า..*
*ในหล้าโลกนี้นั้น...
ผืนแผ่นดินไทยนั้นแสนอุดมดั่งผืนทอง
แล้ว...
ไยต้องมาห้ำหั่นปันแบ่งกัน
ไยไม่สมานฉันท์
รู้รักสามัคคี
รู้กตเวทิตาต่อผืนดินที่ให้ข้าวให้น้ำ
ให้.มาอย่างยาวนาน ...นับไม่รู้กี่ชั่วอายุคน..แล้ว..*
และ...
อ้ายรู้ไหม..เมื่อไม่กี่วันก่อน
องค์*สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินินาถฯ*
ได้เสด็จแปรพระราชฐาน
ไปทรง ประทับ ณ..พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
เพื่อทรงเป็นมิ่งขวัญกำลังใจแด่คนไทย ทุกหมู่เหล่า
ทั้งยังทรงได้เสด็จฯพระราชดำเนิน
ไปยัง..*จังหวัดพัทลุง..*
เพื่อ..
ทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกร
ได้พระราชทาน
คำแนะนำเกี่ยวกับการทดลองเพาะปลูกผักผลไม้
ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ
และ...
แวะดูแปลงทดลองข้าว*พันธุ์สังข์หยด*
และ..
พันธุ์ต่างๆที่เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีรสชาติดี..
ทั้งยังทรงมีพระราชดำริ
ให้มีการปลูกเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ข้าวอีกหลายพันธุ์
ที่เหมาะกับดินที่นั่น
ที่คือดินงามอุดมแห่งแดนทองด้ามขวานไทย
และ..
มาตรแม้นผู้คนจะจนยากกว่าคนในจังหวัดใดของประเทศ
หาก..
คือแหล่งเพาะบ่มตำนานแห่งความเป็นคนไทย
ที่..
ยังมีประเพณีวิถีไทยวิถีทุ่งวิถีทอง
อันเปรียบประดุจ
*ธารธาราทองแห่งวัฒนธรรมผืนดินภาคใต้*
คนดี...และ
ทุกครั้งคราที่สาวนาฟัง
บทเพลงนี้...ที่ชื่อ*สายฝน*
หัวใจดวงดีดวงทอง
พลันจะ..นองเนืองได้หยาดน้ำตา
ด้วย..
ตระหนักซึ้งค่า
ในหยาดน้ำพระทัยแห่งทั้งสองพระองค์ฯล้นเกล้าล้นกระหม่อม
ที่ทรงบุกป่าฝ่าดง
ทรงเพียร
ที่จะให้คนไทยทั้งชาติ ได้อยู่ดิกินดีมีสุข
สมถะรู้ใช้ชีวิตอย่างพอดีพอเพียง..
จนพระวรกาย
ต้องทรงพบแต่ความลำบากตรากตรำ
ก็มิเคยทรงสิ้นหวังและท้อแท้..
ที่จะกอบกู้ต่อสู้
เพื่อให้แผ่นดินธรรม ผืนดินทอง ได้คงอยู่
เพื่อลูกหลานเหลนโหลนไทย...ที่จะเติบใหญ่ในภายหน้า..
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6197.html
สายฝน ....เพลงพระราชนิพนธ์
*เมื่อลมฝน บนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้ว ลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอน รากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่าน บันดาลให้ฝนหลั่ง
เพื่อประทัง ชีวิตมิทราม
น้ำทิพย์สาด
เป็นสาย พรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคาม ชื่นธารา
สาดเป็นสาย
พรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้ง อร่ามตา
รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา
ยาม เมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วย อำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำ ดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่ง ลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพันธุ์ไม้ ชื่นยืนยง...
.............
กล่าวมาถึงตรงนี้
พลัน...
หยาดน้ำตา
สาวนาก็พราวพร่าซึมลงบนใบหน้าอ้าย
อย่างไร้หยุดยั้ง...
ที่รอจะละหลั่งรินมิสิ้นสาย
มาแสนนาน
ด้วย..
รานร้าวใจ
กับคนไทย..ไทยมุสลิมบางคน
ที่ไยไม่ซึ้งค่ารู้รักเทิดบูชาแผ่นดิน
ที่ให้ข้าวให้น้ำมานาน..แสนนานนะ
คนดี...แต่
สำหรับเราสองนั้น
เหนือดวงชีวาคือรู้ค่ารู้คุณ
และ..
ครองงามครองดีครองกตเวทิตาต่อแผ่นดินนี้..
และ...
ที่สาวนาแสนปิติภาคภูมิใจนัก
ก็คือโชคดี
ได้เกิดมาเป็นเมียรักเมียขวัญของอ้าย
ลูกผู้ชายที่ภักดิ์แผ่นดิน
รู้หน้าที่...
รู้ว่าชีวีคนเรานั้นแสนสั้นนัก
ควรพลีร่าง
และ..
ทุกหยดหยาดเลือดรักแลลมหายใจ
ดั่ง..
*ชายชาติเกียรติศักดิ์ทหารเสือ*
ยามเมื่อชาติบ้านเมืองต้องการ..ใช่ไหมเล่า..อ้ายคนดี..
...........
อ้าย..ลืมตา..อย่างช้าช้า
*ตาสบตา..*.
ที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตา
แห่งความโศกสะเทือนทับทั้งคู่
พร้อมกับ...
ที่เขาคนดี...ค่อยๆ..ใช้มือหยาบกร้าน
มือที่จับด้ามปืนมานานวัน..
มือที่พลีกำนัล
ให้สาวนาได้ไล้จูบทุกนิ้วนับอย่างรักใคร่
ประคอง..
ไล้ลูบหน้าสาวนา..อย่างแผ่วเบา..
แทนค่าคำ..รัก...
แทน..ดวงใจ..
แทนทุกข์เทวษถึงทุกข์ไทไทย
แทนน้ำตาจากใจลูกผู้ชาย..
ที่กำลังระรินไหล
ด้วยโศกสะเทือนใจ..เสียยิ่งกว่าฟ้าร้องไห้....!!!
...........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song30.html
ทุ่งรวงทอง ....ชรินทร์ นันทนาคร
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
เห็นข้าวออกรวงน่ามอง
ดุจแสงทองสีแห่งศรัทธา
พี่มาได้ยล นฤมลนวลน้องบ้านนา
ถึงจะสวยตามประสา
ก็โสภาเหนือกว่านางใด
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
น้ำเปี่ยมอยู่ริมฝั่งคลอง
เช่นพี่รัก น้องเปี่ยมฤทัย
สะพานเชื่อมคลอง เหมือนพี่กับน้องเชื่อมใจ
ถึงอยู่แสนไกลแค่ไหน เชื่อมหัวใจให้สมปอง
พี่ เยือน ถึงถิ่น น้องเอยอย่าหมิ่น
น้ำใจเพื่อนใหม่ จะหมอง
ขออยู่ ขอตายจนวันสุดท้ายกับน้อง
ให้ทุ่ง รวงทองนี้เป็นเจ้าของ เรือน ตาย
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ ขาดน้อง
ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย
พี่มาจากกรุง หมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย
รับปากรักพี่ได้ไหม
โอ้ขวัญใจ ทุ่งรวงทอง
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง
ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย
พี่มาจากกรุงหมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย
รับปากรักพี่ได้ไหม
โอ้ขวัญใจทุ่งรวงทอง...
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา ...สุเทพ วงศ์กำแหง
บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย...
20 กันยายน 2548 17:34 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song367.html
............
สาวนา...
ตื่นมาตอนตีห้า
เดือนแจ่มดวง ยังลอยเด่นคว้าง..
ค้างฟ้า*สีน้ำเงิน งามแปลกมาก*
เสียงเจ้าสายน้ำครางอยู่ในคอก
ราวมีเหลือบยุงริ้นไรไชชอน
ร้องอ้อนรอเวลาให้สาวนา
พาลงไปอาบน้ำในคลองบึง...
สาวนาหลับตาซึ้งๆลง
พร้อมเพ้อพะวงหลงฝันหลงคิดถึงอ้าย
และ...
ราวกับ
จะให้ดาวประจำเมืองประดับฟ้า
ปลอบประโลมใจ...
ให้ใจดวงนี้
ที่แสนเหน็บหนาวร้าวร่าง
ด้วยละออละอองหยาดน้ำค้างน้ำฝน
ที่หล่นลาผ่านหลังคาจาก
ที่พากันพรายพร่างเต้นระบำบนลานดิน
ที่ระเริงระรินระริกราวดอกไม้ฟ้า...
ใจดวงเศร้าของสาวนา...
จึงเหว่ว้ามิรู้สิ้น
เมื่อแสนถวิลคิดถึงคะนึงครวญหวนหา
เมื่อคิดว่า...
ในยามนี้ หากมีอ้ายอยู่
หน้าที่ของอ้ายคือ
พาเจ้าสายน้ำออกจากคอก
เพื่อออกไปขัดสีฉวีวรรณให้มัน
เพราะ..
ทั้งคืนปล่อยให้นอนในปลักพักกันยุงจนรุ่งแจ้ง
แล้วถึงจะพาไปลงทุ่ง
ให้จรุงหัวใจควายหนุ่มวัยกำดัดในยามเช้า
และ....
บางค่ำคืน..ในฤดูหนาว
ทั้งสาวนาและอ้าย
จะพากันไปจุดไฟไล่ยุงสุมคอกด้วยฟาง
ให้เจ้าลูกควายสายน้ำนอน
และ
รวมทั้งสองร่างที่ไม่มีผ้าห่มหนาพอ
จะมีก็..เพียงอ้อมอกอุ่น..ที่จะพลีให้แก่กันและกัน
ถึงกระนั้น...
สำหรับสาวนา...โลกยากไร้ก็ราวสวรรค์สรวง
เมื่อย้อนดวงใจคิดไป
ในคืนฟ้าแจ่ม...
ที่กองไฟ..ลุกโชนโหมให้มิสิ้นไร้ไฟรักไฟเสน่หา
ท่ามดาวเดือนทอทอดลอดไล้อาบสายหวาน
หว่านหยาดน้ำผึ้งจันทร์
เล้าโลมไปตามทุ่งหญ้าเรียวรวง
จนพาพวงพรายพร่างเป็นสีทองอะร้าอร่าม
งามมลังเมลืองเหลืองปลั่งไปหมด
และ...
ท่ามลอมฟาง..
ที่หอมข้าวใหม่อันแสนเคยคุ้นอุ่นไอ
กับ..อกละมุนกรุ่นละไมจากใจอ้าย
ที่ตระกองกอดสาวนาไว้อย่างแสนรักนักรักหนา
กับฟ้าสวยลมระรวยระริน
กับปวงกลิ่นดวงดอกไม้ป่า
กับน้ำค้างฟ้าพร่างพราวในยามดึก
ให้สองดวงใจ...
ตกอยู่หอมห้วงแห่งภวังค์ฝันอันดื่มด่ำล้ำลึก
ยามอ้ายเป่าขลุ่ยเพลง
*เดือนเพ็ญ*และ*ขวัญเรียม*
ให้โหยไห้โหยหา แสนหวานรานร้าวใจ
ไปทั้งบึ้งใจบึงนา ให้ทั้งโลกหล้าพากันคอยเงี่ยหูฟัง
และ...
อ้ายคนดี
จะพลีนิ้วพลิ้วพรายเล่นเพลงนี้แด่สาวนาเป็นพิเศษ
*ขวัญ เรียม*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
ขวัญ เรียม..ชรินทร์ นันทนาคร
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม
หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม
เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ
คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ
ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่
แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม.
...................
บางทีสาวนา..ก็น้ำตาซึมแสนซึ้งใจ
เมื่ออ้ายค่อยๆแกะมันเทศ
ที่เผาไฟหอมกรุ่นละมุนลิ้นยามลิ้มลอง
ให้
สาวนาได้กินแบบอุ่นอิ่มในท้อง
ได้สัมผัสรสอันแสนหวานหอมธรรมชาติ
แม้นจะเป็นเพียงอาหารดาดๆมิใช่ดีดี
แล้ว...
ไหนจะยังมีเม็ดมะขามคั่วตามมีตามยาก
ที่ฝังฝากความทรงจำ
อันแสนวิจิตรล้ำในวิถีคนยากคนลำบาก
หากทว่าแสนให้ความสุขสงบใจ
ไหนจะ...
ยามฝนหลั่งสะพรั่งเม็ดพราวราวช่อน้ำฟ้า
ที่รอร่วงลงมาหยาดหล้าประโลมดิน
ที่สมัยนั้น
สาวนาและอ้ายยังไม่ได้ทำนาปรัง
มีแต่ทำนาปี...ที่ปีนึงทำได้แค่ครั้งเดียว
อ้ายคนดีจะชอบหาปลา
ทั้งๆที่กลัวบาปนักหนา
แต่ก็จำเป็น..เพื่อแค่ยังชีพชอบ
มาประกอบการกินให้มิสิ้นแรง
ได้ไปหว่านข้าวรอคมเคียวเกี่ยวเก็บ
พาให้คนไทยอิ่มท้อง...มิต้องอดอยากทุกข์ทน
ปลา..
จะลอยล่องท่องสายน้ำมามากมายมาว่ายวน
ปลาหมอ...ปลาช่อน...ปลาดุก
และ...
ปลาตะเพียน
ที่ซุกซนมารอยามข้าวแตกกอ
มารอว่ายเวียนวน
มากินข้าวพราวหล่นร่วงจากรวงพราว
และ....
ก่อนไปปักเบ็ด
อ้ายจะจำวิธีที่พ่อคนดีพลีสอนให้
รู้จักการสานตะข้อง
และ..
ทำคันเบ็ด เหลา ผูกเอง
ที่อ้ายเรียนรู้แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
ในทุกวิถีทางแห่งความเรียบง่าย
และ...
ได้ยังประโยชน์ให้เกิดโภคผลสืบทอดมา
และ...
ไหนจะมีประเพณีนานาของชาวนา
อย่างยามเวลา...
ข้าวตั้งท้อง..
ก็จักต้องจะเอาชะลอมเล็กๆมาทำ*ขวัญข้าว*
ข้างใน...
มี กล้วย อ้อย ส้ม
มีหวี น้ำมันใส่ผม ให้แม่โพสพ
พิธีกรรมแสนศักดิ์สิทธิ์ ที่บอกวิถีชีวิตวิถีวัฒนธรรม
วิถีชนบทอันแสนงดงาม
อย่างช่างแสนน่าภาคภูมิปิติใจ...
หลายเรื่องราว..
ที่ผ่านมากับกาลเวลา
แห่งความรักแบบอดออมทะนุถนอมใจร่าง..พลีสู้ทน
ของ..*คนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน*
จะเหนื่อยมิสิ้นเพียงไหน...ก็มิเคยปริปากบ่น..
ที่คิดคราใด
กมลละไมหัวใจสาวนา...ก็แสนเหว่ว้าละมุน
จนน้ำตาจะหยาดริน..มิสิ้นสาย..
ยามที่ไม่มีเงิน..
จะแลกซื้อของกินของใช้จำเป็น
แม้เพียงนิดหน่อยบางชนิด
สาวนาและอ้าย
ต้องหันมาปลูกผักพื้นบ้านและหาปลาเอาเอง
และหากวันไหนโชคดี...
อ้ายจะลงลุยน้ำลึกไปหาไข่เป็ดในคลอง
เพราะ...
เป็ดจะไข่ตามกอหญ้าแฝกให้แหวกกอรอพบ
ก่อนวันจบจะได้มาเป็นสิบใบบางวันก็อด
เมื่อเพื่อนบ้านเอาไปกินเสียก่อน
และ..
แสนมีกติกาว่า
ห้ามบอกว่าไปได้ไข่ที่ไหนมา
เพราะแต่ละบ้านจะเลี้ยงบ้านละ ห้า ถึงสิบตัว
ไม่รู้ของใครเป็นของใคร
หากหัวใจยังมีจิตใสใจเอื้อเฟื้ออารี
พลีแบ่งปันกันตามประสายาก
สิ่งที่...ทำให้น้ำตาสาวนาไหลพรากเมื่อ
วันหนึ่ง...
อ้ายลงบึงลงท้องร่องหาผักแต่เช้า
เฝ้าตัดและติดต่อร้านในตลาด
ว่าจะเอาผักไปส่ง...
ผัก ชะอม มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว
ฟักแฟงแตงร้าน แตงไทย
เพราะ..
เหตุอะไรนะหรือ
เพราะอ้ายคนซื่อ..
หวังอยากให้สาวนามีผ้าถุงนุ่งสวยผืนใหม่
ใส่ไปวัดในวันปีใหม่สงกรานต์ งานบุญใหญ่
และ...
น่าสงสารเมื่อ อ้ายกลับกระท่อมมา
พร้อมกับตะกร้าที่ยังเต็มไปด้วยผักๆๆๆ
เพราะ...แม่ค้าไม่รับซื้อ
และ...
นั่นคือน้ำใจอ้ายคนดี
ที่สาวนาต้องพลีหยาดน้ำตาผวาไปรับขวัญ
พร้อมกระซิบรำพัน..
ย้ำคำว่าสาวนานั้น...ไม่เป็นไร
ในเมื่อจะนุ่งอะไร ...หัวใจและร่างสาวนาก็ยังงาม
ยังรักอ้ายเหมือนเดิมและจะยิ่งเพิ่มรักตามกาลเวลา
หาเกี่ยวกับผ้าฤาว่าวัตถุภายนอกไม่...ที่ไม่เห็นจำเป็นเลย
ขอ..เพียงเราสอง..ครองรักด้วยความเข้าใจอภัยเมตตา
ชวนกันอธิษฐานภาวนาแตกช่อกอบุญ
สร้างกุศลจิต
ให้หอมกรุ่นหอมงามด้วยยอดพระรัตนตรัย
นำทางชีวิต
ไปพบน้ำพระทัยจากหยาดน้ำพระธรรม
อันคือน้ำอมฤตอันล้ำเลอค่า
ที่จะหยาดเย็น ดับกิเลส..ได้
ให้กลายเป็นนิรันดร์ว่างนิรันดร์รัก
บางครา...
สาวนา...ต้องหลั่งน้ำตาซ้ำแล้วเล่า
เมื่อเฝ้าฟังชีวิตหนหลังของอ้าย
ที่ไร้พ่อ มีเพียงแม่และคุณตาคุณยาย
เพราะ...
พ่อออกจากบ้านไปแปดปี
ด้วยเหตุที่คุณตาไม่ยอมให้เข้าบ้าน
จึงไปพลีชีพเป็นพระภิกษุสงฆ์
ในร่มเงางามแห่งพระพุทธศาสนา
และ...
ภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาส..
และ..
ด้วยเพราะเหตุนี้
ด้วยความไม่มีพ่อ
อ้าย...จึงก่อเกิดมาด้วยความเข้มแข็งอดทน
หนักเอาเบาสู้...
รู้แม้ทำกับข้าวเพราะความเป็น ชาวไร่ชาวนา
รู้ทำอาหารแบบไม่ต้องวิลิศมาหราแบบบ้านนอกๆ
เช่น...
ปล้าร้าสับกับหัวปลี แกงส้ม ตำน้ำพริกสด ..ต้มยำ...
ที่ยามอ้ายลงครัวกระท่อม จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
และ
ให้สาวนานี้คอยเป็นลูกมือ
สาวนาเห็นอ้ายแค่หยิบๆๆใส่
แสนแซ่บส์อร่อยล้ำ...จนกระทั่งแม้เชส์ลไม่ต้องมาชิมเลย
ไม่ว่า...
ชะอมชุบไข่
ผักบุ้งผัดน้ำมัน ดอกสลิดดอกโสน
และ..
ด้วยความยากลำบาก
ผลไม้ก็เก็บกินตามมีตามยาก
ฝากท้องไว้กับผลไม้ป่า
ลูกหว้า ..เล็บเหยี่ยว..พุดทราน้อยหน่าดง
ที่อ้ายเคยเล่าให้สาวนา...ฟังว่ามีที่มาที่ไป
ที่...ยายคนดีจะเก็บพุดทรา
มาตากแห้งเอามาเชื่อมน้ำตาล เก็บไว้
ไหนจะมะม่วงป่าลูกเล็กๆ
ที่เช้าๆเด็กๆจะรีบไปแย่งกันเก็บ
เอามาฝานแช่เกลือเอาไปตากแดดจนแห้งเก็บในไห
ยายคนใจงามก็จะทำไว้ให้...
และ..ยัง
มากมีมากมายเรื่องราว
ที่คิดทุกครา...พาให้สาวนาคนดีจำต้องน้ำตาซึม
เมื่อคะนึงถึงคำอ้าย...
คล้าย...อ่อนโยนหวานแว่วแผ่วมากับฟ้ากว้าง
สอนให้จิตใสใจสาวนา
มิทิ้งร้างห่างวัดห่างบุญ
ให้หัวใจสาวนาได้หอมกรุ่น
ด้วยกลิ่นกรุ่นแห่งธรรม...มาอบร่ำดวงใจ
ให้สวยใสพิไลพิลาสแสนสว่างสะอาดบริสุทธิ์ประดุจดังบัวในบึง
และมีตอนหนึ่ง..
อ้ายเล่าว่า...
เพราะคุณตายกที่ให้สร้างวัด
และ
เพราะ...
พระนิยมบวชกันมากในสมัยก่อน
ตอนอ้ายอายุราวสักเจ็ดแปดขวบ
อ้ายต้องไปช่วยพระหาบสำรับก็คือกับข้าว
หากทว่าอ้ายคนดีคนนี้แสนกลัวผีมาก
ไม่กล้าไปนอนวัด
จน...
พระต้องมาตามทุกเช้าจนคุ้นเคยกับวัดมาก
และ..
ตอนนั้น ไม่รู้ว่าที่ไหนคือบ้านคือวัด
เพราะอยู่ติดกับกุฏิพระ
จนกระทั่ง....
หัวใจอ้ายนั้นได้รับอิทธิพลใสงาม
อย่างพุทธศาสนิกชนที่ดีที่แสนมีศรัทธาปสาทะ
ที่จะไม่ยอมหลงในวังวนแห่งอบายมุขเลย
จึงยามนี้...ในทุกครา
ที่สาวนามองเรียวรวงในนา
อันเหลืองพราวพรายในท่ามทุ่งงาม
*คำมั่นสัญญา..แห่งหน้าฝน*ก็พลันมาเตือน
ให้หัวใจสาวนา...
พลันผ่องผุดพิสุทธิ์ใส
ราวรวงทองคอยครองความดีพลีรออ้าย
ให้คืนหลังกลับมา กลับนา....!
ฟ้ายังคงเป็นเช่นสีฟ้า
หากทว่าใจสาวนา
บางเวลา..ไย...!
ฟ้าถึงเป็นสีโศก...ราวโลกดายเดียว
เมื่อเหลียวไปไม่พบอ้ายอย่างเช่นเคย...!!!
...........................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song367.html
เดือนเพ็ญ คาราบาว
เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม
นภาแจ่มนวลดูงาม เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา
แสงจันทร์นวล ชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา
คิดถึงท้องนา บ้านเรือนที่เคยเนาว์
กองไฟ สุมควายตามคอก
คงยังไม่มอดดับดอก จันทร์เอยช่วยบอก
ให้ลมช่วยเป่า
สุมไฟให้แรงเข้า พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรา นอนหลับอุ่นสบาย
เรไร ร้องดังฟังว่า
เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา
ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย
ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย
ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย
คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน
ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้
นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป
บอกเขานั้นหนา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย
เรไร ร้องดังฟังว่า
เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา
ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย
ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย
ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย
คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน
ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้
นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป
บอกเขานั้นหนา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย...