1 พฤศจิกายน 2548 08:46 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4610.html
(สาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ)
...............
สาวนา....ถูกปลุก..
ให้ตื่นขึ้นมากับเสียงนกเขาขันคูคู่ใจ
เคียงกระท่อมไพรวิมานวนาวิมานลั่นทม
แล้ว...
หลับตานิ่งๆ
ฟังบทเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์
*คนดังลืมหลังควาย คุณ พุ่มพวง ดวงจันทร์*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4580.html
นึกไว้ทุกนาที
ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย
เขานั้นคงแหนงหน่าย
เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า
นึกไว้ทุกคืนวัน
เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา
ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง
ได้เจอะคนเล็บแดงแดง
ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง
ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง
คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน
นึกไว้แล้วแล้วเชียว
คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน
ลวงให้เราหมองหม่น
นี่หรือใจคน พอดังก็ลืมหลังควาย
นึกไว้ทุกนาที
ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย
เขานั้นคงแหนงหน่าย
เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า
นึกไว้ทุกคืนวัน
เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา
ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง
ได้เจอะคนเล็บแดงแดง
ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง
ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง
คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน
นึกไว้แล้วแล้วเชียว
คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน
ลวงให้เราหมองหม่น
..............
เถาไม้เลื้อย..สายน้ำผึ้งแสนหวาน
และ..
มากลีลามาลีพวงสุคนธา
มากพันธุ์สีกลิ่นไม้ไทยไม้หอมนานา
เช่นรสสุคนธ์ราตรี
ที่มาพันพร่างชูช่อพ้อสายลมในยามเช้า
ในท่าม
ฟ้ากระจ่างสว่างไสวสีฟ้าใส..ใสใส
ราวใจดวงใสหวานพอกัน..
มา..
ปลอบปลุกร่างใจสาวนาให้ได้ลืมเหว่ว้า
รับอรุณอุ่นอวลด้วยเรียวรวงระย้าระยับ
อาบไล้ดั่งทองทาบฉาบทาไปทั่วทั้งท้องนา
กับ..
ฟ้าสีฟ้าแจ่มจรัสจรุงราวรุ้งเรียวพอกัน
และ...
นี่คือโลก...
แสนเงียบงามแสนสุขสงบของสาวนา
ไม่ว่า..
กาลเวลาจะลาเลยล่วงไปกี่ทิวาราตรี
และ..
ผู้คนบนผืนโลกนี้
ต่างพานพบโศกนาฎกรรมมากมาย
สาวนา..
ก็ยังคงมี..
ที่ซ่อนกายไว้ซ่อนซุกสุขซึ้ง
ไว้ให้แสนสุขเสมอใจ
ไม่ว่า..ทุกทุกข์ผัสสะใด
ก็จะไม่กรายกล้ำ
ล้ำล่วงเข้ามาทำร้าย..
ณ..ชายคากระท่อมหอมหวาน
*สวรรค์บ้านไพรสวรรค์บ้านนา*ได้นานเลย
ให้..
ทุกยามเช้า..
ยามฟ้าสวยด้วยสีชมพูพริ้งพราวมาทายทัก
ถึงเตียงนอน...
มาอ้อนให้สาวนา
คลี่ยิ้มหวานๆรับดวงดอกไม้บาน
รับหอมหวานแห่งสุนทรีย์ชีวิต
ให้มี..
ดวงจิตแสนบริสุทธิ์หวานใส
มีไฟฝันบันดาลใจ
ที่จะพลีหยาดเหงื่อมิรู้สิ้น
ด้วยร่างใจเสียสละ..
เพื่อผืนดินไม่ทิ้งถิ่นทุ่งทองท้องนา
ให้..
โลกแสนไสวไม่แล้งไร้
ไม่ไร้สิ้นน้ำใจใสเย็นชุ่มฉ่ำ
รู้เงียบงำเงียบงาม
และรู้รักความสมถะพอดีพอดี
รู้ใช้ชีวีอย่างไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้ใด
มีเพียงดวงใจ
ที่คอยจะ*ให้ให้ให้*เพื่อนมนุษย์
และ..
เพียรรักษาศีลให้บริสุทธิ์
พร้อมทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา
สร้าง..
ลมหายใจแสนดีมีค่า
เพื่อ..จรรโลงโลกและผู้คน
อีกไม่กี่วัน..
สาวนาจะผันพาร่างไป..
สุพรรณบุรี
*เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีลือชื่อ
เลื่องลือพระเครื่อง รุ่งเรืองเกษตรกรรม
สูงล้ำประวัติศาสตร์แหล่งปราชญ์ศิลปิน
ภาษาถิ่นชวนฟัง*
เมือง...
ที่มีศิลปปินมากมาย
ได้..เกิดกายมาจากดินทอง ดินไทย
ดินทุ่ง ณ..ที่แห่งนี้
เพราะ..
*พี่ทอง* มาบอกบุญ
ว่าจะมีการสร้างพระประธาน
ให้..สาวนา
ได้ตามไปเติมต่อบุญสร้างกุศลงาม
และ
ได้เดินตามท้องนาบึงคลองดงตาล
แห่งเมืองสุพรรณ
เปลี่ยนบรรยากาศให้ฝันหวานหวาน
ราวกับจะมีหนุ่มสุพรรณคนหัวใจใสซื่อ
ถือรักมั่นมาเดินเคียง
ใน..
ท่ามฟ้ากว้างกระจ่างใสไสวหวาน
ไปดูหมู่บ้าน
*อนุรักษ์ควายไทย*
และ..
จะไปค้างคืนที่นั่น
ก่อนจะพากันไป...
ล่องเรือบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ(อุโมงค์ปลา)
และ..
ไปกราบพระขอพรที่วัดพระนอนหงาย
วัดไผ่โรงวัว
กราบ..
หลวงพ่อโตที่วัดป่าเลไลยก์
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ไปเมืองอู่ทอง
อนุสรณ์ดอนเจดีย์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย
อุทยานแห่งชาติพุเตย
ตลาดร้อยปีที่สามชุก
พระพุทธบาทที่วัดเขาสลัก
และ
นี่คือความหวังแสนงามนัก
ที่สาวนาได้พาร่างใจไปสัมผัส
ไปนอนใน..*หมู่บ้านควาย*
ที่พี่ทองเล่าว่า
จะมีธรรมชาติวิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่งแบบเราๆ
ที่ยังมีการอนุรักษ์เอาไว้
ให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้ถึง
หมู่บ้านชาวนา ที่ยังมียุ้งข้าว
มีเกวียนเทียมควาย
ให้นั่งไปชมวิวทิวทัศน์แห่งท้องทุ่ง
อันแสนจรุงหอมด้วยกลิ่นข้าวใหม่
มีลานแสดงควายไทย มีเล้าไก่
มีทุกสิ่ง ที่แสนดี
ที่..
บางทีคนศิวิไลซ์
ลูกหลานไทยในเมือง
อาจจะร้องทักควายว่า...
นั่นอะไรๆ...ก็ได้ในวันหนึ่ง
เมื่อโลกสุขซึ้ง..
ด้วยวิถีวัฒนธรรมพื้นบ้าน
อันแสนหอมหวานดิบเดิม
ได้มลายหายไปอย่างไร้ร่อยรอย....
เอาละ...อีกไม่กี่วันนี้
กับฟ้าสีฟ้าแจ่ม
สาวนา..
จะพาหน้าแฉล้มด้วยกลิ่นโคลนสาบควาย
ไปต่างถิ่นที่บ้าง
เผื่อ...บางทีชีวีสาวนา
ที่...
ไปๆมาๆก็ยัง..*หนีรักในรอยไถ*..ไม่พ้น
ก็ยังได้สัมผัสล้ำลึกในกมล
ในความแปลกแผกที่
ได้..
กราบพระที่แสนศักดิ์สิทธิ์ในนิรมิตจิตใส
ด้วยดวงใจแห่งศรัทธาปสาทะเพียรภาวนา
ที่ตั้งมั่นเอาไว้ว่า
*ไม่ว่าชาติหน้าชาติไหน
หากยัง..
จำต้องชดใช้วิบากกรรมยังมิสิ้นมิหมด
ก็..
ขอให้ได้กลับมาเกิด
กับใจดวงหมดจดดวงดินดวงทองอันแสนผ่องใส
ได้ใช้ชีวีแบบรักนารักไพร
ไม่ขอเกิดในความศิวิไลซ์หากใจผู้คนแล้งไร้
ราววัตถุที่ไร้ชีวิตชีวาก็มิปาน...*
สาวนาจึงยิ้มหวานๆ
กับเจ้าลาแล้งและเจ้าสายน้ำ
พร้อมกับขับขานบทเพลงแสนรัก
ก่อนที่..
จะขี่มันไปอาบน้ำในบึงกว้างมิร้างแรมรัก
เพื่อ..
จะทายทักบัวหลากสีสันพรรณราย
ที่...
กำลังพรายสวย...ชูช่ออ่อนหวาน
อวดกลีบอรชรบอบบางบริสุทธิ์งาม
ในท่ามโลกแล้งไร้..
และ..
เพื่อจะกลับมา..
มีพลังพลีหยาดเหงื่อด้วยแรงรัก
เพื่อธำรง ยังคงรักนาทำนา
ไปกับ..
*หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน* อย่างมิถวิลอายใคร...
นอกเสียจาก..
มีเพียงพลังปิติเกษมภาคภูมิใจเสียไม่มี..
................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4610.html
สาวสวนแตง
สุรพล สมบัติเจริญ
สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ
ชื่อเสียงน้องมาลือลั่น ดังโจษจันไปทั้งทั่วกรุง
เพราะเข้าประกวด เทพีสวนแตงดาวรุ่ง
ภาพเจ้ามาถึงกรุง เจ้าจึงพุ่งสู่ความสนใจ
สาว สวนแตงเปลี่ยนแปลงศักดิ์ศรี
ข่าวภาพน้องเป็นเทพี
จึงได้มีชื่อเสียงเกริกไกร
เสียงหนังสือพิมพ์ แมวมองหมายปองเจ้าไป
สู่ดารายิ่งใหญ่ สู่กลิ่นไอของความลาวัลย์
ข่าว สังคมเขาชมไม่สร่าง
วิทยุต่างต่างมีคนขอเพลงให้ฟังทั้งวัน
กลัว เจ้าเพลินจนลืมสุพรรณ
สวนแตงแหล่งเรารักมั่น
เฝ้าคอยวันให้เจ้ากลับไป
สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ
พี่คิดถึงเจ้าทุกวันคอยแจ่มจันทร์แม่แตงร่มใบ
พื้นดินแล้งแห้ง ไร่แตงเหมือนคนหมองไหม้
โปรดไปเป็นขวัญใจ กลับสู่ไร่นะสาวสวนแตง
ข่าว สังคมเขาชมไม่สร่าง
วิทยุต่างต่างมีคนขอเพลงให้ฟังทั้งวัน
กลัว เจ้าเพลินจนลืมสุพรรณ
สวนแตงแหล่งเรารักมั่น
เฝ้าคอยวันให้เจ้ากลับไป
สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ
พี่คิดถึงเจ้าทุกวันคอยแจ่มจันทร์แม่แตงร่มใบ
พื้นดินแล้งแห้ง ไร่แตงเหมือนคนหมองไหม้
โปรดไปเป็นขวัญใจ กลับสู่ไร่นะสาวสวนแตง...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2962.html
หนุ่มสุพรรณ คาราบาว
ตัวฉันเกิดมา
เป็นหนุ่มสุพรรณ
ทำนาตากแดดทั้งวัน
จนตัวฉันนั้น มันดำปิ๊ดปี๊
สำเนียงภาษา
ฟังดู ก็เชยสิ้นดี
เพื่อนฝูงล้อกันป่นปี้
ว่าพี่ก็หมา น้องก็หมา
ช่างหัวประไรจะล้อยังไง
ไม่เห็นสำคัญ
สำเนียงมันเหน่อยังงั้น
แต่หัวใจฉัน
มันเหน่อเมื่อไร
สมมติว่ามี นะ
สาวๆมานึกเห็นใจนะ
เวลาไปไหนมาไหน
ก็ให้เธอพูดว่าเราก็มา
แต่นี้ ต่อไป
เห็นทีจะไม่เหน่อแล้ว
เมื่อมี น้องแก้ว
คอยสอน ให้เจรจา
สวัสดีครับ
ผมก็มา แฟนผมก็มา
เราสองคนต่างคนต่างมา
เห็นไม๊ละว่า
หมาทั้งสองคน โฮ้ง
ตัวฉันเกิดมา
เป็นหนุ่มสุพรรณ
ทำนาตากแดดทั้งวัน
จนตัวฉันนั้น มันดำปิ๊ดปี๊
สำเนียงภาษา
ฟังดู ก็เชยสิ้นดี
เพื่อนฝูงล้อกันป่นปี้
ว่าพี่ก็หมา น้องก็หมา
ช่างหัวประไรจะล้อยังไง
ไม่เห็นสำคัญ
สำเนียงมันเหน่อยังงั้น
แต่หัวใจฉัน
มันเหน่อเมื่อไร
สมมติว่ามี นะ
สาวๆมานึกเห็นใจนะ
เวลาไปไหนมาไหน
ก็ให้เธอพูดว่าเราก็มา
แต่นี้ ต่อไป
เห็นทีจะไม่เหน่อแล้ว
เมื่อมี น้องแก้ว
คอยสอน ให้เจรจา
สวัสดีครับ
ผมก็มา แฟนผมก็มา
เราสองคนต่างคนต่างมา
เห็นไม๊ละว่า
หมากันทั้งสองคน
โฮ้งๆ...
20 ตุลาคม 2548 16:07 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4842.html
(น้ำตาลก้นแก้ว)
.............
ยามย่ำสนธยา..ฟ้าใกล้ค่ำ
ที่นกกา..
พากันผกโผผินบินไปในฟากฟ้ากว้าง
สาวนาจะพาใจดวงอ้างว้างออกไปเดินเดียวดาย
ที่ริมชายทุ่ง
ที่ริมบึงริมนา
ริมลานจันทร์ฝันพลี
และ..
จะคอยคลี่ยิ้มหวานหวาน..ให้กับแม่ตาลร่มใบ
ตาลเดี่ยวในดวงใจ..ในความรักความฝัน
ความพันผูก..นานมา..
ที่..
พากันคอยคลี่ใบ..โบกสะบัด
ราวกับพัดร่ม
คอยห่มหอมให้ห้วงใจสาวนาเสมอมา
ดอกหญ้าดอกโสนริมบึง
คงสงสัย...
สุขใจอะไรกันนักกันหนา
แล้ว
จะบอกเขาว่าอย่างไรดีล่ะ
แม่ตาลร่มใบ แม่ตาลหวานใจ..
แม่ตาลในดวงใจ...
ที่แสนไหวหวาม
ที่ทำให้..
รู้รักงาม รู้รักตาลรู้รักตน
รู้รักกมล..
อันแสนชิดใกล้..กับต้นไม้แห่งผืนดิน
ในทุกถิ่นไทยในผืนทุ่งทอง
ในแหลมทองแห่งผองไทย
ในแดนดิน..
ที่มิเคยสิ้นมนต์ขลัง..ให้หวังหวานใจ
ให้รู้ค่า ...ซึ้งค่า
แม่ตาลร่มใบแม่ตาลร่มใจ
อย่าง..
ไม่เคยสิ้นสายใยสายใจเสน่หา
นะแม่ตาลไทย ตาลใจ
ตาล..
ที่คนไทย ไม่มีวันที่ใครจะไม่รู้จัก..
และ...
เป็นต้นไม้แห่งรักภักดี..
ที่ได้รับการพลีฝากรัก
มาในแทบทุกเรื่องราว
*แห่งสาวบ้านทุ่งหนุ่มบ้านนา*
ไม่ว่า..จะเรื่องไหน
แสนแสบ
ขวัญเรียม
ฤาว่า
มนต์รักลูกทุ่ง...
ที่ยังคงให้หวานหอมจรุง
อวลอบอยู่ในดวงใจมาจนถึงทุกวันนี้
......
นานมาแล้ว...
มีมิ่งมิตรคนดี ที่ห่างหาย
ไปจากเรือนไทยเรือนใจแห่งน้องพี่
เคยรจนาบทกวี
พลีฝากไว้ให้กับสาวบ้านนา
ที่แสนล้ำค่า ทุกครั้งในมโนนึก
อันพาลึกล้ำดำดื่มมาจนณ..บัดนี้
ที่..
ยังหอมหวานราวตาลหยาดพราย
ให้คลับคล้ายหยาดสายลงณ.กลางบึ้งใจ
ราว..
น้ำผึ้งไพรน้ำผึ้งรัก
ที่ฝากให้..
รอรับขวัญด้วยรักรอ
ให้คืนหลังกลับบ้าน
มารจนางาน
ที่ห่างหายไปนานวัน
ให้พี่น้องฝันค้างร้างร้าวเศร้าคอย
ราว..อกหัก..ดั่งตกตาล..
ปานประมาณนั้นประมานนี้
...........
หนุ่มนาข้าว..ลำน้ำน่าน
เพียงสดับคำร่ายคล้ายปลุกชีพ
เห็นใบตาลจีบลับกับขอบฟ้า
เมื่อหวันขึ้นฉายแสงแรงขึ้นมา
ให้หนุ่มนาปักต์ใต้ไต่ขึ้นตาล
น้ำตาลหวานปานหนึ่งน้ำผึ้งรวง
เมื่อพี่หลวงแบกบอก..คล้ายรอกผ่าน
ให้ประหวัดถึงกระดึงซึ่งแนบนาน
อยู่ท้ายบ้านนอกท่อง..มองเห็นลิบ
ตาลเดียวดายยืนเดี่ยว..เกี่ยวลมว่าว
เห้อ..น้องสาวมารับน้ำตาลจิบ
หวานตาลโหนดโจทย์นาน..หวานระยิบ
ก่อนเคี่ยมดิบบ่มใส่..ได้ตาลเมา
เสียงไก่เถือนขันเทือนทั้งหมู่บ้าน
ยางทะยานบินร่อนค้อนเหลี่ยมเขา
หวันจะตกเดือนจะขึ้น...ส่องถึงเรา
หนังโนราห์ตลุงเงา..จะบรรเลง
ช่วงเดือนเส หอมซัง--ครั้งนาข้าว
ทั้งลูกม่าวเด็กแย่งแข่งข่มเหง
ต้นยางเหลืองผลัดใบ...ให้วังเวง
พี่หลวงเห้อ...หนาวร้าวเล็งอยู่เมืองลวง
จิตวิญญาณเกลื่อนกระจาย..ในสายลม
เลือดเข้มขม..ปนน้ำครำ..ซ้ำเมืองหลวง
หนุ่มปักต์ใต้ฝากหัวใจไปตามดวง
รอลมว่าวพัดตกร่วง...ตรงดินเดิม
***********
สาวบ้านนาสาวบ้านทุ่ง..
เป็นสาวนาหลงหนังลุงนุ่งปาเต๊ะดอก
ชอบเพลงบอกเพลงโนราห์แม่ค่ะเหอ
ชอบพี่หลวงควงไปแลหลงละเมอ
หลอกให้เหรอเพ้อทุกวันมั้นน้อยใจ..
คงไม่หรอยเหมือนสาวกรุงนุ่งสั้นสั้น
คงไม่มันส์ผิวไม่ขาวดำไม่ไหว
แหลงไม่เพราะอ้อนไม่เป็นแหลงตรงใจ
แล้วมั้นไซไม่ได้แรงกับแหลงลวง
น้ำตาลปากบอกหลอกให้จิบใสพิษรัก
มั้นหวานนักไม่นานก็หายหวง
พี่หลวงเหอเจอสาวกรุงยุ่งลืมรวง
มัวแตหวงแต่หันหวันลาลับ
ลืมลูกม่าวแกงเคยเคยว่าหอม
ไปถุกหลอมสาวหมวยสวยระยับ
ลืมน้ำชุบพุงปลาในสำรับ
ลืมหนำนานอนนับเสียงดึงวัว
ทั้งเดือนสามเดือนเสเซไปไหน
คอยไม่ไหวพี่เหอเผลอมั่วซั่ว
สาวนาหว่านผ่านเดือนหกฝนระรัว
หยามหวันหลัวใจก็แล้งหมดแรงเลย..
..................
และมาวันนี้จะมีใครสักกี่คน
ที่ยังผูกกมลอยู่กับท้องทุ่งรวงทอง
คมเคียวรอเกี่ยวเก็บ
และ..
กับตาลเดี่ยว ตาลใจ
ที่กำลังจะมอดไสว
ไม่..
หอมหวานต่อเติมงามใจอีกต่อไป
เพราะ..
มี.
กลิ่นคลุ้งแห่งจรุงเมืองคล่ำเมือง
มาแทนที่
มาแทน
ตาลหวานใจแสนสวยใสบริสุทธิ์
คงมีเพียง..
ดอกไม้พลาสติกผุดเต็มเมือง
กับ
แสงสีเรืองรอง
ให้สาวหนุ่มไทย
เลิก..
ลิ้มลองครรลองแห่งคลองไทยแห่งดงตาล
ที่คือหวานงาม แบบวิถีไทยวิถีทุ่ง
วิถีอันจรุงด้วยวัฒนธรรมประเพณี
ที่ยังมี..
ความรู้รักความสงบงามง่ายไร้มนต์มายาใด
ที่เป็นหวานบริสุทธิ์ใส...
ใช่..หวานปลอมปนแบบคนเมือง..
ที่หลอนลวงกันให้แสนเปล่าเปลืองหัวใจ
ไม่จีรัง แค่หวังหวานได้ชั่วครู่ชั่วคราว ใช่ยาวยืน..
นะแม่ตาลร่มใบ นะแม่ตาลร่มใจ
...................................
ตะแบกร่วงพรายพร่างกลางลานหอม
นกแรมรอนหว่านคำเพ้อละเมอหา
รักหรือลวงเล่นลิ้นถวิลนา
เสน่หาหรือแสร้งแกล้งนาคอย..(สาวนาคอย)..
รักระยับเรียวรวงไยไม่กลับ
ลมระบัดหนาวเนื้อกี่หนาวหนอ
เคียวสิ้นคมแขวนคารอและรอ
อ้ายมาขอเกี่ยวคู่รวงรู้ใจ...
ที่ราบสูงไร้ยางยูงดินแห้งผาก
เหมือนคนยากนาน้อยคอยน้ำใส
หวังน้ำรักน้ำฝนรินรดใจ(ใบ)
ยอดดวงใจหลงแสงสีมิจรคืน...
รอรับขวัญกับผ้าถุงทอผืนหอมใหม่
อิงกองไฟดูดาวพรายใกล้นาผืน
ท้าลมว่าวหนาวแค่ไหนอุ่นรักคืน
ร้อนกว่าฟืนหอมกว่าฟางใจร่างรับ...
แล้วหยาดหวานกว่าฝนหล่นเรียวร่าง
ดุเหว่าหวานยังหยุดร้องเดือนยอมดับ
ปลุกวิญญาณนานเนิ่นเกินนานนับ
ให้คว้าจับน้ำผึ้งหวานผ่านร่างรวง...
มนต์ท้องนาจะเห่กล่อมจนรุ่งสาง
หอมเจือจางดอกจานหว่านหวานร่วง
ดาวหัวเราะจันทร์อวยพรอ้อนโอบรวง
โศกในทรวงล่วงลาลอยฟ้าไกล..
เพลงเกี่ยวข้าวคลอคู่ใจแสนซ่านซึ้ง
หวานตราตรึงนกไพรคืนคอนมิจรไหน
วิหคเอ๋ยอย่าหลงเชยไม้เมืองใด
คืนสู่ไพรคืนสู่รังหวังเคียงดิน..
ลมว่าวเอยอย่าช้าพัดพาหมอง
น้ำตานองเรียวรวงรอถวิล
ดอกโสนเหว่ว้าน้ำตาริน
ดอกจานสิ้นหว่านหวานประจานใจ..
ดับแดดกลางดวงใจรดน้ำรัก
หว่านกล้ารักแตกหน่อกอไสว
นาผืนน้อยนาคอยเคียวนาน้อยใจ
อย่าแรมไกลหว่านเพียงลมพรมผืนดิน... พรมผืนนา!
.............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4842.html
แม่ น้ำตาลก้นแก้ว
เขาชิม เจ้าแล้ว
จึงตกถึงมือพี่
ถ้าหากเป็นแหวนก็เปรียบดังแม้น
เจ้าโดนสวมฟรี
เพชรที่งามหรือจะมี
ค่าสูงยิ่งกว่าดรรชนีของนาง
แม่ น้ำตาลก้นแก้ว
เขาชิม เบื่อแล้ว
จึงถูกเขาทิ้งขว้าง
สูญสิ้นความสาวแล้วเจ้าจึงรู้
ว่าเดินหลงทาง
พี่ไม่โกรธเจ้าหรอกนาง
ยังรักไม่จางรักนางเสมอ
ถึงพี่ เป็นสองรองคนอื่น
พี่ก็ยังยิ้มชื่น
ต้อนรับการกลับของเธอ
ตักพี่ยังว่าง อกพี่ยังอุ่นเสมอ
ตาลจ๋ากลับมาเถิดเธอ
พี่หลงละเมอเพ้อเฝ้าใฝ่ฝัน
แม่ น้ำตาลก้นแก้ว
เขาชิม เจ้าแล้ว
พี่ก็ขอรักมั่น
ถึงจะเหลือเดนเพราะผ่านคนชิม
มานานแสนนาน
พี่ก็ยังต้องการ
รอรับรสหวานน้ำตาลก้นแก้ว
ถึงพี่ เป็นสองรองคนอื่น
พี่ก็ยังยิ้มชื่น
ต้อนรับการกลับของเธอ
ตักพี่ยังว่าง อกพี่ยังอุ่นเสมอ
ตาลจ๋ากลับมาเถิดเธอ
พี่หลงละเมอเพ้อเฝ้าใฝ่ฝัน
แม่ น้ำตาลก้นแก้ว
เขาชิม เจ้าแล้ว
พี่ก็ขอรักมั่น
ถึงจะเหลือเดนเพราะผ่านคนชิม
มานานแสนนาน
พี่ก็ยังต้องการ
รอรับรสหวานน้ำตาลก้นแก้ว
20 ตุลาคม 2548 10:18 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song101.html
(ดอกหญ้า..หยาดเพชร)
ลีลาวสันต์กำลังจะยุรยาตรเยื้องย่างผันผ่านไป
พร้อมกับฝากฝันงาม
ในท่ามกลางสายฝนโปรยไพร
และ..
ในท่ามโลกภายนอกดวงใจ....อันแสนวายวุ่นวุ่นวาย
เดือนแห่งความหอมกรุ่น...
จากดวงดอกไม้ป่าและดอกหญ้าไสว
กำลังตามมา
ที่..
กำลังค่อยๆผุดผลิคลี่ช่อแทงละออจากนวลดินขึ้นมา
ประดับหล้าประดับใจประดับไพร
ฟ้า..กำลังแปรไปตามฤดูกาลฤดีกรรม
แปรฝัน..
ฝากสีสัน...อันแสนอิ่มสวย
ด้วยนวลเมฆกระจายพรายพลิ้ว
เป็นริ้วริ้วราวเรียวรุ้ง ยองใยในยามเย็น
ประดับนภาให้แสนงามเข้ม
งามระยับราวกับกลีบกุหลาบ..หลากสี
และ..
ในยามทิวาหวามทิวาสวัสดิ์
ทั่วทั้งผืนนาจะถูกทายทักด้วยดวงดอกแดด
สีทองอันแสนผ่องพรรณรายพรายฉาบ
อาบไล้แสนสวยสดงดงาม เกินนิยามใดบรรยาย
ทั่วทั้งทุ่งกว้าง
มี..
ดวงดอกหญ้า ดอกไม้ป่า..
กำลังแย้มบานตระการแต้มเคลียดิน
ให้หวานหอมไปทั่วถิ่นทุ่งทอง
กับ...
ฟ้าสลัวๆมัวหม่นด้วยม่านหมอก
หยอกรวงข้าวพราวหยาดน้ำค้างในยามเช้า..
ราวภาพวาด
ทุ่งที่แสนงามมีเส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยว
พาเลี้ยวขึ้นเนินผา
มีต้นไม้เพิ่งจะแตกใบสาว
ยังเยาว์ราวดรุณเคียงข้าง
เป็นป่าทดแทนต้นไม้ใหญ่ที่โดนโค่นตัดออกไป
แผ่ไสวต้นสูง
ออกอวดดอกสีชมพูสดพร่างสะพรั่งไปทั้งราวป่าราวไพร
และ
ไหนจะดวงดอกไม้ไพรที่ประดับหล้า
มีทั้งสีขาว ชมพู เหลือง ฟ้า ระย้าระยับ
แทรกไปทั่วผืนนาและทั้งลานผาลานไพร
ที่มีทั้งดอกดุสิตา
ที่ได้นามพระราชทานแสนไพเราะ
บนลานผาหินที่กำลังบานสะพรั่งพรึบ
มีดงดอกสีชมพูเข้มคล้ายดอกชบา
ผ้ายตาเสือที่มีดอกสีเหลืองนวลละออ
ดอกดินแดงแทงรากไม้อื่นขึ้นเป็นดง
หญ้าหนวดเสือและดอกกระดุมเงิน
และโน่น..!
ป่า เต็งรัง มีหญ้าสีทองขึ้นเต็ม
ดอกเข็ม..ดอกหญ้าป่าที่เพิ่งเริ่มคลี่ผลิบาน
ดอกสร้อยสุวรรณาสีเหลือง
อวลอบกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนหยาดน้ำผึ้ง
กระดุมเงิน ดอก กลมๆ สีขาวขึ้นเป็นกระจุก
หญ้าหนวดเสือมีลำต้นบอบบาง
ดอกสีม่วงที่มีกลีบดอก
เชื่อมกันสามกลีบแสนบอบบาง
ขณะที่
จอกบ่วาย ....
หรือหยาดน้ำค้างแนบติดอยู่กับพื้นดิน
ที่สาวนานำมาเป็นยารักษาโรคหัวใจไว้แจก
เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน
และมาทา หน้าแก้ฝ้าได้อีกด้วย
จอกบ่วาย นี้มีมากมายคลอหนามเดือนห้า
ซึ่งเป็นพืชกินแมลงเหมือนกัน
ลำต้นสีแดงเล็กๆ
กิ่งก้านคล้าย หนวดปลาหมึก
ปลายใบม้วนงอ ขนเล็กๆ
ที่ปกคลุมทั่วใบมีน้ำใสๆ เหนียวๆ
ติดอยู่ตลอดเวลา
เพื่อล่อแมลงให้เข้ามาไต่ตอม
ก่อนจะปล่อยน้ำย่อยอกมาละลายเป็นอาหาร
เห็ดหอมสีขาวพราวแน่น
ขึ้นเต็มอยู่ใต้ซากใบไม้ร่วงทับถม
ที่สาวนาตั้งใจ จะเก็บกลับเอาไป
เป็นอาหารได้อีกหลายมื้อ
และฝากเพื่อนบ้าน....
สาวนา..เดินเดียวดายฝ่าดงหมอก
ออกมาสูดดมอากาศแสนบริสุทธิ์
ใจเริงร่าเสียยิ่งกว่านกไพร
จน...ต้องกางแขนออกไปราวท่านกถลาบิน
เธอ..หยุดยืนนิ่งๆ ..
พร้อมหายใจดอมดมกลิ่นสายลมกับรวงข้าว
จนหวานใจ...จนหนาวใจ
พื้นหญ้านาไกล
เริ่มอุ่นหอมหลอมไปกับกลิ่นพวงพะยอมป่า
และ..
ดวงดอกแดดอันอ่อนอุ่นละมุนไล้
ที่...
ช่วยกันขับหยาดน้ำค้างพราย
ที่เกาะพราวราวหยาดเพชร ตามปลายไม้และยอดใบ
และ..ไหนจะกลางกลีบเกสรบัว
สาวนา..ค่อยๆเอนตัว ลงนอนสยายผม
ด้วยดวงใจอยากดอมดมพร้อมพลีกอด
ดวงดอกหญ้าและดอกไม้ป่าอันแสนหอมหวาน
พร้อมกับ..
แหงนเงยมองเวิ้งฟ้ากว้าง ..ที่เริ่มเจ่มกระจ่างด้วยนวลเมฆ
ราวมี..
ไข่มุกเม็ดงามลอยฟ่อง ท่องในนภาไปกับฟ้าไกล
ผีเสื้อ แมลงปอ แสนสวย หลากสีกำลังกรายปีก
ล่องลมโฉบชม คลุกดมดอม
หยาดน้ำผึ้งในดวงดอกไม้
จาก...
ดอกนั้นไปดอกนี้ ไม่มีวันพอ..
เสียงสังคีตไพร ..พากันขับกล่อม
ราวรอหลอมรวมร่างใจในวันวิวาห์
ที่ช่างแสนไพเราะเพราะพริ้งพราว รายรอบร่างเธอ...
เสียงสายน้ำจากลำห้วย..ระริกระริน
สาวนาสูดกลิ่นฟ้า กลิ่นดิน กลิ่นดวงดอกไม้ป่า
และค่อยๆเอื้อมมือคว้า..ดอกไม้ใกล้มือ
เด็ดมาประดับริมเรียวแก้มแซมผม
สายลมหอมรำไรๆ พาให้ดวงใจนิ่งงันฝันไกล
ไปกับ*สายน้ำรักนิรันดร์*
รอรับ..
คืนวันแห่งสายลมหนาวที่กำลังก้าวมา
กับ..
รอท่าข้าวหอมๆใหม่ๆในนา
ที่กำลัง...
ระย้าย้อยห้อยรวงเรียวหนักจนเคลียไคล้ดิน
รอเคียวเก็บ..
และ
ใกล้..
ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว
ที่..
สาวนาถวิลหวังว่า หลังจากนั้น
เธอจะได้มีเงินไปพอซื้อพันธุ์ข้าวใหม่
พร้อมกับ..
บางทีอาจจะได้เดินทางไปเยี่ยมอ้ายคนดี
พร้อมของฝากของใช้จำเป็น..
สาวนา..
ค่อยๆพาตัวเองลุกขึ้นมา
และ..
ค่อยๆเดินบุกเข้าไปช้าช้า
ในท่ามทุ่งนา
ที่กำลังระย้าระยับราวกับอาบด้วยทองคำฉาบไล้
จนเกิดก่อประกายฉายฉานพร่างพรายราว*อัญมณีไพร*
เสียงสายลมในดวงใจ..ในท่ามดวงตะวันเหนือศรีษะ
พลันแผ่ว แว่วหวาน..
ให้..
หวิวไหวหวั่นหวามในท่ามงามแสนงาม
จากธรรมชาติพิไล แสนบริสุทธิ์
ราวดวงใจอยากหยุดโลกหมุนในนาทีนั้น!
สาวนาค่อยๆเงี่ยหูฟังเสียง*รวงทอง*ราวกระซิบกระซาบ
ด้วยใจดวงอาบเอิบอิ่ม
ไปกับสายแสงแห่งอรุณแรกที่กำลังแทรกเบียด
กอข้าวมาลบหนาวปลอบประโลม..
น้ำตาเธออาบหน้า เมื่อแหงนเงยมองฟ้าและ
หวนก้มลงมองดิน
เท้าเธอ กำลังคลุกเลนนิ่มนิ่ม
หากทำไม...ทำให้หัวใจดวงอรชร..
กลับแสนอ่อนหวาน
ปานดวงดอกไม้ไพรกำลังแย้มผลิบาน
และ..
ในท่าม..
ฝนหยาดสุดท้าย.....
ที่กำลังพรายพรม..พร่างพร..แด่เธอ..ในทุ่งทอง.!
...................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
ดอกหญ้า สุนารี ราชสีมา
ดอกหญ้า ดอกนี้
ไม่มี คนปอง
สายตา ที่มองต่างชั้น
ต่ำต้อย เจียมตน
เพราะความจนกั้น
ก็เพียงแค่ชั้น ดอกหญ้า
ไม่มีกระถาง
เพชรทองรองรอ
ต่างกันกับกอ ดอกฟ้า
ประดับ พงไพร
ท้องไร่ท้องนา
ตามวาสนาที่ มี
สาวบ้านนอก
อย่างฉันนั่นหนา
คล้ายดอกหญ้า
ริมบาทวิถี
แมลงคงหอม
ตอมบ้างบางที
แต่กลิ่นและสี
ไม่เคยเผลอให้แทะเล็ม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม...
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song392.html
ดอกไม้ใกล้มือ มัณฑนา โมรากุล : : Key Ab
มวล เหล่าดอกไม้ใกล้มือ
เป็น สื่อ ให้คนเด็ดถือชมเชย
เจ้า อยู่ในที่เปิดเผย
เขา ใคร่ เชย เห็นเจ้าก็เลยเด็ดมา
คน เด็ดก็เพราะมันใกล้
ใคร ใกล้ เด็ดไปได้สมอุรา
บานล่อใจใครจะรู้ ค่า
ต่างปรารถนาจะได้ชม
ทิ้งไว้หมองไหม้เสียเปล่า
ขืนปล่อยเจ้าผึ้งไม่เคล้าก็เฉาด้วยลม
ทิ้งไยให้ตรม เหยื่อผึ้ง เหยื่อลม
ให้คนเขาชมดีกว่า
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล...
17 ตุลาคม 2548 22:02 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4590.html
(ร้องไห้กับเดือน)
...............
คืนนี้...
เดือนจ้าฟ้าแจ่ม..ดาวสวย...ลมระรวยระริน
พัดหอบกลิ่นดวงดอกไม้ป่า
มาหวานหอมรายรอบกระท่อมใบไม้ของสาวนา
ฟ้าและดาวดวงโตสุกใสสว่าง
ไฟในกองฟืนทอแสงพร่างคุโชน
งานเลี้ยงเล็กๆ...กำลังจะเพิ่งเริ่มต้น
สาวนาเชิญพี่ทอง คุณทาน
และเพื่อนบ้านอีกสองสามคน
รวมทั้งน้องที่แสนงามกมล*ชื่อน้องมะกรูด*
เพื่อนบ้านของสาวนามาร่วมรับประทานอาหาร
พื้นบ้าน ตามมีตามเกิด..
สาวนาจัดโต๊ะกลางลานอย่างหวานสวย
ด้วยดวงดอกไม้ป่านานาพรรณ
ที่แสนสวยสล้างสลับสีมาพลีใส่ในแจกันกระบอกไม้ไผ่
ดูแสนธรรมชาติ
แล้ว...
ปูโต๊ะสะอาด
ให้ยิ่งสวยไสวด้วยผ้าขาวม้าตาหมากรุกสีแดง
ที่สาวนาเก็บไว้ในตู้ ที่ดูหรูที่สุด ตั้งแต่ทอไว้ใช้ในคราวก่อน
หัวใจดวงสะออนคิดถึงอ้าย
ที่มีเพียงจดหมายแทนใจที่ส่งมาไม่เว้นว่าง
แทนความห่างไกลกันและกัน
ในยามที่...
อ้ายนั้นต้องลาไกลไปทำหน้าที่เพื่อปกบ้านป้องเมือง
เพื่อชาติ ...
ให้สมกับความเป็นลูกผู้ชายที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไท
ที่จะให้ใครรานรุกไม่ได้..
ยอมพลีเลือดหยาดสุดท้ายจนสิ้นใจก็จะไม่เสียใจเสียดายเลย
ราตรีนี้
สาวนา...
เพียงอยากหนีความเหงาเศร้าเสียบ้าง
ต้องการเพียงสร้างขวัญกำลังใจให้กับตัวเอง
ที่จะ..
มีชีวีบรรเลงบทเพลงแห่งการต่อสู้
ให้ยังคงดำรงอยู่
ที่จะ..
เพียรใช้หยาดเหงื่อ..
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมิถวิลอายใคร
ให้วิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่ง ยังรุ่งงาม ในทุกท่ามทั่วไทยทุกแห่งหน
พี่ทองมาแล้วส่งเสียงแจ้วๆมาพร้อมน้องมะกรูด
ที่จะช่วยสาวนาทำกับข้าว
พี่ทองมีขลุ่ยมาด้วย
และคุณทานเพื่อนบ้านใหม่บอกจะสีซอให้ทุกคนฟัง
คงดีจังที่ได้มาประชันกัน ในยามค่ำที่แสนสุขใจ..
มื้อนี้...สาวนามีไก่อบฟาง ที่หอมเยิ้มน่ากิน
ด้วยกลิ่นฟางใหม่ใหม่ที่เรียวรวงเพิ่งพรากไปหลังฤดูเกี่ยวเก็บ
สาวนามีกรรมวิธีที่ทำให้อร่อยล้ำกว่าใคร
ที่ใจสาวนาคิดได้เอง
สาวนาจะใช้ กระบอกไม้ไผ่
ลำใหญ่บ้องโตผ่าออกเป็นสองซีก
แล้ว
แบ่งฉีกเนื้อไก่ใส่ไว้ตรงกลาง
พลางหุ้มด้วยฟางรายรอบ
แล้วประกอบปิดมัดให้สนิท
ก่อนที่จะใช้ฟืนคุนิดนิดมารมอบ..ให้จนสุกเหลืองได้ที่
ที่จะหอมอวลชวนชิม
ได้กลิ่นไปสามบ้านแปดบ้าน..ให้ทุกคนน้ำลายสอ
แล้วสาวนา
ก็ใช้มันเทศหอมสดสดรสหวานมัน
มาเผาในฟืนพร่างณ..ลานกลางบ้าน
ใช้เป็นเครื่องแกล้มแนมแบบไม่ต้องเติมหวานใด
มีข้าวเหนี่ยวใหม่นุ่มลิ้นนึ่งรองใบตอง
แล้ว..
มาวางไว้ในกระติ๊บไว้คอยแจก
มี..
ลาบเป็ดเผ็ดมันหอมด้วยใบสะระแหน่ริมนา
มีแกงส้มปลาช่อนใส่ผักกระเฉดเปรี้ยวจิ๊ดให้ซิ๊ดซ๊าด
แถม..มาทำปลาช่อนลุยสวนให้ชวนกินด้วยข้าวคั่วถั่วลิสงโรย
โปรยให้เคี้ยวหนุบหนับๆ
แล้วตามมาด้วยผัดผักไร้สารพิษนานาที่สดฉ่ำ
ให้เคี้ยวกรอบแกล้มแถมอีกอย่าง
แค่นี้..
ก็เต็มโต๊ะปาร์ตี้ที่พาให้แสนหอมกรุ่น
ให้ทุกคนวุ่นป้อนปากได้อย่างเอมอิ่มอุ่นท้องแล้ว..
รายการสุดท้าย
สาวนากับน้องมะกรูด..จะช่วยกันขูดมะพร้าวทีนทึก
แล้วนวดแป้งข้าวเหนียวปนข้าวเจ้านิดนิด
เคล้าคลุกให้เข้ากัน..
ก่อนจะมาตัดน้ำตาลปึกหวานหอม
มาคลี่หลอมลงให้แป้งห่อหุ้มคลุมให้มิด
แล้ว...ปิดท้าย
ด้วยการใช้เตาอังโล่ใส่ถ่านมาวางกลางลาน
ให้ทุกคนได้ช่วยกันปั้น..
พลันหยอดใส่ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
ให้ขนมต้มได้ลอยฟ่องล่องขั้นมาฟูอยู่ด้านบน
แล้วจึง..
มาเทใส่ถาดร่อน..ไปมา
ให้มะพร้าว
ที่เหยาะเกลือนิดหน่อยให้ยิ่งได้รสเข้มหวานมันส์
มาผสานผสมกันจนรายรอบขนมกลมปั้นจนเข้าที่
ที่จะมี..
รสน้ำตาลหวานปะแล่มละลายลิ้นอุ่นๆยามเคี้ยวกลืน
ให้แสนอร่อยล้ำ แบบไทยๆ..
ที่ไม่จำเป็นต้องมีเค๊กเสกมา..ให้อยากพาชีวีต้องลิ้มลองของแพง..
ราตรีเริ่มต้นแล้ว...
คุณทาน..หัวเราะเบิกบาน
เล่าเรื่องการบ้านการเมือง
ให้ทุกคนฟังว่า...
ช่างแสนน่าเป็นห่วงด้วยหลายสถานการณ์
ไหนจะภัยจากธรรมชาติ...
ไหนจะภัยจากอมนุษย์..
ผู้ไม่รู้คุณแผ่นดินอยากให้ไทยสิ้นชาติ ...
ช่างแสนโหดร้ายที่อยากทำลายชาติ
ให้..
สิ้นไร้แผ่นดินอันแสนร่มเย็นเป็นสุขสงบมาช้านาน
ดั่งอู่ข้าวอู่น้ำ ..
นิยามแดนทองแดนธรรม
แดนงามล้ำ*พุทธศิลป์*...ไฉนเลยมนุษย์หนอมนุษย์..
น้องมะกรูด....
นั่งหน้าฉ่ำหวานปานดอกไม้...ใต้แสงดาวพราวด้วยแสงฟืน
และ..
หัวเราะระรื่นยามถูกคุณทานหยอดหวานใส่
ทำนัยน์ตาซึ้งซึ้ง
หลังจากพึ่งสาโทในไหจนได้ที่
ที่พี่ทองต่างปรนเปรอ..กัมเปยกันและกัน..
ให้ฝันไกล..กล่าวคำสวัสดีประเทศไทย
พากันร้องไชโยๆเป็นระยะๆ
ท่ามเสียงฟืนปะทุ..
เสียงเพลงพื้นบ้านจากเสียงซอพ้อเสียงขลุ่ย
ก็หวานแว่วลอยข้ามลำห้วย และโพ้นฟ้าไกลไปละลิบ
ถึงทิวทิพย์เมฆ
ที่ต่างพากันเริงร่ายส่ายระบำในเงาจันทร์อันงามกระจ่าง
ไผ่กอริมลำประโดงเริงร่าย
ซัดส่ายคล้ายปลอบประโลมทุกดวงใจ
ให้พบสวยใสงาม ในท่ามเดือนจ้า
หากทว่า....
เมื่อเสียงเพลง*ร้องไห้กับเดือน*หวานแว่วมาจาก
น้ำเสียงแสนเศร้าซึ้งจากบึ้งใจของคุณทาน
และเสียงพลิ้วหวานจากขลุ่ยคลอของพี่ทอง
ที่พรายนิ้วพลิ้วไหว..
ให้ทุกดวงใจแสนหวั่นหวามจนน้ำตาซึมอย่างถ้วนหน้า
เดือน..ไยดูยังนวลเศร้า
แม้นลอยดวงในท่ามฟ้าแจ่ม
และ...
ในท่ามราวไพร..
ที่...ดาวสุกใสดูราวหยุดพริบพราว
ราวพลีร่ำไห้พร้อมกันเพียงชั่วครู่.
ราวรับรู้...รับเศร้า กับหนาวเหน็บในใจของผู้คน
ที่ยังคงต้องมี..
ทั้งทุกข์สุขผสานผสมปนเปกันไปอย่างยากจะแยกออก...!
...................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4590.html
ร้องไห้กับเดือน ....คัมภีร์ แสงทอง
มองดูเดือน
เหมือนเตือน ให้ใจคิดถึง
ที่รักรักจ๋า หนุ่มนารำพึง
คิดถึง นงคราญบ้านนา
พอไกลลืมกัน
สาบาน ก็ลืมสัญญา
ปล่อยให้หลง คอยท่า
ลับลาไม่กลับแม้เงา
เคยเคลียคลอ
พนอ เดินเล่นกับน้อง
ครั้งเมื่องาน
เดือนเพ็ญสิบสอง
เมื่อตอนลมล่องข้าวเบา
เพื่อนฮาเราเฮ
สรวลเสรักกันหนุ่มสาว
อุ่นไอรัก รวงข้าว
โถเจ้า ไม่น่าหน่ายหนี
พอเดือนแรม
รักก็แรมร้างเลื่อน
โถดาวขาดเดือน
ฉันก็เพื่อนไม่มี
แต่เดือนยังมา
ให้ดาวเห็นหน้าทุกที
แต่คนรักข้าซิ
เป็นปี มิเคยเห็นหน้า
คงมีใคร
เขาคอยเอาใจเก่งนัก
เจ้าถึงลืม ลืมชายที่รัก
ให้คอย เหงาหงอยอยู่นา
ยิ่งมองดูเดือน
เหมือนเตือนให้ใจผวา
ยิ่งคืนนี้ เดือนจ้า
ฉันมาร้องไห้กับเดือน
พอเดือนแรม
รักก็แรมร้างเลื่อน
โถดาวขาดเดือน
ฉันก็เพื่อนไม่มี
แต่เดือนยังมา
ให้ดาวเห็นหน้าทุกที
แต่คนรักข้าซิ
เป็นปี มิเคยเห็นหน้า
คงมีใคร
เขาคอยเอาใจเก่งนัก
เจ้าถึงลืม ลืมชายที่รัก
ให้คอย เหงาหงอยอยู่นา
ยิ่งมองดูเดือน
เหมือนเตือนให้ใจผวา
ยิ่งคืนนี้ เดือนจ้า
ฉันมาร้องไห้กับเดือน...
16 ตุลาคม 2548 11:12 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4888.html
(น้อยใจรัก)
.....................
รอยทางเกวียนหรือรอยทางควาย
หายเข้าไป...ในดงดอกโสน...
และทุ่งดอกหญ้า
ที่กำลังระบัดช่อพ้อไสวในสายลมยามเย็น
และ..
ท่ามทิวไม้ทุ่งนา
อันเชื่อมตาตามต่อกันไปแลละลิบไม่สิ้นสุด
จนถึงริมเชิงเขา
สาวนาขี่ร่างเจ้าสายน้ำ..มาอย่างดายเดียว
*หนึ่งคนกับหนึ่งควาย*
ใกล้ลำห้วยเข้าไปทุกทีๆ ก่อนที่ตะวันจะชิงพลบ
ดวงตะวันสีไพลเรี่ยดวง..เหนือขอบฟ้าทิศตะวันตก
ฝูงนกแมลงเริ่มผกโผผินบินกลับรัง
สายลม..
กำลังพัดพรายพร่างพรม
ดงดอกหญ้าจนไหวเอนยวบยาบ
ยอดทิวไผ่แมกไม้ในโพ้นตา..
กำลังพากันไหวระริก
รับระลอกของสายลมอ่อนๆในยามใกล้ค่ำ...
งามล้ำจนเกินบอกใคร
เจ้าสายน้ำพาสาวนามาหยุดริมตลิ่ง
ให้สาวนาค่อยๆทิ้งตัวลงมาจากหลังอย่างช้าๆ
สาวนา...
ค่อยๆพาเจ้าสายน้ำไต่ลงไปจากเนิน
แล้วลงไปสัมผัสสายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็น
ที่แทบแลเห็นกรวดทราย
และ..
ปลาดำผุดดำว่ายอย่างไร้ทุกข์ร้อนใด.
สาวนา...
ปล่อยให้เจ้าสายน้ำ
ได้นอนคลุกแอ่งน้ำอย่างสบายใจ
แล้ว..
สาวนาก็หอบเสื้อผ้าที่มัดรวบไว้มาคลี่กางออก
ก่อนที่...
จะมานั่งบนแผ่นหินกว้าง...เพื่อจะทำการซัก...
ดวงดอกจิกสีชมพู
ที่กำลัง..ผลิแย้มหวาน
บานตระการเต็มราวกิ่งเหนือชายน้ำ
กำลังพราวพริ้งทิ้งช่อสีชมพูพร่าง..
ลงมากลางสายน้ำและร่างสาวนา
มาคลี่หอม...
มาให้ดอมดม
ด้วยดวงใจอันแสนไหวหวามอรชรอ่อนหวาน
ดวงดอกกระจิ๊ดริ๊ดนิดน้อย
แสนบอบบบางนั้น..ช่างงามนัก
แม้นจัก..เป็นเพียงดอกไม้ป่าไม้ไพร
ที่บานท้าแดดลม
หากทว่าแสนบริสุทธิ์ใสเสียไม่มี..
สาวนาค่อยๆขยี้ผ้า..อย่างช้าๆ..อย่างแสนสงบใจ
สนใจอยู่เพียงงานในมือ..
จน..
ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคน
ที่ย่ำสวบๆฝ่าดงหญ้าเดินใกล้เข้ามา..ๆ
สาวนา
ได้ยิน..เพียงเสียงสายน้ำไหลระรินๆ
ราวกำลังคุยกันจุ๋งจิ๊งๆแสนสุขใจ..
ใครคนนั้น..
มายืนบังตะวันบนตลิ่งสูง
จนเกิดเงาเงื้อมมืดดำน่ากลัว
และ..
ก่อนที่สาวนาจะทันหันไป
*เขา*ก็กระแอมกระไอส่งเสียงบอก...
สาวนาหยีตาฝ่าแสงตะวันรอนรอน
สีทองอ่อนอุ่น
ที่กำลังผ่องพรายฉายแสง..
ส่องมาทางเบื้องหลังร่างอันสูงนั้น
เขา..กล่าวคำขอโทษ
ที่อาจจะทำให้ตกใจ..
*ผมคิดว่าแถวนี้ ไม่มีคนไม่มีกระท่อมใครเสียอีกครับ*
ผม..เพิ่งอพยพมาครับ
เพราะ....
มาประมูลซื้อที่ตรงนี้ได้
และมาสิ้นสุดที่สายน้ำลำห้วยนี่ละครับ
เลยเดินมาสำรวจดู..
ผม..ดีใจนะที่พบคุณ...
สาวนากล่าวคำ..
*จ๊ะเช่นกันจ๊ะ*
เขา..
*หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันนะครับ*
*ขอผมนั่งพักตรงนี้สักประเดี๋ยวนะ
นั่นควายคุณเหรอ..น่ารักดีนะ*
สาวนา..พยักหน้ารับ..
*เขาเป็นพื่อนฉันจ๊ะ มิใช่แค่ควายใช้งาน
อยู่กับฉันมานานปีแล้วละจ๊ะ*
ในใจสาวนาเริ่มรู้สึกดี
เมื่อได้ยิน
*คำชมควาย*จากชายแปลกหน้า
ที่หน้าตาดี
หากท่าทางซี..
ราวกำลังแบกโลกไว้สักสามสี่ใบก็ไม่ปาน
เพราะ
แสนมีนัยน์ตาโศกรานสลดรันทดอย่างไรก็ไม่รู้...
*คุณ..อยู่ที่ตรงนี่มานานหรือยังครับ
ใครๆเขาบอก
มีแต่คนขายที่นา..หนีไปใช้ชีวิตในเมือง
อันแสนเรืองรุ่งในกรุงกันหมดแล้ว
หาคนรักผืนดิน
ทำกินแบบวิถีการเกษตรผสานผสม
แบบสมถะพอดีพอเพียง
พอเลี้ยงตัวเลี้ยงท้อง..เข้ายากเย็นขึ้นทุกที
จะมีก็แต่...
คนทิ้งผานทิ้งไถทิ้งรอยไถแปร...ไปเป็นสาวโรงงาน
ตามเมืองกว้างเมืองใหญ่..
ทิ้งวิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่ง
ไปยุ่งวันทั้งวัน
ให้หน้าดำคล้ำเครียด
อยู่ในที่อันแสนคับแคบ
แล้ว...
ยังต้องใช้ชีวีแบบเช้าชามเย็นชาม
ไม่มีอากาศบริสุทธิ์
เพื่อตามเติมเต็มโลกวัตถุ *ระบบสังคมทุนนิยม*
ที่ดูดเงินเดือน
ให้หมดไปกับค่าลมลม ค่าโทรศัพท์มือถือ
หรือไม่ก็
ค่าน้ำค่าไฟ
ค่าเทคโนโลยี่ใหม่ๆค่าน้ำมันรถไปกลับ
ที่หาเท่าไรๆก็หาจักพอใช้..ไม่มีเก็บไม่พอกิน
เขาพูดไปบ่นไป...
ราวกับอัดอั้นเสียเต็มประดา
สาวนา..แสนเห็นใจ
และ...
ไม่คิดสงสัย.เลยสักนิดสักน้อย
เพราะ
ที่นี่..คือบ้านไพรบ้านป่า
ที่...หาคนคุยด้วยแสนยากลำบากนัก
เขาถึง..
ตั้งใจปักหลักคุยเอาคุยเอา
อย่างอยากระบายคลายใจ
ให้..
สาวนารับบทเป็นศิราณีจำเป็น
ให้เป็นที่ปรึกษาทางใจอย่างเลี่ยงไม่ได้...
*ผม..อกหักมาจากวิถีชีวิตในเมืองครับ
ผมเบื่อ..ระบบทุนนิยม
ที่
ทำให้ผมต้องทนทุกข์ตรม
อยู่ในระบบนานปี
ก็เพื่อรอวันนี้ละครับ
รอ..
เก็บเงินจากหยาดเหงื่อทุกบาททุกสตางค์
แล้วมาวางแลกกับที่ดินแสนงาม
เพื่อมาตามเติมต่อไฟฝัน
ให้มีวัน..
*พบฝันเป็นจริง*
ได้มาทำสิ่งที่รัก
ได้มาเนาแนบสนิท
ได้มาใช้ชีวิตชิดใกล้ธรรมชาติ
ได้รับรสสุนทรีย์แห่งความงามสงบสมถะเรียบง่าย
อยู่แบบพอดีพอใจพอเพียง
แห่ง.ผม..เพียงผู้เดียวลำพังนะครับ*เขาย้ำ
และ
พร้อมกันกับการหัวเราะเก้อ..
ราวกับ
อยู่ดีดีมาเพ้อพร่ำรำพัน
ให้กับสาวแปลกหน้าฟัง
ที่ดูดูแสนไร้มายา
หากทว่าแสนสวยใสบริสุทธิ์ แสนสงบงาม
ในท่ามท่วงท่า
อย่างน่าตามติดสนิทชิดใกล้
ราวอยากระบายอะไรสักอย่าง
กับใครสักคน
ที่ตั้งใจนิ่งฟังอย่างสงบสำรวมกิริยาอย่างสาวนา
*ผม...เลย..ลาออกจากระบบคนเมืองครับ
เพื่อนๆ..กำลังรอคอยจะสมน้ำหน้า
ว่าคนอย่างผม
จะมาดำนาไถนา..ได้สักกี่วันกันเอง..
*จะคอยดู
*ช่างเถอะนะ
คุณว่าไหม ..คำคนคำใคร..จะคิดอย่างไร
หากเรา..
ตั้งใจแล้วมั่นใจแล้ว..ที่จะเลือกที่จะสู้
หวังจักต้องลองดูสักยก
คุณผู้อยู่มานานปี..คงพอเป็นครูได้นะ
เพราะ..ผมกะจะมาลองผิดลองถูกตามทฤษฎีใหม่
ในการสร้างวิถีเกษตรแบบดั้งเดิม
ไม่เพิ่มด้วยสารเคมีในผลผลิต..
สาวนานั่งนิ่งฟังด้วยความรับรู้เข้าใจ
ก่อนจะบอกไปว่า
สาวนา..ยินดี
เพราะ
อยู่ที่นี่มานาน
ตั้งแต่รุ่นคุณทวด คุณปู่ย่าตายายจนมาถึง
รุ่นหลานเหลนคือสาวนาแล้ว..
และ..
ยังไม่เคยคิดจะขายผืนดิน
ทิ้งถิ่นทุ่งทอง..
พาตัวหอบเงินงามลอยละล่อง
ไป...
ฟ่องฟุ้งเฟ้อ ที่ไหน
ที่พอเผลอหน่อยเดียว
เงินงามก็จะลอดเลี้ยวมลายหายหมด
เหลือ..
เพียงหยดหยาดน้ำตารันทด กลับนา กลับมา
แล้วก็ไม่มี...
ผืนหล้าคอยเช็ดน้ำตาซับน้ำตาให้อีกต่อไป..
เขา...ดีใจที่ได้คุยกับสาวนา
และ..
ก่อนกล่าวคำลา..ราวกับจะทิ้งท้าย
เขากล่าว..
*ผม..ใช้ชีวิตลำพัง..หวัง
ยามเหงาจะแวะไปเยี่ยมเยียนทายทักได้บ้างนะครับ*
และ...
ไม่ลืมที่จะหันไปยิ้ม
ให้กับ...
เจ้าลูกควายสายน้ำ
ที่กำลังนอนมองดูคนทั้งคู่คุยกัน
ด้วยดวงตาใสซื่อ อย่างแสนภักดี
แล้วจึ่งค่อยๆหันกลับมาสบตาคน..
*ตาสบกัน..*
มีเพียงแววอันแสนงดงาม
ในท่ามโลกแสนสวยใสใจบริสุทธิ์
อย่างมิ่งมิตร
ที่ควรพลีน้ำจิตน้ำใจดีงามในท่ามโลกไร้แล้ง
ทุกหัวระแหง ..ทุกแห่งหน
อย่างที่...
ทุกผู้คนเริ่มมีเพียงความไม่ไว้วางใจกันและกัน
มิยอมปันแบ่งเอื้อโอบไออุ่น..
ให้โลกยังคงหมุนไปได้ด้วยความรักและเอื้ออาทร...
สาวนา..
หยุดนิ่งคิด ด้วยใจดวงสะออนอ่อนหวาน
ถึงช่วงนาที..
ที่จู่จู่..เขาคนดี..คนแปลกหน้า
ได้ผ่านแวะมาพบพานพูดคุย..พร้อมพรากไป
ในใจสาวนาดวงใสดวงงาม
*ราวมีดวงตาที่สาม*
กลับยิ่งสงสาร ในความดายเดียวของเพื่อนมนุษย์
ที่..
ต่างคนต่างคิด..ต่างจิตต่างใจ..
ต่างอยู่กันไปแบบตัวใครตัวมัน
จนพากัน..
เหลียวไป..ในโลกทุกวันนี้
ไม่พบใครสักคน..ที่จะมาทนรับฟังปัญหาผู้อื่น
หากมิใช่ญาติมิตร
อันแสนสนิทหรือคนชิดใกล้ ในดวงใจ
ที่มากมีมากมาย...หลากหลาย
ดวงใจคนในหล้าโลกจึงมีเพียงโศกแสน
และ
พบดายเดียวเหว่ว้า
...
ไร้ที่พึ่งพาพักพิงใจ
ไม่มีหลังไหล่ให้เอนอิง..ได้เกาะกุมมือกันไป
พากันเดินไปในถนนสายงาม
สายพิสุทธิใสสายไพรด้วยกัน
จน..
ต้องหันไปพึ่งความสุขในทางที่มิชอบมิควร
อันล้วนแล้วจักทำลายทำร้ายตัวเองและโลก
ให้แสนโศกสลดรันทดหมดงาม ยิ่งขึ้นทุกที..
และ..
สำหรับนาทีนี้
สาวนา..
แสนยินดี..ที่ได้พบเจอคนแปลกหน้า
ที่..
ผ่านแวะมาทายทัก
มาพาตัวทำความรู้จักอยากรู้ใจ
ในเส้นทางระหว่างชีวิตลิขิตฝันอันแสนสั้นนัก
ทว่าลึกลึก..
ใจสาวนาดวงรักเดียวใจเดียวรักงามสงบ ..นั้น
แม้น..
จะพบคนหลงทาง
ที่แสนอ้างว้างเหว่ว้า
รอท่ามาพักในร่มใจ
หากทำไมนะ..
หัวใจสาวนา จึงไม่เคยหวั่นไหว
ไม่เคยแม้นจะมีที่ว่าง ให้กับใจใครเลย
สาวนาเชื่อว่า..
ความรักมีมากมายหลายรูปแบบไว้จ่ายแจก
ด้วยความเมตตาปรารถนาดี
หาก..ที่สำคัญ
รักที่แสนดีงามนั้น..
หากเราได้ค้นพบคนในฝันในใจ
ในนิยามพิเศษพิสุทธิ์
ที่ทำให้เราหยุดพักหัวใจ..ได้แล้ว
เราก็ควร..
จำต้องรักษาร่างและใจดวงแก้วดวงงามดวงดี
มอบพลี..ภักดี..
ให้แด่กันและกันตราบจนวันตาย...
ที่จักไม่สลาย..
ณ..ภายในจิตวิญญาณแห่งสองเรา..
ที่จะเป็นดั่งเงาใจไปตราบชั่วกาล
เพื่อ..
รอวันสร้างสรร....
มอบวันแสนดีแสนงาม
คืนให้แด่โลกหล้าแลชีวีผองชน
ที่ยังคงต้องรับวิบากว่ายวนในทนทุกข์ยาก..
ตราบจนกว่า
เราทั้งคู่จะข้ามล่วงพ้นมหานทีสีทันดร..
ล่วงพ้นสิงขร..วิบากรักวิบากทุกข์
และ
หยุดการเกิดดับ ..
นับอนันตชาติอสงไขยกาลกัป์ปกัลป์ อีกต่อไป...
................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4888.html
น้อยใจรัก.... ผ่องศรี วรนุช
สี่ในสี่ ห้องหัวใจ
ฉันให้คุณหมด
หมด ไม่มีเหลืออยู่
คุณ ไม่รักแล้วไม่เอ็นดู
พอหัวใจคุณเปิดประตู
ไม่มีฉันอยู่ ในนั้นเลย
เก็บความหม่น ทนระทม
ทุกข์จมความโศก
โลก สร้างมาเหลือเอ่ย
ฉัน ทุ่มใจเพราะยังไม่เคย
รักเขาเต็มใจหมดเลย
พิโธ่เอ๋ยนี่โดนหนามยอก
หัวใจของคุณ
คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น
แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น
เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก
ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก
ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก
ให้คุณบอกไม่รักสักคำ
หนึ่งในสี่ ใจของคุณ
ว้าวุ่นไปได้
ใช่ ก็ใครเขาทำ
เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ
แม้เขาจะพร่าจะยำ
เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น
หัวใจของคุณ
คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น
แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น
เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก
ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก
ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก
ให้คุณบอกไม่รักสักคำ
หนึ่งในสี่ ใจของคุณ
ว้าวุ่นไปได้
ใช่ ก็ใครเขาทำ
เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ
แม้เขาจะพร่าจะยำ
เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น...