6 กันยายน 2548 04:41 น.
..สายลมทะเล..
ในการเข้าและออกจากโรงเรียนแต่ละอาทิตย์ของนักเรียนทหารนั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้นอกเหนือไปจากเครื่องแบบก็คือกระเป๋าหนังสีดำ ที่พวกเราเรียกกันว่า เจมส์บอนด์ (ส่วนที่มาว่าทำไมถึงเรียกอย่างนั้น นั่นผมก็ไม่ทราบได้ เอาเถอะ เอาเป็นว่าเราไม่เรียก เจมส์ เรืองศักดิ์ ข้าวมันไก่แน่ๆ)
อะไรอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ ? เคยสงสัยกันบ้างไหมครับ
ไอ้หนุ่มนายร้อยที่ยืนทำหน้าญาติหายเหงื่อไหลซิกหน้าป้ายรถเมล์ มือซ้ายถือเจมส์บอนด์แขนสั่นริกๆ ประหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มือขวากำหลวมๆ พร้อมต่อยหมาทุกตัวที่หลงผิดคิดว่าเสาไฟฟ้า หมายประกาศศักดาแสดงเขตอิทธิพลฉี่รดพ่อโรบอท ... เขาเป็นพระเอกของเรา
บนรถเมล์ ... พระเอกของเราขึ้นไปยึดทำเลยืนเท่ห์ตอนกลางคัน แม้รถเมล์กรุงเทพจะเหยียบมิดไม่คิดถึงยมบาล เบรคหัวทิ่มสุดแรงแม่เบ่งดั่งเข้าใจว่ากำลังขับช็อปเปอร์แล้วมีนักศึกษาสาวซ้อนท้าย พระเอกของเราก็ยังยืนเกร็งนิ่งปานลิงตาย หาได้กระดุกกระดิกให้เสียบุคลิกไม่ เวลานั้นพระเอกของเราคิดว่า..หนักชิบเป๋ง ทั้งคันรถจะไม่มีคนที่มีที่นั่งใจดีช่วยแบ่งเบาเอาไปถือให้เลยเหรอ..สายตาแอบสอดส่ายผ่านกระบังหมวก ..อืม ทางซ้ายเด็กช่างกล..ดูหน้าตาก็รู้ยี่ห้อว่าขืนเข้าไปใกล้ๆ อาจโดนเสียบเอาง่ายๆ ..ทางขวาก็คุณป้า เพิ่งกลับจากตลาด กลิ่นปลาสดยังคลุ้ง นี่ก็หวังพึ่งไม่ได้ กระเป๋าได้เหม็นไปสามวันสามคืน ..ถัดไปอีกเบาะนั่นก็เด็กเจ็ดขวบ กระเป๋าจะทับเด็กตายเอา ..ข้างหลังยิ่งไม่น่าไว้ใจ โจรแน่ๆ ฝากไว้มีหวังมันได้เชิดกระเป๋าหนี ..อ่ะ นั่นนักศึกษาสาวท่าทางเรียบร้อยใจดี อืม คนนี้น่าจะพอฝากผีฝากไข้ได้.. ว่าแล้วพระเอกก็เดินเข้าไปชิด
แล้วกระเป๋าของพระเอกก็เริ่มกะหลิ่มกะเหลี่ยเข้าไปใกล้ชายกระโปรงเจ้าหล่อน..ทีละนิดๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวที่หมกมุ่นอยู่กับนิตยสารคู่สร้างคู่สมจะยังไม่รู้สึกตัว ยังคงก้มหน้าอ่านเฉยเหมือนไม่ได้สังเกต พระเอกของเราเริ่มหงุดหงิด แกล้งเอากระเป๋าแตะขาเจ้าหล่อน ..แน่ะๆ ยังเฉย..อีกทีซิ..ยัง ยังเฉย..พระเอกของเราเลยรัวไปหนึ่งชุด..ได้ผล เธอเงยหน้าขึ้นมอง พระเอกของเราส่งยิ้มน้อยๆ ขยับกระเป๋าเตรียมยื่นให้เจ้าหล่อน ที่ไหนได้คุณเธอกลับเมินหน้าหนียกขาขึ้นไขว่ห้างหลบเข้าด้านใน
เด็กสาวสมัยนี้ทำไมใจดำกันนักนะ..พระเอกคิด
ผ่านไปอีกหลายป้าย คนบนรถทวีเบียดเสียดยัดเยียดทุกครั้งที่จอด หนาแน่นยิ่งกว่าปลาซาร์ดีนกระป๋องในซอสมะเขือพวง เอ้ย มะเขือเผา เจ้ย มะเขือเทศ ... โอย แย่ๆ พอเริ่มแก่ สมองก็เริ่มเลอะๆ เลือนๆ
ผีซ้ำด้ามพลอยคราวเคราะห์ซึ่งรอคอยโอกาสสำหรับผู้ไม่รอบคอบหลงลืม ไม่ได้หมุนรหัสเปิดกระเป๋าให้เลื่อนไปจากรหัสจริง ...เบียดกันไปเบียดกันมา ... พระเอกก็ท้อง เอ้ย ไม่ใช่ เจมส์บอนด์ของพระเอกเราก็เปิดผลัวะออกมาในจังหวะที่คนขับเหยียบเบรกหยุดรถกะทันหัน ส่วนจะเบรกให้หมาเดินข้ามหรือหยุดซื้อพวงมาลัยไปคล้องคอนักร้องก็ช่างเถอะครับ แต่ที่แน่ๆ สิ่งละพันอันละแสนข้างในกระเป๋า กระจายออกสู่สายตาประชาชน วินาทีนั้น โอยสุดจะบรรยายขอรับท่าน ...พระเอกแทบแทรกแผ่นดินหนี .... กางเกงในสีเดียวกับที่ซุปเปอร์แมนใช้ออกมายิ้มทักทายสาวๆ ... เด่นเป็นสง่าดับรัศมีตำราแคลคูลัสและพลพรรคหนุมานสีอื่นไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ..ในกระเป๋านักเรียนทหารจะมีอะไรนอกจากตำราและเสื้อผ้าที่เอากลับไปซัก
....................................
ควันจากท่อไอเสียจางไปแล้ว ... บ้านยังอีกไกล ... พระเอกของเราตั้งต้นยืนตายซากรอรถสายเดิมอีกครั้ง .....
ก็ใครจะหน้าหนาทนโหนรถคันเดิมกลับ เหมือนตอนผมผายลมส่งกลิ่นคลุ้งไปทั้งคันคงไม่มี... เรื่องของความมั่น พูดกันได้เสียที่ไหน..จริงไหมครับ
6 กันยายน 2548 04:40 น.
..สายลมทะเล..
ดุ่ยเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกจากเมืองไอ้เท่งพัทลุง ลักษณะเด่นคือตัวดำ ฟันขาว และยิ้มง่าย แม่ของดุ่ยเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกงชื่อดัง ซึ่งถ้าคุณเข้าไปถึงตัวตลาดแล้วล่ะก็ ลองถามหาร้านข้าวแกงแม่ดัง รับรองว่ารู้จักกันทั้งอำเภอ ..ก็ไม่รู้ว่าเพราะแกงอร่อยหรือเพราะแม่ดุ่ยขายหวย
ด้วยวิญญาณของนักขายที่สืบทอดมาโดยสายเลือด ดุ่ยเล็งเห็นว่า การแอบลักลอบขายข้าวกล่องกระเพราหมู มาม่าผัด และข้าวไข่เจียวให้กับเพื่อนๆ ยามดึก น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านดีกว่าให้แม่ขายนาส่งควาย เอ๊ย! ขายข้าวแกงส่งลูกชายเรียน จริงๆ ดุ่ยเรียนดีครับ ด้วยวุฒิม.6 ที่สอบเทียบลอกๆ เขามา ทำให้ดุ่ยเอนท์ติดวิศวชลประทาน ม.เกษตรอีกแห่งนึง ...แต่อนิจจาวาสนาไม่ถึง ข้าวแกงปีนั้นขายไม่ใคร่ดีนักไม่ติดหลักร้อยล้านเหมือนเช่นทุกปี ด้วยความเป็นลูกกตัญญู ดุ่ยเลยตัดสินใจเข้าเรียนเตรียมทหารเพื่อให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด...ที่ลือกันว่าแม่ดุ่ยยัดเงินใต้โต๊ะสี่แสนจึงไม่จริง
กิจการพ่อค้าคนกลางของดุ่ย ซึ่งทำตัวเป็นพ่อค้าของเถื่อน รับข้าวกล่องมาค้ากำไรยามดึกเป็นไปได้อย่างราบรื่นอยู่หลายอาทิตย์ จนเพื่อนๆ ต่างอิ่มหมีพีมันอ้วนพุงพลุ้ยผิดจากที่ควรเป็น เป็นเหตุให้หัวหน้า(นักเรียนบังคับบัญชา)เริ่มตั้งข้อสังเกต
กระทั่งคืนนึง จักรยานของสามีแม่ค้าที่เป็นเจ้าของสัมปทานร้านอาหารในสโมสร ปั่นผ่านหน้านักเรียนบังคับบัญชาในระยะใกล้ กลิ่นขยะในถุงหอมโชยจนหมายิ้ม จักรยานค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดลง ณ จุดนัดหมาย เจ้าตัววางถุงทิ้งไว้ที่เดิมเหมือนเช่นทุกคืน แต่คราวนี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของหัวหน้าผู้ซึ่งรอคอยจังหวะจับผิดหาเรื่องซ่อมพวกเราอยู่แล้ว...ใครมันจะมาทิ้งขยะที่ตึกนอนของนักเรียนชั้นหนึ่งตอนดึก...พิรุธชัดๆ
ข้าวกล่องหอมอร่อยน่ากินในถุงใส่ขยะตกเป็นของกลางที่ดิ้นไม่หลุดทันที...เสียงเรียกรวมพลกระหึ่มโรงนอนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง จากนั้นสารพัดท่าลงโทษก็ตามมา กลิ้งเกลือกกันลิ้นห้อยหูตูบ ..แดกกันจนสาแก่ความผิดล่ะครับ...
สองชั่วโมงผ่าน หัวหน้าคงเพิ่งนึกได้ ถึงได้ถามว่า ของใคร?
ทำไมไม่ถามตอนชาติหน้าก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ระบบเกียรติศักดิ์ของดุ่ยยังดีเยี่ยม ลูกผู้ชายทำผิดต้องยอมรับ ดุ่ยกระเด้งออกมาหน้าแถวทันที (ส่วนใครจะถีบออกมาหรือเปล่านั้น เราไม่ได้สงสัย)...แล้วดุ่ยของเราก็รับกรรมที่ก่อเพียงลำพัง ส่วนคนอื่นๆ ได้รับความปราณีปล่อยให้นอนทั้งเสื้อผ้าโชกเหงื่อ ห้ามอาบน้ำเหมือนเคย เป็นสาวๆ คงชอบใจ ได้เป็นปอดบวมกันถ้วนหน้า ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจเวลาใครเขาสงสัยว่าทำไมไม่หันหน้ามาคุย ให้รู้กันไปเลยชัดๆ ว่านี่ข้างหน้านะย่ะหล่อนไม่ใช่ข้างหลัง
คืนนั้น ดุ่ยโดนอะไรต่อบ้างพวกเราไม่รู้ เพราะแค่ที่พวกเราโดนก็อ่วมอรทัย ชนิดที่ถึงเตียงหัวฟาดหมอนก็หลับทันที ไม่มีใครได้อุดหนุนข้าวกล่องของดุ่ย และไม่รู้ว่าดุ่ยทำอย่างไรกับข้าวกล่องพวกนั้น...รู้แต่เพียงว่า รุ่งเช้าเราพบหมาตายท้องกลมอยู่ข้างตึก...สงสารลูกของมันเหลือเกิน
...แต่เอ๊ะ! นั่นมันหมาตัวผู้นี่หว่า...
5 กันยายน 2548 13:39 น.
..สายลมทะเล..
เมื่อคืนทักษิณโทรมาคุยกับผม ร้องไห้ฮือๆ บอกจนปัญญาแก้ปัญหาใต้ มองหาผู้ทรงปัญญาซ้ายขวา ค้นหาขุนพลสู้ศึกมะละกาคราวนี้ ก็ไม่เห็นใคร..ไร้ม้าดีหวังพึ่ง เห็นจะมีก็แต่ผม
ออดอ้อนพร่ำรำพันอยู่สามชั่วยาม ผมก็ไม่ใจอ่อนบินกลับ ที่สุด พณ.ท่านต้องทิ้งไพ่ตาย ..ถวายน้องแพทองทาให้เป็นรางวัล...ผมหัวเราะหึหึ
..เป็นอันตกลง..
แหมคุณก็เกินไป..ใครจะใจดำทำอย่างนั้นกับท่านนายก..ลูกสาวนะครับไม่ใช่ลูกลิง จะได้รับมาเลี้ยงไว้ดูเล่น
ผมเลยขอรับไว้แค่ครึ่งเดียว..ตัวน้องแพคืนให้ท่าน ส่วนชื่อของน้องในบัญชีทรัพย์สินและใบหุ้นโอนมาให้ผม
ท่านอิดออดอยู่พักใหญ่ บอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วยเอาไปทั้งคนทั้งของเถอะ..เอ้า! ท่านเพิ่มหุ้นของท่านให้ด้วย
ผมนิ่งคิดอยู่นาน
อืม..เอาแบบนี้แล้วกัน น้องแพไม่ใช่สเป็ค ขอเปลี่ยนเป็นน้องโอ๊คแทน
ท่านนายกอึ้ง ..เงียบไปชั่วครู่ ..ก่อนกระซิบตอบพอได้ยินกันสองคน
แล้ว..ไม่สนใจรับพ่อโอ๊คไปด้วยเหรอ
สถานการณ์ทางใต้ แก้ยังไงให้ถูกจุด..เถียงกันไม่จบสักที จะเอาการเมืองนำการทหาร หรือเอาการทหารนำการเมือง.. นักการเมืองก็บอกทหาร ทหารก็บอกนักการเมือง..เกี่ยงกันให้อีกฝ่ายได้หน้า ผมดูแล้วว่า..อย่างนี้ต้องปฏิวัติ..ปฏิวัติครับปฏิวัติ..ต้องปฏิวัติเท่านั้น
ปฏิวัติความคิดที่บรรเจิดให้กลายมาเป็นการกระทำง่ายๆ ที่ได้ผลเสียที เลิกใช้ศัพท์แสงอันหรูหรา ไทยคำอังกฤษคำวกไปวนมา กราดด่าไปสิบหน้า แล้วทิ้งปมปัญหาไว้เหมือนเดิม ..อย่างนั้น ไม่ต้องลงทุนบินไปเรียนที่ไหน ป้าผมขายปลาในตลาดก็พูดได้
ฟังคำแนะนำ ค่อนว่าของคนอื่นนะดี ..แต่ถ้าปล่อยให้เขามาตีลูกคุณในบ้านนะ.. ผมว่า ยกทั้งลูกทั้งเมียให้เขาไปเลยดีไหม ..มันไม่ใช่บ้านคุณแล้วล่ะ
และก็ไม่ต้องกลัวบ้านอื่นจะแทรกแซง ต่อให้ใหญ่มาจากไหน ถ้าคุณสอนลูกมาดี เพาะบ่มวิจารณญาณมาแต่เด็กๆ ลูกคุณก็ดูออก..ว่าที่มาก๊อกๆ นะ..หมาหรือแขก..จะต้องยกน้ำท่าไปบริการหรือจะถวายก้อนหินให้
เมื่อประเทศเราตัดสินใจจะเดินตามแนวทางประชาธิปไตย ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ ..หากเขาอดน้ำอดอาหารใกล้ตาย ก็ต้องยื่นข้าวยื่นน้ำ..ไม่ใช่หยิบหนังสือส่งให้..จัดลำดับความสำคัญ ..และเข้าไปให้ถึงหัวใจ
ประเทศเรามีประชากรกว่าหกสิบล้าน มีคอมพิวเตอร์พร้อมช่วยประมวลผลเป็นแสนๆ มีนักวิชาการ และยังบุคคลที่เข้าใกล้อัจฉริยะอีกก็ไม่น้อย ..ขอเพียงรู้เป้าหมาย.. คำตอบก็รอคอยอยู่
นักการเมือง รัฐบาล ฝ่ายค้าน ข้าราชการจากทั่วประเทศ ส่งมาเลยตัวแทน.. พูดมลายูได้บ้างไม่ได้บ้าง รวมกลุ่มกันไปเคาะประตูบ้านทุกหลัง ไปทุกซอกเขาคุ้งน้ำ ไปถามเขาซิว่า..เขาอยากให้ชีวิตเป็นยังไง..อะไรที่เขาต้องการ
ห้าล้านก็ห้าล้าน สิบล้านก็สิบล้าน ไปพบให้หมดทุกคน ..อย่าบอกว่าทำไม่ไหว..ทำเพื่อชาติ แค่นี้คงไม่ตาย ..เคยได้ยินไหมครับบทกวี ..ตายเพื่อชาติประชาชน จะตายสักกี่สิบหนก็ยินดี..
เอาข้อมูลทั้งหมดที่ได้ใส่ลงฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ล้านเครื่องทั่วประเทศที่ต่อเครือข่ายกันอยู่ ประมวลผลเข้าซิครับ..ความต้องการและทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด มันจะใช้เวลากี่มากน้อยวิเคราะห์ออกมา
แทนที่คนนึงจะบอกว่าเพราะอย่างนั้น อีกคนก็บอกว่าเพราะอย่างนี้ ประชากรที่เขาไปสุ่ม แม้จะพยายามกระจายแค่ไหน ก็ยังคงเป็นคนละกลุ่มตัวอย่าง.. จิตใจ และความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงนะครับ ในเรื่องของความมั่นคง บางครั้งมันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะสุ่มยกเอามาเพียงส่วนเดียว ..ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็กวาดเก็บข้อมูลจริงจากประชากรในพื้นที่ทั้งหมดเลยดีไหม
ท่านนายกถือสายอึ้งไปสามนาที (แม้จะเป็นการโทรทางไกลท่านก็ไม่หวั่น เพราะทั้งมือถือทั้งเครือข่ายมันก็ของท่าน)
มันจะไม่เป็นการขี่ช้างไล่จับตั๊กแตนหรือไอ้ลูกเขย
ผมจะถือว่าไม่ได้ยินที่ท่านพูดนะพ่อตา ..ท่านได้แค่เสียงเดียวจากทางใต้นั่นก็แย่พอแล้ว..ท่านยังจะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกหรือ.. ต่อให้ขี่ฉลามไล่งับปลาซาร์ดีนท่านก็ต้องทำ
.....................................................
ตกลง ยุทธศาสตร์ภาคใต้ของเรา เห็นทีต้องบูรณาการทางความคิดอย่างที่ว่า
เอ่อ! ว่าแต่ว่า จะไม่รับพ่อโอ๊คไปด้วยเหรอ
ผมยิ้มละไมในหน้า
อือออ.. แล้วจะคิดดู
5 กันยายน 2548 13:09 น.
..สายลมทะเล..
หลังทำงานมาได้หกเดือน ผมก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ทีมใหม่ ในทีมใหม่โดยเนื้อหาของงานแล้ว ทักษะการพูดฝรั่งเศสเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญยิ่ง ผมเองไม่รู้เลยว่าทำไมผมซึ่งภาษาฝรั่งเศสไม่กระดิก ถึงได้เข้ามาอยู่กับทีมนี้ ..แน่นอนเพื่อนๆ ในทีมทุกคนพูดฝรั่งเศส และน้อยคนมากที่พอจะพูดอังกฤษกันรู้เรื่อง
เมื่อวานซืน ผมตื่นสายเลยไม่ได้กินอะไร รีบบึ่งรถเข้าที่ทำงาน เมื่อไปถึงก็ปรากฏมีงานด่วนเข้ามา.. ผมไม่รู้หรอกว่างานอะไร เพื่อนบอกโกๆ ก็ไปกับเขา ..เพื่อนแวะบ้านเก็บข้าวของอะไรนิดหน่อย ก็ยังไม่เอะใจ.. ขับรถไปครึ่งทางแวะทำงานที่นึง ถึงถึงบางอ้อ วันนี้เราจะไม่กลับบ้าน..ที่หลับที่นอนข้าวปลาอาหารไปตายเอาดาบหน้า..ผมแทบร้องไห้ หิวท้องร้อง ดาบหน้าคงไม่ถึงเพราะผมคงตายเอาดาบนี้
งานเสร็จตอนสองทุ่ม เพื่อนคนนึงเจอสาวชวนไปนอนด้วย รอดไปหนึ่ง ที่เหลืออีกสามชีวิตวนรถหาข้าวกิน ได้มื้อเช้าลงท้องตอนสามทุ่ม ชีวิตค่อยเป็นชีวิต แล้วก็เริ่มหาที่หลับที่นอน.. ผมอยากไปพักโรงแรมอาบน้ำพักผ่อนให้สบายใจ แต่เหมือนโชคร้ายผู้สังเกตการณ์ทางทหารในพื้นที่ขับรถผ่านมาแถวนั้น.. เจ้าตัวชวนไปนอนที่บ้าน เพื่อนอีกสองคนรีบตกลง ประหยัดค่าโรงแรมได้หลายตังค์ ..ผมซึ่งใช้ชีวิตเป็นผู้สังเกตการณ์ทางทหารบ้านนอกมาก่อนอยากร้องไห้
บ้าน..เรียบง่ายประสาทหารอยู่ ..น้ำกินน้ำใช้ไม่มี..หมด..ยังไม่ได้ออกไปซื้อ..ผมซึ่งอัดอั้นอยากถ่ายทุกข์มานาน ก็ต้องสะกดจุดกลั้นไว้ เดินกินฝุ่นมาทั้งวัน หน้าดำ มือเหม็นเพราะจับมือทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เกือบร้อย คุณอาจเห็นว่าเรื่องเล็ก แต่ถ้าคุณมาเห็นชีวิตคนที่นี่ จะมีสักกี่คนยื่นมือให้พวกเขาสัมผัส อย่าว่าแค่สองสามอาทิตย์เลย บนเขาหลายลูก ชาวบ้านไม่อาบน้ำเลยทั้งชีวิต..เหลือเชื่อไหม แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะชีวิตพวกเขาสั้นเหลือเกิน..แค่เกิดมาใช้กรรมให้หมดชาติไปเท่านั้น
ไม่ได้อาบน้ำไม่เท่าไหร่ แต่ไม่ได้ล้างเท้าก่อนนอนนี่ผมตายแน่ ..ดีว่ายังเหลือน้ำกินพอหยอดตาให้หยดใส่ผ้าเช็ดหน้า..เช็ดหน้าเช็ดตาพอชื่นใจ..ดำพอเช็ดตีนได้แล้ว ก็เอาเจลล้างมือเช็ด โรยทั้งตัวด้วยแป้งจอห์นสัน.. นอนคันยิบยับเหมือนโดนหมามุ่ย
ห้องนอนไม่มีไฟ อากาศบนยอดเขาก็หนาวจนคางสั่น หมอนผ้าห่มอย่าถาม ขดตัวนอนห่มชุดฝึกที่ใส่ตากแดดเหงื่อไคลสาบเหม็นมาตลอดสี่วัน..บรรยากาศมันคุ้นๆ เหมือนสมัยฝึกภาคตอนเป็นนักเรียน..ผิดกันก็แต่ ตอนนั้นยังมีเพื่อน..แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ สามคนที่มาด้วยกัน แค่เสียงปืนดัง ก็ทิ้งเราไว้ข้างหลังหนีหายไปก่อนแล้ว..ชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้
กองทัพยุงกวนทั้งคืนนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาตอนเช้าตาโบ๋โผเผลุกไปเข้าห้องน้ำ ..ทนไม่ไหวแล้วโว้ย..กลิ่นอันบรรลัยโชยจากคอห่านปะทะจมูก..ระเบิดเน่าลอยคอเย้ยหยันเหมือนบอกว่า..แน่จริงทิ้งลงมาอีก ทิ้งมาเลย..คนจริงอย่างผมอย่าท้าทาย..อุดจมูกกลั้นใจ ปลดตูมลงไปผสม.. อา! ความสุขมันเป็นอย่างนี้เอง
ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขที่ไหน.. ความสุขมันอยู่ใกล้ตัวนี่เอง.. แค่รอเวลา..
เวลาอย่างนี้..
อ้าว! เฮ้ย ทิสชู่ไม่มี..ตายห่าแล้วซิเอ็ง
5 กันยายน 2548 13:06 น.
..สายลมทะเล..
ในบรรดานักเรียนเหล่าทั้งทหารและตำรวจ ผมว่าเป็นนักเรียนนายเรืออากาศนี่อาภัพที่สุดครับ ไปที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครรู้จัก พากันเรียกนายร้อยตามที่คุ้นหูคุ้นปากกัน นักเรียนนายร้อย จปร. กับนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้น เขาไม่มีปัญหา เพราะชื่อก็บอกอยู่ทนโท่ว่านายร้อย ส่วนนักเรียนนายเรือก็ไม่ถือว่าอาภัพเสียทีเดียว อย่างน้อยในเขตทหารอากาศเอง ก็ยังเรียกพวกผมว่านักเรียนนายเรือ ..อากาศที่ต่อท้ายไม่ทราบตกท่อในกรุงเทพหายไปเสียแต่เมื่อไหร่ ข้าราชการทัพฟ้าเวลาซุบซิบเรื่องนายทหารหนุ่มบรรจุใหม่ ถามไถ่ว่าจบจากที่ไหน ก็จะได้รับคำตอบว่า..
มาดเท่ห์ๆ อย่างนี้จะจบไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่โรงเรียนนายเรือ
(เท่ห์ๆ นะผมใส่เองครับ) สรุปว่าโรงเรียนและนักเรียนนายเรืออากาศ เป็นที่รู้จักและใช้กันจริงในหมู่พวกเราในรั้วสถาบันเท่านั้น
ช่วงปิดภาคการศึกษา เพื่อนบางกลุ่มกลับไปแนะแนวน้องๆ ที่โรงเรียนเก่า (ก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่หาตังค์ทาสีใหม่) กี่ครั้งกี่หนกี่โรงเรียน จะหาคนเรียกนักเรียนนายเรืออากาศ.. ไม่มีหรอกครับ จะบอกกี่ครั้งๆ ก็ยังนายร้อยอยู่นั่นเอง รุ่นน้องผู้หญิงนี่ผมไม่ว่า อภัยให้เพราะความน่ารัก แต่รุ่นน้องผู้ชายนี่ซิ จะไปสอบเข้าแท้ๆ ยังไม่รู้จักชื่อโรงเรียน.. เหมือนผมสมัยมาสอบเข้าไม่มีผิด..
อย่ากระนั้นเลย กระทั่งพ่อแม่ของเพื่อนๆ หลายคนตามบ้านนอก(ไม่เกี่ยวกับผม..ผมเด็กเมือง) ก็ไม่เคยจำชื่อโรงเรียนได้แม่นสักที ใครถามก็บอกแต่ว่าเรียนทหารอยู่กรุงเทพ เขาถามต่อว่าใช่นายร้อยหรือเปล่า ก็รับสมอ้างไปกับเขา.. พ่อแม่ของโท่โล่ก็ตกอยู่ในสภาพนี้เหมือนกัน และตั้งแต่วันที่รับสมอ้างว่าลูกเรียนนายร้อย ทั้งเพื่อนพ่อเพื่อนแม่คนรู้จัก ต่างพาลูกสาวมาผูกไมตรี เรียกว่าครึ่งหมู่บ้านเห็นจะได้ หน้าตาโท่โล่เพื่อนผมก็ไม่เคยเห็น แต่ไม่รู้ล่ะขอดองกันไว้ก่อน (บ้านผมเรียกดองในความหมายว่า..เอาลูกสาวลูกชายของแต่ละฝ่ายมาเกี่ยวดอง มั่นหมายจองตัวกันไว้ ไม่ใช่หมายความว่าให้ตัดอะไรของโท่โล่เพื่อนผมไปดอง..เป็นอย่างนั้นก็แย่ซิคุณ ถึงจะเป็นปลายนิ้วก้อยก็เถอะ)
ช่วงสงกรานต์ปีการศึกษาสุดท้ายก่อนที่โท่โล่จะจบจากโรงเรียนนายเรืออากาศ โท่โล่กลับบ้านตามนัดหมายดูตัวกับลูกสาวเจ้าของร้านทำผมสิบแห่งในอำเภอ..โอ! แม่เจ้าโว้ย เธอรวยมาก ทันทีที่โท่โล่ถึงบ้านและสองแม่ลูกรู้ข่าว ทั้งสองก็รีบแวะมาหา..ประหนึ่งว่าบังเอิ้นบังเอิญผ่านมาธุระแถวนั้นพอดี
..ตาจ้องตา.. แล้วบุพเพสันนิวาสก็อาละวาดเอากับทั้งคู่ คุยกันไปได้สี่ห้านาที แม่ของสาวน้อยที่นั่งเอียงอายบิดไปบิดมาจนเอวเคล็ดก็ถามถึงชีวิตนักเรียนนายร้อย โท่โล่ของเราก็พาซื่อ
ผมไม่ใช่นักเรียนนายร้อยหรอกครับ ผมเรียนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศแถวดอนเมืองนะครับ
คำว่า..ผมไม่ใช่นักเรียนนายร้อยดูจะเชือดเฉือนจิตใจคนฟังไม่น้อย สองแม่ลูกถึงกับสีหน้าเปลี่ยน..แต่ยังมีมารยาทพอที่จะดำเนินการสนทนาต่อ
ก็ยังดีนะ..ยังไงจบมาก็รับราชการ สมัยนี้งานมั่นคงหายากจะตาย ได้อะไรก็ต้องเอาไว้ก่อน นายร้อยนะใครๆ ก็รู้ว่าสอบเข้ายาก ปีนึงรับไม่กี่คน บางจังหวัดสิบปีแล้วยังไม่มีลูกใครสอบได้.. ถึงจะไม่ใช่นายร้อยก็ยังเป็นทหาร มียศ มีเกียรติ ..ตั้งใจเรียนเข้านะลูก..น้ามีธุระต้องกลับก่อน
แล้วสองแม่ลูกก็ทิ้งให้โท่โล่นั่งเป็นสากกะเบือ..เก็บคำอธิบายไว้ในรอยยิ้ม..บุพเพที่อาละวาดหายลับไปกับ BMW ป้ายแดง
...................................................................................
จากวันนั้นถึงวันนี้ สากกะเบือก็ยังคงเป็นสากกะเบือ.. ผิดก็แต่ว่าสากกะเบืออันนั้นร่วงโรยตามกาลไปโขอยู่
...แล้วนี่คุณจะไม่คิดเก็บไปตำน้ำพริกที่บ้านบ้างเหรอ...ใจดำจัง