24 ตุลาคม 2548 13:11 น.
..สายลมทะเล..
สงครามก็ไม่มี แล้ววันวันทหารทำอะไร ..นั่งถอนหายใจให้หมดวัน เช้าชามเย็นชาม กินเงินภาษีประชาชน เข้างานสิบโมงเช้าก้าวเท้าออกสามโมงเย็น แล้วรอรับเงินสิ้นเดือนหรือ..
ผมได้ยินคำถามประเภทนี้บ่อยๆ ได้แต่ยิ้มให้กำลังใจคนถูกถาม เอาใจช่วยให้สามารถหาคำอธิบายง่ายๆ ให้เขาเข้าใจ ..มานั่งนึกๆ ดู การอธิบายเหตุผลบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่อธิบายให้กับตัวเอง..ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ ยิ่งหาคนเข้าใจยากเต็มที
พลังอำนาจของชาติมีหลักๆ อยู่สี่ห้าประการ ที่ทำให้ชาติดำรงสภาพของความเป็นชาติอยู่ได้ พลังอำนาจเหล่านั้นก็เช่น พลังอำนาจทางทหาร พลังอำนาจทางการเมือง พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ และพลังอำนาจทางสังคม หากพลังอำนาจด้านใดด้านหนึ่งเสื่อมถอยหรือล่มสลายลง ย่อมส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจด้านอื่น รวมถึงความเป็นชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักการทหารคนหนึ่งเคยพูดไว้ตอนยังไม่ตายว่า (ถ้าพูดตอนตายไปแล้วนี่ ผมจะเป็นคนแรกที่ออกวิ่ง) ..ชาติอาจสูญเสียพลังอำนาจอื่นๆ ได้ทุกด้าน เราอาจอ่อนแอลง เราอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสภาพ แต่เราจะยังคงอยู่..และชาติยังคงเป็นชาติ ..พลังอำนาจหนึ่งเดียวที่จะยอมให้เสียไปไม่ได้ คือพลังอำนาจทางทหาร ..วันใดที่เราต้องรบ วันใดที่เราต้องทำสงคราม เราต้องชนะ ..ความพ่ายแพ้หมายถึงสิ้นชาติ..พลังอำนาจทุกด้านล่มสลายและเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น ชีวิตประชาชนทุกชีวิตขึ้นกับทิศทางที่ผู้ชนะขีดให้ ตราบใดที่เขาแสวงประโยชน์ในสิ่งที่เขาต้องการจนพอใจแล้ว เขาอาจคืนชาติให้คุณ..ชาติที่ไม่มีวันเหมือนเดิม..และมันจะถูกจารึกไว้ในความสงสัยของลูกหลานสืบไปจนวันสิ้นโลก
..ในช่วงเวลานั้น บรรพบุรุษของเรามัวทำอะไรอยู่หนอ วันนี้เราถึงต้องพูด ต้องเรียนหนังสือกันด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ ต้องใช้เงินที่คนในรูปหน้าตาเหมือนผู้นำชาติอื่น ต้องกินซีเรียลและขนมปังแทน..เอ แทนอะไรนะ ที่เป็นเม็ดๆ สีเหลืองๆ ในพิพิธภัณฑ์นะ อ๋อ ใช่ๆ เขาเรียกข้าว ต้องกินนมแทนน้ำเพราะนมนำเข้าจากประเทศเขา และห้ามเลี้ยงวัวไปขายแข่ง ให้เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูได้ เพราะมันขี้โรคตายง่ายและสกปรก..แต่ราคาขึ้นกับเขากำหนด กุ้งไก่ปูปลาขายใครก็ได้ แต่ต้องหลังจากเหลือขายแบบลดแลกแจกแถมกับเขาแล้ว แล้วก็อย่าซ่ากับเขาเชียว เดี๋ยวพ่อคุณแกล้งปิดบริษัทไม่จ่ายน้ำ ไม่จ่ายไฟ ไม่ขายของ ไม่ทำกิจการทุกประเภท.. คนจะตกงาน และอดตายเป็นล้านนะทำเล่นไป
อีกทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องบริหารประเทศ นักการเมืองนักวิชาการที่จะดูแลบริหารจัดการ เขาจัดสรรและชี้นำไว้พร้อมสรรพ พร้อมสนองนโยบายประเทศ แบบชี้นกเป็นหมาชี้ปลาเป็นกระต่าย..ไม่หือไม่อือ รับรอง
สังคมวัฒนธรรมคนป่าที่เขาตราหน้าให้บรรพบุรุษ เขาจะยกเลิกสิ้น ไม่มีสงกรานต์รดน้ำให้เปลืองประปา ไม่มีระบบกษัตริย์เพราะบารมีขององค์กษัตริย์อาจสร้างคลื่นมหาชนยากต่อการควบคุม ไม่มีงานบุญบั้งไฟงานบุญเดือนสิบที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านและสังคมแน่นแฟ้น ต่อไปอยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆ บ้านใครบ้านมัน คุณกลับบ้านนอกก็ไม่ต้องหิ้วไตปลามาฝาก บ้านผมแกงเหลืองผมก็จะไม่แบ่งคุณ (นี่ผมแค่ยกตัวอย่าง จริงๆ แล้วผมไม่รู้จักทั้งไตปลาและแกงเหลือง ที่บ้านจำความได้ แม่ก็ให้กินแต่ปลากะพงผัดฉ่า พล่ากุ้งฮ่องเต้ และยำทะเลรวมมิตร อาหารประเภทนั้นมีแต่เพื่อนเด็กบ้านนอกเขากินกัน)
ชาติที่ไม่มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง..ยังจะเป็นชาติอยู่หรือ
ชาติที่คอยเก็บเงินส่งส่วยให้ชาติให้ประเทศอื่น..ยังเป็นชาติอยู่อีกหรือ
ชาติที่จะดำเนินนโยบายอย่างโน้น อยากจะทำอย่างนี้ ต้องหันรีหันขวางขอคำแนะนำชาติอื่น..ชาตินั้นคนในชาติยังหลงเหลือ..ซึ่งความเป็นเจ้าของอยู่หรือ..
ผมเดินตะลุยอยู่ในป่าแอฟริกา เจอผู้คนมากหน้าหลายตาจากนานาประเทศทั่วโลก ภาษาอังกฤษผมกระพร่องกระแพร่ง ภาษาฝรั่งเศสผมไม่เป็น... หลายคนมองผมด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม ประเทศคุณล้าหลังถึงขนาดนายทหารยังไม่มีการศึกษาเลยเหรอ.. รู้ไหม หัวหน้าทีมผมพูดแทนผมว่าไง.. ประเทศไทยไม่ได้ใช้ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกต ประเทศเขาเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยถูกปกครองโดยประเทศเจ้าอาณานิคมใด...
เพื่อนๆ ชาวเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกาเงียบกริบ ไม่มีประเทศใดในพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยถูกปกครองด้วยชาติอื่น.. ผมยิ้มให้หัวหน้าทีม และรู้ดีว่าทุกคำที่หัวหน้าทีมพูด มันเสียดแทงใจไม่น้อย..เพราะชาติของเขาก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น
เพราะเราไม่เคยแพ้ เพราะเราไม่เคยลำบาก.. ถึงไม่รู้ว่ามันควรหวงแหนแค่ไหน คนไม่เคยสิ้นชาติ ไหนเลยรู้สึกถึงความไม่มีชาติ.. คุณรู้จักคนมอญไหม กลุ่มคนเล็กๆ ที่เคยยิ่งใหญ่ในลุ่มน้ำอิรวดี ..ที่ตอนนี้ไม่มีกระทั่งแผ่นดินจะอยู่ แม้พวกเขาจะเหลือเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่เขาก็รักสามัคคีกันอย่างเหนียวแน่น เขายังคงฝันว่าสักวันจะมีประเทศ มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง ..และแม้ชาตินี้ไม่ได้เห็น เขาก็ยังหวังว่าลูกหลานจะได้เห็น..เขาไม่เคยท้อถอย และเขายังคงสอนสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น..เอ็งจงอย่าลืมความเป็นมอญ.. พ่อแม่เอ็งเกิดมาเป็นมอญ ใช้ชีวิตอย่างมอญ และจะตายอย่างมอญ ..ถึงวันนี้ไม่มีชาติไม่มีแผ่นดินมอญ แต่เอ็งจะต้องมีชาติ มีแผ่นดินสักวัน..
ผมไม่เคยสงสัยว่าผมจะตายเพื่อชาติได้ไหม.. ถ้าจะสงสัยก็เห็นจะเป็นว่า ..ต้องเกิดมาตายเพื่อชาติอีกกี่รอบถึงจะแทนคุณบรรพบุรุษ แทนคุณชาติได้หมด.. แม้วันนี้ผมจะไม่ได้ทำหน้าที่โดยตรงของทหารคือออกรบ.. แต่ผมก็ยังทำตัวเองให้พร้อมเสมอสำหรับสิ่งใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน แน่นอน ทุกๆ วันทหารเช่นผมต้องพยายามทำหน้าที่อื่นนอกเหนือจากการเตรียมกำลังเพื่อการรบ
ทุกวันนี้เราไม่ได้ทำงานแลกข้าว ไม่ได้ทำงานแลกเงินเดือน ..ที่เราทำเพราะสำนึกรู้อยู่เสมอ ว่าถ้าไม่มีประชาชนก็ไม่มีเรา..หน้าที่เราคือปกป้องและรักษาอำนาจของประชาชนไว้.. ประชาชน ผู้ซึ่งส่งเสียพวกเราเรียน ..ให้ข้าวให้น้ำให้เราได้กินทุกๆ เดือนไปจนถึงวันตาย ตายเสร็จยังโอนสิทธิ์เลี้ยงดูนั้นไปยังเมียและลูกต่อ.. ไหนยังดูแลเรา ดูแลพ่อแม่ ดูแลภรรยาและลูกยามพวกเราเจ็บป่วย..กระทั่งส่งเสียให้ลูกเราได้เรียนอย่างน้อยก็ถึงระดับมัธยม ...ประชาชนให้เราขนาดนี้..หากไม่รู้สึกว่าควรทดแทนแล้ว ยังจะรู้สึกเป็นอย่างอื่นได้หรือ
ภารกิจของทหารนอกเหนือไปจากการสงคราม..เคยได้ยินไหมครับ นั่นล่ะ คือสิ่งที่ทหารเขาทำๆ กันในเวลาแบบนี้
ทหารอย่างเราก็ไม่ต้องการสงคราม ..สงครามไม่ว่าแพ้หรือชนะ ก็นำมาแต่ความสูญเสีย.. นักการทหารที่เก่ง สำหรับผมแล้วไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการรบ แต่คือผู้ที่ยุติความขัดแย้งได้ก่อนที่มันจะกลายไปสู่สภาพที่ต้องทำสงครามกัน.. แต่จะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของอำนาจ ความขัดแย้ง ผลประโยชน์ การแบ่งปัน และการประนีประนอมอย่างถ่องแท้เสียก่อน.. นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมทหารยุคนี้ตบเท้าเข้าสถานศึกษาและเดินเข้าสู่สังคมกันมากขึ้น การออกไปดูโลกภายนอก ไปเรียนไปศึกษานั่นก็เป็นการมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ทหารที่ดีอย่างหนึ่ง
โครงการพระราชดำริ จะมีสักกี่คนรู้ว่ามีเป็นร้อยเป็นพันโครงการ ..พระองค์ท่านไม่เคยหยุดคิด.. แล้วรู้กันไหมว่าเฟืองเล็กๆ ที่คอยหมุนให้โครงการดำเนินไปได้นั่นก็คือทหาร..บนยอดเขาที่ยากลำบาก องค์กรเอกชน นักศึกษาเข้าไม่ถึง และไม่ได้มีผลประโยชน์หรือความสวยงามใดให้น่าถวิลหา ทหารไปทุกแห่ง เปลี่ยนทุ่งฝิ่นเป็นป่ายาง ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น สอนชาวเขา สอนชนกลุ่มน้อยให้ดำรงชีพได้โดยไม่ทำลายสมดุลธรรมชาติ และไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศทั้งพรมแดนเราและพรมแดนข้างเคียง พูดคุยกันไม่เข้าใจก็สร้างโรงเรียนสอนตั้งแต่เด็กยันคนแก่ เป็นทั้งทหาร เป็นทั้งเกษตรหมู่บ้าน เป็นทั้งครู และเป็นได้ทุกๆ อย่าง ขอแค่ให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติ
ฝนตกน้ำท่วม..ทหารต้องเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปถึงพื้นที่ บรรเทาทุกข์ที่ท่วมท้น
ฝนแล้งน้ำน้อย..ทหารร่วมกับกระทรวงเกษตรก็ขึ้นทำฝนหลวง ปัดเป่ารอยยิ้มที่เหือดแห้งให้กลับมาอีกหน
ไฟไหม้ป่าหมด..พ้นจากฤดูรณณรงค์จะมีใครถ้าไม่ใช่ทหาร ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาปลูกกันต่อไม่คิดหยุด
ทำทาง สร้างถนน ต่อสะพานตามตะเข็บชายแดนในพื้นที่เสี่ยงๆ ที่ไม่มีใครอยากไปทำ ก็ทหารที่แหล่ะที่บดอัดเกรด สร้างมันขึ้นมา
ประชาชนตกอยู่ในวิกฤตความมั่นคงในประเทศอื่น..ก็ไม่ใช่ทหารหรือ ที่ฝ่าเข้าไปช่วยทันทีเพียงข้ามวัน
ภารกิจอย่างนี้ เราเรียกมันว่า..ภารกิจของทหารนอกเหนือไปจากการสงคราม..
แล้วคุณยังสงสัยอีกไหมว่า ทำไมทหารไม่เรียนแค่วิชาทางทหารอย่างเดียว แล้วค่อยจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือนักศึกษาเฉพาะทางอื่นๆ มาทำงานให้กับหน่วยทหาร.. แทนที่จะศึกษาศาสตร์ทางด้านโยธา ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ วัสดุอุตสาหกรรม และการบริหาร ศึกษาแค่ศาสตร์แห่งการฆ่าอย่างเดียวไม่ดีกว่าเหรอ..เลือกไปเลยว่าจะเป็นไก่หรือจะเป็นนก..เป็นไก่ก็จงขันให้เพราะ..เป็นนกก็จงบินให้ดี..ไม่เห็นต้องเป็นเป็ด..ทำได้ทุกอย่าง แต่เอาดีไม่ได้เลยนี่
สักวันหนึ่งเมื่อบริษัทที่ตกเป็นของต่างชาติทั้งสิ้นแล้วนั้น อยากแทรกแซงประเทศเล็กๆ ของเรา เขาแกล้งตัดเงินเดือน ไม่ให้โบนัส แล้วก็ปลดพนักงาน วินัยของคนในชาติมากพอที่จะมองข้ามผลประโยชน์ส่วนตัวและก้มหน้ากัดฟันไม่หยุดงานไม่สไตรค์ แบกรับความทุกข์เพียงลำพังได้ไหม ..ห้าบริษัทสิบบริษัทอาจไม่เป็นไร แต่หากเป็นหลักร้อยหลักพันเล่า
..และเมื่อเวลานั้นมาถึง ทหารความรู้น้อยๆ เหล่านี้จะถูกจัดเข้าไปทำหน้าที่แทนเพื่อพิทักษ์ชาติไว้ก่อนล่มสลาย.. สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และอาจไม่เกิดขึ้น.. ซึ่งทหารทุกคนก็ภาวนาอย่างนั้น
ผมเป็นนักบิน ..รับเงินเดือนมากกว่าเพื่อนๆ ..เสียงจึงอาจอ้อมแอ้ม พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ.. แต่ถ้าต้องไปตายเพื่อชาติเพื่อประชาชน.. ขอเถอะ ให้ผมไปอยู่แถวหน้าด้วยคน..
ผมอยากดัง
17 ตุลาคม 2548 14:51 น.
..สายลมทะเล..
ช่วงนี้มีแต่คนถาม ว่าเมื่อไหร่ผมจะแต่งงาน ผมได้แต่ยิ้ม นึกสงสัยอยู่ในใจ เอ๊ะ! แล้วคุณมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยล่ะครับ ถึงอยากจะรู้กันนักนี่ เดี๋ยวผมแต่งก็บอกเองแหล่ะ
ยิ่งถ้าคนถามเป็นผู้ชาย ในใบหน้ายิ้มๆ ผมก็จะครางแฮ่งๆ ใส่
แต่ถ้าคนถามเป็นผู้หญิง นอกจากผมจะสงสัยว่าเธอจะอยากรู้ไปทำไม ผมยังอยากถามต่อว่า
เอ่อ แล้วน้องอยากมีส่วน ได้เสีย กับพี่ด้วยเหรอ
แต่มักไม่ทันได้ถามหรอกครับ เพราะเสียงครางแฮ่งๆ จากคนข้างๆ ทำให้ยั้งไว้ทัน
ฝากไว้ก่อนเถอะ.. เผลอเมื่อไหร่เป็น ได้เสีย
ตั้งแต่เล็กจนโตเท่าที่จำได้ ผมเขียนหนังสือมาเป็นร้อยเล่ม
เล่มที่จำได้ไม่มีลืมนั้น ผมเขียนเมื่อตอนอายุประมาณสี่ขวบ.. ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อก็เชื่อซ่ะ
จำได้ หลังเขียนหนังสือเล่มนั้นผมโดนพ่อตีไปหลายที
เขียนที่ไหนไม่เขียน ไปเขียนตรงหน้ากลางหนังสือ นวลนาง ของพ่อ
แล้วตรงไหนรู้ไหมครับ
ก็ตรงนั้นแหล่ะ
ผมไม่รู้ว่าพ่อตีผมทำไม ตอนผมเขียนลง รุไบยาต หนังสือเล่มรักของพ่อ พ่อเห็นก็แค่ยิ้มๆ บ่นนิดหน่อย ไม่เห็นจะโกรธแบบนี้
และหลังจากโดนตีไปหลายที ผมจึงรู้ว่า
หนังสือที่อยู่ใต้เตียงนั้น..เขียนไม่ได้
โดยเฉพาะข้อความซื่อๆ กำกับตรงพื้นที่สำคัญ ..
รักแม่
ตอนผมเรียนปอหก ผมเคยได้สิบคะแนนเต็มในการเขียนเรียงความครั้งนึง
ผมภูมิใจกับเรียงความ ไก่ของผม มาก มันเป็นเรียงความที่เขียนจากเรื่องจริงของไก่ที่บ้าน
ในวันต่อสู้กับ หมาหยอกไก่ พวกมันรวมพลังต่อสู้รักษาชีวิตลูกเจี๊ยบจนตายเกือบหมดเล้า
ตอนที่ผมไปถึง เหลือแม่ไก่แค่ตัวเดียวกางปีกโอบบังลูกเจี๊ยบเล็กๆ อีกห้าตัว
หกชีวิตที่รอด นั่นเพราะผมกลับไปทันไล่ขว้างเจ้าหมาชั่วด้วยก้อนหินและเพลิงแค้น
วันนั้นผมร้องไห้ ..ร้องไห้แบบไม่อายไก่..ร้องไห้ปิ่มๆ ใจจะขาด
ความรู้สึกเวลานั้น..เหมือนหญ้ากำลังหมดไปจากโลก
อะไรนะ มันเกี่ยวกันตรงไหนนะเหรอ
อืม จริงด้วยซิ ผมเลิกกินหญ้าตั้งแต่เข้ากรุงเทพมาตั้งนานแล้วนี่
ผมเป็นคน..ผมเป็นคน..ผมบอกตัวเอง
ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อก็เชื่อซ่ะ
ตอนที่ผมเห็นตัวเลขสิบคะแนน ผมเดินน้ำตาไหลไปหาคุณครู
คุณครูบอกผมว่า
นี่เป็นเรียงความชิ้นสุดท้ายก่อนจบการศึกษา และเธอเป็นประธานนักเรียน ครูจึงอยากให้เธอได้คะแนนเต็มสักครั้ง
น้ำตาที่ไหลพอซึมๆ จึงแตกทะลักเป็นสาย
รางวัลซีไรท์ที่ได้..เหมือนโกงเขามา
หลังจบปอหกไปเรียนมัธยมจนจบมาทำงาน ผมไม่เคยได้คะแนนเต็มสิบในการเขียนเรียงความอีกเลย
ไม่ใช่ซิ ไม่เคยได้เกินเจ็ดคะแนนด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ได้สมุดคืน จะมีปากกาแดงเขียนตัวโตๆ ว่า
อ่านไม่ออก
ผมได้แต่นึกสงสัย ครูเรียนจบมาได้ยังไง ภาษาไทยยังอ่านไม่ออก
แต่พอนึกถึง ซีไรท์สิบคะแนน ผมจึงยิ้มได้
ที่แท้ครูก็เป็นประธานนักเรียนเหมือนผม
บนบรรทัดฐานทางสังคม
ความถูกต้องมักยืนอยู่ข้างเดียวกับความรู้สึก ถึงไม่แนบชิดสนิทใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนโหยหา
อย่ามัวถามหาความยุติธรรมที่ตรงเผง เพราะทั้งชีวิต..อาจไม่มีโอกาสได้เจอเลย
ถ้าความยุติธรรมไม่ลำเอียงจนโหดร้าย สักวันมันคงเอียงมาทางเราบ้าง
และถ้าถึงวันนั้น..จงรับมันเข้ามาอย่างมีสติ
เพราะความยุติธรรมแบบเอียงๆ ที่มาช้า.. เมื่อมาแล้ว มักมาแบบถล่มทลายเสมอ
17 ตุลาคม 2548 14:25 น.
..สายลมทะเล..
ไม่น่าเชื่อว่าควายๆ อย่างผมจะเข้าโรงพยาบาลกับเขาเป็นเหมือนกัน เปล่า! คราวนี้ไม่ได้ไปไล่จีบหมอสาวๆ หรอกนะ ..ป่วยจริงๆ ครับ นอนดื้ออยู่บ้านหนึ่งวันหนึ่งคืน กินพาราไปสิบแปดเม็ด จนพี่ ทบ.ทนไม่ไหว ยื่นคำขาด..ถ้าไม่ไปเพราะไข้ เอ็งจะได้ไปเพราะไม้หน้าสามแน่..ก็เลยจำใจไปหาตาหมอหนวดเฟิ้มของกองพันปากีสถาน
วัดไข้ ตรวจชีพจรนิดหน่อย หมอก็บอกไข้ไม่สูงนะแต่ชีพจรเต้นไวไปนิดแอบไปกิ๊กกับเด็กๆ มาหรือเปล่า ..ผมก็..ปล๊าว..เสียงสูงขึ้นมาทีเดียว หมอก็เลยแอดมิทนอนโรงพยาบาลไป (ยี่สิบนี่ไม่ถือว่าเด็กใช่ม๊า)
เคยดูหนังสงครามบ้างไหมครับ..ไม่เคยเหรอ..หัดดูเสียบ้างนะ ไม่ใช่ดูแต่หนังรักโรแมนติกคิกกะปู้อย่างเดียวเลย
บรรยากาศของโรงพยาบาล แหมมันใช่เลย เสียก็แต่ไม่มีพยาบาลสาวแบบในหนัง In love and War ห้องน้ำเก่าๆ ที่จะเหยียบลงบนโถแต่ละครั้งต้องระวังแตก ตกลงไปอาจได้เป็นบิ๊กดีทูบีไปอีกคน
แก้ว ช้อน จานที่ใช้ต้องล้างเอง ไม่มีนะครับ น้ำยาล้างจาน สก็อตไบรท์ จานมันๆ เพราะอาหารปากีสถานก็น้ำเปล่านั่นแหล่ะล้าง อย่าว่าแต่ความมันเลย คราบน้ำแกงกะหรี่ยังเหลืองอ๋อยคาจาน ต้องเสียสละเสื้อที่ใส่เช็ดอีกรอบถึงพอทำใจเก็บไปกินต่อมื้อหน้า
เคยกินหรือเปล่าครับอาหารปากีสถาน..ไม่เคยเหรอ..หัดกินเสียบ้างนะ ไม่ใช่กินแต่ KFC แม็คโดนัล อาหารเหลือทิ้งของฝรั่งอย่างเดียวเลย
คนป่วยที่นี่น่ารักมาก จะคอยดูแลซึ่งกันและกัน ใครทำอะไรไม่ไหว ที่เหลือก็จะกุลีกุจอทำให้ เมื่อคืนผมอ่านหนังสือเพลิน สะลึมสะลือหลับคาหนังสือ เพื่อนปากีสถานที่อยู่อีกฝั่งเลยมากางมุ้งให้..กำลังฝันถึงน้องบัวชมพูฟอร์ดอยู่พอดี เลยหอมแก้มไปฟอดนึง ..รุ่งเช้าเห็นเพื่อนมันไม่สบตาสู้หน้า ..ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ปากีสถานนี่สมเป็นชาตินักรบครับ เสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เป็นธรรมดาผมคงกินไม่ลง ดีว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองไทย เวลาที่เมืองไทยเร็วกว่าที่นี่ห้าชั่วโมง ร่างกายยังไม่ทันได้ปรับ เลยกินซะเกลี้ยง..แลบลิ้นเลียอีกต่างหาก เพื่อนเนปาลกับอินเดียทนไม่ไหว ยกขนมปังให้อีกสองแผ่น..เห็นเศษไข่ต้มเจ้าเนปาลกินไม่หมด เลยขอมันมาด้วย..อิ่มจัง
ตอนเช้าหมอมาตรวจ..ก็เลยขอหมอกลับบ้าน หมอถามจะกลับกี่ชั่วโมง ผมทำหน้างงๆ หมอเลยถึงบางอ้อ ..อ้อ! มันนึกว่ามันสบายดีจะกลับไปทำงานต่อได้..หมอเลยฟาดด้วยขวดน้ำเกลือผางนึง..นอนไปเลย ตื่นมาเดี๋ยวไป x-rays ติดเชื้อทางเดินหายใจไอแค่กๆ หายใจฟืดฟาดเลือดกำเดาแห้งกรังเต็มจมูกยังมีหน้ามาซ่า ..ผมเลยต้องเจี๋ยมเจี๊ยมยึดพื้นโชว์ไปสิบที..หมั่นไส้กันไปทั้งโรงพยาบาล
ตอนเที่ยงคนป่วยหกคนกับเจ้าหน้าที่พยาบาลอีกสามชีวิตอัดกันไปในรถพยาบาลสนามขนาดไมโครเพื่อไป x-rays ที่โรงพยาบาลของกองพันแอฟริกาใต้
คุณเคยดูหนังสงครามไหม..ไม่เคยเหรอ..เออถามไปแล้วนี่เนาะ..ก็หัดไปดูเสียบ้างนะ
โรงพยาบาลของกองพันปากีสถานนี่ ผมนึกถึงโรงพยาบาลสนามของสงครามในยุโรปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประยุกต์เอาตึกรามบ้านช่องในเส้นทางที่กองทัพผ่านมาใช้ ส่วนโรงพยาบาลของกองพันแอฟริกาใต้นี่คล้ายกับโรงพยาบาลสนามของอเมริกาในสงครามพายุทะเลทราย เพราะเป็นเต็นท์โดมลายพรางเคลื่อนที่ได้ ข้างในเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลไหน ก็ไม่น่าเข้าทั้งนั้นแหล่ะ ..ถ้าไม่มีพยาบาลสาวแบบในหนัง
เฮ้อ! คิดแล้วก็อยากออกไปทำงาน
เมื่อวานโทรไปบอกทีมว่าไม่สบายไปทำงานไม่ไหว ได้ยินเสียงเย้! สงสัยกำลังเชียร์บอลกันอยู่ ..ตอนเช้าพากันมาเยี่ยม ไม่รู้กระซิบอะไรกับหมอ เห็นยัดแบงค์ร้อยดอลล์ใส่มือไปหลายใบ ..หมอหันมายิ้ม อ่านปากมุบมิบได้ว่า..ให้อยู่ทั้งชาติก็ยังได้ ..
แหม่..เพื่อนมันรักจริง
10 ตุลาคม 2548 21:12 น.
..สายลมทะเล..
"หนา" ไม่ได้จัดว่าหน้าตาดีหรือน่ารักไปกว่าผู้หญิงทั่วไปที่ผมรู้จัก
ออกจะธรรมดาๆ เสียด้วยซ้ำ
...ยังจำได้ว่า เราเจอกันในเย็นวันที่ฝนตกหนัก
ผมกำลังขับรถกลับบ้านต่างจังหวัด
เห็นเธอเดินตากสายฝนที่ตกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ข้างหน้าไม่มีแม้ที่ให้หลบฝน กว่าจะถึงปั๊มถัดไปก็หลายกิโลอยู่
..ผมจอดรถเทียบข้างตัวเธอ ขึ้นรถซิครับ
โดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ เธอมุดเข้ามานั่ง
กระชับแขนสองข้างแล้วก็ซุกตัวของเธอเงียบๆ
จะไปไหนครับ เธอไม่ตอบ
..ร่างเธอสั่นน้อยๆ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่แค่เพียงสายฝนที่เปียกโชกตัวเธอ
..ไม่มากก็น้อย ก็คงมีน้ำตาผสมอยู่บ้าง ...ผมไม่ได้ถามเธออีก
พี่จะไปลพบุรี เราจะลงที่ไหนก็บอกนะ
เธอยังคงนิ่งเฉย ..ผมจึงปล่อยให้เธอคิดอะไรของเธอไปตามลำพัง
แม้อยากจะชวนคุยให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เจ้านิสัยไม่ชอบถามกับอัธยาศัยชั้นเลวยังคงชนะและทำให้ผมนั่งบื้ออยู่ต่อไป
ไปอาบน้ำซ่ะ ผมโยนผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเก่าๆ สมัยเรียนหนังสือที่เล็กจนผมใส่ไม่ได้แล้วให้เธอ เธอไม่ได้อิดออด ไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย
สักพักเธอก็กลับมา ..ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
..เสื้อผ้าผมมันยังคงใหญ่รุ่มร่ามสำหรับเธอ แต่ดูไปดูมาก็น่ารักดี..
ผมไม่ใช่ผู้ชายใจดี และออกจะชาเย็นอยู่บ้าง
นอนข้างล่างแล้วกันนะเรา เอ้า นี่ที่นอน ปูเอาเองนะ มีอะไรก็ขึ้นไปเรียกแล้วกัน
ผมทิ้งเธอไว้ตามลำพังอีกครั้ง และขึ้นไปทำงานของผม
อาจเพราะขับรถท่ามกลางสายฝนมานาน
ความเพลียเลยทำให้ผมเผลอง่วงหลับคาโต๊ะหนังสือ
แต่ก็ไม่ทันได้หลับสนิท เสียงเคาะประตูก็ทำลายภวังค์ความเงียบขึ้นมา
...เธอไม่ได้สบตาผมเช่นเคย ผมพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงควรให้เธอเข้ามานอนด้วย
...เธออาจกลัวความมืด หรืออาจรู้สึกแปลกที่
หรืออาจเพราะ...อะไรอีกร้อยแปด หรือผมกลัวเธอจะคิดอะไรสั้นๆ
ผมตอบไม่ได้... แต่ผมก็ให้เธอเข้ามา
เธอขดตัวนอนข้างๆ เตียงผม... แล้วก็หลับไปในความเงียบ
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด เธอยังคงหลับอยู่
ขอบตาสองข้างยังมีคราบน้ำตาแห้งๆ ให้สังเกตเห็นได้
ผมลุกขึ้นจากเตียงเบาๆ อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
...ทิ้งเธอไว้กับอาหารจากในตู้เย็นเพียงลำพัง
สามคืนแล้วที่ฝนยังคงตกอยู่จนเกือบเช้า
และก็สามคืนแล้วเช่นกัน ที่เธอนอนร้องไห้เงียบๆ อยู่ในความมืด
...แต่คืนนี้ต่างไปจากทุกคืน ผมลุกจากเตียงทรุดตัวลงนอนข้างเธอ
และกอดเธอเบาๆ เธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร...
ผมหลับไปทั้งกอดเธออย่างนั้น
เธอกินอยู่ง่ายๆ ไม่เคยเรียกร้องอะไร ผมกินอะไรเธอก็กินเหมือนๆ ผม
...นานๆ ครั้งผมก็พาเธอไปเดินหาซื้อของบ้าง
ถามว่าอยากได้อะไร เธอก็ดูจะไม่ต้องการไปเสียหมด
...แต่ในสิ่งที่ผมซื้อให้ ดูเธอจะดีใจ
และทะนุถนอมมันราวกับเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีก
ถึงเธอจะอยู่กับผม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกรักหรือผูกพันอะไรเป็นพิเศษ
ซึ่งเธอเองก็คงจะรู้ และดูเหมือนเธอจะเข้าใจและก็อยู่กับสถานะนั้นอย่างเงียบๆ ได้
...ผมไม่เคยพาเธอออกงานที่ไหน ไม่เคยแนะนำให้ใครรู้จัก
รวมถึงทุกครั้งที่ผมออกไปเที่ยวกับพี่ๆ น้องๆ ผมก็ทิ้งเธอไว้กับบ้านและอาหารในตู้เย็น
แต่...ไม่ว่าผมจะกลับมาดึกแค่ไหน เธอก็จะยังคงรออยู่
..ทุกครั้งเธอจะยิ้มและโผเข้ากอดผมอย่างมีความสุขโดยที่ผมรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้ฝืนทำ
...เธอไม่เคยตั้งคำถามกับผม เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยถามอะไรเธอ...
มีบ้างบางครั้ง ที่ผมพาเธอเดินเล่นตอนเย็นๆ ซึ่งก็ไม่ได้บ่อยอะไร
เพราะกว่าผมจะกลับจากที่ทำงานก็เย็นมากแล้ว
...มีสระน้ำเล็กๆ ไม่ไกลจากบ้านผมนัก
วันไหนที่พอมีเวลาผมก็พาเธอมาเล่นเรือใบลำจิ๋วริมสระน้ำ
เธอวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ทีราวกับเด็กๆ
...ดูเธอมีความสุข ผมได้แต่นั่งมองเธอเงียบๆ...
หนา เรียกหนาแล้วกัน นั่นเป็นชื่อที่เธอให้ผมเรียก ...
หนา เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะไปราชการต่างจังหวัดเดือนนึง
ช่วงพี่ไม่อยู่จะเอาอะไรไหม เธอสั่นหัวเป็นคำตอบ
จริงๆ ผมก็ไปราชการต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งก็ไปแค่สองสามวัน
แต่ครั้งนี้ไปนานถึงเดือนนึง ผมเองไม่ได้ห่วงอะไรเธอมากนัก
ออกจะตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอสาวๆ ต่างถิ่นเสียด้วยซ้ำ
...ก่อนเดินทาง ผมซื้อของใส่ตู้เย็นไว้จนเต็ม
และทิ้งเงินฝากไว้กับรุ่นน้องที่สนิทกันว่าให้แวะมาดูหน่อย
เผื่อขาดเหลืออะไรก็รบกวนช่วยซื้อให้ด้วย
เพราะผมรู้ดีว่าเธอไม่มีทางจะออกไปไหน
เธอกินเท่าที่มี...ไม่เคยให้ผมต้องลำบากเลยด้วยซ้ำ
...แต่ผมก็ไม่เคยนึกถึงเธอ
ไปราชการคราวนี้ ผิดไปจากทุกครั้ง...
เราต้องไปสนับสนุนหน่วยอื่นในพื้นที่ป่าภูเขา
ต้องนอนเต็นท์ และหุงหาอาหารกินกันแค่พออยู่ได้
จะอาบน้ำแต่ละครั้งต้องเดินไปสามสี่กิโล
เราจึงอาบกันแค่หลังเลิกงาน..วันละครั้ง
งานไม่ได้ก้าวหน้าอย่างที่คิด พายุและน้ำป่าทำให้เราทำงานกันอย่างยากเย็น
..เดือนนึงผ่านไปแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าเราจะได้กลับบ้าน
...ผมเลิกโกนหนวดหลังจากที่พยายามโกนอยู่ทุกๆ สามวัน
..ปล่อยให้มันขึ้นและดูรกตาไปตามธรรมชาติ และก็เลิกนับวันรอ..
ในใจเริ่มรู้สึกเป็นห่วงหนา ไม่รู้เธอจะเป็นไงบ้าง
แม้ว่าจะฝากข่าวไปทางวิทยุกับน้องที่สนิทกันแล้ว
...แต่ผมก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธอบอกไม่ถูก
ลูกน้องแต่ละคนกระสับกระส่าย และเริ่มหงุดหงิด
แต่เราก็พยายามดูๆ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน...
ผมไม่มีเวลาจะห่วงตัวเองมากนัก ได้แต่พยายามทำให้งานลุล่วงไปโดยเร็วที่สุด
และพยายามแก้ปัญหาลูกน้องที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ พูดจาไม่เข้าหูซึ่งชักเกิดขึ้นบ่อยทุกทีๆ
...หลายเรื่องที่รุมเร้าและอาจจะมีความเหงาปนอยู่บ้าง หนา คิดถึงเธอจัง
กลับไปคราวนี้ พี่จะดีกับเธอมากๆ ...แม้จะตอบไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แต่ตอนนี้พี่รู้ตัวว่า...ความรัก..มันได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
สัญญา...กลับไปคราวนี้ มื้อแรกที่เธอจะได้ทาน
จะไม่ใช่อาหารที่พี่ชอบกินเหมือนอย่างทุกวัน
แต่จะเป็นอาหารที่เธอควรจะได้กินมานานแล้ว...อัลโป้...อาหารสำหรับเธอ
10 ตุลาคม 2548 20:11 น.
..สายลมทะเล..
ไม่รู้ผมซื่อหรือผมโง่ ที่ยอมให้คนอื่นหลอกใช้อยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ถ้าให้ผมคิดเอง ผมว่าผมคงตกอยู่ในสปีชี่สัตว์กินหญ้าแสนดีนะครับ
วันนี้มีงานด่วนให้ไปสังเกตการณ์การจ่ายเงินให้กำลังติดอาวุธรับจ้างที่ทำงานให้รัฐบาลเมื่อตอนเลือกตั้งคราวก่อน ซึ่งก็กองกำลังกลุ่มนี้แหล่ะที่เป็นปัญหาก่อม็อบกันอยู่ในทุกพื้นที่ เรื่องการจ่ายค่าจ้างไม่เป็นธรรม โกงกันไปโกงกันมาทั้งสองฝ่าย แต่วันนี้จ่ายให้พวกที่สังกัดอยู่ในเมืองหลวง พองานเข้ามาปุ๊บ สมาชิกในทีมหายกันอย่างพร้อมเพรียง หันซ้ายแลขวา เหลือผมกับเจ้ายักษ์ตูนิเซียสองคน.. การปฏิบัติงานจึงโหวงเหวงจนน่าเศร้า แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น ระหว่างทางเจ้าตูนิเซียเกิดนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ไปเอาตั๋วเครื่องบินกลับบ้านที่สายการบิน เลยบอกให้ส่งมันไว้ที่บริษัท เสร็จแล้วมันจะตามไป ดูมันๆ
สองข้างทางกลุ่มคนวิ่งกันเต็มท้องถนน ด้วยความที่สมองผมเฉื่อยชาเป็นปกติ เลยไม่คิดอะไร พอเลี้ยวรถเข้าไปยังถนนหน้าตึกที่จ่ายเงิน โดนทหารกับตำรวจของรัฐบาลบล็อกไว้ ผมส่งภาษาอังกฤษบอกว่าผมรับผิดชอบภารกิจนี้ พวกนั้นตอบเป็นภาษาพื้นเมืองว่าเข้าไปมึงตายกูไม่รู้นะเว้ย ..พูดกันห้าหกนาที เข้าใจกันดีมาก แล้วผมก็ขับดุ่ยๆ มึนๆ เข้าไปหน้าตาเฉย
ธรณีสูบแทบไม่ทันพระแม่เจ้า ฝูงชนกลุ่มเบ้อเร้อเห้อพร้อมก้อนหินคนละก้อนวิ่งรี่เข้ามาหา ผมยกมือขึ้นห้าม แต่เจ้ากรรมนิ้วทั้งห้ากลับไม่สามัคคี ปล่อยให้นิ้วกลางที่เชื่อฟังอย่างเคร่งครัดดีดผึงขึ้นชี้เด่อยู่นิ้วเดียว ฝูงชนที่กำลังคลุ้มคลั่งเลยยิ่งเร่งฝีตีนขึ้นไปอีก งานนี้ชูมัคเกอร์ก็ชูมัคเกอร์อ่ะครับ เจอผู้กองซูเลี้ยวสกรูด้วยเบรกมือถอนเกียร์สามตบเกียร์หนึ่งบึ่งแซงหายไปในพริบตาแน่นอน
รอดมาได้อีกหน วีรกรรมครานี้ไม่มีเสียงปรบมือเช่นเคย.. ได้ยินเสียงงึมงัมเป็นแบ็คกราวน์ตอนโทรไปรายงานบอสว่า ..แม่ง! รอดอีกแล้วว่ะ..
ไม่รู้จะรักผมอะไรกันขนาดนั้น