30 เมษายน 2550 22:21 น.

“หนังสือ รถไฟ หวานใจ ข้าวโพดต้ม”

สายน้ำแห่งรัก

ผมพาตัวเองเข้ามายืนในร้านหนังสือแห่งหนึ่งซึ่งนานๆครั้งจะเข้ามาสักที ชีวิตวันนี้เริ่มต้นด้วยการทำอะไรที่ต่างไปจากทุกๆวัน เริ่มจากแทนที่จะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟเย็น วันนี้ผมเริ่มต้นด้วยการสั่งนมเย็นแทน เล่นเอาพี่คนขายถึงกับส่งสายตาสงสัยกลับมา ก็แหมร้อยวันพันปีกินแต่กาแฟ จนเดินเข้าร้านเข้าร้านไม่ต้องสั่งถือเป็นอันรู้กัน  หลังจากใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือนานพอสมควรสิ่งที่ผมได้แทนที่จะเป็นหนังสือดีๆสักเล่ม กลับเป็น ความประทับใจในร้านหนังสือแห่งนี้ เหตุผลที่อธิบายง่ายๆคือ ผมสังเกตได้ว่าแม้จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตเหมือนกับร้านประจำที่ผมมักจะไปนั่งจิบกาแฟพร้อมกับเลือกหนังสือสักเล่มมาอ่าน แต่การจัดร้าน และจัดหมวดหมู่ของหนังสือ ช่างดึงดูดใจลูกค้าเรื่องมากอย่างผมได้ดีจนบอกกับตัวเองว่าต่อไปร้านนี้จะเป็นร้านประจำที่จะเข้ามายืนอ่านหนังสือ(อิอิ ถูกใจก็จะซื้อจ้า) 

            ออกจากร้านหนังสือเดินผ่านอาหารหลักที่กินอาทิตย์ละอย่างน้อย 4 วัน  เป็นอะไรไปซะไม่ได้นอกจาก...ข้าวมันไก่ แต่แล้วก็เกิดอาการประหลาดขึ้นมาอีก ไหนๆวันนี้ก็ทำอะไรแปลกๆมาตลอดใช่ครับ...ผมเดินผ่านร้านข้าวมันไก่ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ติดกัน อีกครั้งที่ถูกคนขายข้าวมันไก่มองมาด้วยสายตาอ้อนวอนปนสงสัยว่าวันนี้ทำไม่พี่ไม่อุดหนุนผม (เอาน่าน้องพี่ไม่กินวันเดียวร้านน้องคงไม่เจ๊งหรอก) หลังจากอิ่มอร่อยกับก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ใส่เนื้อสดเยอะๆ พี่เศษสุดๆ(คือพิเศษกว่าปกติน่ะครับ คงเข้าใจกันนะครับ) ที่สั่งคนขายไป ผมก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบแบงค์ใบละ 20  สองใบให้คนขาย แล้วก็พาตัวเองกลับมาที่รถ ทันใดนั้นเองเสียงๆหนึ่งดังมาจากสถานีรถไฟที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เสียงประกาศเตือนผู้โดยสารที่อยู่ในชานชาลากลับกลายเป็นเสียงที่ดึงดูดผมให้พาตัวเองไปยังที่ๆไม่คุ้นเคยอีกครั้ง เหมือนกับโดนสะกดผมมาหยุดอยู่หน้าสถานีรถไฟพร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่กูทำอะไรวะเนี่ย  ไม่มีคำตอบออกจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง ผมเดินต่อไปยังชานชาลาที่ผู้คนพากันมาออกันอยู่ บ้างก็มารอรับญาติ บ้างก็กำลังยืนรอญาติมารับด้วยท่าทางกระวนกระวาย  ณ วินาทีนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่สงบนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสิ่งที่อยู่รอบๆตัว รถมอไซด์รับจ้างต่างพากันเชื้อเชิญผู้โดยสารให้ใช้บริการ ผู้คนต่างชนชั้น ต่างถานะ แต่มารวมตัวกัน ณ ที่เดียวกันเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายของตัวเอง แล้วผมล่ะมาทำอะไร?  อีกครั้งแล้วสินะที่ไม่มีคำตอบออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ 


            ขณะที่กำลังยืนนิ่งเพื่อรอคำตอบให้กับตัวเอง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์  อีกครั้งหนึ่งที่เสียงใสๆของผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาอยู่กับผมในตอนที่ผมกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวปนสับสนในตัวเอง ผมหาที่นั่งคุยโทรศัพท์กับเธอในชานชาลานั่นเอง ขณะคุยผมสังเกตเห็นเด็กๆ พากันมาเล่นว่าวอยู่ไม่ไกลจากสถานีนัก เป็นสัญญาณเตือนว่าลมหนาวได้ใกล้เข้ามาอีกครั้งหนึ่งแล้ว  ...การสนทนาระหว่างผมกับหวานใจดำเนินไปเรื่อยๆ ผมอยากจะกระโดขึ้นรถไปหาเธอซะตอนนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยความเหมาะสมต่างๆนาๆ  เมื่อถึงเวลาต้องกล่าวคำอำลาผมและยอดรักตัวเล็กๆคนเดิมและคนเดียว ยังคงไม่ลืมที่จะบอกรักกันและกันด้วยนิยามความรักของเราที่มีให้แก่กัน(อยากรู้ใช่มะ..ไม่บอก) 


            หลังการสนทนาผมมีคำตอบให้กับทุกการกระทำของตัวเองว่า   บางครั้งเราก็ควรออกจากบรรยากาศเดิมๆ หรือความจำเจของชีวิตบ้าง เพื่อสร้างมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง ไม่แน่นะคุณอาจจะได้พบกับสิ่งที่คุณค้นหามาตลอดชีวิตก็ได้   


            ป.ล. ตั้งชื่อเรื่องว่า หนังสือ รถไฟ หวานใจ ข้าวโพดต้ม คงสงสัยใช่มั๊ยครับว่าเรื่องนี้มันไปเกี่ยวกับข้าวโพดต้มยังไง ก็ระหว่างเขียนเรื่องนี้ ท้องผมเพิ่งจะบรรจุข้าวโพดต้มแสนอร่อยเข้าไปไงล่ะครับ				
30 เมษายน 2550 11:09 น.

มาฉีก....กันครับ

สายน้ำแห่งรัก

19.49 น.

          จำได้ว่าวันนี้ไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า ปวดหัวมากแต่ก็ไม่ยอมกินยา เหมือนจะบอกกับตัวเองว่า แค่นี้เองทนให้ได้สิ ชีวิตมีเรื่องเลวร้ายมากกว่านี้...
 แต่แล้วเพราะคำเตือนของผู้หญิงคนหนึ่งที่หัวใจบอกว่ามีความสำคัญกับเรามากๆ เลยแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง มองไปหน้าตู้กระจกเห็นเขียนว่า ก๋วยเตี๋ยว ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ความคิดตอนนั้น นึกขึ้นมาได้ว่าลองแหกกฎสังคมดูบ้างจะเป็นไร......"พี่ครับ เอาบะหมี่เกี๊ยวใส่ไข่ ใส่หมูแดง ใส่หมูกรอบ จะคิดตังเท่าไหร่ก็ได้" สั่งคนขายไปแบบนั้นจริงๆ .....ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากแววตาแปลกๆที่มองกลับมาคล้ายกับจะบอกว่า "มึงบ้าเหรอ" แต่ด้วยความที่เป็นคนค้าขายเลยไม่พูดออกมา สั่งเสร็จแล้วผมก็เดินเข้าร้านเซ่เว่นที่อยู่ติดกัน เดินไปด้วยความรู้สึกเคยชินว่าต้องเข้าโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะซื้ออะไร นี่ล่ะนะคนเราอยู่กับความเคยชินเดิมๆ แต่แล้วก็มีเสียงสั่งจากจิตใต้สำนึกขึ้นมาว่าลองทำอะไรที่มันขัดกับ "กมลสันดาน" ดูบ้าง คิด..คิด  อ่อนึกออกแล้ว ที่ห้องยาสีฟันหมด ถ้าวันนี้น้ำไหลคงได้แปลงฟัน เมื่อคิดได้ว่า ต้องซื้อยาสีฟันก็เดินไปทันที...หยิบยาสีฟันใกล้ชิดกล่องสีเขียว ....ไม่ครับไม่เอา อันนี้ใช้ประจำอยู่แล้ว  มันต้องเปลี่ยนดูบ้าง เอาสีน้ำเงินดีกว่าไม่เคยใช้แหกกฎตัวเองบ้างสิ ... เดินไปที่เคาน์เตอร์ ...จ่ายตังค์ ....เดินออกมานั่งร้านก๋วยเตี๋ยว .....เห็นคนขายกำลังทำท่า งงๆ กับ"บะหมี่เกี๊ยว ใส่ไข่ ใส่หมูแดง ใส่หมูกรอบ"  แต่ก็ยังตั้งใจทำเต็มที่ ลวก.. เขย่าๆ.. เอาใส่ชาม..ใส่กระเทียมเจียว ยกมาให้ พร้อมมองหน้าตาอันหล่อเหลาของเรา ยิ้มเล็กๆที่มุมปากประมาณว่าคิดในใจ "ไงล่ะมึงกินเข้าไปให้หมดนะ"  ผมค่อยๆเทเครื่องปรุงบรรดามีในพวงเครื่องปรุง แน่นอนว่าวันนี้ไม่เหมือนเก่า จากเดิมที่ต้องเริ่มต้นการปรุงรสด้วย  น้ำส้ม  น้ำตาล พริกป่น น้ำปลา วันนี้มันต้อง "ฉีก" ครับ ไล่จากหลังสุดมาหน้าสุด (เรียงเองนะครับ) บอกแล้วไงครับว่าวันนี้มันต้องแหกกฎดูบ้าง คำแรกที่ตักเข้าปากบอกได้เลยว่า "สุดยอด" โอวว..ซาร่า ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพิ่งรู้ว่ารสชาดของการทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมมันเป็นแบบนี้นี่เองถึงรสจะแปลกไปหน่อยแต่อร่อยใช่หยอก จริงๆนะครับ ใครไม่เคยลองทำดู .....กำลังชื่นชมกับรสชาด เลิศรสอร่อยล้ำที่ตัวเองเป็นคนสร้างสรรค์ขึ้นมา...ทันใดนั้น.....เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเล่นเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวกับหมูกรอบแทบหลุดจากปากรูปกระจับได้รูปของตัวเอง "ปล่อยพระ(ขายพระ)ให้เอามั๊ย"  พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสลดใจ เมื่อเห็นสีหน้าหมองคล้ำของผู้หญิงคนนึงกับลูกสาวตัวเล็กๆ อายุประมาณ 4 ขวบน่าจะได้  "ไม่ครับ" ผมตอบไปแบบนั้นคิดในใจ อย่ามายุ่งกับผม กำลังภูมิใจในผลงานตัวเอง ... แต่แล้ว ...คำว่าฉีกกฎ ก็แวบเข้ามาในสมอง....  "พี่ครับ" สองแม่ลูกหยุดเดิน หลังจากที่ตอนแรกสิ้นหวังกำลังจะเดินไปขาย(ตาย)เอาดาบหน้า "นี่ครับ" แบงค์ 50 ที่ทอนมาจากเซ่เว่น ถูกหยิบยื่นให้ผู้เป็นแม่ ...แน่นอนเป็นอีกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ แต่ครั้งนี้เป็นสายตาที่แสดงถึงความขอบคุณโดยไม่ต้องพูดอะไร  ภาษากายบางครั้งก็เข้าใจง่ายๆ ...สองแม่ลูกเดินจากไปแล้ว ทิ้งผมไว้กับชามก๋วยเตี๋ยวชามเดิม และความรู้สึกสงสัยในตัวเอง  "นี่กูเป็นไรไปเนี่ย" ถามตัวเองแบบนั้นจริงๆ ความรู้สึกมันตื้นตันปนสงสัย ถ้าเป็นวันก่อนๆคงจะปฏิเสธโดยไร้ซึ่งเยื่อใย แต่วันนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง(ที่หัวใจโตเหลือเกิน) สอนให้ผมรู้ว่าการช่วยเหลือใครสักคนไม่ต้องถามเหตุผล ไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน ช่วยเพราะอยากช่วย ...เขียนมาถึงตอนนี้มือสั่น ..ปากสั่น ...อยากจะร้องไห้ ...วันนี้รู้สึกเข้าใจแล้วว่าบางครั้งการที่เราแหกกฎสังคมบ้างในเรื่องเดิมๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองออกจากรูปแบบชีวิตเดิมๆบ้าง ตัวเราเองอาจจะเป็นคนสร้างสรรค์ประโยคที่ว่า "โลกใบนี้น่าอยู่จัง"   ขึ้นมาก็ได้

ป.ล.  ฝากไปถึงผู้หญิงตัวเล็กๆคนนั้นว่าตอนนี้คงมีคนอยากรู้แล้วว่าเธอเป็นใคร เรื่องนี้คงต้องมาเล่ากันต่อในโอกาสต่อไปแล้วล่ะ อดใจรอนะครับ				
28 เมษายน 2550 11:53 น.

โลกนี้น่าอยู่จังเลยครับ

สายน้ำแห่งรัก

19.49 น. คือเวลาที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวห้างสรรพสินค้ากลางใจเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง จิตใจตอนนี้กำลังสับสนว่าจะเข้าไปดูหนังในห้างดี หรือว่ากลับห้องพักไปมีโลกส่วนตัวอยู่คนเดียว หากถามว่าอยากดูหนังหรือเปล่าก็อยากดูนะเพราะว่าหนังเรื่องนี้ชื่อว่า "อีกนิยามรัก"หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า sad movie (แต่ดันเป็นหนังเกาหลี) รอดูมานานมากจนหนังมาเข้าฉายที่โรงหนังชั้น 2 เมืองเล็กๆแบบนี้ก็ได้รับกระแสทางวัตถุไม่ต่างกับเมืองใหญ่ๆคือ เมื่อมีโรงหนังดีๆเข้ามาเปิดใหม่ ถึงแม้ราคาจะสูงยังไงคนก็จะแห่กันไปดู โรงหนังเก่าที่เคยมีอยู่เมื่อความนิยมลดลงก็พยายามดิ้นเอาตัวรอดโดยฉายหนังควบ 2 เรื่อง ลดราคาค่าดูลง แล้วในที่สุดก็คงไปไม่รอดเหมือนกับที่อื่นๆ ต้องปิดตัวไปในที่สุด .....ทำไมผมถึงสับสนน่ะเหรอว่าจะดูหนังที่ตัวเองรอดูมานานหรือกลับไปมีโลกส่วนตัวที่ห้องดี ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าวันนี้ไปเจอเรื่องดีดีที่อยากเล่าให้ฟังมาก...ก็วันนี้ตั้งใจว่าจะไปตัดผมเพราะทนเห็นสภาพตัวเองในกระจกไม่ไหว(เป็นศิลปินไม่จำเป็นต้องผมยาวใช่มั๊ยครับ) หาร้านอยู่นานมากจนในที่สุดก็มาหยุดที่ร้านหนึ่งด้วยความรู้สึกลุ้นอยู่ในใจว่า "จะได้เรื่องมั๊ยวะ" ลองนึกภาพตามนะครับ ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง เดินเข้าไปในร้านตัดผม ที่มีผู้หญิงกำลังตัดผมอยู่ ทำหน้างงๆ "กูเข้าร้านผิดป่าววะเนี่ย" แต่ก็ต้องนั่งลงเพราะคำพูดที่ว่า "นั่งรอก่อนนะคะ" ไอ้เราก็ทนต่อคำขอร้องไม่ได้ซะด้วย(โดยเฉพาะกับสาวๆ) นั่งรอนานมาก...ก...กก.....ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ถึงมีผู้ชายที่คิดว่าคงเป็นช่างผม(ไม่ใช่ช่าง..ผมนะ งงมั๊ยครับ) เดินออกมาจากหลังร้าน แว๊บแรกที่เห็นบอกกับตัวเองว่า..."หล่อแน่ๆเราวันนี้" ทำไมน่ะเหรอครับ ผมรู้สึกคุ้มค่ากับการรอคอยทันทีเมื่อเห็นท่าทาง การแต่งกายของช่างคนนี้ ทรงผมของช่างบอกได้ว่าใส่ใจกับตัวเองกับงานที่ทำคืองานเกี่ยวกับเส้นผม ผมที่จัดทรงเรียบร้อย เหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับน่าตาเจ้าของ ทำให้เราอุ่นใจมากขึ้น รวมไปถึงด้านข้างลำตัวยังมีกระเป๋าหนังไปเล็กๆใส่เครื่องมือทำงานไว้ครบ จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ.. "เชิญครับพี่" แค่นั้นล่ะผมเหมือนโดนสะกดเดินไปนั่งบนเก้าอี้ยังเหม่อลอย(ขนาดนั้นจริงๆ) สัมผัสแรกที่มือของช่างจับลงบนเส้นผมรู้สึกอุ่นใจทันทีว่าคงไม่ผิดหวัง......หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมพาตัวเองออกมาจากร้านตัดผมแห่งนั้นส่วนทรงผมของผมนั้น...............(นั่นแน่อย่าอยากรู้จนข้ามไปอ่านตอนจบนะครับ) กลับมาเรื่องที่เล่าข้างไว้ก่อนที่สับสนว่าจะดูหนังหรือเปล่าก็เพราะว่าอยากกลับไปห้องเพื่อรอโทรศัพท์จากใครสักคน แน่นอนว่าเป็นคนสำคัญกับเรามากๆ แม้ไม่แน่ใจว่าเธอจะโทรมาอีกหรือเปล่าหลังจากวางสายไปแล้วแต่ก็อยากกลับไปรอ สุดท้ายเหรอครับผมตัดสินใจที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังที่รอคอย เพราะคิดได้ว่าถ้าเธอรู้เธอคงอยากให้ผมทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองบ้างไม่ใช่ผูกติดกับเธอจนเกินไป "หากเธอคนนั้นได้อ่านเรื่องที่ผมเล่าอยากบอกว่าผมคิดแบบนี้จริงๆไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก" ........หนังจบแล้วพร้อมด้วยคราบน้ำตาของผู้ชายอ่อนไหวคนหนึ่งที่เข้าไปนั่งดูหนังคนเดียวในโรงหนัง บอกได้แค่ว่าเป็นอีกครั้งที่ไม่ผิดหวังกับการรอคอย แค่ประโยคๆเดียวที่จำจนขึ้นใจก็คุ้มแล้ว.."หากเราเดินตามรอยเท้าของคนอื่น แล้วเราจะมีรอยเท้าเป็นของตัวเองได้ยังไง"... ประโยคที่ก้องอยู่ในสองหูเมื่อเดินออกมาจากโรงหนัง คราบน้ำตาที่ไหลออกมาไม่เพียงเพราะซาบซึ้งในตัวหนังที่สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีในแบบหนังเกาหลี แต่ยังรวมถึงน้ำตาแห่งความปีติกับประโยคที่ช่างมีพลังเหลือเกิน...วันนี้เป็นอีกวันที่ชีวิตช่างมีความสุขซะเหลือเกินกับอะไรเล็กๆน้อยในชีวิต "โลกนี้น่าอยู่จัง" 
      24.05 น. ...ผมกลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เล่าเรื่องนี้ให้คุณได้อ่านกันด้วยเหตุผลว่าถึงแม้ตัวเองจะไม่สามารถแบ่งปันอะไรให้ใครได้มากนักแต่เรื่องนี้ก็อาจจรรโลงใจใครหลายๆคนได้ วันนี้ผมได้เรียนรู้ว่า ความรักไม่ได้หมายความถึงการเอาอกเอาใจคนรักจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้หมายถึงต้องให้คนรักมาเอาใจหรือติดแจอยู่กับเราตลอดเวลา แต่มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความห่วงใยและความห่วงหากัน ......วันนี้ผมได้เรียนรู้ว่าการดูหนังสักเรื่องแล้วได้ข้อคิดดีดีแค่ประโยคหนึ่งกลับบ้านก็คุ้มค่าแล้ว...และท้ายที่สุดผมได้เรียนรู้ว่าความเป็นมืออาชีพสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกแค่เพียงวูบแรกที่เราเห็น...แน่นอนครับผมพอใจเหลือเกินกับทรงผมทรงใหม่ที่ถือเป็นการ "สร้างรอยเท้าของตัวเอง โดยไม่ต้องเดินตามรอยเท้าของคนอื่น" ศิลปินไม่จำเป็นต้องผมยาว...... 


ป.ล.ขณะเขียนเรื่องนี้ผมยังไม่วายคิดถึงเธอคนนั้นก็เลยเปิดเพลงที่สัญญากันว่าเพลงนี้คือ "เพลงของเรา" แต่เราก็อยากให้คุณได้ฟังด้วยนะครับ เพลงนี้ชื่อว่า Because You Love Me ฟังกันได้ที่นี่เลยครับ http://imusic.teenee.com/2/frame/2855.php				
24 เมษายน 2550 11:47 น.

เพราะเราคู่กัน

สายน้ำแห่งรัก

"อาจเป็นเพราะเรา...คู่กัน...มาแต่ชาติไหน จะรัก...รักเธอ...ตลอดไป เป็นลมหายใจ... ของกันและกัน" เสียงเพลงที่ยอมรับว่าจำชื่อเพลงกับคนร้องไม่ได้ แต่เนื้อร้องเหมือนก้องอยู่ในหูมานานแสนนาน จากเวปไซต์ แห่งหนึ่งทำให้สมองหยุดนิ่งกับทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วคิดไปถึงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกที่หดหู่ของตัวเอง ให้ดูมีความหวังมากขึ้น มีชีวิตชีวา พร้อมที่จะเดินต่อไปสู่เส้นทางแห่งความฝันของตัวเอง หลังจากที่หยุดเดินมานาน เคยได้ยินมานะว่า ในชีวิตคนๆหนึ่ง เกิดมาเพื่อค้นหาแล้วก็รอคอยแค่ใครอีกคนเท่านั้น เหมือนกับจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายบนกระดาน และเมื่อคุณพบกับเขาหรือเธอคนนั้นแล้ว คุณจะสามารถรู้ได้เองด้วยความรู้สึก เหมือนกับที่ผมกำลังเป็นอยู่  ผมและเธอเจอกันแบบไหนน่ะเหรอครับ...บอกได้แค่ว่าแทบจะหนึ่งในล้านหรือหลายๆล้านก็ว่าได้ (ก็ทางอินเตอร์เน็ตไงล่ะ) ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา วันนี้ผู้หญิงคนหนึ่ง... ผู้หญิงธรรมดา(ที่ดูไม่ธรรมดาเลยในความคิดของผม) กำลังเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายไม่ธรรมดา(ในสายตาใครหลายๆคน) ให้กลายเป็นคนธรรมดา...ให้รู้ว่า บางครั้งเรื่องธรรมดาๆก็ยิ่งใหญ่ได้ในความรู้สึกของคนสองคน ถ้าคนสองคนนั้นได้ทำมันร่วมกัน ...แค่ดูหนังสักเรื่อง เดินคุยกันริมถนน ที่พลุกพล่าน แต่กลับสงบเหลือเกินเมื่อใกล้กัน ...นั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง กินข้าวมื้อเล็กๆด้วยกัน ...แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว วันนี้มองโลกเปลี่ยนไป ไม่ต้องแสวงหาอะไรที่ไกลตัว แค่มีความสุขกับใครสักคน กับอะไรสักอย่างที่เป็นความฝันเล็กๆ แต่ทำมันได้จริง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว"ขอบคุณนะ ขอบคุณ" ...ขอตอบแทนด้วยการร้องเพลงนี้ให้ฟังละกัน....... "อาจเป็นเพราะเรา...คู่กัน...มาแต่ชาติไหน จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจ ของกันและกัน"

http://www.m-fanclub.com/video/tungmodjai_mv.htm เพลง ทั้งหมดใจ				
23 เมษายน 2550 15:48 น.

เจ้าหญิงของดอกไม้กับเจ้าชายรองเท้าแตะ 2

สายน้ำแห่งรัก

ตอน....การสนทนาครั้งสุดท้าย


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:

ดีครับ

ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ดีจ๊ะ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


สบายดีไหมจ๊ะ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


ดีใจจัง


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


ได้จม เค้าบ้างป่ะ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ไม่ค่ะ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


เห้ย เปงเดือนแล้วนะ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


มีใครเอาไปซ่อนป่าวเนี่ย


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ใครจะเอาไปค่ะ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


ล้อเล่ง


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


เล่นไหนเนี่ย


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ทีทำงาน


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


เดี๋ยวก็ทำงานแล้ว


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


เนตใช้ได้แล้วเหรอครับ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


เค้าไปทำงานแล้วนะพี่ๆมาแง้ว


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


เห้อ 


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


คิดถึง รักเหมือนเดิม ไม่มีใคร


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


ขอไรอย่างได้ป่ะ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


มีไรก็บอกกันบ้างอย่าปล่อยให้พี่คิดไปเองฝ่ายเดียว ถ้ามีใครก็บอกกันได้ จะได้ทำใจ ไม่งั้นพี่ก็จะยังฝันเดิมๆไปเรื่อย


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ก็มีอยู่แค่เค้าคนนั้นคนเดียวและค่ะ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ไม่อยากมีใครอีก


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


เหนื่อย


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


เบื่อ


สัญญาจะรักมั่นแม้นวันไร้จันทร์ไร้ดาว... เธอจะลืมคำพูอของเธอหรือป่าวนะ says:


ครับ แม้แต้พี่ใช่ป่ะ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


คงจะใช่ม้าง


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ไม่รู้เหมือนกัน


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ไม่อยากให้ใครมาเจ็บปวดกับสิ่งที่เค้าเป็นต้นเหตุ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


ทำงานกอ่นนะค่ะ


ห่างกันแค่ฟ้ากั้น says:


พี่เค้าจะใช้คอมทำงาน


นี่คือบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างเรา  เจ้าหญิงของดอกไม้กับเจ้าชายรองเท้าแตะ คนสองคนที่บังเอิญผ่านมาพบกันบนโลกที่เรียกว่า ออนไลน์  เพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานที่ได้เดินทางร่วมกันบนเส้นทางแห่งความรักและความฝันที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะจริงจังและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ....แต่ก็เพียงช่วงเวลาไม่นานอีกนั่นล่ะที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างลงจนไม่อาจทัดทานความรู้สึกเจ็บปวดไว้ได้ 


            ผมไม่รู้ว่าจุดจบของความสัมพันธ์ในแบบที่เราสองคนต่างเคยสัญญากันไว้มันเกิดขึ้นจากอะไร ...เพราะผมไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานทางสังคมให้เธอได้ ..เพราะผมช่างฝันเกินไป..เพราะผมไม่เป็นอย่างที่เธอคิด.. เพราะเธอมีคนอื่น ..เพราะเธอเบื่อ เพราะเธอเหนื่อย.......แต่ที่แน่ๆไม่ใช่เพราะผมไม่รักเธอ 


            ป.ล. ถึงเจ้าหน้าไปรษณีย์ยังไงก็ช่วยส่ง จม. ที่เหลือไปให้เธอด้วยนะครับ 

                                                           และ

            ป.ล. ถึงตาหนูและยายหนูพ่อเสียใจที่เราไม่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นพ่อลูกกันอย่างที่พ่อและแม่เคยฝันไว้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสายน้ำแห่งรัก
Lovings  สายน้ำแห่งรัก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสายน้ำแห่งรัก
Lovings  สายน้ำแห่งรัก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสายน้ำแห่งรัก
Lovings  สายน้ำแห่งรัก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสายน้ำแห่งรัก