25 มีนาคม 2553 06:46 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
จานทูน
มันเป็นความโชคดีอะไรอย่างนี้ที่จะไปเข้ารับการศึกษาหลักสูตรพิสดาร
คนสอนก็พิสดาร คนเรียนก็พิสดาร
แต่ในท่ามกลางสายตาของผู้คนในพื้นที่อาจจะมองว่าคนบ้าสองคน
สะพั่ง ลูกศิษย์ และ จานทูน ปรมาจารย์ สองคนเดินต้อยๆในพื้นที่ และในเวลาปฏิบัติราชการ ซึ่งผู้คนรอบข้างได้ให้คำจำกัดความในการปรึกษาหารือและฟังแนวคิดแปลกๆ ว่า บ้า
จานทูนหัวเราะและมองมาที่ผม ว่าเขาคงหาว่าเราบ้าแน่เลย ผมสะพั่ง หัวเราะร่วน ก็ไม่แปลกหากจะมีมุมมองโง่ๆแบบนั้น ในความคิดของผม ผมต้องการศึกษาหาความรู้ซึ่งแต่ละในบริบทและพื้นที่หนึ่งจะแตกต่างกัน
สิ่งที่ผมประทับใจ จานทูน เริ่มแรกเลยก็คือ บอกแค่วันเดือนปีเกิดและเวลา ในสมองของจานทูนจะรวดเร็วมากในการคำนวณ และบทพยากรณ์อีกอันเหลือเชื่อ และสามารถย้อนได้หนึ่งชาติ
บอกตามตรงผมมันเชื่อคนยาก แต่ก็เฝ้าสังเกตศึกษา ซึ่งจากประสบการณ์ของผม การจะเข้าใจคนๆหนึ่งได้อย่างลึกซึ้งมันต้องใช้เวลาในการรับรู้ทางอายตนไม่ใช่เพียงรับรู้จากการมองเห็นได้ยิน
และอย่างน้อยก็เป็นการดูแลพี่เชื้อเท่าที่รุ่นน้องจะทำให้ได้โดยมิได้หวังอะไร แต่ต่อมาภายหลังถึงพบว่ามันเป็นการดูแลซึ่งกันและกันต่างหาก และ จานทูนได้ปฏิเสธการเป็นปรมาจารย์ว่าเป็นแค่สหชาติเท่านั้น
สิ่งที่ได้รับมาจากจานทูนมีมากมายเหลือเกินในช่วงสองเดือนครึ่งที่ผ่านมา อาทิ
การไม่ต้องจำ(รีเมมเบอร์)การใช้การระลึก(รีค๊อกไน๊)
การผูกดวงโดยไม่ต้องใช้ตำรา และการพิจารณาพยากรณ์
ตำราพิชัยสงครามไทย ยี่สิบเอ็ดบท
การใช้การสื่อสารทางจิต อันนี้ทดสอบเองได้ผล
การฝึกสมาธิเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในด้านต่างๆและหาวิธีการฝึกให้เหมาะสมกับจริตของตน
การนั่งอยู่ในหัวใจคน
การไม่หวังยศ ลาภ สรรเสริญ สุข ด้วยวิถีทางที่ไม่ดี
การไล่สว๊อตแมทริกจากอดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เข้าใจเรื่องราวของคลื่นลูกต่างๆ
การมุมานะในการหาข้อมูลจนครบทุกแปดทิศ จนเกิดเป็นวสี
การดูดาวบนท้องฟ้า
การมีญานที่เกิดจากการวางแผนในอนาคต
และความมั่นใจในสติปัญญา
ผมมองดู จานทูน ซึ่งเป็นผู้คิดค้นมหายุทธศาสตร์ที่ทำให้เห็นว่า มีเพียงสิบจังหวัดที่ไม่มีมัสยิดตั้งอยู่และลูกหลานจะอยู่ลำบาก
เอกสารสรุปห้วงเวลาของประวัติศาสตร์ สองแผ่น ตั้งแต่ศรีวิชัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตอบเรื่องความคิดความเชื่อของผู้ลี้ภัยจากเกาะมาอยู่ที่ปัตตานีที่มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารแก่ขุนต่างๆในสมัยสุโขทัย
การทดสอบอีเอ็มเมื่อใส่เกลือลงไป
การปฏิบัติการข่าวสารที่แท้จริง
ผมมอง ผมเฝ้าฟัง สิ่งที่จานทูนพูด
มีโอกาสได้ใช้ในหลายๆงานจากผู้ร่วมกลายเป็นวิทยากรได้
ผมไม่ได้เทิดทูน
สหชาติเท่านั้น
เมื่อต้องจากกันด้วยหนทางของแต่ละบุคคล
ก็ไม่มีอะไรที่จะเหลือไว้นอกจากการระลึก
สิ่งที่ได้ไป จานทูน บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมจะต้องนำไปใช้ในอนาคต
และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีบังเอิญ
สะพั่ง สะท้านไมภพ - satanmipop at 1935.in.th
24 มีนาคม 2553 19:39 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
เมื่อตำแหน่งก็ไม่ต้องการ เงินที่นอกเหนือจากเงินเดือนก็ไม่ต้องการ
แล้วจะอยู่ทำไม
ว่าแล้วสองเกลอ สะพั่ง กับ จานทูน ก็วิ่งเข้าไปเก็บของในห้องพัก
สะพั่งใช้เวลาแค่สิบนาที กับของสามกระเป๋า
ส่วนจานทูนตอนที่สะพั่งเก็บของออกมาแล้ว จานทูนยังไม่ได้เริ่มเก็บของเลย
ในที่สุดก็ขนข้าวของมาที่สถานนีรถไฟ
ประดาลูกน้องหัวโจกขาเก๋าโคตระเกก็ตามมาส่งเป็นขบวน
จานทูนเพิ่งรับเงินจากหัวหน้าใหญ่มาและแกเรียกเงินนี้ว่าเป็นเงินดอกไม้ทอง
แกก็เลยแจกลูกน้องคนละพัน
สะพั่ง บอกกับจานทูนว่า พี่เหลือไว้พันก็แล้วกัน
ถึงสถานีรถไฟก็ใช้เงินที่เหลือไว้พันเสริมค่าตั๋วชั้นหนึ่งหาดใหญ่กรุงเต๊บ
ไม่นับค่าอาหารเย็นบนรถไฟชั้นหนึ่งและอาหารเช้าแถมค่าติ๊ป
จานทูน กับ น้าพั่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ๆ
และชื่นชมกับความบ้าและความเอาจริงอย่างรวดเร็วของกันและกัน
จานทูนบอกว่า น้าพั่ง กลับไปแล้วเผื่อพี่เรียกไปทานเหล้ากัน
น้าพั่ง บอกว่า พี่ครับ ผมไม่อยากไปครับ
ก็ในเมื่อมันไม่ต้องการอะไรแล้วมันจะต้องการทำอะไรเพื่ออะไร
จานทูนคิดด้วยสมองระดับไดนามิคส์แอบพลาย
แกก็หัวเราะเคี๊ยกๆ
จิบเบียร์คนละขวด
สามทุ่ม เกรงใจคนจัดเตียง เลยเริ่มจัดที่นอนและเข้านอน
ผม สะพั่ง หรือ ที่จานทูน ชอบเรียกว่า น้าพั่ง ชอบนอนหัวค่ำ และพยายามจะไม่เสพของมึนเมา และกลับไปจะเลิกบุหรี่
แต่ขบวนชั้นหนึ่งเนี่ยสูบบุหรี่ยาก
เลยต้องนอนหัวค่ำ
เช้ามาก็ได้ที่สูบ จานทูนเล่นซะทีเดียวหลายตัว ส่วนผม นิดหน่อยพอหายอยาก
กลับไปเลิกบุหรี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่กลัวลืมจริงๆ
บางซื่อ
จานทูน แบกของใส่หลังและถืออีกมือหนึ่งพร้อมโน๊ตบุคส์เหมือนอูตลงจากรถไฟมาได้ก็เหงื่อตกกีบ
ผมก็สองกระเป๋าหนึ่งโน๊ตบุคส์ก็แทบแย่เหมือนกัน
พอลงมา แท๊กซี่จอดอยู่
จานทูนบอกบ้านผมไกลให้ไปก่อน
ระดับไดนามิคส์แอพพลายไม่ต้องมีลีลา
ลาก่อนครับจานทูน
ว่าแล้วสะพั่งก็แบกของโยนใส่ในรถแท๊กซี่แล้วก็โดยสารรถแท๊กซี่ไป
ผมเข้าใจจานทูนดีกว่าแกจะขึ้นรถแกต้องโบกบุหรี่ไปก่อนอย่างน้อยสองตัว
เมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว
ผมไม่อยากเชื่อเลย
การเชื่อคำพูดของเมียเนี่ยได้ผลดีจริง
เป็นการเชื่อคำพูดเมียครั้งแรกนับตั้งแต่แต่งงานมาแต่ปี 2527
แต่ว่าวันนี้เมียยังไม่รู้
เพราะว่าขนาดจะกลับคนจะกลับเองยังเพิ่งรู้
คิดแค่ไม่ถึงห้านาทีพอบอกกลับก็กลับกันเลย
แต่ทว่าเมื่อมาถึงบ้าน
เมียทำตาค้างนิดหน่อย
เหมือนๆดีใจ
ตกกลางคืน เหมือนเคย
ก่อกวนเมียดูละครหลังข่าวเหมือนก่อนไป
เช่นเดิม
เมียผมคงคิดอย่างงี้
ไกลกันก็คิดถึง ใกล้กันก็รำคาญ
ผมกลับนอนอมยิ้มหลับตาพริ้ม
อ้า
พอแล้ว
มันดีจริงจริงอย่างนี้นี่เอง
21 มีนาคม 2553 17:16 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
รถไฟชั้นหนึ่งแล่นปุเรงไปบนรางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของด้ามขวานทอง
ผมเหม่อมองดูภูมิประเทศนอกหน้าต่างในตอนบ่าย
เบียร์กระป๋องใหม่ถูกวางตรงหน้าและเย็นวาบเข้าในลำคอเมื่อแกะและเทเข้าปาก ตามด้วยกับแกล้มของรถสะเบียงที่ราคาแพงเกินกว่าเหตุที่ไม่ต้องเดิน
เมื่อมาถึงยะลา
เราต่อด้วยรถบัสและเข้าค่ายทหาร
ห้องนอนแอร์เย็น ข้าวปลาอาหารแบบคนใต้ และบุหรี่ถูกๆ ไอติม ร้านคาราโอเค ข้างๆที่พัก แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวให้ยิ้มได้
งานสัมมนาที่หาดใหญ่ ก็เป็นเหมือนการพัก งานเลี้ยงเลื่อนยศของเพื่อน ข้าวมันไก่ โจ๊กหมู บักกูเต๋ และร้านคาราโอเกะของรุ่นพี่ที่เป็นระดับวีไอพี
และสถานที่ที่ไม่สมควรไป
ในบางวันก็นั่ง ฮ.ไปลงในพื้นที่ต่างๆ แล้วก็ต่อด้วยรถยนต์ เข้าตามที่ต่างๆ รวมทั้งฐานของทหารบางฐาน
ห้วงเวลาที่ไม่ใช่เวลาดังกล่าวข้างต้น ใช้เวลาไปกับกบฏน้ำลาย และการใช้เน็ต
นอกจากนี้ก็บินไปรดน้ำศพทหาร และฟังสวดศพพลเรือน
สิ่งที่ตั้งใจไว้ก่อนมา
และสิ่งที่ได้ตัดสินใจก่อนมา
และเมื่อมาแล้ว สิ่งที่ต้องการคืออะไรกันแน่
ความตั้งใจที่ดีที่จะมาทำงานแต่ก็ยังเคลือบไว้ด้วยความประสงค์อันทำทีเป็นไม่อยากได้
แต่ถึงตอนนั้นก็เริ่มตลก ๆ กับสิ่งที่คิดอยากจะได้
เมื่อไม่อยากได้อะไร และไม่รู้จะทำอะไรก็เดินทางกลับ
ก็เดินทางกลับด้วยรถไฟชั้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงบ้านเมียลูกและแม่ล้วนแล้วแต่ดีใจ
เพื่อนคนหนึ่งโทรศัพท์มาหา แล้วว่าไม่อยากเป็นพลเอกแล้วหรือ
ผมก็หัวเราะแล้วตอบโต้ไปแบบขำๆว่า อยากจะเป็นในสิ่งที่เป็น
ผมไม่พูดถึงเรื่องราวทางภาคใต้อีกต่อไป
แต่สิ่งที่รับรู้มามันน่ากลัวยิ่งสำหรับลูกหลานไทย
สิ่งที่ได้รับความรู้หลายๆเรื่องจากผู้ที่มีปัญญาที่ได้อยู่ร่วมกัน
สิ่งที่ได้ทำไว้เป็นผลงานก็เป็นเพียงเอกสารแค่สามแผ่น
และสามารถตอบคำถามได้แล้วว่าเรารบกับใคร
มีสามบังเท่านั้นที่เป็นตัวเอ้สุดๆ
บังตัวแรก บังอาจ (พวกที่ชอบอ้างนายให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้)
บังตัวที่สอง บังหลวง
บังตัวที่สาม บังราษฏร์
เห็นเหล่านักวิชาการ/นักวิจัย ที่ต่างก็พยายามเข้ามามีส่วนร่วมแต่ทว่าไม่รู้ว่าสนับสนุนใครหรือฝ่ายใดกันแน่ เห็นคนต่างศาสนาที่พยายามเรียกร้องในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วตู่เอา เห็นความโหดร้ายแล้วไม่ตอบโต้ตอบ เห็นความแตกต่างของแนวความคิดในการแก้ปัญหา จนเกิดปัญหาในการแก้ปัญหา และเห็นความคิดของแต่ละคนภาคส่วนหน่วยงานที่ขัดกันไม่เชื่อถือกัน
และเห็นรอยยิ้มจนน้ำลายเยิ้มของนักการเมือง
และเสียดายเงินภาษีของตนเองที่ส่งไปช่วยเหลือภาคใต้ ในขณะที่ภาคต่างๆไม่ค่อยมีภาษีไปถึง
เห็นในอนาคตหากภาคใต้ทำได้ คนภาคอื่นก็จะก่อเหตุรุนแรงบ้างเพื่อการพัฒนาในภาคของคนเอง
การแก้ไขปัญหาไม่ได้ยาก แต่ทว่ามีแต่คนที่จะแก้ปัญหาของตนเองมากเกินไปจริงๆ มากจนเกินพอ และมากจนเกิดปัญหา
พวกที่ทำงานจริงก็ตายจริง
บางพวกก็รวยจริง แต่ลืมไปว่าเงินที่ส่งไปให้ในการแก้ปัญหานั้นคือเงินของคนไทยทุกคนที่ส่งไปให้ ดังนั้นต้องใช้ให้เป็น
เห็นลูกน้องตายอนาถนัก ไม่สามารถทนอยู่อีกต่อไปได้
แต่ก็พร้อมจะรบเมื่อจะเอากันจริงๆ
ไม่ยากหากเอาจริง
ผมนั่งผิวปาก ไม่ได้มีความเคลียดเลยสักนิดในการแก้ปัญหา
เพราะผมรู้ว่าในที่สุดก็จะไม่เสียดินแดนไทย
ตราบใดที่ยังมีทหารพลเรือนและตำรวจที่ตั้งใจจริง
และร่วมมือกันอยู่
กรรมเวรก็ว่ากันไป
โกงมากพอตายไปก็คงเกิดเป็นสุนัขอดอยากในภาคใต้
ที่พอไม่มีอะไรกินก็สงบดี
แต่พอมีเศษข้าวโยนลงเท่านั้น กระโดดกัดกันเองกระจุย
ผมหัวเราะที่มีคนเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนั้น
ความแตกต่างของคนที่ลงไปด้วยหัวใจที่ดีๆนั้น แตกต่างอย่างมากกับคนที่ลงไปด้วยหัวใจที่เคลือบแคลง
ผลของการทำงานที่ตั้งใจย่อมทำให้จิตใจดี
ผลของการทำงานที่ตั้งใจในเรื่องที่ไม่ดีย่อมมีอนาคตดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้า
ยังไงหากเลวร้ายกว่านี้ก็คงไม่พ้นจะต้องมาปราบปรามอีก
ผมยิ้มและรอว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง