29 มิถุนายน 2551 20:52 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมมองออกไปที่สระน้ำใหญ่ที่บนเทอเรสแห่งบ้านเดี่ยวขนาดยักษ์ตั้งอยู่ บรรยากาศบึงใหญ่ช่างเหมือนกับร้านอาหารริมน้ำเจ้าพระยาจริงๆขาดแต่เรือใหญ่ๆและคลื่นที่เกิดจากเรือใหญ่น้อยเท่านั้น ในท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้เมื่อก่อนก็จะต้องใช้มือถือแก้วเหล้าแล้วคนวนๆนัยว่าให้เหล้าน้ำแข็งและโซดาปะปนกลมกล่อม ก่อนที่จะกร๊วบเข้าคอด้วยความราบรื่น เสียงเพลงไทยสากลสมัย 1960 ดังและเข้ากับสายลมเย็นๆฉ่ำจนเคลิ้มคล้ายว่า ณ เทอเรสชานบ้านกลับกลายเป็นวิมานแดนดินไปซะแร้ว
บรรยากาศแบบนี้จะต้องเป็น บลู โกล กรีน แบล็ค หรือ เรด ดี ผมสะพั่ง หัวเราะให้กับตัวเองในการที่ดัดจริตให้สูงส่ง ในเวลานี้มันไม่ต้องโอ้อวดใครว่ามั่งมีซะจนเกินประดา แต่มันเป็นความจริงในบ้าน ที่ไม่ต้องเสแสร้ง และแล้วเขาก็หยิบบลูมากิน อ้อแน่นอนสะพั่งคิด ด้วยความงกของผม หากต้องเอาเหล้าไปให้ใครกิน แน่นอน ผมรักเพื่อนทุกคน แค่เรดเนี่ยก็สุดแสนจะรักมากอยู่แล้ว
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆ นึกชมความฉลาดของตนอยู่ในใจ
เมื่อภรรยาได้ยกกับแกล้มสุรามาให้ วันนี้เป็นอะไรนะ อ้อยำเนื้อย่าง ที่รสชาติสุดแสนจะเข้ากับรสชาติของสุราแม่โขงมากกว่าแต่ทว่าเมื่อบลูแล้วก็ต้องเป็นกับแกล้มอะไรที่มันพิสดารแบบคนไทยแต่ธรรมดาแบบไอ้หรั่ง แต่เอยังไงก็นึกไม่ออก
อ้อ นึกได้แล้วในตอนนั้นในตอนที่พาฝรั่งไปเทคแคร์ ได้พามันเข้าโรงเบียร์เยอรมัน รสชาติของเบียร์เยอรมันและบวกด้วยไส้กรอกเยอรมันที่สีมันเหมือนกับน้ำมันหมูใช้แล้ว มันช่างรสชาติมันอย่างบอกไม่ถูกอะไรเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อคิดตังค์ก็รู้สึกว่ามันโคตรแพงบัลลัย และเหมาะสมแล้วที่จะได้ลิ้มรสชาติสักครั้งเพียงแต่ว่าหากได้ลิ้มรสชาติแล้วโดยไม่ต้องจ่ายตังค์เลยเนี่ยน่าจะดีที่สุด
ไนท์คลับ เป็นที่ๆมีแสงจากลูกแก้วกลมหมุนวนจนเวียนหัวแต่เวียนน้อยกว่าสุราที่ได้เข้าไปดองในสายโลหิตทุกเส้นอย่างไม่มีช่องว่างแล้ว และเสียงเพลงที่กรอกรูหูก็ไม่ได้ทำให้แก้วหูรู้สึกเพราะมัวคลอเคลียกับผมพาร์ตเนอร์อยู่
คิดไปคิดมาคิดย้อนไปย้อนมาก็มีแต่เรื่องที่ในตอนนี้กลับรู้สึกทึ่งว่าแต่ละสิ่งที่ทำลงไปนั้นทำได้อย่างไร บางอย่างก็รู้สึกละอายใจและก็กลบมันไปด้วยความหน้าด้านไร้ยางอายของผมเอง
สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างที่เห็นก็คือ คนหนึ่งคนทำงานและตั้งมั่นที่จะทำงานโดยไม่ยอมไปทำตัวให้น่ารัก กับคนที่คอยแต่ทำตัวให้น่ารักไม่ว่านายเมียนายลูกนายหลานนายจะใช้ให้ไปทำอะไรก็จะไปทำ สิ่งที่ได้รับช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินทีเดียว ในโลกนี้เขามองคนเราด้วยยศฐาบันดาศักดิ์ และความหรูหราฟู่ฟ่าจากการแต่งตัวเครื่องประดับ เงินทอง รถราคาแพงๆ
ผมกรึ๊บสุราผสมโซดาอีกแก้วแล้วลิ้มรสความแพงและความหอมของบลูขวดนี้แล้วก็เคลิบเคลิ้มในความมีโชคของตน ที่คิดทำแบบนี้และมั่นใจว่าจะทำอย่างนี้ต่อไป
ผมไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ต่อหน้าผมก็เล่นละครหรือหนังเลยทีเดียวบทบาทการตีบทแตกกระจุยของผมเป็นแบบตัวละครที่ดูสง่างามมีเกียรติภูมิฐานและทรงคุณทั้งวัยวุฒิคุณวุฒิ และนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนที่ได้ยินจะต้องทึ่งในความเป็นเทพทีเดียว
ภรรยาก็ได้ไป ชุดเพชร ราคาร้อยล้าน รถสปอร์ตที่ต้องสั่งเข้าถึงจะมีขี่ เงินในธนาคารของลูก ของเมีย ของเมียน้อย ของลูกน้องคนสนิท และหากทำงานลับมาบ้างก็จะมีบัญชีธนาคารในชื่อปลอม ชาตินี้ให้ตรวจยังไงยังไงก็ไม่เจอ
ที่ทำงานก็จะมีสาวๆมาใหม่ๆ หากเขาให้ได้ทุกอย่างผมก็สามารถตอบแทนได้ทุกอย่าง ทีแรกนึกว่าพวกด๊อกเตอร์จะยากเย็นแต่กลายเป็นว่าพวกนี้มองการณ์ไกลและง่ายกว่าที่คิดซะอีก
ใครสามารถหาในสิ่งที่ผมต้องการได้ก็นับว่าเป็นลูกน้อง ส่วนไอ้ที่บ้าแต่ทำงานตามหน้าที่ เถรตรง ผมยุ่งทั้งวัน ไอ้พวกนี้มันบ้าทำงานมันก็เป็นได้แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
ใครมาด่าต่อว่าเด็กของตัวในการทำงาน ก็แสดงว่ามันไม่ดี ก็ย้ายมันไปซะ
ใครที่มาขวางการเล่นกอล์ฟของผม ไม่ยอมหลีกทางให้สะดวกหรือไปก่อน แค่นี้ก็ย้ายมันไปซะ
ใครก็ตามที่มาทำงานแล้วมีปัญหา ผู้รับเหมาให้ซองใต้โต๊ะทำเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม ไอ้พวกนี้ก็ต้องจับย้ายให้อยู่ด้วยไม่ได้เพราะมันจะทำให้ระบบที่ดีๆของผมเสียหาย รายได้หด
ในหน่วยงานจะมีอยู่สองพวก คือ เด็กผม กับ เด็กคนอื่นๆ หากเป็นเด็กผมก็ต้องเข้าใจว่าจะต้องมีสิทธิแปลกประหลาดกว่า เด็กคนอื่น และต้องอย่างเห็นเด่นชัด
ผมสะหลัดหัวแล้วเริ่มเติมเหล้าอีกแก้วหนึ่งแล้วหัวเราะเคี๊ยกๆ
ไอ้พวกบ้า มัวแต่ดูหนังที่พระเอกกล้าหาญ ซื่อสัตย์ ตงฉิน เสียสละ จนลืมตัวคิดว่ามันเป็นพระเอกไป แต่ทว่าผมสะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆๆ ผมไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้น การกระทำของผมได้ส่งผมให้เป็นถึง พณฯ ทีเดียว
ผมหัวเราะเยาะให้กับคนอื่นๆ ไม่มีหรอกไอ้พวก พณฯ ที่มีแต่คุณความดีแบบในหนังนิยายโคตรเน่าในนิยายหลอกเด็ก
มิน่ายังโง่อย่างนี้นิเล่าถึงต้องกล้ำกลืนฝืนโง่จนเจ็บจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ผมสะพั่งชูแก้วเหล้าแล้วยกชูเชียร์และตะโกนก้องว่า ขอให้กูจงเจริญโว้ย ไชโย ไชโย ไชโย
26 มิถุนายน 2551 15:18 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
สะพั่ง สะท้านไมภพ สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อแตกไหลโซมหน้า เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาในท่ามกลางความมืดมีเสียงเครื่องฟอกอากาศในห้อง และเสียงกรนของภรรเมียข้างๆ
เฮ้อ โล่งอก ว่ะ
แต่ทว่าเนื่องจากตาสว่างเสียแล้ว จะสะกิดเมียก็กะไรอยู่ เห็นภรรเมียกำลังหลับอย่างเป็นสุข สะพังก็นั่งคิดย้อนถึงความฝันที่เกิดขึ้น
นัยว่าลองดูเผื่อวันหลังฝันเรื่องหวยเรื่องเลขจะได้นึกย้อนได้ถูก
เรื่องราวมันเกิดขึ้นเนื่องจากการอยุติธรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ ในใต้ผิวน้ำที่ราบเรียบดูสงบเสงี่ยม แต่ใต้น้ำนั้นปั่นป่วน ปลาชะโด แหวกว่ายรังแกกัดกินปลาเล็กในผิวน้ำอย่างบ้าคลั่ง ฝูงปลาชะโด มันไม่ได้เกิดจากความต้องการตามธรรมชาติ แต่เป็นความกระหายในอำนาจ บรรดาปลาเล็กน้อยต่างก็กระเจิดกระเจิงแตกฝูงออกไปทั่วทุกท้องน้ำ
ในน้ำย่อมมิอาจพูดได้ เพราะพูดแล้วน้ำจะเข้าปากแม้จะหายใจทางเหงือกได้ก็ตาม ได้แต่มองตาส่ายหัวโบกครีบคุยกัน ภาษาใบ้ ซึ่งเป็นภาษาที่จะสามารถใช้ได้ทั่วโลก ผมได้แต่แอบหลืบหินเฝ้าสังเกตมวลชนชะโดเกเรมันว่าย กางครีบตาโตเถือกโปนอ้าปากแยกเขี้ยวเยาะย้ายส่ายลำตัวไปมา ผมคิดว่าเอนี่พวกมันจะบ้าหรือเปล่าวะ ใจจริงผมอยากจะว่ายรี่เข้าไปกัดหางพวกมันให้ขาดกระจุยซักที แล้วก็รีบหนี ภาษามนุษย์เรียกว่า ตีหัวแล้วเข้าบ้าน แต่ทว่าหากหนีไม่ทันโดนชะโดมันยำเละไม่เหลือก้างแน่ ดังนั้น ผมจึงค่อยๆสงบเสงี่ยมเจียมตนจะดีกว่า
เรื่องราวของท้องคุ้งน้ำย่านสารขันธ์มันช่างสับสนเสียจริงเทียว แย่งชิงกันเป็นใหญ่ไม่เลิก เล่นพรรคเล่นพวก ไม่สนใจเลยว่าธรรมชาติในท้องน้ำจะเสียความสมดุลย์ไปมากเกิน
ผมเห็นเหล่าชะโดแทะเนื้อปลาเล็กปลาน้อยเล่นแล้วถ่มทิ้ง แสนสงสารปลาซิวปลาสร้อย บรรดาปลาเหล่านี้เขาไม่มีพิษมีภัยแก่ใคร นอกจากมนุษย์ชอบจับเอาไปดองเป็นน้ำปลาแล้ว ไอ้เจ้าชะโดเหล่านี้กลับชอบกัดเล่นเป็นกีฬาเสียอีก
ผมในฐานะปลาหมอที่มักจะตายเพราะปาก ประกาศก้องในท่ามกลางหมู่ปลาใหญ่น้อยที่หลบมาประชุมกันในตอนต้นน้ำ ว่าเราจะต้องปฏิวัติเสียสักทีแล้ว บรรดาปลาใหญ่น้อยก็หัวเราะสำลักน้ำกันเป็นแถว ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่ทว่าผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป หากยังทนอยู่กันแบบนี้แม้ว่าธรรมชาติจะเป็นผู้จัดการให้บรรดาสรรพสิ่งคืนสู่ธรรมชาติเดิมๆได้บ่อยๆก็ตามแต่ทว่าหากจะใช้แบบนั้นต้องใช้เวลานานนับปีปลา
ข้าจะลุยกะมัน
มีใครจะตามข้าไปบ้าง
บรรดาปลาช่อน ปลาดุกอุย ปลาสลิด ปลากัด ต่างก็มองมาที่ตาครีบท่าทางที่จริงจังของไอ้หมอปากดำอย่างผม สักพักทุกปลาก็เห็นชอบและปรึกษาจะใช้วิธีปฏิวัติแก้ปัญหา ฟิชเรเวอรูชั่น คำนี้ปลาน้ำกร่อยแปลให้ฟัง
บรรดาปลาทุกตัวต่างก็จัดขบวนทัพโดยให้ปลาช่อนตัวใหญ่ๆเป็นทัพหลวง ปลากัดเป็นทัพหน้า ปลาเข็มคอยลาดตระเวนบนผิวน้ำ ปลาตีนคอยลาดตระเวนริมชายฝั่ง และผมพวกปลาหมอเป็นกองทะลวงฟัน แต่ก่อนทีจะทำการรบกัน บรรดาปลาใหญ่น้อยให้ผมไปประกาศของคณะปฏิวัติให้ปลาชะโดฟัง
ผมว่ายนวยนาดออกหน้าวางท่าทีเขื่องโขยิ่งนัก บรรดาปลาชะโดตอนนี้ต่างจัดแถวแบบปลาสมัยโรมันดาหน้ามาพรืดไปหมด ดูสง่าน่าเกรงขามดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ผมกลืนน้ำลายปลาลงคอก่อนจะปรับความดันในร่างกายไม่ให้หงายท้องป่องก่อน และใช้สายตามองไปที่พวกมันปลาชะโด โดยคิดว่าให้พวกมันเป็นปลาหางนกยูงซะ พอทำใจได้ผมก็เริ่มประกาศคณะปฏิวัติออกไป
ข้าพเจ้าในนามของมวลปลา ขอประกาศให้ทราบว่า ณ บัดนี้พวกเราเหล่าปลาใหญ่น้อยได้ล้อมพวกชะโดไว้หมดแล้ว อย่าได้ทำการใดๆที่เป็นการต่อต้านมิฉนั้นเราจะดาหน้าเข้ากัดกินไม่ให้เหลือซาก โดยได้รับการสนับสนุนจากปลาปิรันย่ารับจ้าง และยังจะมีปลาโลมาน้ำกร่อยมาร่วมเป็นสักขีพยาน ในนามของคณะปฏิวัติปลาใหญ่น้อยขอประกาศว่าบัดนี้ขอให้ท่านสลายฝูงชะโดอย่าเล่นพรรคพวกสร้างความเดือนร้อนให้แก่บรรดาปลาเล็กๆอีกต่อไป สั่ง ณ วันนี้ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง
บรรดาชะโดต่างก็มองดูจำนวนอันมหาศาลของบรรดาพันธปลาที่มาชุมนุมรวมกันตาก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะทำตาและท่าทางให้เหมือนกับปลาบ้าหิวเหยื่อ และให้ช่วยกันลุยเมื่อตกลงกันไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชะโดยังไงมันก็ชะโด มันบ้าเลือดมันก็เลยโบกครีบให้เริ่มทำการรุกก่อน ดังนั้นในวันนั้นเองเลือดก็นองลำธารซากศพลอยขึ้นบนผิวน้ำทั้งปลาใหญ่ปลาเล็ก ธรรมดาปลาน้อยย่อมจะแพ้ปลาเยอะ บังเอิญเดิมทีก็กะหลอกว่าปิรันยาจะมาช่วย ก็นึกไหนมานั่น ปิรันยามาทันพอดีก็เลยเข้าช่วยกัดชะโดเสียหุบครีบดำดิ่งหนีกันจ้าละหวั่น พอสงครามจบน้ำที่ขุ่นเริ่มใส ก็เห็นเหล่าปิรันยายิ้มเหงือกแดงแยกเขี้ยวอยู่
ปิรันยาตัวหนึ่งแยกเขี้ยวยิ้มว่ายออกมาหน้าขบวนปิรันย่าฝูงใหญ่ แล้วประกาศชัยชนะของคณะปฏิวัติ ฟังไปฟังมา อ้าวปฏิวัติซ้อนหรือเนี่ย
ปิรันยาหัวเราะชอบใจ เออ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง
เหล่าบรรดาปลาที่ได้ทำการรบกับปลาชะโด ต่างก็ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายตามๆกัน และหมดเรี่ยวแรงที่จะปฏิวัติซ้อนๆได้อีก แม้กระทั่งปลาชะโดก็ได้เข้ามาร่วมกลุ่มรับฟังคณะปิรันย่าปฏิวัติด้วย อย่างอ่อนเพลียละเหี่ยใจ
ผมปลาหมอปากดำตัวหนึ่งในเมื่อโดนปฏิวัติซ้อนอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูด ก็เป็นอันว่า เหล่าปลาต่างๆก็ต้องอยู่ในระบอบเผด็จการต่อไป
พวกเราเหล่าปลาก็หวังว่าในอนาคตพวกเราเหล่าปลาเล็กจะได้ขึ้นปกครองบ้างและไม่ต้องมีการคุกคามข่มขู่กัดกันเล่นกันต่อไป และจะต้องมีการเลือกตั้งให้จงได้ แต่ตอนนี้ปิรันย่ามาแรงพี่แกโหดเล่นหมดสัตว์บกสัตว์น้ำ เลยต้องยอมให้ไปพรางก่อน
จบ
ข้อคิด ปฏิวัติแล้วก็ต้องปฏิวัติไม่มีจบสิ้นเหมือนดังเช่นเรื่องของปลานั่นเอง
13 มิถุนายน 2551 21:00 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ณ เขาซมซาน บนเขานั้นยังมีวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ชื่อวัดเสียวลิ้ม วันนี้ เสียงระฆังดังออกมาจากบริเวณเขตหวงห้ามของวัด ศิษย์ทุกผู้ตกอกตกใจ รวมถึงเจ้าอาวาสด้วย ระฆังดังกล่าวดังขึ้นแสดงว่ามีปรมาจารย์ท่านใดต้องการแจ้งเรื่อง
หลวงจีนเดียวดาย พลิ้วกายออกมาจากประตูเขตหวงห้ามห้ามเข้าของวัด เหล่าศิษย์ทั้งหลายเมื่อเห็นผู้มาเป็นใครต่างก็ประนมมือกล่าว อมิตพุทธ
หลวงจีนเดียวดายมีคิ้วขาวขาว พร้อมใบหน้าที่เมตตากรุณาและกล่าวอมิตพุทธตอบต่อศิษย์รุ่นน้อง และกล่าวต่อศิษย์ร่วมสำนักทั้งหลายว่า
ศิษย์น้องทั้งหลาย ในวันนี้อาตมาต้องขอพระอภัยมณีเป็นอย่างสูง ที่ต้องเคาะระฆังขึ้น เพราะอาตมามีเรื่องที่จะขอร้องเหล่าศิษย์น้องศิษย์หลานโหลนเหลนทั้งหลาย
ศิษย์ทั้งหลายต่างก็มองมาและท่าทางก็บ่งบอกว่ากำลังล้างหูรอรับฟังอยู่
อาตมามีเรื่องจะขอต่อศิษย์น้องทั้งหลายเรื่องหนึ่ง
คือ อาตมาจะขอชีวิตของประสกเทพเท้าทมิฬเอาไว้เพื่อขัดเกลานิสัย
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็เริ่มจ๊อกแจ๊กวิจารณ์กันดังกระหึ่ม
ดังนั้นเจ้าอาวาสวัดเสียวลิ้มรุ่นปัจจุบัน รุ่นเลิกแล้วรวย ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วยกมือประนม อมิตพุทธ และกล่าวว่า ประสก สะพั่งสะท้านไมภพ หรือเทพเท้าทมิฬได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก เพื่อตัดวงจรอุบาทว์บัดซบของมันเห็นควรกำจัดมันซะเพื่อจะได้ไม่เป็นภัยต่อยุทธภพ
โยมเจ้าอาวาส ...อาตมาเห็นว่า ประสกพั่งยังเป็นบุคคลที่เลิศในรอบร้อยปียากพบพาน ดังนั้นหากประสกพั่งกลับใจได้ก็จะเกิดเป็นประโยชน์ต่อยุทธภพอย่างมหาศาล
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็ไม่เห็นด้วย
หลวงจีนเดียวดายเลยเริ่มจะกลายเป็นหลวงจีนดุด่าแล้ว ทุกคนเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังความร้อนแกร่งกร้าวขุมหนึ่ง
เหล่าหลวงจีนเท็กลื้อต่างก็รู้ดีว่า หากปล่อยให้หลวงจีนเดียวดายผู้มีมาดสงบขรึมสำรวม หากกลับกลายเป็นหลวงจีนดุด่าเมื่อไรหละก็ ความอยู่ไม่สุขในวัดอาจเกิดขึ้น เนื่องจากตามกฏของวัด ผู้อาวุโสสูงสุดจะสามารถสั่งได้ ทั้งนี้เหล่าศิษย์ต่างรู้ดี จึงเริ่มมองตากัน และเริ่มพยักหน้าแล้ว
หลวงจีนดุด่าเมื่อเห็นทุกๆคนพยักหน้าแล้วก็เริ่มอารมณ์ดีกลับกลายเป็นหลวงจีนเดียวดายเหมือนเดิม เมื่อที่ประชุมหลวงจีนโอเคแล้ว หลวงจีนชราอาวุโสสูงสุดคิ้วขาวจึงกล่าวอมิตพุทธและเรียกตัวประสกพั่งหรือ ที่ชาวยุทธเรียกว่าเทพเท้าทมิฬออกมา
สะพั่งสะท้านไมภพถูกลากจูงออกมาจากในห้องขังและมายืนต่อหน้าหมู่หลวงจีน
เทพเท้าทมิฬยืนแน่วนิ่งสายตาแดงราวประกายไฟด้วยความโกรธแค้น และเริ่มแผดด่าเหล่าหลวงจีนทั้งหลายที่จับมันมามัดไว้
เทพเท้าทมิฬ มองหน้าหลวงจีนเดียวดาย แล้วตะโกนว่า
หากข้าออกไปได้เมื่อไร รับรองว่าจะต้องล้างแค้นให้ท่านได้เจอกับแปดท่าเท้าของข้าแน่นอน
หลวงจีนเดียวดายยิ้ม และกล่าวว่าประสกฟังอาตมาก่อน
ไม่ฟัง
ประสกต้องฟัง
ไม่ฟังโว้ย
ประสก
ไม่
ในขณะนั้นเองบรรดาศิษย์เสียวลิ้มก็เริ่มชักเสียวๆแล้วเพราะต่างรู้กันแล้วว่าหลวงจีนเดียวดายตบะแตกเสียแล้วและอาถรรพ์การโกรธได้แพร่กระจายอย่างเห็นได้ชัด
แต่เทพเท้าทมิฬยังไม่หยุดแหกปากตะโกนด่าพวกเท็กลื้อ
ทันใดนั้นเอง หลวงจีนดุด่าก็ถีบ เทพเท้าทมิฬ ออกมากลางลาน
และตะโกนสั่งศิษย์น้อง กระทืบมัน
บรรดาเหล่าศิษย์เสียวลิ้มทั้งหลายก็กรูกันมาใช้บาทาพิชิตมารกระทืบอย่างสนุกสนาน
เมื่อฝุ่นควันเบาบางลงก็เห็นเทพเท้าทมิฬนอนหงายยับเยินอยู่ แต่ทว่าเนื่องจากได้รับประสบการณ์ปาฏิหารย์มาหลายครั้งจึงทำให้ยังคงรักษาพลังชีวิตไว้ได้
เทพเท้าทมิฬฝืนลืมตาขึ้นมาและมองหน้าเหล่าเท็กลื้อทั้งหลายและตั้งใจจะแผดด่าอีก เพราะความถือดี แต่ทว่าต้องหมดสติไปเสียก่อน
หลวงจีนดุด่าตอนนี้ได้กลับเป็นหลวงจีนเดียวดายแล้วมองประสกพั่งด้วยความเมตตาปราณี และหันมาสั่งกับศิษย์น้องว่า หากมันยังปากหมาอยู่ก็กระทืบสั่งสอนไปเรื่อยๆ
หนึ่งปีผ่านไป
สะพั่งสะท้านไมภพ หรือเทพเท้าทมิฬ ได้ก้าวออกมาจากวัดเสียวลิ้ม
บางคนเห็นแล้วก็ต้องตกใจแต่ทว่าก็ต้องแปลกใจ เพราะอาการเดิมๆของเทพเท้าทมิฬที่ใจร้อนก้าวร้าวดุร้ายได้หมดไปแล้ว
เทพเท้าทมิฬก็รู้ตัวว่า หลังจากที่ได้ผ่านการผ่าตัดเอาหมาออกจากปากแล้วตั้งแต่นั้นมาก็มีความสงบสุข
เทพเท้าทมิฬ หรือสะพั่งสะท้านไมภพ หัวเราะก้อง เมื่อไม่มีหมาในปากแล้วอนาคตทางยุทธภพของข้าคงจะสดใส
.....
ปล...คำเตือน แม้ว่าท่านจะได้ผ่าเอาหมาออกจากไปแล้วก็ตาม แต่สักวันหนึ่งหากลืมตัวตน วันไหนวันนั้นก็อาจจะมีหมาตัวใหญ่กว่าเดิมในปากก็ได้
8 มิถุนายน 2551 15:03 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
วันหนึ่งสะพั่งสะท้านไมภพแต่งกลอนเรื่องมัฆวานรังสรรค์ แล้วมีคนหนึ่งบอกว่า ไม่ปลื้ม มองอะไรตื้นๆ
สะพั่งสะท้านไมภพ นั่งคิด คำว่าไม่ปลื้ม ย่อมต้องลอกเลียนมาจากในหนังไทยแน่เลย ดีที่ดูเหมือนกัน เอ๊ะแต่ยังขาดคำว่าจบนะ
ผมสะพั่งก็เข้าใจดีว่า คำว่าบ้ากับคำว่าอัจฉริยะมันแตกต่างเพียงแค่นิดเดียว หากจะสังเกตคำว่า ไม่ปลื้มที่จารุณี ใช้มักจะชอบใช้คำลูกชายของตนเอง และคนใช้ก็เป็นคนที่ปกติบ้างไม่ปกติบ้าง ดังนั้นการใช้คำนี้ก็ควรระวัง เกิดผมเป็น พณ ท่านขึ้นมาจะกล้าใช้กับผมหรือเปล่า สะพั่งคิดในใจ
ตราบใดก็ตามที่ยังมีฝักฝ่ายอยู่หรือยังได้รับประโยชน์อยู่ก็ยังมีทัศนคติที่เอนเอียง
คนเราบางคนผมเข้าใจแม้แต่ผมเองบางครั้งก็เอนเอียง
หรือก็อดเอนเอียงให้นิดหนึ่งไม่ได้
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆๆๆ
กลับไปอ่านกลอนต่างๆแล้วก็เลยขำ ก็เลยแต่งไปอีกกลอนเผื่อคนเขาหาช่องเจอว่าเราด่าเขา เอากะมัน เผลอๆจะหาว่าหมิ่นไปเลยก็เป็นได้
ตราบใดก็ตามที่ยังไม่คิดเหมือนเขาคิดให้ได้ หรือยังวิปัฏสนาให้ลงลึกไม่ได้ถึงสายตาแบบนั้น คำพูดแบบนั้น การปฏิบัติแบบนั้น จนกระทั่งชัดแจ้ง ก็ไม่สมควรต่อว่าต่อขานใดๆ
หากเมาเซตุงเห็นเขาก็จะดุเอาได้เพราะว่า การออกความเห็นไม่ใช่อยากจะออกก็ออก อยากจะออกเพื่อข่มคนอื่นว่าตนเองยอดคน เขาจะต้องมีประสบการณ์ มีการศึกษาเรียนรู้ จึงถึงจะออกปากได้
ว่าไปว่ามาคงหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆๆๆ
ผมสะพั่งสะท้านไมภพเป็นคนไม่มีวาสนาไม่มีอนาคตมีแต่หารับประทานพอยาไส้ไปวันๆเท่านั้นสติปัญญาก็ไม่ได้ดีไปกว่าชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้จะฝักใฝ่ฝ่ายใด รู้เพียงแต่ว่าต้องสู้ด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะอยู่รอด
การที่บุรุษคนหนึ่งจะรู้ได้ว่าตนเป็นชายชาติหรือไม่ ไม่ใช่คิดเอง
แต่จะต้องอยู่ที่การกระทำ ฉันใด การที่จะรู้ว่าตนเองดีหรือไม่ดี เขาก็ดูที่การกระทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ในโลกนี้มีแต่พวกชนชั้นเจ้าสำนักเยอะแยะไปหมด พวกที่ชอบแบกป้ายให้คนรู้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะ
ผมสะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆๆๆ
เมื่อก่อนก็หลงทางหัวปักหัวปำไปเหมือนกัน
แต่ฟ้ามีตาสวรรค์มีใจ และชาติก่อนคงทำบุญไว้มากชาตินี้เลยได้คิดได้มีความยั้งคิด ได้สติกอปรกับสัมปชัญญะ
แต่ก็ยังไม่แน่ว่า ที่ว่ามี จริงๆแล้วอาจจะยังไม่มีเลยก็เป็นได้
สรุปว่าหากพิจารณาแล้วจนเห็นชัดว่าแต่ละคนต้องการอะไรให้ได้แล้วก็จะชัดเจนครับ
ประสบการณ์ของคนแต่ละคนที่ผ่านมาย่อมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
และสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีคุณค่าทีเดียว
เพียงแต่ จะคิดออกหรือไม่เท่านั้น
เอาอีกแล้ว สะพั่งนะสะพั่ง เสียงดุดุออกมาจากด้านหลัง
ทำตัวแอ๊บอีกแล้วนะ เสียงดุยังคงดุอยู่
ไป ไปนอนได้แล้ว
ครับผม
ผมสะพั่งสะท้านไมภพก็กลับไปนอนบนเตียงในบ้านหลังคาสีแดงอันแสนอบอุ่นทันที ก็หวังว่าหากตื่นมาอีกครั้งความยากลำบากกันมากๆและไม่มีจะกินกันแล้วนั้นจะเป็นเพียงแค่ความฝันร้ายในค่ำคืนหนึ่งเท่านั้น
ปล.เวลาที่จะทะเลาะกันให้นึกถึงเป็ดไก่ร่วมเข่งเดียวกันไว้ครับ
8 มิถุนายน 2551 05:03 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ไอ้พั่งเพื่อนรัก
กันเขียนที่อ่างน้ำร้อนของกันเองวะเพื่อน
ตอนนี้ไกเป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหมได้ข่าวว่าไกโดนนายชั่วถีบตกเก้าอี้เหรอ เจ็บไหม อย่าไปคิดอะไรมากเลย กันถามท่านมัจแล้ว ท่านมัจบอกว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง ไกก็อย่าคิดมาก ว่าแต่ว่าเมื่อไหร่ไกจะมานอนแช่อ่างกับกันสักที กันคิดถึงไกมาก อย่าทิ้งไกไปอยู่บนเมฆละกัน เพราะได้ข่าวว่าบนนั้นมันเงี๊ยบๆ สู้ที่อ่างน้ำของกันไม่ได้ มีหมดเลยทั้งหญิงและชาย ทุกคนแก้ผ้าทุกคน มีทุกอย่างๆที่ไกชอบเลย นะอ้ออย่าลืมตอนทำบุญแล้วกรวดน้ำทุกครั้งนะ เดี๋ยวกันจะรับไม่ได้
รักเพื่อนชวนเพื่อนมาสู่ที่ชอบ ลงชื่อ กันเอง
วันหนึ่งสะพั่งไมภพ ตืนมาได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ เห็นไปรษณีย์ตีตราว่ามาจากนรกขุมที่สิบแปด ชั้นสูงสุดของนรกทีเดียว สะพั่งใช้นิ้วชี้ที่ซอง ปรากฏตัวหนังออกสือปรากฏออกมาเป็นระลอกทีละบรรทัดความตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
สะพั่งสะท้านไมภพ ยิ้มด้วยมุมปากแล้วส่งเอสเอ็มเอสตอบเพื่อนไปว่า
กันเองเพื่อนรัก กันได้รับจดหมายของไกแล้ว ทราบว่าไกได้สนุกสนานในอ่างกุ๊ดชี่ทุกคืนวันและมีพาร์ตี้บอร์ดี้นู๊ดด้วย ยิ่งทำให้กันแทบจะไปขอย้ายสำมะโนครัวจากพระเจ้าไปแก้ผ้าแช่กุ๊ดชี่กับไกจังเลย แต่ทว่ากันต้องขออภัยไกด้วยจะอย่างไรก็ไปไม่ได้ เนื่องจากสวรรค์ชั้นของกันนี้เป็นชั้นต่ำสุดและไม่มีใครอยู่เลย กันจึงต้องเป็นเวรเฝ้าทุกวันทุกคืน กันอิจฉาไกมากเลย ก็ไม่เป็นไร เอาละกันก็ขอให้ไกแช่อ่างอย่างมีความสุข อ้อกันได้อุทิสส่วนกุศลของกันไปให้ไกแล้วและกรวดน้ำให้แล้วหวังว่าไกคงจะได้รับและมีความสุข
รักเพื่อนมากจาก สะพั่งสะท้านไมภพ