ตอนที่ 21
“รันชรี...” ใช่แล้ว วันนั้นวันที่เขาและเพื่อนช่วยกันเก็บข้าวของที่บ้าน ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ รันชรีนำหน้าเขาไปนั่งเล่นที่สนามหญ้า แล้วชวนให้เขาลงมานั่งที่สนามหญ้าด้วยกัน
แต่ขณะที่หญิงสาวกำลังทอดสายตาไปยังภาพเด็กๆ เบื้องหน้า ภาพรันชรีก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“เธออย่าเพิ่งตกใจ อยู่นิ่งๆ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง” รันชรีชิงพูดขึ้นก่อน
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวตอบ เธอก็รู้สึกเคลิ้มเหมือนกำลังจะหลับ
“คุณโชค คุณเคยมีเพื่อนรักไหมคะ เพื่อนสนิทก็ได้”แหม่มเอ่ยถาม
ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา โดยที่ใจเขาเองก็กำลังคิดถึงรันชรีอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างสงสัย
“ทำไมคุณถึงถามผมละครับ แล้วคุณล่ะมีบ้างหรือเปล่า”ชายหนุ่มถามกลับ
“มีสิคะ ก็ชมพู่ไง เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง พอทำงานเราก็ทำที่เดียวกัน ถือได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนรักและเพื่อนสนิทเลยล่ะ แต่เวลาเรามีปัญหากัน เราก็จะมานั่งคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจากัน หรือปล่อยให้อีกฝ่ายรอที่จะพูดคุยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญเราจะไม่เชื่อคนอื่น เราจะเชื่อใจกันและกัน คุณมันคนใจร้าย ใจดำ ทิ้งเพื่อนโดยที่ไม่รับฟังคำอธิบาย คุณไม่สงสารเพื่อนเลยหรือไง คุณไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคุณรักคุณมากขนาดไหน”หญิงสาวหยุดพูดแล้วจ้องหน้าชายหนุ่ม ด้วยแววตาที่ปวดร้าว
อีกครั้งกับประโยคแปลกๆ ที่หญิงสาวพูดขึ้นมาชายหนุ่มค่อยๆ ถอยตัวออกห่างจากหญิงสาว ตรงข้ามกับหญิงสาวที่จ้องหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาที่ขึงขัง และกำลังขยับกายใกล้เขามาเรื่อยๆ ซึ่งเขาเชื่อในสายตาเขาว่าแววตานั้นมันไม่ใช่ชโลธรคนเมื่อสักครู่ที่นั่งคุยกัน แต่มันเป็นแววตาที่น่ากลัว แววตาที่ดุดัน อาฆาต
“แกกลัวฉันหรือโชค ฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียว ฉันทำอะไรใครไม่ได้หรอก” แน่นอนว่าประโยคนี้ออกมาจากปากชโลธร แต่แววตานั้น มันไม่ใช่ของหญิงสาว
ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าทั้งหมด เอนกายเข้าไปหาหญิงสาว แล้วจับหัวไหล่อันบอบบางนั้น
“แหม่ม...แหม่ม...” ชายหนุ่มเขย่าตัวหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับเรียกหญิงสาวคนเดิมกลับมา
เหมือนถูกปลุกขึ้นจากความฝัน หญิงสาวพบว่าบัดนี้เบื้องหน้านั้นเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่เกือบจะชิดใบหน้าตน มือทั้งสองข้างของเขาเกาะกุมอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองของเธอ เธอสลัดมือนั้นออกไปสุดแรง
“อีตาโชค คุณจะทำอะไรฉันเนี่ย” เสียงแหม่มแว้ดขึ้นมา พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป
“แหม่ม คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณพูดอะไรออกมาบ้าง”
“ก็ฉันถามคุณว่าคุณจะทำอะไรฉันอยู่นี่ไง ไม่ได้ยินหรือ” หญิงสาวเริ่มขึ้นน้ำเสียง พร้อมกับลุกขึ้น
“แสดงว่าก่อนหน้านี้คุณ...จำ...ไม่ได้”
“พอเถอะคุณ นี่มันกลางวันแสกๆ ผู้คนเยอะแยะจะมาทำลามกอนาจารอะไรกับฉัน นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณรัน...” หญิงสาวหยุดเอามือข้างหนึ่งปิดปากตนเองไว้ เพื่อยุติคำพูดที่กำลังจะพรั่งพรูออกมา
“รัน...คุณรู้จักรันหรือตอบผมมาสิ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายลุกขึ้นบ้าง พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาว
แทนคำตอบ หญิงสาวกลับรีบสาวเท้ากลับไปที่รถของตนเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไม่วายชายหนุ่มจะวิ่งตาม เพราะจากคำพูดทั้งหลายของหญิงสาวที่พรั่งพรูออกมา ประกอบกับหญิงสาวเอ่ยชื่อรันชรี ทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องรู้จักรันชรีอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ได้ เขาดึงร่างเล็กๆ นั้นเข้าหาตัวอย่างสุดแรง ชั่วไม่กี่วินาทีนั้นหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย
“คุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณรู้จักรันใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้จักใครทั้งนั้น แล้วคุณก็ปล่อยฉันได้แล้ว” แม้ปากของแหม่มจะบอกให้ชายหนุ่มปล่อยตนออกจากอ้อมกอดของเขา แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอไม่เคยถูกชายใดสวมกอดเช่นนี้ ความรู้สึกซาบซ่านมันแผ่คลุมจนทำให้ร่างกายเกือบจะชาไปทั้งตัว
ชายหนุ่มเองก็เหมือนกัน หากไม่มีเรื่องคำถามเกี่ยวกับรันชรีมาเกี่ยวโยง เขาจะมีโอกาสสัมผัสกับหญิงสาวอย่างใกล้ชิดเช่นนี้หรือไม่ เขาเองคิดว่ามันคงไม่เรียกว่าการฉวยโอกาส หากชายคนหนึ่งจะแสดงต่อหญิงที่ตนชอบเช่นนี้ เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งทวีแรงกอดให้แนบแน่นยิ่งขึ้นแล้วเอาหน้าไปแนบไว้ข้างๆ หูหญิงสาว
“คุณก็บอกผมมาก่อสิ” เสียงกระซิบนั้น ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงอีกระลอก
เสียงแตรรถที่ลากยาว หันความสนใจของคนทั้งคู่ออกจากประเด็นที่กำลังพูดถึงกันอยู่นั้น ชายหนุ่มคลายวงแขนออกจากร่างอันบอบบางของหญิงสาว แต่ก็ยังสวมกอดไว้อย่างหลวมๆ
รถเก๋งสีขาวคันหรู ยังคงบีบแตรเสียงดังและจอดอยู่ถนนริมบึง ดึงดูดสายตาเกือบทุกคู่ของผู้คนที่มีใช้พื้นที่ให้หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ทันทีที่ชายหนุ่มเห็น ก็ได้แต่ถอนใจแรงๆ เขารู้จักเจ้าของรถคันนี้ดี เพราะมันเป็นรถของแพรวพรรณนั่นเอง เขาหรี่ตามองดูผู้โดยสารที่นั่งอยู่คู่กับเบาะคนขับ คือผู้เป็นมารดาของเขา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังหรี่ตามองอยู่นั้น แพรวพรรณก็เปิดประตูลงมาจากรถ และรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว โดยมีมารดาของเขาค่อยๆ เดินตามมาอย่างเชื่องช้า
“โชค...โชค...โชค ทำอะไรน่ะ” เสียงแพรวพรรณมาเร็วกว่าตัว
หญิงสาวผู้อยู่ในอ้อมกอดพยายามแกะมือทั้งสองของชายหนุ่มออกแต่ก็ไร้ผล แทนที่เขาจะรีบปล่อยเธอเขากลับยิ่งกอดรัดราวกับอยากจะให้ผู้ที่กำลังย่างก้าวเข้ามาได้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะโชค” แพรวพรรณพูดพร้อมเข้ามาดึงแขนฝ่ายชายออก แต่ชายหนุ่มกลับสลัดมือของแพรวพรรณและจับมือของชโลธรไว้แน่น พลางดึงเธอเข้ามาใกล้จนเนื้อตัวชิดกัน
“แพรวมาก็ดีแล้ว นี่แหม่มแฟนเราเอง” หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าแฟนถึงกับตาค้างในตำแหน่งที่ชายหนุ่มเพิ่งหยิบยื่นให้
“ไม่จริงโชค ที่โชคเป็นแฟนกับนังนี่ แพรวไม่เชื่อ นังนี่มันเป็นคนของกิตติ แฟนของนังรันเพื่อนรักคุณไงล่ะ แล้วนี่มันก็กำลังจะให้นังนี่มาแย่งโชคไปจากแพรว แพรวไม่ยอม” แพรวพรรณพูดราวกับคนเสียสติ คงมีเพียงแหม่มคนเดียวที่ยืนอึ้งกับคำพูดของแพรวพรรณ ส่วนชายหนุ่มนั้นบัดนี้เขาได้บีบมือเธอแรงขึ้น มองหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณโชคนะ” หญิงสาวว่า
“โถแหม่ม แพรวเป็นเพื่อนของผมเอง เราเป็นแฟนกันไม่เห็นต้องปิดบังใครเลยนี่ โน่นแม่ผมกำลังเดินมา” ชายหนุ่มว่าพรางเสตามองไปที่ผู้เป็นมารดา ที่อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะมาถึงเขาแล้ว
หญิงสาวได้แต่อึ้งที่ชายหนุ่มพูดและแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกไป แต่อีกใจก็รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงใบหน้าสวยนั้นเต้นแร้งเต้นกา ร้องเสียงดังเหมือนงิ้วออกโรงเช่นนี้
“สมน้ำหน้า” หญิงสาวก่นด่าในใจ
ผู้เป็นมารดาเดินมาสบทบอย่างยากเย็น แค่เพียงเห็นชายหนุ่มก็พอจะรู้ว่าอาการปวดหลังของนางกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบเดินเข้าหามารดาแต่ทว่ายังไม่ปล่อยมือจากหญิงที่ตนกุมมือไว้ เขาดึงเธอเข้าไปหาผู้เป็นมารดา เมื่อหญิงสาวเห็นนางเดินมาด้วยอาการปวดหลัง มิวายที่หญิงสาวจะยื่นมือข้างหนึ่งให้นางจับ และพยุงนางให้มานั่งที่ม้านั่งที่ใกล้ที่สุด นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับภาพที่เห็นเมื่อสักครู่
บุตรชายของนางกำลังสวมกอดหญิงสาวผู้นี้ไว้ ยิ่งบัดนี้นางได้สัมผัสถึงประกายในตาของบุตรชาย นางทราบได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คงเป็นบุคคลพิเศษสำหรับบุตรชายของตนอย่างแน่นอน
“มาได้ยังไงกันเนี่ยแม่” บุตรชายเอ่ยถามมารดา
“แม่ปวดหลังมาก แพรวเขาอาสาขับรถมาส่งที่บ้าน แล้วก็มาเจอแกกลางทางนี่แหละ” มารดาพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ สายตามองไปที่หญิงสาวข้างกายตนอย่างเอ็นดู
“แหม่ม สวัสดีแม่เสียสิ แม่ครับ นี่แหม่มแฟนผมครับ” ชายหนุ่มแนะนำ
แทนคำพูดใดๆ หญิงสูงวัยมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ส่งออกไปให้กับหญิงสาวและบุตรชายของตน ต่างจากแพรวพรรณที่บัดนี้หายใจหอบฟืดฟาด มือทั้งสองกำแน่นด้วยด้วยความโกรธเกรี้ยว และมองมาทางคนทั้งสามด้วยสายตาที่ร้ายกาจ
“นี่แหละความรัก ความรักที่ฉันเคยมี และพวกแกกำลังมี พวกแกจะต้องวิบัติเพราะความรัก” เสียงใครบางคนแว่วมา แต่ปราศจากผู้ที่ได้ยิน
“หยุด พอ พอกันได้แล้ว มีความสุขกันเข้าไป” แพรวพรรณระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วตรงไปผลักหญิงสาวจนเสียหลัก ล้มลงไป
ทั้งชายหนุ่มและมารดาต่างก็ตกตะลึงในการกระทำของแพรวพรรณ เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะกล้าทำเช่นนี้ได้
แพรวพรรณหวังจะเข้าไปตบหน้าชโลธร เธอเดินเข้าไปหาหญิงสาวอย่างมาดร้าย แต่เมื่อหญิงผู้เป็นเป้าหมายเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น ก็ทำให้แพรวพรรณถึงกับผงะจนตนเองเสียหลักหกล้มเสียเอง
ใบหน้านั้น กลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี ไม่ผิดแน่
ชโลธรลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มประหลาด แพรวพรรณยังคงนั่งตกตะลึงอยู่ที่พื้นหญ้า
“อย่าเข้ามานะ นังรัน แกออกไปเดี๋ยวนี้ แกจะมาหลอกมาหลอนอะไรฉันอีก ฉันมีพระนะ” ว่าแล้วแพรวพรรณก็ดึงเอาสายสร้อยที่จี้พระออกมา แล้วยื่นไปต่อหน้ารันชรีในร่างชโลธร
แต่มันกลับไม่มีผลอันใด หญิงสาวยังคงก้าวต่อไปเพื่อจะเข้าหาแพรวพรรณ ซึ่งมันทำให้แพรวพรรณเพิ่มระดับความดังของเสียงกรีดร้อง เพราะบัดภาพรันชรีที่หน้าตาซีดเซียว เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด กำลังคืบคลานเข้าหาเธอ เธอพยายามจะส่งเสียงร้องอีกแต่ทว่าเนื้อตัวกลับชา ชาเกินกว่าที่เธอจะขยับเขยื้อนสิ่งใดในร่างกายได้อีก
ทุกคนถึงกับอึ้งเมื่อเห็นอาการของแพรวพรรณ ทุกคนกำลังมองหารันชรีอย่างที่แพรวพรรณบอก แต่ตาแพรวพรรณกลับจับจ้องอยู่ที่ชโลธรแต่เพียงผู้เดียว
“หนูแพรว” หญิงสูงวัยจับที่หัวไหล่หญิงสาว เมื่อเธอกำลังถอยหลังมาเกือบจะชนกับหัวเข่านาง นางเขย่าอีกที่เพื่อเรียกสติหญิงสาวกลับคืน
แพรวพรรณได้แต่จับหัวเข่าของหญิงสูงวัยไว้แน่น พลางร้องให้ทุกคนช่วย โชคดึงแขนเพื่อนหญิงให้ลุกขึ้น ฝ่ายแพรวพรรณเมื่อเรียกสติตนเองกลับคืนมาได้ ก็มองหน้าชโลธรอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ใบหน้ารันชรีที่ซีดเซียวนั้น
“นังรันมันต้องตายแล้วแน่นอน โชค ต้องไปพิสูจน์นะ คุณป้าก็เหมือนกัน ที่คุณป้าคุยด้วยนั้นมันเป็นผี ผีนังรัน” แพรวพรรณประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วสรุปได้ว่าตอนนี้รันชรีไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว และวิญญาณคอยตามหลอกหลอนทั้งเธอและอานนท์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่ลูกค้าเจอผีในห้องน้ำ ก็ต้องเป็นวิญญาณของรันชรีเป็นแน่
แพรวพรรณกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปจากบึงน้ำใหญ่ด้วยความหวาดกลัว เมื่อหันหลังกลับมามองด้านหลังก็ต้องผวาอีกรอบเมื่อเห็นรันชรียืนจ้อมเขม็งอยู่ใกล้ๆ กับชายหนุ่ม ยิ่งทำให้หญิงสาวต้องรีบจ้ำอ้าวไปที่รถอย่างกลัวสุดขีด
เหลือเพียงสองหนุ่มสาวกับอีกหนึ่งคนแก่ ที่มองหน้ากันอย่างหาคำตอบไม่ได้ในเหตุการณ์ที่เพิ่งดำเนินผ่านมา แต่อาจจะมีเพียงชโลธรเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าแพรวพรรณไม่ได้ตาฝาด และไม่ได้โกหก สิ่งที่แพรวพรรณพบเจอเป็นเรื่องจริง รันชรีคงจะอยู่แถวนี้ แล้วปรากฏให้แพรวพรรณได้เห็นในรูปที่ไม่น่ามองนัก
“เดี๋ยวหนูขับรถไปส่งค่ะ” หญิงสาวกล่าวโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว
ผู้เป็นมารดาเพิ่งพินิจดูหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า อย่างตรึกตรอง เด็กสาวผู้นี้มีอะไรลึกๆ อยู่หรือเปล่า และเป็นแฟนกับบุตรชายของนางจริงหรือไม่
“ลูกนะลูก น่าจะเปิดตัวแฟนตั้งนานแล้ว เพื่อนแกจะได้ไม่คิดมากแล้วฟุ้งซ่านแบบเมื่อกี้” ผู้เป็นมารดากล่าวอย่างขบขันระหว่างที่บุตรชายและหญิงสาวพยุงนางเดินมาที่รถ
“แหม่มเขาเพิ่งว่างครับแม่” ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวนิดหนึ่ง อมยิ้มให้กับเรื่องที่แต่งขึ้นมาและยังดำเนินต่อโดยที่หญิงสาวไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย ว่าต่อไปชายหนุ่มจะจัดฉากเช่นไรต่อไป
แต่มันกลับเป็นเรื่องแปลก ที่เธอเองไม่ยักจะปฏิเสธในคำพูดใดๆ ของชายหนุ่ม มิหนำซ้ำยังเออออไปด้วยกัน ทำเอาชายหนุ่มยิ้มไม่หุบ
“หนูแหม่มมาเที่ยวหรือลูก” มารดากล่าวถามหญิงสาวร่างเล็กข้างกาย
“คือ...หนูมาทำงานค่ะ”
“งานอะไร ทำที่ไหนกันเหรอลูก”
“แม่ก็...อย่าเพิ่งซักอะไรมากครับ เดี๋ยวแฟนผมเค้าตกใจแย่ เล่นถามเอาๆ แบบนี้”
ภาพของคนทั้งสามกำลังตกอยู่ในห้วงของความสุข ยิ่งในสถานที่เช่นนี้ บรรยากาศเช่นนี้ มันช่างอบอวลไปด้วยความรัก และความอาทร ซึ่งแตกต่างจากในแววตาผู้เฝ้ามองอย่างรันชรี ที่บัดนี้สิ่งที่เธอต้องการกำลังจะบรรลุผล
รถเก๋งสีแดงเพลิงจอดหน้าบ้านไม้อันร่มรื่นหลังใหญ่ ผีกำลังออกมาตากผ้าอ้อมให้ลูก แต่ทว่าแสงในยามนี้กำลังสวย หากใครจะว่าน่ากลัวก็ช่างเถิด แต่สำหรับแหม่มแล้วมันสวยจับจิต โดยเฉพาะในอาณาเขตของบ้านเก่าแก่หลังนี้ มันสวยงามเกินจะบอกได้ว่าเป็นเช่นไร
มีหญิงวัยกลางคนตรงรี่มาที่รถ และช่วยพยุงผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มลงจากรถไป โดยมีชายสูงวัยท่านหนึ่งยืนคอยรับที่ประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน ก่อนลงจากรถหญิงสูงวัยเอ่ยชวนหญิงสาวให้เข้าไปในบ้านด้วยกัน และส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“บ้านคุณสวยจัง” หญิงสาวเผลอปากพูด
“แล้วคุณอยากอยู่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มกระเซ้าเล่น
“ฉันยังไม่ได้จัดการคุณเลยนะ มาขี้ตู่ว่าฉันเป็นแฟน แล้วก็...” หญิงสาวละคำที่จะพูดต่อไว้ มีเพียงความเขินอายเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้า
“แล้วก็กอดคุณ ใช่ไหม” ชายหนุ่มเสริมต่อ
“ผมขอโทษ ว่าแต่คุณเถอะ อยากเป็นแฟนกับผมจริงๆ ไหมล่ะ” ชายหนุ่มทำแววตาซึ้ง
แทนคำพูดหญิงสาวทำท่าจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มคว้าข้อมือไว้ทัน ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงระเรื่ออีกครั้ง แม้ความรู้สึกหวั่นไหวจะเกิดขึ้นแล้ว แต่หญิงสาวก็เตือนสติตนเองด้วยการคิดถึงรันชรี เพราะการที่เธอเข้าไปพบโชคที่ร้านอาหาร มันเป็นความต้องการของรันชรี หญิงสาวผู้โชคร้ายที่เธอเองสัมผัสเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดของเธอมาแล้ว
เมื่อความรู้สึกถูกระชากกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนของหญิงสาวกลับกลายเป็นแววตาอันแสนกระด้าง และแสดงความโกรธเคืองชายหนุ่มอย่างรุนแรง จนเธอสะบัดข้อมือจากการเกาะกุมของชายหนุ่มไว้จนเป็นอิสระ
“พอเถอะคุณโชค ดิฉันไม่ต้องการจะเป็นอะไรกับคุณทั้งสิ้น ไม่ว่าแฟนหรือเพื่อน เพราะคนอย่างคุณคงจะไม่มีความจริงใจต่อเพื่อน” พูดจบหญิงสาวเดินกลับไปที่รถ ปล่อยให้ชายหนุ่มสงสัยในคำพูดเหล่านั้นแต่เพียงผู้เดียว
ระหว่างทางที่จะกลับบ้านพัก แหม่มเริ่มสับสนในความรู้สึกของตนเอง การที่เธอได้มารู้จักผู้ชายคนนี้ก็เพราะการชักพาของรันชรี และที่เธอทำทุกอย่างก็เพื่อวิญญาณของรันชรีจะสงบสุข แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ารันชรีต้องการให้เธอมาพบกับเพื่อนชายด้วยสาเหตุอันใด หากต้องการบอกเรื่องการตายของเธอ เหตุใดจึงมีเสียงห้ามปรามจากเธอมิให้บอก หญิงสาวได้แต่นั่งพูดคุยคนเดียวในรถ เพราะเธอหวังว่าขณะนี้รันชรีคงจะคอยดูเธออยู่ หรือไม่แน่อาจจะร่วมโดยสารอยู่บนรถกับเธอก็เป็นได้
ตอนที่ 19
หญิงสาวหน้าสวยกึ่งวิ่งกึ่งเดินฝ่าเม็ดฝนที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ มาในร้าน มีบริกรหนุ่มหิ้วสัมภาระตามหลังมาติดๆ หล่อนง่วนอยู่กับการจัดการเสื้อผ้า หน้า ผม ให้กลับมาดูดีเหมือนเดิม หลังจากที่หล่อนวิ่งฝ่าฝนเข้ามาในร้าน
“โชคไปไหน?” พลางกวาดสายตาไปทั่วร้าน
พลันนั้นหญิงใบหน้าสวยกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน จนทำให้เห็นรอยย่นบนหน้าผากอย่างชัดเจนชายหนุ่มกำลังสนทนากับหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ริมระเบียง
ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้าก็ตาม แพรวพรรณมักจะไม่สบอารมณ์เสมอ หากพบว่าโชคคุยกับลูกค้าผู้หญิง ยิ่งด้วยภาษากายที่เธอสัมผัสได้ด้วยตาแล้ว ดูเหมือนพวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะแววตาของชายหนุ่ม ที่เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด ประกายเช่นนี้ที่เธออยากได้รับจากชายหนุ่ม ประกายของตานี้เหตุใดจึงไม่ใช่เธอที่เป็นผู้ได้สัมผัส แต่หญิงสาวจะรู้ไหมว่าภาพที่กำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพที่รันชรีสร้างขึ้นมาเพื่อแก้แค้นนางมารร้ายอย่างแพรวพรรณเพราะในความเป็นจริงชายหนุ่มยืนคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน
อารมณ์ของหญิงสาวเริ่มไม่สอดคล้องกับใบหน้าสะสวยนั้น
“โชค...คุยกับใครกัน?”
“หญิงสาวผู้จุดประกายนัยตาของชายหนุ่มเป็นใครกัน?”
หญิงใบหน้าสวยออกคำสั่งให้บริกรหนุ่มน้อยไปตามชายผู้เป็นเจ้าของร้าน เมื่อชายหนุ่มผละมาจากลูกค้าโต๊ะนั้น แพรวพรรณก็ยิ่งทวีความคุกรุ่นในอารมณ์ขึ้นอีกหลายเท่า
“ชโลธร” เธอจำหญิงสาวคนนี้ได้ ลูกน้องของกิตตินั่นเอง หลังจากครั้งแรกที่พบหน้ากัน และหญิงสาวผู้นี้มีคำพูดแปลกๆ หล่อนก็เริ่มจะไม่ชอบขี้หน้าอยู่เป็นทุน ยิ่งในวันนี้หญิงสาวได้สร้างประกายในตาให้ชายหนุ่มที่ตนหมายปองแล้วด้วย แพรวพรรณก็เริ่มแน่ใจหนักหนาว่า ความรู้สึกนี้คือความเกลียดชัง อย่างไม่ต้องสงสัย
“หรือกิตติจะใช้ให้ผู้หญิงคนนี้มาก่อกวน” เพียงแค่ความคิด ในดวงตาเหมือนไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน เธอจ้องมองไปที่หญิงสาวผู้นั้นเหมือนดั่งจะให้ไฟในดวงตานั้นเผาไหม้หญิงสาวเบื้องหน้าให้แหลกเป็นจุน
“นี่เพิ่งเริ่มต้น...แพรว”
ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ้มอย่างสะใจ ที่เห็นแพรวพรรณแสดงอาการหึงหวงโชคจนนั่งไม่ติด
หลังจากลูกค้าโต๊ะสุดท้ายออกไปจากร้าน โชคนั่งริมระเบียงอยู่คนเดียว เขาหวนนึกเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
คำพูดบางประโยค...
พฤติกรรมบางอย่าง...
ใบหน้าของหญิงสาวที่เขามองเห็นเป็นอดีตเพื่อนรัก...
ภาพวันเก่าๆ ในอดีตที่มีตัวเขา...เพื่อน...โดยเฉพาะเพื่อนอย่างรันชรี มันวกกลับมาให้หวนคิดอีกคราหนึ่ง
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงแต่ใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นลูกค้าเมื่อหัวค่ำ
เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า...เขาคิดถึงเธอ...
อยากให้เธอมาที่ร้านอีก อยากเห็นหน้าทุกๆ วัน เหตุใดหนอความรู้สึกนี้มันช่างรุนแรง จนชายหนุ่มไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกไปได้สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการปล่อยใจให้ล่องลอยตามติดหญิงสาวผู้นั้นไป
แต่เธอจะอยู่ที่นี่อีกแค่เดือนกว่าเท่านั้น
“อย่าไปคิดถึงเขาเลย” กังวานที่ชายหนุ่มบอกตนเอง
เขานึกย้อนถึงบทสนทนากันเมื่อหัวค่ำ ทำให้เขาได้รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร และมาทำอะไรที่เมืองนี้
“หรือเราจะชอบเธอ?”
คำถามที่เขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร
“โชค ดื่มไวน์ไหม” แพรวพรรณเดินมาใกล้พร้อมกับถือแก้วใบใส ด้านในบรรจุของเหลวสีม่วงเข้มมองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าในขณะนี้หญิงสาวมีอาการมึนเมาอยู่บ้าง
เธอฝืนใจยิ้มให้กับชายหนุ่ม ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว อยากจะตะโกนถามออกมาดังๆ ว่ากำลังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่หรือ
“เอาเถอะแพรว เราไม่อยากดื่ม”
“งั้นเราออกไปนั่งฟังเพลงกันไหม” หญิงสาวเสนอความคิดเห็น
“ไม่ล่ะ ชวนนนท์ไปสิ รายนั้นเขาไม่เคยขัดใจเธอเลยนี่” ชายหนุ่มตอบโดยที่ไม่มองหน้าหญิงสาวแม้แต่น้อย
อารมณ์ที่ขุ่นเคืองอยู่แล้วยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นเข้าไปอีก เมื่อชายหนุ่มแสดงพฤติกรรมเฉยชาออกมา
“โชคคิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นหรือ?” หญิงสาวเปิดคำถามตามหัวใจตนเองทันที
ชายหนุ่มเงยหน้าเพิ่งพินิจหญิงสาว คงเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่น่าเผลอตัวทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนั้นไปเลย หากเขามีสติมากกว่านี้เหตุการณ์นั้นคงไม่เกิดขึ้น และพฤติกรรมของหญิงสาวคงไม่ก้าวร้าวเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่เล็กจนโต ที่คบหากันเป็นเพื่อน แพรวพรรณไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด และใช้วาจาที่แข็งกร้าวเช่นนี้เลย
แม้ในคืนนั้นหญิงสาวจะบอกว่าสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนับตั้งแต่วันนั้นมันเลวร้ายลง เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าอยากได้เพื่อนคนเดิมกลับมาเสียมากกว่า ไม่ใช่หญิงสาวที่คอยแต่จะจ้องจับผิดเขาเช่นนี้
“แพรวใจเย็นๆ นะ หายใจเข้าลึกๆ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาว แล้วเลื่อนเก้าอี้ข้างๆ ตัวนัยว่าเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งร่วมโต๊ะด้วย
ใบหน้าสวยที่บูดบึ้งเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับยิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง
“ฟังเรานะแพรว แพรวอย่าลืมว่าเราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น เราขอโทษหากการกระทำของเราในคืนนั้นจะทำให้เพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เล็ก ต้องมากลับกลายเป็นผู้หญิงที่ขี้ระแวงและคอยจับผิดเราตลอดเวลาอย่างนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยวาจาหนักหน่วง ตาทั้งคู่ประสานกัน แต่ทว่าในแววตานั้นมันแฝงไปด้วยความอึดอัดของชายหนุ่มที่ยากจะเอื้อนเอ่ย หญิงสาวผู้อยู่เบื้องหน้ายังคงนั่งนิ่ง
“โชค...แพรวไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดอะไรใคร แต่...โชคก็รู้ว่าแพรว...” หญิงสาวหยุดที่จะพูดต่อไป ดวงตากลมโตนั้นหลุบมองลงยังเบื้องต่ำ เพื่อหวังจะปกปิดของเหลวใสๆ ที่กำลังเอ่อล้นมาจากตาในขณะนี้
แม้จะใจอ่อนกับการเห็นน้ำตาของหญิงสาว แต่ชายหนุ่มกลับบอกตัวเองอย่างหนักแน่นว่า เขาต้องคุยกับแพรวพรรณให้จบ ไม่เช่นนั้นผลทางธุรกิจต้องตามมาอย่างแน่นอน เขาหวนคิดไปถึงเรื่องที่แพรวพรรณเทน้ำแกงใส่เท้าลูกค้า เพียงเพราะไม่ชอบขี้หน้าที่เข้ามาสนิทสนมกับเขา แม้เขาจะไม่ได้ประสพเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง แต่เขาก็มั่นใจว่าผู้เป็นมารดาจะไม่มีวันพูดจาใส่ร้ายใครเด็ดขาด
มาจนถึงวันนี้ แม้เขาจะยอมรับกับตัวเองว่าสนใจในตัวชโลธรไม่น้อย แต่อย่างไรเสียชโลธรก็คือลูกค้า หากมองอย่างไม่อคติ เขาเพียงเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าตามปกติ แพรวพรรณในฐานะเจ้าของร้านคนหนึ่ง น่าจะเข้าใจว่านี่คือหัวใจของงานบริการ แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่เข้าใจ มิหนำซ้ำยังมีความรู้สึกหึงหวงพ่วงเข้ามาด้วย มันไม่เป็นผลดีเลยไม่ว่าจะมองในแง่ของธุรกิจหรือในแง่ของความรู้สึก
“เราห่างกันสักพักดีไหม เผื่อมิตรภาพของเพื่อนมันจะกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม”
“ไม่นะโชค แพรวจะไม่อยู่ห่างโชคอีกแล้ว นี่โชคเกลียดแพรวถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม โชคชอบมันใช่ไหม” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา
อีกครั้งที่หญิงสาวสะกิดความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มมาอีกระลอก หากบุคคลที่สามที่แพรวพรรณกำลังกล่าวถึงนั้น ไม่ใช่หญิงสาวที่ชายหนุ่มกำลังรู้สึกหวั่นไหวอยู่จริงๆ
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะความไม่มีสติของเราเอง เราขอโทษ หากคืนนั้นถ้าเรามีสติมากกว่าที่เป็นอยู่ เราคงไม่...” ชายหนุ่มกล่าวปนความรู้สึกผิด
“เพราะโชคชอบผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ถึงได้เกลียดแพรว และอยากให้แพรวไปให้พ้นๆ อย่างนี้”
“เราไม่ได้เกลียดแพรว แต่เรารู้สึกว่าตอนนี้แพรวกำลังฟุ้งซ่าน ลองให้เวลากับตัวเองบ้างนะ เชื่อเราเถอะ”ชายหนุ่มกล่าวอย่างเชื่องช้าแต่แฝงด้วยความหนักแน่นของน้ำเสียง
หญิงสาวปล่อยโฮออกมาราวกับคนเสียสติ ชายหนุ่มแม้จะรู้สึกตกใจไม่น้อย แต่เขาก็บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อนเด็ดขาด หากเขาใจอ่อน ความรู้สึกของแพรวพรรณที่มีต่อเขาจะยิ่งเตลิดไปมากกว่านี้
“ไม่นะโชค แพรวรักโชค โชคอย่าไล่แพรวไปเลย”
หญิงสาวพูดอย่างใส่อารมณ์ แล้วโถมตัวเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่น ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่ลุกพรวดขึ้นแล้วถอยไปจนชิดขอบระเบียง
“แพรวตั้งสติหน่อยสิ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองรวบมืออันอ่อนนุ่มนั้นไว้ เขากุมมือหญิงสาวไว้แน่น
“โชคบอกมาสิว่าอยากให้แพรวทำอะไร เป็นแบบไหน แพรวทำได้หมด แต่อย่าทำแบบนี้เลย” น้ำตาหนึ่งหยด ร่วงเผลาะที่หลังมือชายหนุ่ม ความรู้สึกสงสารมันกำลังคืบคลานเข้ามาในบัดนี้ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้ เพื่อนวัยเยาว์ที่เขาคุ้นเคยดี แต่ทว่าบัดนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงสาวผู้นี้เลย
“เขาจะทำเช่นไร กับหญิงแปลกหน้าคนนี้?”
ความยุ่งยากในหัวจิตหัวใจเช่นนี้ เขาไม่เคยประสพมาก่อน เสี้ยวหนึ่งของความคิด หากเป็นรันชรีเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด!
จริงอยู่ที่เขาและแพรวพรรณรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ในด้านความใกล้ชิดแล้วหากเทียบกับรันชรี คะแนนทั้งหมดต้องเทไปทางเพื่อนรักอย่างรันชรี เขาย้อนนึกไปตั้งแต่ที่เขารู้จักกับรันชรีเมื่อวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของคณะ ในวันที่ทำกิจกรรมกลุ่ม ในวันรับปริญญา ในวันที่เขาโอบกอดรันชรีเมื่อเธอต้องสูญเสียมารดาไป ภาพวันเก่าๆ มันก็ย้อนมาอย่างหยุดไม่อยู่
กลุ่มเพื่อนที่คลุกคลีตีโมงกันหลากหน้าหลายตา แวะเวียนเข้ามาเช่นกัน เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่มีเขาและรันชรี เพื่อนรักที่หอบเงินไปให้ผู้ชาย “หรือมันจะไม่จริง” สำนึกหนึ่งในความคิด รันอาจจะเอาเงินไปใช้เองไม่ได้เอาไปให้ผู้ชายอย่างที่เขาเข้าใจ แต่จะเอาไปให้ใครก็ขึ้นชื่อว่าทำผิด รันชรีทำผิดต่อเขา อย่างไม่น่าให้อภัย
“พอเถอะโชค” เขาบอกตัวเอง
“เลิกคิดถึงเพื่อนคนนี้เสียทีเถิด” สมองสั่งการให้คิดเช่นนั้นอีกครั้ง
ในวันนี้ผู้หญิงที่ชื่อรันชรีไม่ได้อยู่ในชีวิตของเขาแล้ว ภาพและเรื่องราวทุกอย่างมันเป็นเพียงสิ่งในอดีต แม้มันจะสวยงามเพียงใด แต่มันก็เป็นได้แค่สิ่งที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น ความจริงมากกว่าที่เขาต้องเผชิญ ความจริงที่วันนี้รันชรีทรยศเขา ความจริงที่รันชรีฉวยโอกาสตอนที่เขาต้องไปดูแลแม่ หอบเอาเงินไปให้ผู้ชาย มันเลวร้ายเกินกว่าคนอย่างเขาจะรับมันได้
สำหรับแพรวพรรณ ตั้งแต่เรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงาน เขาก็จะเริ่มห่างเหินกันออกไป คงมีเพียงอานนท์เท่านั้นที่เป็นเสมือนเงาของแพรวพรรณ จนบางทีตัวเขาเองยังอดคิดไม่ได้ว่าอานนท์แอบชอบแพรวพรรณอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงบัดนี้ เขาเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดี อานนท์คบหากับแพรวพรรณในฐานะเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่สามารถรองมือรองเท้าได้ทุกอย่าง แต่เขาเชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่เพราะความรักเหมือนอย่างที่เขาเคยมีให้รันชรี หากแต่มันเป็นเพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าเงินต่างหาก
อานนท์สามารถทำทุกอย่างที่แพรวพรรณต้องการได้ โดยแลกกับสิ่งที่ตนร้องขอ รวมไปถึงการเข้ามาร่วมหุ้นของแพรวพรรณในร้านนี้ ที่พักหลังแพรวพรรณมักจะให้อานนท์มาแทน จนกระทั่งประกาศให้พนักงานทั้งร้านรู้กันทั่วว่าอานนท์เป็นทั้งเพื่อนและเลขาของตน และที่สำคัญแพรวพรรณเสนอให้ตั้งอานนท์เป็นผู้จัดการสาขาใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในห้างสรรพสินค้าในเร็ววันนี้
เขาพลาดเองที่อ่อนแอมากในวันที่รันชรีทำผิดต่อเขา จนทำให้แพรวพรรณเข้ามามีบทบาทในชีวิตอย่างง่ายดาย แต่ทว่าเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของแพรวพรรณในวันแรกที่เข้ามาร่วมงานกับเขาจนถึงวันนี้มันต่างกันลิบลับ ทุกอย่างอยู่ที่ความบกพร่องของเขาเอง ที่ทำอะไรไปโดยไม่ปรึกษาใคร แต่ในขณะนั้นหากเขานำเรื่องรันชรีไปปรึกษามารดาแล้ว อาจจะทำให้ความเจ็บป่วยที่ท่านกำลังทุเลาขึ้น กลับกลายเป็นทรุดหนักกว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะเขารู้ดีว่านางนั้นรักและเอ็นดูรันชรีมากมายเพียงใด
เมื่อฉุดความรู้สึกกลับมาอีกครา เขามองใบหน้าสวยของแพรวพรรณอีกครั้งหญิงสาวยังคงนั่งนิ่งปนด้วยเสียงสะอื้น
“ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้แพรวก็ดูแลร้านกับแม่เราไปก่อนนะ เราขอพักสักหน่อย” โชคตัดบทไปดื้อๆ เขาเดินผ่านหญิงสาวโดยไม่ชำเลืองตามองด้วยซ้ำว่าหลังจากที่ตนกล่าวไปแล้วนั้น แววตาที่โศกเศร้านั้น มันแปรเปลี่ยนไปมากมายเพียงใด
ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในขณะนี้ หากแพรวพรรณอยู่กับมารดาของตนได้เหมือนที่รันชรีอยู่ได้ เขาเองอาจจะมีความรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
………………………………………………………………………………………………………………..
ตอน 18
กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ชโลธรไม่สามารถติดต่อกับรันชรีอีกเลยนับตั้งแต่การนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่หญิงสาวกำลังจะตาย มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กิตติลางานและลาพักร้อนต่อ แต่นี่มันเลยกำหนดลาพักร้อนมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่ากิตติจะปรากฏตัว หญิงสาวเริ่มกระวนกระวายใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังคาดเดา ด้วยความเจ็บปวดที่รันชรีได้รับ และความอาฆาตที่อาจบ่มเพาะอยู่ในใจของเธอ กิตติอาจจะ...
หญิงสาวหยุดความคิดของตนเองไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็นั่งสมาธิและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้รันชรีเผื่อว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดนั้นเป็นจะเป็นจริง หากเป็นเช่นนั้นแล้วกิตติอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่งที่หญิงสาวกำลังทำสมาธิอยู่นั้น ภาพรันชรีก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม พวงแก้มเปล่งปลั่งอาบไปด้วยความสุข รันชรีเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ พลางใช้มือทั้งสองข้างกุมมือเธอไว้ แววตานั้นช่างสดใสเหลือเกิน
“เธอเป็นคนจิตใจดี ฉันขอบใจเธอมาก เหลือเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย ไปหาโชค เพื่อนรักของฉัน”
เพียงเท่านั้นภาพของรันชรีก็หายไป
“ค่ะคุณรัน ชโลธรจะไปหาเพื่อนรักของคุณ” หญิงสาวพูดกึ่งรับคำสัญญา
...........................................................................................................
แดดเพิ่งลับไปไม่นาน แต่แสงแห่งวันยังคงหลงเหลือไว้ทาทับริ้วของสายน้ำ ที่บัดนี้เป็นดั่งแผ่นทองอันมหึมาที่ฉาบสายน้ำใหญ่ทั้งสายไว้จนสุดลูกหูลูกตา ชโลธรและชมพูนุชหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าภาพอันตระการตานั้น ทั้งสองเชิดหน้าสูดรับความบริสุทธิ์ของชั้นบรรยากาศเข้าไปจนชุ่มปอดลมยามเย็นโชยเอื่อยๆ อากาศของต่างจังหวัดเป็นสิ่งเดียวที่หาซื้อจากห้างสรรพสินค้าในเมืองกรุงไม่ได้
อีกไม่ถึงห้าสิบเมตรก็จะถึงที่หมายในคืนนี้
แม้จะเป็นยามเย็นย่ำของวันศุกร์ แต่ทว่าบรรยากาศในร้านอาหารกลับเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนครั้งแรกที่หญิงสาวทั้งสองมาเยือนกับเพื่อนร่วมงานมีลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่นั่งอยู่ในมุมเงียบๆ หลังร้าน ชโลธรกวาดตามองไปทั่วร้าน
ผ้าพื้นเมืองทอลายแปลกตายังคงแขวนที่ฝาผนังทั้งสองข้าง แสงไฟสีนวลตาจากหลอดวอล์มไลท์ ช่วยขับเส้นด้ายสีทองให้โดดเด่นขึ้นมาอีกโข ริมระเบียงด้านนอกสุดที่ติดกับแม่น้ำ กุหลาบในกระถางนับสิบกำลังแข่งกันเบ่งบาน กลีบของมันหนาและแดงจัดจนเข้ม หยดน้ำเล็กๆ หลายหยดเกาะอยู่ที่กลีบหนานั้น เหมือนดังผ้ากำมะหยี่สีแดงที่กำลังเปียกปอนด้วยไอฝน
เพลงยังคงบรรเลงด้วยเปียโนเหมือนเช่นเดิม
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มแต่งกายด้วยผ้าซิ่นพื้นเมือง นำพาให้หญิงสาวทั้งสองเข้าไปในร้าน
สายตาหญิงสาวสอดส่ายมองหาใครคนหนึ่ง
เขาอยู่ไหนนะ?
ภาวนาในใจ เธอนั้นไม่อยากเจอแพรวพรรณอีกเลย หญิงคนนี้แม้หน้าตาจะสะสวยกว่ารันชรีมาก แต่ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจโดยเฉพาะแววตาอันร้ายกาจนั้น มันเหมือนดังเหยี่ยวที่กำลังมองหาเหยื่อ และพร้อมที่จะโฉบลงมาคร่าชีวิตได้ทุกเวลา
ชโลธรเลือกนั่งโต๊ะที่ระเบียงติดกับต้นกุหลาบ นอกจากมันจะส่งกลิ่นหอมแล้ว เธอยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เธอต้องเลือกที่นั่งตรงนี้
รันชรีเงยหน้าขึ้นมาจากเหล่าดอกไม้สีแดงสดเหล่านั้น เธอส่งยิ้มเย็นยะเยือกให้กับภาพที่เห็น
“ในเมื่อฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ใครก็อยู่ไม่ได้ โชค...เพื่อนรัก...อีกไม่นาน แกต้องไปอยู่กับฉัน”
ปนด้วยกังวานหัวเราะในลำคอ
ชโลธรโน้มตัวเข้าหาเหล่าดอกไม้นั้น แล้วสูดดมเอาความหอมของดอกไม้สีสด ราวกับว่าจะเก็บกลิ่นอันจรุงใจนั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่โชคกำลังเดินออกมาจากห้องบัญชี แต่เขากลับมองเห็นเป็นหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่าเป็นเพื่อนรัก
ภาพนั้น...รันชรี
ชายหนุ่มสลัดศีรษะไปมา
เขามองภาพเบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความชัดเจนของความรู้สึก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพรันชรีเหมือนครั้งแรก หากแต่มันเป็นภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังโน้มตัวลงสูดกลิ่นของดอกไม้
มันคงไม่มีอะไรมากนักหรอก คงเพราะท่าทางนั้นเหมือนกิจวัตรที่รันชรีมักจะกระทำบ่อยๆ เมื่อครั้งยังอยู่ที่นี่ เพื่อนรักจะเดินมาสูดกลิ่นดอกไม้ทุกวัน จึงทำให้เขาตาฝาดไป
แต่ภาพหญิงเบื้องหน้าก็ทำให้เขาถึงกับหยุดชะงักอีกครั้งเหมือนกัน
เหมือนเขากำลังยืนอยู่สุดปลายของชะง่อนหินผา เพียงสายลมอันแผ่วเบาก็ทำให้เขาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวนั้นทันทีที่ได้ประสพกับหญิงสาวผู้นี้
และในวินาทีนี้...หุบเหวแห่งความรัก...เขาได้ตกลงไปเสียแล้ว
แม้ว่าชายหนุ่มจะครองตัวเป็นโสดมานาน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มองหาคนที่ถูกใจ ตามประสาชายทั่วไป แต่ที่ผ่านมาเขาไม่มองใครเลย เพราะต่างก็มุทำงานอย่างที่เคยให้คำมั่นกับเพื่อนรักไว้ ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่รันชรีไม่อยู่ ความรู้สึกว้าเหว่มักจะเข้ามาแวะเวียนเสมอ แม้จะมีแพรวพรรณและอานนท์มาแทนที่ก็ตาม แต่จากเหตุการณ์ที่บ้านแพรวพรรณคืนนั้น เขาก็ระวังเนื้อระวังตัว และตั้งสติทุกครั้งที่อยู่กับแพรวพรรณ ยังไม่นับถึงความเข้าอกเข้าใจที่แพรวพรรณต่างจากที่รันชรีทุกอย่างก็ว่าได้
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอยู่จนเธอผู้นั้นถอนใบหน้าจากสีแดงกำมะหยี่ของกลีบกุหลาบ หญิงสาวค่อยๆ หันหน้ามาทางเขา มิวายที่เขาจะส่งยิ้มให้หล่อนแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย ฝ่ายหญิงสาวเมื่อประจันหน้ากับชายหนุ่มถึงกับอึ้ง ใบหน้าคมเข้มนั้นกำลังส่งยิ้มให้เธอ หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย แฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่ตั้งใจปิดบังเขาเอาไว้
“นั่นไงชมพู่ อีตาโชค” หญิงสาวบอกให้เพื่อนมองตามชายผู้นั้นไป
“หล่อมากแก ไม่แปลกใจเลยที่ยัยแพรวนั่นจะหลงรัก” ชมพูนุชออกความคิดเห็น
“ว่าแต่ว่าฉันมาที่นี่แล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ คุณรันเขาอยากให้ฉันช่วยอะไรเกี่ยวกับนายคนนี้ หรือเธออยากให้ฉันบอกว่าเธอตายไปแล้ว”
“อย่าบอกเด็ดขาด” เสียงนั้นกังวานอยู่ในโสตประสาทของชโลธรเพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงใคร แต่ก็ไม่วายที่หญิงสาวจะหันไปซ้ายทีขวาที
ขณะนั่งทานอาหารอยู่นั้น หญิงสาวจะรู้ไหมว่ามีสายตาหนึ่งที่กำลังลอบมองเธออยู่ โชคนั่นเอง เขานั่งอมยิ้มแล้วมองชโลธรด้วยแววตามีประกาย มันนานเหลือเกินที่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหน แต่วันนี้และขณะนี้ใจเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“โชคเพื่อนรัก อีกไม่นานแกจะได้รู้ว่าความรักมันเป็นยังไง แกจะต้องสัมผัสกับความรักอย่างที่ฉันเคยรู้สึก” วิญญาณเพื่อนรักยืนจ้องมองชายหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มอันปวดร้าว
“แหม่มๆ” ชมพูนุชเรียกเพื่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวกำลังอมยิ้มและใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ
“แกคิดอะไรอยู่เนี่ย อย่าบอกนะว่าชอบอีตาโชคนี่”
“จะบ้าเหรอแก ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไง แกอย่าลืมว่าเขาเป็นคนทำให้คุณรันเสียใจนะ ไอ้คนใจร้าย” หญิงสาวเรียกสติกลับคืนมาจากภวังค์ เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ชมพูนุชกำลังทักอยู่นั้น มันอาจจะเป็นจริง
“เรามาที่นี่แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไรต่อ คุณรันอยากให้แหม่มทำอะไรต่อค่ะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้น
เม็ดฝนบางๆ กำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอก สายลมอ่อนๆ พัดพาเอาละอองเล็กๆ นั้นสัมผัสกับผิวกายของหญิงสาว มันสร้างความสดชื่นให้เธอไม่น้อย
“ฉันชอบฤดูฝน ชอบนั่งมองสายฝน และชอบกลิ่นของดินเวลาถูกน้ำฝน” หญิงสาวพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
เป็นจังหวะเดียวกับบริกรหนุ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ โดยมีชายหนุ่มเจ้าของร้านเดินมาสมทบ แต่ยังไม่ทันที่จะยกอาหารวางลงบนโต๊ะ เขาก็ต้องชะงักกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากหญิงสาวเสียก่อน
“ช่างเหมือน...กับ...รันชรี...อะไรอย่างนั้น”
ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยต่อไป เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วจ้องมองใบหน้านั้นอย่างฉงนกับคำพูด
เด็กหนุ่มยกอาหารวางบนโต๊ะ มันยิ่งสร้างความฉงนให้เขาอีกระลอกหนึ่ง อาหารทุกจานล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่รันชรีชอบทั้งนั้น
“รัน...”ชื่อของเพื่อนรักถูกเรียกขานอีกครั้งหนึ่ง
“ยังจำได้หรือโชค ว่าฉันชอบอะไร”
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งในคำพูดของตนเอง เพราะจริงๆ แล้วในขณะนี้เธอเองรู้สึกราวกับว่าพฤติกรรมและคำพูดทุกอย่างของตนนั้น อยู่เหนือการควบคุมของตนเองอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แม้ว่าเขาจะถูกตรึงใจไว้กับหญิงที่อยู่เบื้องหน้า แต่พฤติกรรมและวาจาต่างๆ ของหญิงสาว กลับทำให้เขาสับสนไม่น้อย
“อาหารที่คุณสั่งล้วนเป็นรายการอาหารแนะนำของทางร้านครับ” ชายหนุ่มตัดบทไปที่เรื่องอาหาร แทนการครุ่นคิดถึงคำพูดที่หลุดออกจากปากหญิงสาวที่เขาเองยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ
มันนานเหลือเกินที่ประกายในตาของชายหนุ่มไม่ได้เปล่งออกมาเช่นนี้ เขามองไปที่หญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายหลบสายตาไปด้วยความเขินอาย
“มาเที่ยวหรือครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน มีอะไรติชมได้นะครับ”
ไม่ต้องมาแสดงตัวหรอกว่าเป็นเจ้าของร้าน ฉันรู้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ อีตาโชค หญิงสาวคิดในใจก่อนจะพยักหน้าแล้วเสสายตามองไปยังจานอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้า