ตอนที่ 17
กิตติออกมาสูดอากาศที่หน้าบ้าน รันชรีดูแลต้นไม้และดอกไม้ได้ดี ต้นกุหลาบหลายต้นแข่งกันออกดอก และเบ่งบานอวดสีสันกัน ทั้งสีแดงสีขาวและสีเหลือง เขามองเลยไปที่รถยนต์ของเขาที่บัดนี้มันยังคงจอดอยู่หน้าบ้าน ใช่ เขาลืมไปเสียสนิท มัวแต่ดีใจที่ได้เจอกับรันชรี จนลืมเก็บรถมาจอดไว้ในบ้าน แต่ในขณะที่เขากำลังยืนมองดูรถตัวเองอยู่นั้น คนเก็บของเก่าสองคนก็ผ่านมา แล้วจ้องมองเขาแปลกๆ เขาคิดว่าคนทั้งสองคงอยากจะเข้ามาถามว่ามีของเก่าอะไรจะขายไหม
หญิงชายคู่นั้น หยุดมองเขาแล้วซุบซิบกัน
“ไอ้แก่ เอ็งว่าซอยนี้มันเงียบแปลกๆ ไหม”
“นั่นไง บ้านหลังนั้นมีคนอยู่ ลองเข้าไปถามสิว่าเขามีอะไรจะขายไหม”
“แต่ข้าว่ามันแปลกๆ นะ บ้านเก่าทรุดโทรมยังกะบ้านร้าง จะอยู่กันได้ยังไงวะ เอ็งลองดูสิ”
ว่าแล้วผู้เป็นสามีก็เห็นพ้องกับความเห็นของภรรยาตน เพราะดูจากสภาพบ้านแล้ว ไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยได้เลย รอบๆ บ้านต้นไม้พากันยืนต้นตายหมด สนามหญ้าก็แห้งกรอบ โดยเฉพาะสระว่ายน้ำเล็กๆ นั้น ที่ถูกใบไม้ทับถมไปเกือบครึ่งสระ กระจกประตูหน้าต่างถูกไม้ตีปิดตายทุกบาน แต่มันแปลกตรงที่ว่ามีผู้ชายคนนั้นและรถเก๋งคันหรูจอดอยู่
“ข้าว่ารีบไปกันเถอะ ไม่ต้องไปถงไปถามอะไรหรอก ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้ามาในซอยนี้ก็ไม่เชื่อ เห็นไหมละ เจอดีเข้าแล้ว กลางวันแสกๆ” ฝ่ายหญิงพูดเชิงตำหนิ
คนทั้งสองเพิ่มแรงผลักรถเข็นซาเล้งคู่ใจ ให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเร็วขึ้น
แต่ทันใดนั้นฝ่ายชายกลับนิ่ง แล้วชี้ไปที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับอ้าปากค้าง
“ไอ้แก่ เอ็งเป็นอะไรไปวะ” ผู้เป็นภรรยาเขย่าตัวสามี
“ผะๆๆๆๆผีๆๆๆๆๆผู้ๆๆๆๆๆหญิงๆๆๆๆข้างๆๆๆๆ บนบ้าน” เพียงเท่านั้นคนทั้งคู่ก็ทิ้งพาหนะคู่ใจแล้ววิ่งหน้าตั้งออกมาจนถึงปากซอย
ภาพรันชรียืนหน้าซีดอยู่หน้าต่างชั้นบน กำลังจ้องมองคนทั้งสอง ทำเอาชายผู้มองเห็นอกสั่นขวัญแขวน
กิตติที่ยืนอยู่ระเบียงหน้าบ้านมองดูคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดจึงแสดงอาการเหมือนหวาดกลัวอะไรอย่างสุดขีด แต่ป่วยการที่เขาจะคิดต่อ กิตติออกไปที่รถเพื่อจะขับเข้ามาจอดภายในบ้าน ก็ยังมองเห็นชายหญิงคู่นั้นอยู่ลิบๆ
วิ่งออกมาไกลเท่าใดก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าบัดนี้คนทั้งคู่หยุดหอบ แฮ็กๆ อยู่ที่หน้าร้านขายของชำเล็กๆ ร้านหนึ่ง ทำเอาผู้คนภายในร้านแตกตื่น เรื่องที่ชายหญิงเก็บของเก่าเจอผีผู้หญิงกลางวันแสกๆ
“ร้อยวันพันปี ไม่เห็นมีใครเข้าไปในซอยนั้น ชาวบ้านเขาย้ายหนีกันไปหมด ลุงกับป้าคิดยังไงถึงเข้าไปเนี่ย” เด็กสาววัยรุ่นเอ่ยถาม
“พวกฉันสองคนเพิ่งถูกเผาไล่ที่ แล้วก็ย้ายมาอยู่แถวนี้ ยังไม่ค่อยรู้จักอะไรมากนัก”
“งั้นฉันจะบอกลุงกับป้าอีกรอบนะว่าไม่จำเป็นอย่าเข้าไปซอยนั้นเด็ดขาด มีผู้หญิงฆ่าตัวตาย แล้วก็เฮี้ยนมาก จนคนทั้งซอยเขาประกาศขายบ้านกันหมด ตอนนั้นพวกไฟฟ้าเข้าไปตัดกิ่งไม้ที่ระสายไฟ ก็กลางวันแสกๆ นี่แหละ เผ่นออกมาแทบไม่ทัน”
“แต่เมื่อตะกี้ป้าเห็นบ้านหลังนั้นมีคนอยู่นะ เป็นผู้ชายรถยังจอดอยู่หน้าบ้านเลย”
“หรือมีบ้านที่ขายได้แล้ว” ชายคนหนึ่งออกความคิดเห็น
“โอ้ย ลุง ใครจะบ้ามาซื้อ ถามหน่อยถ้าเป็นลุงๆ จะซื้อไหม บ้านที่ติดกับบ้านร้าง บ้านผีสิงน่ะ” เจ้าของร้านร่วมสนทนาบ้าง
แต่การที่ชายหญิงคู่นั้นบอกว่ามีคนมาอยู่อาศัย ก็ทำให้คนทั้งหมดที่อยู่ในร้าน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่ามีคนขายบ้านได้ บ้างก็ว่าคนเก็บของเก่าแต่งเรื่อง บ้างก็ว่าเป็นผี ล้วนแล้วแต่เป็นข้อสันนิษฐานทั้งนั้น
สามวันที่กิตติอยู่กับรันชรี เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้เลยว่า เขามีความสุขมากเพียงใด รสมือของรันชรีไม่เคยตก เธอทำอาหารทุกอย่างที่เขาชื่นชอบ...เธอยังจำได้...รันชรียังจำได้ว่าเขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร
โอ้...รันชรี...ยอดรัก กิตติมิอาจหยุดยั้งใจรักที่มีต่อหญิงสาวได้
เขาไม่อยากกลับไปทำงานอีก ในทุกๆ วินาทีเขาต้องการอยู่กับรันชรี ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดความรู้สึกมันช่างรุนแรง จนเขาไม่อาจต้านทานอยู่
ในที่สุดเขาก็ฝืนความรู้สึกตนเองไม่ไหว เขาต่อสายโทรศัพท์ไปยังสำนักงานใหญ่ และทำเรื่องลาพักร้อนต่อ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้อยู่กับรันชรีให้นานที่สุด
เขาขลุกอยู่กับรันชรีทั้งวันทั้งคืน จนแทบจะไม่อยากออกไปไหน ความสุขที่เขาดื่มด่ำมันยากที่จะลืมเลือนไปได้ เขาได้แต่หวังว่า เมื่อกลับไปทำงานอีกครั้งจะเก็บเงินแล้วแต่งงานกับรันชรีทันที ที่เธอพร้อม แต่เมื่อคิดถึงเรื่องงานแล้ว ก็ทำให้เขาอดที่จะเป็นห่วงงานไม่ได้ และในค่ำคืนหนึ่งเขาก็กล่าวกับรันชรี
“รัน เห็นทีผมคงจะต้องกลับไปทำงานก่อน วันพักร้อนของผมเหลืออีกแค่สองวันเท่านั้น”
“ไม่ค่ะ รันไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“แต่ผมต้องทำงานนะ”กิตติพยายามชี้แจง เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่อยากจากเธอไปเช่นกัน
“ผมไปไม่นานแล้วผมจะรีบกลับมาหาคุณ คุณรอผมอยู่ที่บ้านนะครับ คนดีของผม”
“รันจะไม่รอคุณ เราจะไม่มีวันพรากจากกันอีก” รันชรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้น
ฝ่ายกิตติเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกแปลก จากความรู้สึกที่ว่ารันชรีเพียงต้องการออดอ้อนเขาเท่านั้น แต่เมื่อประโยคเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา น้ำเสียงแปลกๆ ของหญิงสาว เขาเริ่มจะอึดอัดในการสนทนาครั้งนี้
“เชื่อใจผมนะที่รัก ผมต้องทำงาน เพื่อสร้างครอบครัวของเราไง หรือคุณจะไปกับผมก็ได้นะ”
กิตติเสนอให้รันชรีกลับไปกับเขาที่เมืองนั้นอีกครั้ง และจะได้นำเช็คไปคืนโชคด้วย แต่ฝ่ายหญิงกลับปฏิเสธพร้อมกับบอกเขาว่าโชคกำลังจะมาที่นี่
“รันจะไม่มีวันปล่อยให้คุณไปจากรันอีกเป็นครั้งที่สอง เราจะต้องอยู่ด้วยกันจนวันตาย” กิตติขนลุกซู่กับคำพูดของรันชรี บัดนี้แววตาอันอ่อนโยนของหญิงสาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกระด้างและเย็นชาเหลือเกิน
นี่เขาจะทำเช่นไร ใจหนึ่งก็ห่วงเรื่องงาน แต่อีกใจก็รู้สึกผิดกับรันชรี เขายอมเธอได้ทุกอย่าง และให้ได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่รันชรีน่าจะเข้าใจเรื่องงานมากกว่านี้
“คุณคิดอะไรอยู่ คิดที่จะทิ้งรันอีกครั้งใช่ไหม” หญิงสาวตวาดลั่น
แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะแสดงความไม่พอใจเป็นอันมาก หากแต่กิตติกลับโน้มใบหน้าลงจุมพิตหญิงสาวเพื่อปลอบโยน
“ที่รัก ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหนอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันทันทีที่คุณต้องการ”
“คุณก็ดีแต่พูด คำพูดของคุณทำร้ายรันมาครั้งหนึ่งแล้ว รันเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน รันรอคุณทุกวัน แล้ววันนี้ที่คุณกลับมา คุณก็จะไปจากรันอีก รันไม่มีวันยอมให้คุณทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
น้ำเสียงที่อ่อนลงปนเสียงสะอื้น หยาดหยดน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากสองตา มิวายที่ชายหนุ่มจะเอื้อมมือไปซับน้ำตานั้น
“คุณไม่รู้หรอกว่ารันเจ็บปวดแค่ไหน”
“ผมรู้แล้วที่รัก ผมรู้แล้ว”
“เพื่อนรันกำลังจะมาที่นี่ รันจะต้องเตรียมตัวเพื่อพบเพื่อน คุณนอนอยู่ที่นี่นะ แล้วอย่าคิดที่จะไปที่ไหนอีก” อีกครั้งกับถ้อยคำแปลกๆ ของหญิงสาว
“แต่รัน...” ไม่ทันที่เขาจะเอื้อนเอ่ยต่อไป เขากลับรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว ริมฝีปากที่กำลังจะขยับพูดต่อไป กลับขยับไม่ได้
“เราเป็นอะไรไป”
“รัน...คุณช่วยผมด้วย” กังวานของเขาที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้
รันชรีกำลังผละออกจากอ้อมกอดของเขา หญิงสาวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมกับจัดแจงท่านอนของเขาให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด ก่อนจะก้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ
“รัน...คุณเป็นอะไรไป”
“อย่าถามอะไรเลยสุดที่รักของรัน เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ว่ารันเป็นอะไร”
หญิงสาวนั่งอยู่ข้างๆ กายอันหนักอึ้งของเขา เสียงสะอื้นร่ำไห้อันแผ่วเบา มันล่องลอยอยู่ในห้องนี้ จากนั้นก็ดังขึ้นจนเป็นเสียงคร่ำครวญ กิตตินอนตาค้างกับภาพที่เขากำลังสัมผัสอยู่ในวินาทีนี้ รันชรีร้องไห้หนักขึ้นๆ ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวด น้ำตาหยดใสๆ กลับกลายเป็นสีแดง กลิ่นคาวของเลือดโชยมาเตะจมูกเขา มันทำให้เขาพะอืดพะอมไม่น้อยหากแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากการมองเพียงอย่างเดียว
“ความรัก ที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ ความรักที่หลอกลวงของคนไม่จริงใจ ความรักของคนที่ใจร้าย คนใจดำ” สลับกับเสียงกรีดร้องอันโหยหวน
“โอ้รันชรี” กับภาพที่เขาเห็นหรือมันเป็นเพียงความฝัน แต่เปล่าเลย เขายังรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นคือบัดนี้ห้องนอนอันแสนสวยนั้นกลับกลายเป็นห้องที่ทรุดโทรม เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ มีเพียงร่างเขาเท่านั้นที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอันสกปรกนี้ และรันชรีที่เนื้อตัวเกรอะกรังไปด้วยเลือด
“คุณ...เป็น...อะ...ไร” กิตติเอ่ยถามในใจ
“เพราะคุณ คนใจร้าย หลอกลวงได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่รักคุณหมดหัวใจ รันมอบกายและใจให้คุณไปหมดแล้ว แต่คุณกลับเหยียบย่ำความรักของรัน แล้วไปเสพสุขกับผู้หญิงอื่น หัวใจคุณมันร้ายกาจนัก วันนี้คุณกลับมาแล้ว รันจะไม่มีวันปล่อยคุณให้ไปอยู่กับใครอื่นอีก คุณต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับรันคนเดียวเท่านั้น”
“ไม่นะ...อย่าทำ...อะไรผมเลย” กิตติหวาดกลัวสุดขีด ดวงตาของเขาเบิกโพลง หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลักออกมา
“อีกไม่นานเพื่อนรักของรันกำลังจะมาที่นี่ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
รันชรีหายไปต่อหน้าต่อตา คงเหลือแต่เพียงเขาเท่านั้น ในห้องสกปรกห้องนี้
“ใครก็ได้ช่วยผมที ผมยังไม่อยากตาย” กิตติคร่ำครวญอยู่ในใจ
เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดกิตติไม่สามารถล่วงรู้ได้ เขารู้แต่เพียงว่าเขาถูกตรึงไว้ในห้องๆ นี้นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อเขาผล็อยหลับไป เขาอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองเพิ่งก้าวออกมาจากฝันร้าย แต่มันช่างตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ทุกครั้งที่เขาลืมตาขึ้นมา สภาพทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม รันชรีที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด ก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขาไม่ห่างกาย หญิงสาวพร่ำบอกแต่คำว่ารักกับเขาทุกครั้งที่เขารู้สึกตัวขึ้นมา
หรือนี่คือผลกรรมที่เขาเคยกระทำไว้กับรันชรีและผู้หญิงเหล่านั้น ความสำนึกผิดอย่างนั้นหรือที่กลั่นกรองออกมาจากหัวจิตหัวใจของเขาในขณะนี้
หากตัวเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้รันชรีต้องเป็นเช่นนี้ เขาก็พร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างที่เธอตระเตรียมไว้ให้
ตอน 16
รุ่งเช้าแพรวพรรณและอานนท์ต่างก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ที่ประสพมาเมื่อคืน หากเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้โชคฟัง เขาจะเชื่อหรือเปล่า แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของแพรวพรรณก็ดังขึ้น
“กิตติ”
หญิงสาวยังคงไม่รับสายนั้น แต่ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังไปเรื่อยๆ หล่อนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใช่แล้วหล่อนควรจะเร่งให้กิตติไปตามรันชรีโดยเร็ว เพื่อหล่อนจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วรันชรียังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่บัดนี้หล่อนอุ่นใจขึ้นมาก เพราะก่อนออกจากวัด พระชราเจ้าอาวาสได้มอบน้ำมนต์และด้ายสายสิญจน์ให้กับทั้งแพรวพรรณและอานนท์
“คุณกิตติ คุณอยากเจอรันชรีไหม ตอนนี้รันอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ฉันเพิ่งคุยกับเขาเมื่อวานนี้ และบอกว่าคุณกำลังจะไปหาและเอาเงินไปคืน ฟังจากน้ำเสียงแล้วรันคงดีใจมากและบอกว่าจะรอคุณอยู่ที่บ้าน คุณรีบไปหารันสิ” แพรวพรรณสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เหมือนคนบนฟ้าต้องการอยากให้เขาไถ่บาปจากความผิดครั้งยิ่งใหญ่ ในที่สุดเขาก็จะได้พบกับรันชรีอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่หวังที่จะให้รันชรียกโทษให้ เพียงแต่ยอมรับฟังคำขอโทษจากเขาก็เพียงพอแล้ว เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่รันชรีต้องการ หากมันจะทำให้ความผิดที่เขาทำกับเธอมันเบาบางลงได้
หลังจากวางสาย กิตติจัดการเคลียร์เอกสารและงานทุกอย่าง ก่อนจะบอกทุกคนว่าจะไปธุระที่กรุงเทพฯ สักสามสี่วัน
..........................................................................................................................
แม้ว่าจะมาเป็นปี แต่กิตติก็จำทางไปบ้านหญิงอันเป็นที่รักได้อย่างแม่นยำ เลี้ยวตรงสามแยกข้างหน้าก็จะถึงแล้ว แต่เขาก็ต้องแปลกใจกับทัศนียภาพรายรอบ หากนับจากปากซอยจนถึงบ้านหญิงสาวน่าจะมีบ้านที่ดูเหมือนมีผู้คนอยู่อาศัยเพียง 4-5 หลังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้าน ข้างบ้าน ล้วนแล้วแต่ติดประกาศขายบ้านกันทั้งนั้น คงมีเพียงบ้านของรันชรีเพียงหลังเดียวที่มีคนอาศัยอยู่ยิ่งท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้บรรยากาศมันช่างวังเวงจนขนหัวของเขาลุกชัน
แต่ก็ช่างเถอะใครจะอยู่หรือจะไปมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา สิ่งที่เกี่ยวกับเขามีเพียงรันชรีคนเดียวเท่านั้น
เขาก้าวขาลงจากรถ สายลมแรงๆ วูบใหญ่พัดผ่านกายเขาไป เขารู้สึกมึนๆ ในศีรษะ แต่ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าคงเป็นเพราะเขาขับรถมาไกลจึงเกิดอาการเพลีย ประกอบกับความตื่นเต้นที่จะได้พบรันชรีอีกครั้งหนึ่ง
ดอกกุหลาบสีแดงยังคงแย้มบานเหมือนครั้งที่เขาเคยมาที่นี่กับรันชรี สนามหญ้าเขียวขจีราวกับถูกห่มคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่ผืนใหญ่ แต่ก็เขาก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดเพื่อนบ้านจึงหายไปหมด แล้วหญิงสาวอยู่อย่างไรท่ามกลางบ้านที่ไม่มีคนอยู่เช่นนี้ รันชรีอยู่บ้านคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวจะทำเช่นไร ความห่วงใยในตัวหญิงสาวเริ่มตีตื้นตามมา
ครืน...ครืน...
กัมปนาทจากฟากฟ้าส่งมาจากเบื้องบน เมฆดำลอยเลื่อนมาบดบังความสว่างไสวจากแสงอาทิตย์ เขาแหงนมองที่มาของเสียงจากเบื้องบน พลางกดกริ่งที่หน้าบ้าน
เหมือนจะหยุดลมหายใจของตนเอง ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกบานใส รอยยิ้มที่เขาคุ้นเคยถูกประทับลงไปในใจอีกครั้ง แม้จะซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ใบหน้ารันชรียังคงน่ารักมีเสน่ห์เช่นเดิม หญิงสาววิ่งออกมาแล้วหยุดอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“รัน...” บุรุษผู้สำนึกผิดเอ่ยชื่อหญิงสาวอีกครั้ง
ไม่มีคำพูดใดๆ จากหญิงสาว เธอเปิดประตูรับชายที่ตนรักหมดหัวใจ มีเพียงรอยยิ้มและอ้อมกอดเท่านั้น ที่หญิงสาวทักทายเขาแทนคำพูด
“รัน ผมกลับมาหาคุณแล้ว” เขาเอื้อนเอ่ยต่อหญิงสาว
“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมเถอะที่รัก ผมรักคุณ” ความรู้สึกผิดพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด
“ไม่เป็นไรค่ะที่รัก มันผ่านไปแล้วและมันก็จบไปแล้ว รันรักคุณค่ะ รันรอคุณทุกวันแล้ววันนี้คุณก็กลับมาหารัน” หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา
“หยุดร้องไห้เถอะคนดีของผม ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้อีก” ฝ่ายชายใช้มือเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวแล้วฝากรอยจุมพิตไปทั่วใบหน้าเล็กๆ นั้น
ครืน...ครืน...
ประหนึ่งใครสักคนบนฟากฟ้าจะเป็นพยานสำหรับการกลับมาขอโทษของกิตติในวันนี้ ในที่สุดฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมา
“เข้าบ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวจูงมือชายคนรักไปที่ประตูบ้าน
ทุกอย่างภายในบ้านยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่เขาเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับหญิงสาว ความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มันเอ่อล้นเต็มหัวใจของชายผู้สำนึกผิด เขาจะไม่มีวันทำร้ายหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอีกเด็ดขาด เขาจะทำทุกอย่างให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข เขาพร้อมจะจัดพิธีแต่งงานหากหญิงสาวต้องการ
หญิงสาวเดินนำหน้าฝ่ายชาย เมื่อถึงห้องโถงกลางบ้านฝ่ายชายสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ากลับมาหาเจ้าของไออุ่นนั้น หน้ากับหน้าแทบจะชิดกัน
“รัน...คุณยังไม่ตอบผมเลยว่า จะยกโทษให้ผมไหม”
“รันไม่โกรธคุณและยังรักคุณเสมอคะ”
ฝ่ายชายเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกผิดที่คั่งค้างอยู่ในใจมาแรมปีก็มลายหายไปสิ้น
เขาเลื่อนมือทั้งสองจากเอวอันกลมกลึงขึ้นทาบทับไปที่ใบหน้าของหญิงสาวแทน ใบหน้านั้นช่างนิ่มนวลเหมือนครั้งก่อนเก่าที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน รอยจุมพิตในครั้งนี้ที่ประทับไปบนหน้าผากของหญิงสาว มันมาจากความรักทั้งหมดของเขา มันออกมาจากใจ มิใช่การเสแสร้งเหมือนการกระทำอันเลวทรามที่เขาเคยทำลงไป
“แค่คุณกลับมารันก็ดีใจแล้วค่ะ อะไรที่มันเลวร้ายเราอย่าพูดถึงมันดีกว่า” หญิงสาวบอก
“ได้จ๊ะคนดีของผม ต่อไปนี้ผมจะรักคุณและเราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน มีลูกด้วยกัน และจะไม่มีวันพรากจากกันอีก” กิตติบอกทุกอย่างตามที่ใจของเขาความจริงของหัวใจ
“ใช่ค่ะ เราจะไม่มีวันพรากจากกัน เราจะต้องอยู่ด้วยกันจนตาย” น้ำเสียงของหญิงสาวกลับเยือกเย็นลงในทันที แต่ผู้รับฟังไม่ได้คิดอะไร เขาคิดแต่เพียงว่าช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเขานี้ จะมีผู้หญิงที่ชื่อรันชรีเคียงข้าง และมีลูกมีหลาน สร้างครอบครัวขึ้นมาให้มีความสุข
หญิงสาวรั้งร่างของฝ่ายชายเข้ามาในแนบชิดยิ่งขึ้น ริมฝีปากเล็กๆ นั้นประทับไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างจงใจ เนิ่นนานเท่าใดแล้วที่กิตติไม่ได้รับสัมผัสแห่งรอยจุมพิตที่ร้อนแรงและอ่อนโยนในทีเช่นนี้ เขาผละออกจากหญิงสาว สองมือกุมหัวไหล่ของเธอไว้
“ผมรักคุณ ผมรู้แล้วว่าผมรักคุณ”
จากนั้นก็เป็นเขาเองที่ดึงร่างหญิงสาวนั้นมาประทับรอยจูบอีกครา แล้วค่อยๆ ช้อนร่างอันบอบบางนั้นหายลับเข้าไปในห้องนอน
ความอิ่มเอมจากรสสวาทที่หญิงสาวมอบให้ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอทำให้เขามีความสุขมาก นับตั้งแต่ที่เขาทำผิดต่อเธอ เขาได้ลิ้มลองรสสวาทนั้นจากหญิงสาวนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเหมือนเธอคนนี้ อาจเป็นเพราะในรสสวาทนั้นมันถูกปรุงแต่งไปด้วยความรัก ความรักที่เธอมีต่อเขาและบัดนี้ในรสสวาทนั้นมันได้ผสมผสานความรักของเขาเข้าไปด้วย
“รันผมเอาเช็คมาคืนคุณ” ฝ่ายชายกำลังจะลุกจากเตียง แต่ถูกฝ่ายหญิงรั้งไว้เสียก่อน
“ไม่จำเป็นแล้วค่ะที่รัก ทุกอย่างมันจบไปแล้ว รันไม่ต้องการเงิน มีเพียงความรักจากคุณเท่านั้นที่รันต้องการ” หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาขณะนี้ แนบใบหน้าลงไปกับแผงอกอันเปลือยเปล่า มือข้างหนึ่งก็กอดก่ายเขาราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปอีกครา
“ผมขอโทษนะรัน ที่ผมต้องทำอย่างนั้น ผม...” หญิงสาวใช้ริมฝีปากตนเองประกบจูบฝ่ายชายเพื่อหยุดยั้งการเอ่ยอ้างถึงเหตุผลกับเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา
เมื่อถอนรอยจูบนั้นออกมาแล้ว
“คุณไม่ต้องบอกเหตุผลอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันจบแล้ว รันไม่อยากฟังเรื่องเก่าๆ ต่อไปนี้จะมีแค่เรื่องของเราและความรักของเราเท่านั้นนะคะ คุณคือคนที่รันรักหมดหัวใจค่ะ”
โอ! รันชรี...
เขารำพึงชื่อหญิงสาวในลำคอ เหตุใดหนอตนจึงกล้าทำสิ่งที่เลวร้ายกับผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้ได้ เขาทำสิ่งที่ไม่ดีกับเธอ แต่เธอกลับไม่โกรธ ให้อภัยและยังให้โอกาสกับเขาอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งคิดกิตติยิ่งรู้สึกผิด ความรักที่มีต่อหญิงสาวมันเอ่อล้นเต็มทุกห้องหัวใจจนไม่อยากจากเธอไปไหนอีกแล้ว
หลังฝนตก ท้องฟ้าย่อมแจ่มใสเสมอ กิตติรู้สึกเบาโล่งทั้งร่างกายและจิตใจ เขาไม่มีปมอะไรในใจที่ติดค้างอยู่อีกแล้ว หวนนึกถึงเช็คใบนั้นที่ยังคงนอนอยู่ในกระเป๋า เขาจะต้องคืนให้รันชรีให้ได้ แต่หากหล่อนยังปฏิเสธที่จะรับอีก เขากะว่าเอาไปคืนโชค เขาเหลือบตามองไปที่หญิงสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆ กาย แล้วค่อยๆ ลุกออกมาจากเตียงอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า เพราะเกรงว่าหล่อนจะตื่นจากการนิทราอันแสนสุขนั้น
ตอนที่ 15
แพรวพรรณเล่าถึงเรื่องที่กิตติกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง เพราะอยากเอาเงินมาคืนรันชรี ให้อานนท์ฟัง แต่ตนได้บอกให้กิตติไปตามหารันชรีที่บ้าน เพื่อสกัดไม่ให้หล่อนกลับมาที่นี่อีก อานนท์เริ่มสงสัยในตัวกิตติว่าคิดจะมาไม้ไหน แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องบัญชีนั้น จู่ก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านนอก
“กรี๊ดๆๆๆๆๆ”
หุ้นส่วนทั้งสองรีบวิ่งออกไปดูเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น
หญิงสาวคนหนึ่งถูกพยุงร่างออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าของเธอแสดงถึงอาการขวัญเสียอย่างรุนแรง
“มีผีอยู่ในห้องน้ำ มีแต่เลือดเต็มไปหมดเลย”
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว มิหนำซ้ำหล่อนยังพูดเรื่องผีในห้องน้ำไม่หยุด จากนั้นก็ได้แต่เอามือปิดหน้าปิดตาตนเอง พนักงานเสิร์ฟช่วยกันพยุงร่างหญิงผู้นั้นไปนั่งที่โต๊ะ หญิงสาวกลับพูดไม่ได้ศัพท์ หล่อนบอกจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว คือต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ลูกค้ากลุ่มนั้นเช็คบิลกลับไปแล้ว แต่สถานการณ์หาได้หยุดนิ่งเพียงนั้นไม่ เสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่เกี่ยวกับเรื่องผีในห้องน้ำยังเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนที่ยังอยู่ภายในร้าน
“มีอะไรกัน” อานนท์ถามพนักงานด้วยเสียงเข้ม
“ผู้หญิงคนนั้นเขาเล่าว่า กำลังยืนรอที่จะเข้าห้องน้ำ พอคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา ใบหน้าของคนๆ นั้นกลับซีดเซียวเหมือนกับ....ผี.... แล้วเลือดสดๆ ก็ไหลออกมาจากข้อมือทั้งสองข้างจนนองเต็มพื้น” พนักงานสาวคนหนึ่งหันหน้ามาตอบอย่างตื่นตระหนก
“เหลวไหลน่า ผีมีจริงที่ไหน” อานนท์ฝืนพูดไปทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
“มันน่าจะเป็นแผนของร้านอื่นมากกว่าที่ส่งคนมาแกล้งร้านเรา ให้คนเข้าใจว่าร้านเรามีผี คนก็จะไม่เข้าร้านเรา แผนการตลาดโง่ๆ พวกมันคิดได้ยังไงกัน” อานนท์พูดอย่างใส่อารมณ์ เพราะในความจริงนี่อาจจะเป็นแผนของร้านคู่แข่งก็เป็นได้
ชายหนุ่มได้แต่มองหน้ากับหญิงสาว แล้วหันไปบอกกับพนักงานทุกคนว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง แต่แม้ว่าเหตุผลจะดีสักเพียงใด ลูกค้ากลุ่มอื่นต่างก็มองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาแปลกๆ หลายโต๊ะเช็คบิลกลับ โดยที่ทานอาหารยังไม่หมด คงเหลือลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่ยังนั่งละเลียดไวน์กันอย่างไม่สนใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“พวกแกได้เจออะไรเยอะกว่านี้แน่”
รันชรีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในขณะที่ลูกค้ากำลังทยอยออกจากร้านไป
เหตุการณ์ลูกค้าเจอผีในห้องน้ำกระจายไปรวดเร็ว แค่ข้ามคืนผู้คนต่างโจษจันทน์กันอย่างสนุกปาก บ้างก็ว่ามีผีจริง บ้างก็เห็นคล้อยตามกับคำบอกของอานนท์ว่าเป็นเพียงการกลั่นแกล้งของร้านคู่แข่ง
ชายหนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในร้านอาหารแห่งนั้น กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ขนาด 16 นิ้ว ตรงหน้า ยอดขายของเดือนนี้ตกไปมากกว่าครึ่ง การควบคุมวัตถุดิบไม่รัดกุมเหมือนเมื่อรันชรียังคงอยู่ รายรับลดแต่รายจ่ายยังคงเดิม แต่ดูเหมือนอาจจะเพิ่มกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มสามารถละสายตาจากโปรแกรมบัญชีนั้นได้มันเป็นผลกระทบอย่างยิ่งโดยเฉพาะการวางแผนเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้
แต่ยังไม่ทันที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะเรียกทุกคนเข้าประชุม ก็มีเรื่องผีเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเสียหนักไปใหญ่ ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องผีนั้น แต่ค่อนข้างโอนเอนไปทางความคิดของอานนท์ที่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่งมากกว่า
เมื่อมารดาได้ทราบเรื่องราวนี้แล้ว ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน เพราะตัวนางเองก็เชื่ออย่างที่บุตรชายเชื่อเช่นกันว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง ซึ่งหากจะพูดกันตรงๆ ก่อนที่จะปลดระวางตนเอง นางและสามีเป็นผู้บุกเบิกร้านอาหารจนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้ เมื่อมีเรื่องนี้เข้ามาประกอบกับนางได้เห็นพฤติกรรมบางอย่างของแพรวพรรณ ทั้งด้านการทำงานและแววตาที่หญิงคนนี้มองบุตรชายตนเอง ทำให้นางรู้สึกหนักใจและคิดถึงรันชรีมากขึ้นทุกที
“โชคโทรหารันหน่อยนะลูก บอกให้รันรีบกลับมา” นางบอกกับบุตรชาย
“ถ้าแม่คิดถึงกันมาก ก็โทรหาเองสิ” โชคบอกมารดา
จริงๆ แล้วโชคก็อยากจะทำตามที่มารดาบอก แต่ด้วยทิฐิที่ยังมีอยู่ เขาได้แต่บอกว่าเขาสามารถดูแลร้านนี้เองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น แพรวพรรณได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่โชคยังโกรธและเกลียดรันชรีอยู่
หญิงสูงวัยเดินดูรอบๆ ร้านอาหารที่ตนและสามีร่วมกันสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ก่อนจะยกให้บุตรชายดูแล เรื่องการร่วมหุ้นของรันชรีนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว นางต้องการที่จะทำตัวเป็นแม่สื่อให้เด็กทั้งสองเสียมากกว่า นางจึงยินดีที่รันชรีมาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แต่การเข้ามาของแพรวพรรณและอานนท์นั้น โชคตัดสินใจโดยที่ไม่ปรึกษานาง นอกจากจะทำให้นางไม่พอใจแล้วนั้น ยิ่งทำให้นางไม่สามารถปลดระวางได้อย่างแท้จริง
รันชรีชอบดอกกุหลาบสีแดง หญิงสาวจึงเลือกดอกกุหลาบมาประดับตกแต่งร้าน ซึ่งมันเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เด็กสาวคนนี้ชอบในสิ่งที่คล้ายๆ กับหญิงสูงวัย
“แม่ค่ะ รันขอโทษ แม่ไม่ควรจะมาที่ร้านนี้อีก แม่กลับไปอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะผู้เป็นมารดาเข้ามาอยู่ดูแลร้าน ทำให้รันชรีไม่กล้าที่จะสำแดงฤทธิ์เดชอันใด ทำให้เมื่อทั้งโชคและมารดาเข้ามาที่ร้าน ก็ไม่มีเหตุการณ์ผีหลอกมาให้ได้รับรู้อีกเลย
เพียงไม่กี่วันที่ผู้เป็นมารดามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แพรวพรรณสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของกำแพงที่แม่ของโชคก่อขึ้น เพราะนอกจากจะคอยกันท่าลูกชายแล้ว เมื่ออยู่ด้วยกันลำพัง นางมักจะกล่าวชมรันชรีทุกครั้งไป มันทำให้เธอดูไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงและเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเธอมีปากเสียงกับมารดาของโชค ในวันที่โชคไม่อยู่
“เธอจะไปตะคอกใส่หน้าลูกค้าอย่างนั้นไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็คือลูกค้า สิ่งที่เธอทำได้คือคำว่าขอโทษเท่านั้น ช่วงนี้ที่ร้านเรากำลังมีปัญหาเรื่องข่าวลือนั่น เธอต้องอดทนให้มากกว่านี้แพรว” หญิงผู้ผ่านร้อนหนาวมามากกว่า บอกกับหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนของร้านอาหารแห่งนี้
“คุณป้าจะรู้เรื่องอะไร คนพวกนี้มันต้องเจอแบบนี้ถึงจะสาสม มีอย่างที่ไหนทำน้ำแกงหกใส่รองเท้าตัวเอง แล้วจะให้เราเช็ดให้” หญิงสาวแย้ง
“แต่ที่ป้าเห็น หนูตั้งใจเทน้ำแกงใส่เท้าผู้หญิงคนนั้นนะ”
“ก็มันอยากจะมาให้ท่าโชคทำไม หนูยอมมันมาหลายครั้งแล้ว” หญิงสาวไม่พูดเปล่า ชี้ไม้ชี้มือไปทางกลุ่มลูกค้าที่เป็นคู่กรณี
“เธออย่าลืมนะว่าเธอเป็นแค่เพื่อนของลูกชายฉัน ตอนหนูรันอยู่ไม่เคยมีปัญหาแบบนี้ ฟังฉันนะ ร้านนี้ฉันสร้างมากับมือ ฉันจะไม่มีวันให้เธอมาทำลายสิ่งที่ฉันทำเอาไว้มาอย่างดีหรอก บอกมาหุ้นส่วนของเธอมีเท่าไหร่ ฉันจะคืนให้แล้วเธอก็ไม่ต้องมาที่ร้านนี้อีก” สรรพนามระหว่างหญิงสูงวัยกับแพรวพรรณเปลี่ยนไปทันที คำพูดของหญิงสูงวัยเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงมาต่อหน้าหญิงสาว
“คุณป้าทำเกินไปแล้วนะ เรื่องนี้โชคคนเดียวที่จะตัดสินได้”ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวฉายแววแห่งความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
“แต่ฉันเป็นแม่ ลูกชายฉันเขาต้องทำตามทุกอย่างที่ฉันบอก”ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกร้านเหลือจะทน
แพรวพรรณสะบัดหน้าหนีด้วยความโกรธสุดชีวิต ถ้าหากหญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของชายที่รักแล้วละก็ เธอจะกระโดดตบให้สลบไปต่อหน้าต่อเสียในตอนนั้น
................................................................................................................................
ข้าวของในบ้าน ตกระเกะระกะอยู่ตามพื้น แพรวพรรณยังไม่หยุดที่จะมองหาสิ่งของใกล้ตัวที่สามารถขว้างปาได้อีก สลับกับเสียงร้องกรี๊ดๆๆๆ จนคนรับใช้ในบ้านไม่กล้าจะเข้ามาเก็บกวาดสิ่งของที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่นั้น
“พวกแกออกไปเดี๋ยวนี้ จะมองหาอะไร”
หล่อนตวาดกร้าวเมื่อเห็นหญิงรับใช้แอบมองมาจากด้านหลังบ้าน หล่อนกระทืบเท้าลงกับพื้น แล้วเดินอย่างลงน้ำหนักก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้หญิงรับใช้ยืนมองตามด้วยความระอาใจ
“อีแก่หนังเหนียว จะตายลงโลงอยู่แล้วยังมาทำเก่งอีก มันน่าจะเป็นอัมพาตให้นอนตายคาเตียงไปเลย คำก็รันสองคำก็รัน มันมีอะไรดีนักหนา ฉันเกลียดแกนังรัน ถ้าแกอยู่ที่นี่ฉันจะบีบคอแกให้ตายคามือฉันเลย” หล่อนยังก่นด่าไม่หยุด
วินาทีนั้นเอง...
รันชรีก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้า ปากก็พูดจาด้วยเสียงเว้าวอน
“แพรวเธออย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวเธอแล้ว”
แพรวพรรณตาค้างกับภาพที่ปรากฏ
จู่ๆ รันชรีเข้ามาในบ้านและในห้องตนเองได้อย่างไร ?
หญิงสาวผู้มาเยือนยังคงยืนนิ่งที่หน้าประตูห้องด้วยรอยยิ้มที่มุมปากสายตาที่อ้อนวอนเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นสายตาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แพรวพรรณยอมรับว่าเธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มและแววตาเช่นนี้จากรันชรีมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกและเป็นเหตุการณ์ที่เธอเองตกใจอย่างที่สุด
“เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่วายสงสัย
“ฉันไปได้ทุกที่ที่ฉันอยากไป และทำได้ทุกอย่างที่ฉันอยากทำ ว่าไงแพรวเธออยากจะบีบคอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว มาสิ มาบีบคอให้ฉันตายอย่างที่เธออยากทำ”
ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอของรันชรี
“แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวยอมรับว่าในขณะนี้ความกลัวมันแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางกาย
“ถ้าเธอไม่ทำ ฉันทำเองก็ได้” รันชรีลากเสียงเยือกเย็น
หญิงผู้มาเยือนใช้มือทั้งสองข้างบีบที่ลำคอของตนเอง แต่ผู้ที่รู้สึกแน่นที่ลำคอกลับเป็นแพรวพรรณ ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งทวีจังหวะความแรงและความเร็ว ลมหายใจที่เคยสูดเข้าอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นติดๆ ขัดๆ เหมือนมีอะไรมาอุดรูจมูกไว้ หญิงสาวทรุดตัวลงที่กลางห้อง เรี่ยวแรงที่เคยมีบัดนี้มันหดหายไปแห่งหนใดกันแล้วหนอ แพรวพรรณอยากจะเปิดประตูออกไปจากห้อง แต่ทว่าแม้แต่แขนขาในขณะนี้มันไม่สามารถที่จะเขยื้อนได้สักนิด
“นี่เรากำลังเจอกับอะไรอยู่?”
“ทำไม...รันชรี...ถึงทำ...อะไรอย่างนี้...ได้?”
“หรือว่าหล่อนจะตายไปแล้วจริงๆ?”
“อย่า...ทำ...อะ...ไร...ฉัน...เลย” แพรวพรรณพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากเย็น
ชั่วอึดใจเดียวกันนั้นรันชรีก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางคลายมือออกจากคอของตนเอง แพรวพรรณเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ หล่อนนอนแผ่หรา กระเสือกกระสนสูดอากาศที่เป็นเสมือนหนึ่งยาวิเศษเข้าไปเหมือนจะมีใครมาแย่งยาวิเศษนั้นไป หล่อนสูดลมหายใจอย่างหื่นกระหาย เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนจนเต็มแล้ว หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้อง แต่ทว่ากลับไม่มีใคร
รันชรีหายไปแล้ว
แล้วสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอนั้นจะอธิบายได้อย่างไร
หล่อนกรีดร้องเสียงหลง หญิงรับใช้ทุบประตูห้องเสียงรัวเมื่อตั้งสติได้แพรวพรรณกดโทรศัพท์ไปหาอานนท์และเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
เข็มนาฬิกาผ่านไปไม่นานรถเก๋งคันงามของอานนท์จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้าน เมื่อไปถึงเขาเห็นเพื่อนสาวยืนอยู่หน้าบ้านแต่ไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาได้แต่ร้องเรียกแต่ทว่าหญิงสาวกลับยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน แต่เมื่อเข้าไปใกล้เกือบจวนประชิดตัวแพรวพรรณที่เขาพบเห็นอยู่นั้นก็กลับกลายเป็นรันชรีที่มีแต่เลือดอาบทั่วร่าง
“พวกแกต้องชดใช้สิ่งที่พวกแกทำกับฉันไว้” เสียงนั้นกังวานเยือกเย็น
อานนท์ถึงกับผงะและเสียหลักล้มลง รัชรีเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ ซีดลงๆ ดวงตาที่แข็งกร้าวนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างจดจ่อ
“จะหนีฉันทำไม ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ฉันทำอะไรแกไม่ได้หรอก” ว่าแล้วรันชรีก็ยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดชายหนุ่ม น้ำสีแดงไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาว เธอยิ้มให้กับชายหนุ่มอีกครั้ง
อานนท์ร้องเสียงหลง จนแพรวพรรณที่อยู่ในตัวบ้านได้ยินจึงรีบวิ่งออกมาดู ก็พบเพื่อนนั่งตาเบิกโพลงอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นเพื่อพาร่างกายขยับเหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง
หญิงสาวเข้าไปสัมผัสตัวอานนท์ แต่เขากลับผลักเธอออกสุดแรง จนเธอเซถลา
“ออกไป แกจะทำอะไรฉัน” อานนท์ยังถอยหลังต่อไป พร้อมกับตะเบ็งเสียงใส่หน้าแพรวพรรณ
“นนท์...นี่ฉันเองแกเป็นอะไรไป” หญิงสาวถามด้วยอาการตระหนก
แต่บัดนี้ภาพของแพรวพรรณกลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี ที่ขาวซีด เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเข้าปะทะกับประสาทสัมผัส
ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ลุกขึ้น และผลักหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าจนล้มลง แล้ววิ่งออกไปนอกบ้านอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งออกมาแต่ก็ต้องสติแตกเมื่อพบร่างของรันชรียืนดักอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มร้องอย่างหวาดผวาได้แต่หันหลังวิ่งกลับไปทางบ้านของแพรวพรรณอีกครั้งหนึ่ง
ด้านแพรวพรรณเมื่อเห็นอานนท์วิ่งออกจากบ้านเช่นนั้น จึงรีบสตาร์ทรถและขับตามมากลางทาง เมื่ออานนท์เห็นว่าเป็นรถของตนเอง และแพรวพรรณเป็นผู้ขับ เขารีบโบกไม้โบกมือให้เมื่อรถจอดเขาก็รีบกระโจนขึ้นรถทันที
ทันทีที่อานนท์ปิดประตูรถ แพรวพรรณเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดไมล์ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะขับไปที่ใด รู้แต่เพียงว่าต้องออกไปจากสถานที่มืดๆ ให้เร่งด่วน
“แกวิ่งหนีอะไรนนท์” หญิงสาวเอ่ยก่อน
“แพรว ฉันเห็นรันอยู่ที่บ้านแก ตัวมีแต่เลือด พอฉันวิ่งหนีออกมารันก็มาดักหน้าฉันไว้ จนฉันต้องวิ่งกลับไปทางบ้านแก แล้วแกก็ขับรถมาเจอฉันนี่แหละ ฉันว่ารันต้องตายไปแล้วแน่นอน” อานนท์บอกด้วยเสียงสั่นเครือ
แพรวพรรณสนับสนุนความคิดนั้นของอานนท์ เพราะเธอเองก็เจอเหตุการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับรันชรีมาถึงสองครั้งสองครา
“ที่แกเจอมันยังน้อยไป ฉันเกือบจะตายเพราะนังนี่” แพรวพรรณเล่าเรื่องที่ตนประสพมาทั้งหมดให้อานนท์ฟังซ้ำอีกครั้ง
“หรือว่านังรันมันตายไปแล้ว” คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หญิงสาวตัดสินใจหักหัวรถเลี้ยวเข้าประตูวัดที่อยู่ระหว่างทาง แต่ทั้งสองจะรู้หรือไม่ว่าบนหลังคารถที่ตนกำลังโดยสารอยู่นั้นมีรันชรีนั่งติดตามไปด้วย
อานนท์ละล่ำละลักตะโกนเรียกพระในวัดจนแตกตื่น พอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระฟัง เจ้าอาวาสจึงประพรมน้ำมนต์ และให้สายสิญจน์ไว้คล้องคอ เพื่อเรียกสติของคนทั้งสองกลับมา แล้วจัดแจงให้ทั้งสองนอนกับเด็กวัดส่วนผู้ทรงศีลก็แยกย้ายกันไปที่กุฏิของตน
“พวกแกคิดเหรอว่าอยู่ในวัดแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้” วิญญาณยังคงติดตามไม่ลดละ
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อโหสิ ให้กับโยมทั้งสองเสียเถิด” พระชราบอกกับวิญญาณหญิงสาวที่ยืนประจันหน้าอยู่นั้น
“ท่านไม่ต้องมายุ่ง พวกมันสองคนทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมาน มันทั้งสองต้องได้รับกรรมที่มันได้ก่อไว้” วิญญาณหญิงสาวตอบกลับ
“ท่านหลีกไปเสียเถอะ....”
“โยมทุกข์เพราะจิตใจของโยมเอง อย่าไปโทษคนอื่นเลย ใครทำกรรมอย่างไรไว้ สักวันหนึ่งก็ต้องได้รับผลกรรมนั้น โยมควรจะกลับไปอยู่ในที่ของโยมเสีย เลิกอาฆาต เลิกจองเวร เผื่อกรรมของโยมเองก็จะได้เบาบางลงบ้าง” ผู้ทรงศีลกล่าวด้วยอาการสงบนิ่ง
แต่ทว่าพระชรารูปนั้นสัมผัสได้อย่างรุนแรงถึงแรงอาฆาตของรันชรีนั้นว่ามากมาย จนไม่สามารถจะดึงรั้งกลับมาได้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้ เผื่อสักวันหนึ่งแรงอาฆาตนั้นจะเบาบางลง
แต่จากการนั่งสมาธิดูแล้ว รันชรีคือเจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งสอง มันยากที่จะบรรเทาผลกรรมที่คนทั้งคู่จะได้รับ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ไม่สามารถป้องกันคนทั้งคู่จากเจ้ากรรมนายเวรนี้ไปได้
ตอนที่ 14
หนึ่งสัปดาห์แห่งการทำงานในเมืองนี้ ผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เนื้องานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ทางทีมงานวางไว้ ทุกคนร่วมมือกันเป็นทีมเวิร์คอย่างเข้มแข็ง หากตัดเรื่องรันชรีออก กิตติคือหัวหน้างานที่น่าเอาแบบอย่างที่สุด เขาทำงานเก่ง วางแผนการตลาดได้อย่างแยบยล การพูดจาปลุกระดมกลุ่มและโน้มนาวจิตใจถือว่ายอดเยี่ยม คงมีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ชโลธรต้องสะดุดในความคิดคือเรื่องของรันชรี
ชายคนนี้เลวร้ายมากสำหรับเรื่องความรัก...
เลวอย่างไม่น่าให้อภัย...
ใกล้เวลาเลิกงานเต็มที แต่พนักงานทุกคนกลับไม่มีใครเตรียมตัวจะกลับแต่อย่างใด คงเป็นเพราะเม็ดฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอกที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ แล้วเริ่มโปรยปรายเอาตอนใกล้จะเลิกงาน ทำเอาพนักงานหลายต่อหลายคนถึงกับบ่นอุบเพราะไม่มีใครกลับบ้านได้สักคน รวมทั้งชโลธรและชมพูนุช ทั้งสองสาวนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีตามประสาผู้หญิง
“พี่น้ำ คุณกิตตินี่เขามีครอบครัวหรือยังค่ะ” ชโลธรยิงคำถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชี
“เท่าที่รู้ก็เคยมีนะคะ แต่ภรรยาแกเสียไปตั้งนานแล้วค่ะ แต่เท่าที่รู้มาอีกนั่นแหละค่ะ แกเจ้าชู้น่าดู แหมคิดอะไรกับหัวหน้าหรือเปล่าน้องแหม่ม”ชโลธรรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
“พี่น้ำเป็นคนเมืองนี้หรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องในการสนทนา
“โดยกำเนิดเลยละคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้จักคนเยอะสิคะ”
“ก็พอรู้ค่ะ”
รู้จักร้านอาหารชื่อโชติรสไหมค่ะ
“อ๋อรู้จักค่ะ ร้านดังของเมืองเลยล่ะ ว่าแต่น้องแหม่มอยากไปทานที่ร้านนั้นเหรอ นึกว่าหัวหน้าพาไปเลี้ยงต้อนรับแล้วซะอีก”
“แล้วรู้จักเจ้าของร้านหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวยังคงถามต่อไป
“รู้ค่ะ เขาเป็นคนที่นี่ใครๆ ก็รู้จัก ตอนนี้ป่วยเดินไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมือมาให้ลูกชายทำต่อ”
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีก็เล่าเรื่องราวความเป็นมาของร้านให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่ชโลธรรับรู้มาก่อนแล้ว แต่นี่ถือเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่เธอฝันนั้น เป็นความจริงที่โดยที่เธอไม่ได้คิดไปเองหรือแต่งเรื่องขึ้นมา
ชโลธรมองหน้าชมพูนุชเหมือนจะนัดแนะอะไรบางอย่างพอดีกับกิตติเดินออกมาจากห้อง
“แหม! หัวหน้านึกว่าพาสาวๆ จากกรุงเทพฯ ไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านดังแล้วซะอีก” น้ำแซวผู้เป็นหัวหน้างาน
กิตติส่งยิ้มให้กับกลุ่มพนักงานที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่นี้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่น้ำ คุณกิตติเขาอาจจะไม่อยากไปที่ร้านนั่นอีกก็ได้ จริงหรือเปล่าค่ะหัวหน้า” ชโลธรเอ่ยถามด้วยสายตาที่สบประมาท
ไม่มีคำพูดใดๆ จากกิตติ
“แน่ละสิ ทำอะไรกับใครไว้ แล้วไม่กล้าสู้หน้าเขา คนทำผิดแล้วรู้จักขอโทษยังน่าให้อภัย แต่คนที่ทำผิดแล้วไม่ขอโทษนี่สิแย่ยิ่งกว่า ว่าไหมคะพี่น้ำ” ชโลธรรัวออกมาเป็นชุด ทำให้คู่สนทนางุนงงกับคำถาม เพราะไม่รู้เรื่องที่หญิงสาวพูดมา ตรงข้ามกับกิตติที่ขณะนี้รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาที่ใบหน้า
“พี่น้ำไปด้วยกันไหมคะ พรุ่งนี้วันหยุดคืนนี้ก็ฟรีสไตล์ได้” ชโลธรเอ่ยชวน
“หัวหน้าละคะ ไปด้วยกันไหมคะ” น้ำชวนอีกต่อหนึ่ง
“กล้าหรือเปล่าคะ หัวหน้า” ชโลธรพูดพร้อมและสบตากับอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ ที่มุมปาก
“ชโลธร คุณหมายความว่าอย่างไร กล้าหรือเปล่า แค่การไปทานอาหารทำไมผมจะไม่กล้า ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว”
ทั้งๆ ที่ตอบไปอย่างมั่นใจ แต่ภายในใจนั้นกิตติรู้สึกประหม่า เพราะคำสัญญาที่เคยไว้ให้แพรวพรรณและอานนท์ว่าจะไม่กลับมาที่เมืองนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านนี้ คือจุดเริ่มต้นการทำความผิดครั้งใหญ่ของเขาที่มีต่อผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ที่วันนี้เขาไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า เขารักเธอ เมื่อถูกพูดจากระแทกแดกดันจากผู้ใต้บังคับบัญชามันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากจะเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้น เพราะอยากรู้ว่ารันชรีจะยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
“ไม่ตอบแสดงว่าตกลงนะคะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีสำทับมาอีกรอบ
...............................................................................................................................
อากาศชื้นหลังม่านฝน กลิ่นไอของดินยังติดอยู่ที่ปลายจมูก กิตติหยุดยืนมองด้านหน้าของร้านอาหารแห่งนี้ ราวกับจะเห็นรันชรียืนยิ้มทักทายให้หน้าร้าน ภาพเก่าๆ ของวันวานกำลังผุดขึ้นมา กังวานของเปียโนในบทเพลงที่คุ้นหู เธอจะยังอยู่ที่นี่หรือไม่ เหตุการณ์หลังจากวันนั้นจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง
แต่เขากลับไม่คิดว่ารันชรีจะยังอยู่ที่ร้านนี้
คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับแพรวพรรณและอานนท์หลังจากที่คนทั้งสองคืนสัญญากู้ยืมฉบับนั้นให้เขาแล้วมันยังก้องอยู่ในความรู้สึก เขายอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ย้อนกลับมายังเมืองนี้อีกครั้งหนึ่ง จะเป็นเช่นไรหากเขาพบกับคนทั้งสอง และจะเป็นเช่นไรหากเขาเจอกับโชค ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของรันชรี แต่อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดขึ้น ในเมื่อวันนี้เขายอมรับโดยดีว่าเขารักรันชรี และการกลับมาครั้งนี้คือการกลับมารับโทษ โดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าผู้ที่จะตัดสินโทษของเขาอยู่แห่งหนใด
บริกรหนุ่มหน้าตาคุ้นเคย กล่าวคำสวัสดีพร้อมกับยกมือไหว้ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยถามถึงรันชรี บริกรอีกคนสะกิดแขนเอาไว้ แล้วเดินหายเข้าไปในร้าน เขาไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ จึงรีบเดินเข้าไปในร้านเพื่อตามไปสมทบกับพนักงานที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน
ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อภาพภายในร้านเป็นเหมือนหนังจอใหญ่ที่กำลังวนกลับไปเล่นซ้ำในฉากก่อนๆ ที่มีเขาและรันชรีเป็นนักแสดง แต่แล้วก็มีเสียงๆ หนึ่งกระชากเขาออกจากภวังค์
“คุณกิตติ คุณกลับมาที่นี่อีกทำไม คุณผิดสัญญากับแพรว”หญิงสาวกระแทกเสียงถาม และจ้องมองเขาเหมือนจะให้แตกสลายไปในอากาศ
“ผมเลี่ยงไม่ได้ ผมต้องทำงาน”
“มันเป็นข้ออ้างมากกว่า คุณต้องการอะไร”
“แล้วแต่จะคิด ผมมาทำงานจริงๆ”
“ดีนะที่โชคไม่อยู่ คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม งานคุณจะเสร็จเมื่อไร”
“ผมต้องอยู่ที่นี่ไปจนกว่าห้างสรรพสินค้าใหม่จะเปิด”
“คุณบ้าไปแล้วคุณกิตติ แล้วสัญญาที่คุณให้กับแพรวละ”
“ผมจะไม่พูดอะไรที่พาดพิงมาถึงคุณแน่ ผมรับรองได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ๆ โชคก็เดินเข้ามาในร้านอย่างกระหืดกระหอบ ซึ่งเขาต้องชะงักทันทีเมื่อพบกิตติยืนคุยกับแพรวพรรณอยู่ในร้าน
“เขาไม่ได้อยู่กับรันชรีหรอกหรือ? ” คำถามที่ดังอยู่แค่ในใจ
“แล้วตอนนี้รันอยู่กับใคร? ” คำถามต่อมา
“สวัสดีครับ”
กิตติเอ่ยทักทายทั้งที่ใจตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ทางด้านแพรวพรรณขณะนี้เหมือนมีก้อนหินแข็งๆ มาอุดหลอดลมไว้ ได้แต่มองโชคทีกิตติที แต่ด้วยความรีบเพราะลืมเอกสารทำให้โชคไม่สามารถที่จะมีเวลาพูดคุยกับกิตติแม้ใจอยากจะคุยมากก็ตาม
ชโลธรสอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นหัวหน้างาน ที่จริงๆ แล้วเขาต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสมาชิกทุกคน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“หรือเขาจะไม่กล้ามา เราน่าจะให้ใครคนใดคนหนึ่งนั่งรถมากับเขา เขาอาจจะหนีกลับกลางทางก็ได้”
แต่เมื่อมองไปด้านหน้าร้าน หญิงสาวก็พบว่ากิตติยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงใบหน้าสวยคนนั้น แน่ชัดว่าคือแพรวพรรณโดยไม่ต้องไถ่ถามผู้ใด เพราะเธอคุ้นหน้ามาแล้วจากความฝัน
“พวกเขาคุยอะไรกัน ต้องเป็นเรื่องคุณรันแน่ๆ”
ชโลธรชำเลืองตาดูผู้เป็นหัวหน้ายืนคุยกับแพรวพรรณ ก็นึกฉุนขึ้นมา เธอรีบลุกจากโต๊ะและตรงดิ่งไปยังชายหญิงทั้งสองคนนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยกับคนทั้งคู่ คงมีแต่แพรวพรรณเท่านั้นที่มองหญิงสาวด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดลูกค้าท่านนี้จึงได้มายืนจ้องหน้าเธออยู่เช่นนั้น
“มีอะไรต้องปิดบังหรือคะ ถึงไม่ยอมไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน” หญิงสาวส่งเสียงทักทายขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่
“ผมมาสั่งอาหาร คุณมีอะไรหรือเปล่าครับคุณชโลธร” กิตติตอบกลับ
ทางด้านแพรวพรรณละสายตาจากกิตติแล้วเปลี่ยนไปจับจ้องที่หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าแทน ด้วยประโยคคำถามเมื่อสักครู่ทำให้แพรวพรรณขมึงตาใส่ลูกค้าคนนี้แทบจะกลืนกิน
“นางมารร้าย ฉันขอมองหน้าแกชัดๆ สักทีเถอะ” ว่าแล้วชโลธรก็จ้องหน้าแพรวพรรณ พร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ในรอยยิ้มนั้น มันแฝงอะไรมากมายไว้เบื้องลึก มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้
กิตติถือโอกาสแนะนำชโลธรให้แพรวพรรณรู้จัก แต่ทว่าแววตาที่หญิงสาวมองแพรวพรรณนั้นทำให้ทั้งกิตติและแพรวพรรณต่างก็สงสัยว่าเหตุใดหญิงผู้นี้จึงมองหล่อนเช่นนั้น มันเป็นสายตาแห่งความอาฆาต ราวกับคนที่โกรธแค้นกันมาก่อน ทั้งๆ ที่ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แต่สำหรับชโลธรแล้ว เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้มาสักพักใหญ่ๆ และรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างแพรวพรรณและรันชรี ยิ่งพบหน้าและได้พูดคุย เธอยิ่งทวีความเกลียดชังในตัวผู้หญิงคนนี้ คงเหลือเพียงแต่โชคและอานนท์เท่านั้น ที่ชโลธรกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วร้าน แต่ก็ยังไม่พบ
“เธอไม่ต้องกลัวฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ”
บัดนี้วิญญาณของหญิงสาวกำลังยืนยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่หน้าร้าน
กิตติบอกแพรวพรรณว่าตนต้องการนำเงินมาคืนรันชรี แต่แพรวพรรณกลับบอกว่าทุกอย่างจบไปแล้ว และให้เขาเลิกคิดเรื่องคืนเงินเสีย
“มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณอยากจะเจอมันนักก็ไปตามมันที่บ้านมันโน่น”
พลันนั้นความคิดหนึ่งก็บังเกิด
...ใช่แล้ว ก่อนที่มารหัวใจจะกลับมาที่นี่ เธอควรจะให้กิตติไปหารันชรีที่บ้านและห้ามไม่ให้รันชรีกลับมาที่นี่อีก หากรันชรียังรักกิตติอยู่ หล่อนจะต้องทำตามที่กิตติบอกอย่างแน่นอน
“ใช่ คุณไปตามรันชรีที่บ้านสิ ฉันเชื่อว่านังนั่นคงจะรอคุณอยู่”
ตอนที่ 13
แพรวพรรณเล่าเรื่องที่เธอพบรันชรีในร้านอาหารให้อานนท์ฟัง ซึ่งอานนท์พูดเหมือนโชคว่าคงเป็นเงาคนในร้าน ผสมกับแสงของฟ้าที่แลบ ทำให้แพรวตาฝาดเห็นเป็นคนขึ้นมา อานนท์ได้แต่บอกว่าให้แพรวพรรณอย่าคิดมากเรื่องรันชรี ป่านนี้คงได้งานใหม่ทำที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว ห่วงแต่เรื่องโชคเถอะ ให้แพรวรีบๆ ทำคะแนนให้โชครักแพรวให้ได้ ส่วนนนท์ก็มุ่งอยู่ที่เป้าเดิมคือการเปิดสาขาใหม่
เมื่ออานนท์พูดเช่นนี้ แพรวพรรณได้แต่ขบฟันแน่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน นับว่าเธอเสียคะแนนไปไม่น้อย เพราะในเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จู่ๆ โชคก็ผละออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บใจ แต่ทว่าเธอเองกลับไม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เป็นเพื่อนฟัง
วันนี้เธอจะพูดอะไรกับชายหนุ่ม เมื่อเจอหน้าเขา...
ยิ่งคิดก็เสียดายโอกาส...ที่หลุดลอยไป
........................................................................................................................
โชคนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เขาจ้องมองหน้าตัวเอง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทำอะไรไปไม่คิด” เขาบอกกับเงาตัวเองในกระจก
ภาพเหตุการณ์ในสนามแห่งกลกามที่เขาเคลิ้มไปกับแพรวพรรณยังตามหลอกหลอนเขานับตั้งแต่ตื่นนอน
วันนี้หากพบแพรวพรรณ เขาจะทำตัวเช่นไร?
ความละอายที่มีต่อหญิงสาว ทำให้เขาคิดไม่ตกว่าจะมองหน้าหล่อนได้เต็มตาเหมือนเดิมหรือไม่
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกถอนออกมาอีกครั้ง...
ชายหนุ่มนึกย้อนเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงเรื่องแพรวพรรณเห็นรันชรีที่ร้านอาหาร น่าจะร่วมปีแล้วที่หญิงผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ได้ห่างหายไปจากชีวิตของเขา
รันชรีจะกลับไปที่บ้านหรือเปล่า…?
หรือเธอจะไปหาผู้ชายคนนั้น...?
ความโกรธในใจถูกกวนขึ้นมาจากก้นบึ้งอีกระลอก ที่เพื่อนรักอย่างรันชรีทำสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นกับเขาได้ลง รันชรีคนที่เคยรักเพื่อนมากกลับเห็นคนอื่นดีกว่า และยอมทำสิ่งที่ไม่ดีเพียงเพราะผู้ชายแค่คนเดียวเท่านั้น
โชคขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เขายกหูโทรศัพท์หาผู้เป็นมารดา เพื่อจะไปรับท่านออกจากโรงพยาบาล แต่เมื่อเขาลงมาชั้นล่าง ก็ต้องตกใจเพราะแพรวพรรณมาหาที่บ้านแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวจะไปรับผู้เป็นมารดาด้วยกัน
“จะกลับก็ไม่บอก โชคยังเห็นแพรวเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” หญิงสาวกล่าวในเชิงตัดพ้อ
“ขอโทษทีแพรว เราต้องรีบไปรับแม่ ก็เลยไม่อยากปลุก” ชายหนุ่มว่า
“แพรวไปรับคุณป้าด้วยคนนะ เดี๋ยวขับรถให้ก็ได้” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
“เราไปตั้งสองวัน แพรวอยู่ที่ร้านจะดีกว่าไหม ไปกันทั้งสองคนไม่มีใครอยู่ร้าน นนท์ก็ไม่อยู่” เขาหาทางหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับหญิงสาวเพียงลำพัง
แพรวพรรณรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เพราะเธอคาดหวังไว้ว่าเธอหากเธอเข้าทางผู้ใหญ่ มันจะเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีที่เธอพลาดไปเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากเช่นนี้ เธอเองก็ต้องยอมแม้ใจจะปฏิเสธก็ตามแต่
………………………………………………………………………………………………………………
ภายในรถแวก้อนแบบครอบครัวนั้น หญิงสูงวัยนั่งอยู่ทางเบาะกว้างด้านหลัง ด้านหน้าเป็นชายหนุ่มผู้ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันกับนางทำหน้าที่ขับรถ ข้างๆ ชายหนุ่มนั้นเป็นชายสูงวัยที่หน้าตาก็ละม้ายกับชายหนุ่มเช่นกัน
“รันอยู่ร้านเหรอลูก ทำไมไม่มารับแม่ด้วยกัน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรชาย
“นั่นสินะโชค ก่อนที่พ่อจะไปเฝ้าแม่แกที่โรงพยาบาล ก็ไม่ค่อยได้เจอหนูรันเหมือนกัน ที่ร้านยุ่งมากหรือ” ผู้เป็นบิดาส่งคำถามต่อ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากบุตรชาย
“อ้าวว่าไงโชค แม่ถามว่ารันอยู่ไหน โทรหาหน่อย มากินข้าวด้วยกัน แล้วนี่รันรู้หรือเปล่าว่าแม่จะกลับถึงบ้านวันนี้”
“รันเขาไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบผู้เป็นบุพการีด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันเกิดอะไรขึ้นโชค”
ผู้เป็นมารดาเพิ่มระดับความเข้มของน้ำเสียง เมื่อรู้ว่าเด็กสาวที่ตนรักเหมือนลูกไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้แล้ว และน้ำเสียงที่ราบเรียบของบุตรชายที่ประหนึ่งว่าไม่ยินดียินร้ายกับการอยู่หรือการไปของเพื่อนของตนเอง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมว่าแม่อย่าเพิ่งคิดถึงคนอื่นเลย ผมเป็นลูกของแม่ อยู่ตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว รันเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา เขาเลือกอะไรเราไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเขาได้หรอกครับแม่”บุตรชายตอบมารดาด้วยอารมณ์ที่กำลังถูกกวนให้ขุ่น
มารดาได้ฟังคำตอบจากบุตรชายแล้วรู้สึก ใจคอหายอย่างไรชอบกล เพราะนางเองรักและเอ็นดูรันชรีประหนึ่งเป็นบุตรสาวของตนเอง จะด้วยเพราะนางเองไม่มีบุตรสาว หรือเพราะรันชรีต้องสูญเสียมารดาไปก็ตาม แต่ในใจลึกๆ แล้วนางอยากได้รันชรีมาเป็นลูกสะใภ้อยู่เป็นทุน ตั้งแต่โชคแนะนำให้นางรู้จักเมื่อเด็กทั้งคู่ยังเรียนหนังสืออยู่ นางรู้ดีว่าหากบุตรชายไม่มีความรู้สึกพิเศษกับเพื่อนคนนี้คงไม่กล้าพามาที่บ้านอย่างแน่นอน
นางเคยเอ่ยอ้อมๆ กับเด็กทั้งสองคน แต่คำตอบก็คือทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อกำลังวังชาที่จะทำงานมันมีไม่เต็มที่เหมือนก่อน นางจึงเอ่ยปากให้ลูกชายชวนเพื่อนคนนี้มาทำงานด้วยกันที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่นางคาดหวัง รันชรีมาทำงานที่นี่ นางรู้สึกอบอุ่นใจและวางใจในเรื่องธุรกิจที่มีลูกชายคนเดียวของนางและลูกสาวอย่างรันชรีมาช่วยกันดูแล
จะว่าไปตลอดชีวิตของนางนั้นรอบข้างมีแต่ผู้ชาย นับตั้งแต่พี่น้องมาจนถึงลูกชาย และในครอบครัวก็มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง เมื่อรันชรีเข้ามานอกจากจะทำให้นางพึงพอใจแล้ว ก็ทำให้นางคลายเหงาได้ แต่เพราะนางหกล้ม ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน จนต้องเป็นอัมพฤกษ์นางจึงเข้ารักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอกับรันชรี ก็เห็นจะเป็นตอนที่หญิงสาวไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลในจังหวัด ก่อนที่นางจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จนเดินเหินได้ปกติ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ร่วมปีแล้ว มันจึงไม่แปลกที่นางจะถามถึงรันชรีลูกสาวอีกคนที่นางรัก
ประตูรั้วใหญ่ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวที่ผู้เป็นมารดาคุ้นหน้าคุ้นตาหากแต่ไม่ใช่รันชรี
แพรวพรรณ นั่นเอง ที่ตอนนี้กำลังกุลีกุจอเปิดประตูหน้าบ้านออกเพื่อให้รถคันงามของบุตรชายของนางเข้าไปยังลานจอดรถ หญิงสาวผู้คุ้นหน้านั้นเดินมาเปิดประตูรถฝั่งที่นางกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือไหว้และยื่นมือมาให้นางจับหมายจะพยุงนางเดินเข้าไปภายในบ้าน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อนและพฤติกรรมของแพรวพรรณที่ปฏิบัติต่อมารดา ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนในวัยเยาว์คนนี้กำลังจะเข้าหาทางผู้ใหญ่ เพราะเขารู้นิสัยของแพรวพรรณดีว่าหากเธอต้องการอะไรแล้ว ต้องได้ และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้สิ่งนั้นมา
“สวัสดีค่ะคุณป้า แพรวมีผลไม้มาเยี่ยมคุณป้าด้วยค่ะ” แพรวพรรณหยิบตะกร้าผลไม้จำนวนหนึ่งวางไว้บนโต๊ะรับแขก
ผู้เป็นมารดากล่าวขอบคุณตามมารยาท แต่ก็ยังไม่วายสงสัยว่ารันชรีหายไปไหนแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นแพรวพรรณแทนที่จะเป็นรันชรี นางสังเกตดูพฤติกรรมต่างๆ ของแพรวพรรณก็พอจะเดาออกว่าหญิงสาวผู้นี้หวังอะไรจากลูกชายของตน ซึ่งนางจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด เพราะนางรู้ถึงที่มาที่ไปของคนในครอบครัวนี้ดีว่าเป็นเช่นไร รวมไปถึงนิสัยใจคอของแพรวพรรณที่นางรู้จักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
นางเริ่มสร้างกำแพงบางๆ กั้นระหว่างตนเองกับหญิงสาว พลางมองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นห่วงถึงการเข้ามาของแพรวพรรณ
แต่ถ้าหากนางได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อสองคืนก่อน นางเองอาจจะกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้งก็เป็นได้
“เดี๋ยวแพรวพาคุณป้าขึ้นข้างบนนะคะ” หญิงสาวพยุงร่างหญิงสูงวัยที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ขอบใจจ้ะ หนูแพรว ไม่เป็นไร ป้าเดินเองได้” ผู้เป็นมารดาตัดบทไป ทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
ภายในห้องนอนที่นางคุ้นเคย นางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรดริมหน้าต่าง เสียงใบไม้กระทบกับสายลมยามบ่ายเช่นนี้ กับเคหาสน์สถานที่ห่างไปเสียแรมปี วันนี้นางกลับมาแล้ว ความรู้สึกสุขใจบังเกิดขึ้นแต่จะให้มันสมบูรณ์มากที่สุด รันชรีน่าจะอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งไม่ใช่แพรวพรรณที่เธอปล่อยให้สนทนากับบุตรชายอยู่ชั้นล่าง
นางมองหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า แล้วกดไปยังหมายเลขของรันชรี
“รันหรือลูก หนูอยู่ไหน”
“รันอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ค่ะ รันขอโทษนะคะ ที่ทำอะไรโดยไม่บอกแม่ก่อน”
“มีอะไรกัน เล่าให้แม่ฟังได้ไหม แล้วนี่รันจะกลับมาเมื่อไร”
“เร็วๆ นี้ค่ะแม่ แล้วรันจะกลับไปเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังนะคะ”
ตู๊ด........................
สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป
ผู้เป็นมารดาพยายามกดหมายเลขโทรศัพท์ไปอีกครั้ง แต่ทว่ากลับติดต่อไม่ได้ นางได้แต่คิดไว้ว่าเมื่อรันชรีกลับมา คงจะรู้เรื่องทุกอย่าง
เป็นเวลาเดียวกับที่วิญญาณของรันชรียืนอยู่ข้างๆ หญิงสูงวัยและก้มกราบลงที่ปลายเท้าพร้อมทั้งกล่าวคำว่าขอโทษ น้ำตาหยดเล็กๆ ร่วงเผลาะลงที่หลังเท้าของผู้เป็นแม่แต่นางหารู้สึกใดไม่ แต่เมื่อวิญญาณนั้นเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาสีใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเลือดหยดออกมาจากตาทั้งสองข้าง
ผู้เป็นมารดาต่อว่าต่อขานบุตรชาย เรื่องที่ไม่ได้ติดต่อกับรันชรี ทำให้ไม่ทราบว่าขณะนี้เพื่อนตนเองอยู่ที่ไหน นางจึงบอกบุตรชายว่าอีกไม่นานรันชรีจะกลับมา เพราะนางเพิ่งคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายบุตรชายจะทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เขาเองกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่ารันชรีอยู่ที่ไหน แต่การที่หญิงสาวกล่าวกับมารดาตนว่าอีกไม่นานจะกลับมาที่นี่ ความขุ่นหมองกับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมันได้ทะลักล้นออกมาจากใจอีกคราหนึ่ง
เมื่อผู้เป็นมารดาเดินผละออกไป แพรวพรรณที่ยืนฟังและดูเหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเข้ามาประกบชายหนุ่มในบัดดล
“ขอโทษนะโชค แพรวไม่ได้แอบฟัง แต่เผอิญได้ยิน โชคต้องเล่าเรื่องที่นังรันมันขโมยเงินไปให้ผู้ชายให้คุณป้าฟังนะ” แพรวพรรณรีบบอกชายหนุ่ม
“แม่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มันไม่ดี และที่สำคัญมันก็ผ่านไปแล้วด้วย”
“ใครขโมยเงินใคร”
เสียงราบเรียบของผู้เป็นมารดา หากแต่แฝงไปด้วยอำนาจที่โชคคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
คนทั้งคู่หันไปหาที่มาของเสียง
“ก็นังรันไงค่ะคุณป้า ที่มันหายไปเพราะว่ามันขโมยเงินของร้านไปให้ผู้ชาย โชคก็เลยไล่มันออกจากร้านแล้วยึดหุ้นทั้งหมดของมัน นี่แพรวบอกให้โชคแจ้งความ โชคก็ยังใจดีปล่อยมันไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น”คำพูดพรั่งพรูออกมารวดเร็วจากปากของแพรวพรรณโดยที่ชายหนุ่มห้ามไม่ทัน
แต่ผู้ที่เป็นมารดากลับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย เพราะนางคิดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องราวผิดปกติอย่างแน่นอน
“แล้วรันเขายอมรับเหรอว่าเขาเอาเงินไปให้ผู้ชายจริง”
“ก็มันเป็นคนทำบัญชีแล้วเงินก็หายไป ถ้ามันไม่เอาไปแล้วใครจะเอาไปละคะคุณป้า ถามมาได้”แพรวพรรณตอบตามอารมณ์ของตน
“ป้าถามโชคนะแพรว”นางหันหน้าทางหญิงสาว
ไม่มีคำตอบใดๆ จากผู้เป็นบุตรชาย
“ลูกลองพิจารณาดูนะ ลูกกับรันคบกันมากี่ปี ย่อมรู้จักนิสัยใจคอกันดี ปัญหาทุกอย่างมันมีทางออกคือการพูดคุย การหันหน้ามาพูดคุยกันเท่านั้นจะสามารถทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลายลงไปได้” นางเอ่ยกับบุตรชาย
“แต่แม่...มันจบแล้ว ถ้ารันเขาไม่ได้ทำเขาจะยอมไปจากที่นี่ง่ายๆ เหรอครับ”
“แม่เชื่อว่ารันต้องมีเหตุผล”
“แม่นี่ยังไงกัน ผมเป็นลูกแม่นะ แม่กลับไปเข้าข้างคนอื่น” ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา เมื่อถูกมารดาจี้ถูกจุด
“รันไม่ใช่คนอื่น ลูกลองมองย้อนไปสักนิดนะโชค รันเป็นเด็กที่น่าสงสาร มีแม่เหลือเพียงคนเดียวก็ต้องมาตายจากไป ส่วนพี่สาวและป้านั้นต่างคนก็ต่างมีครอบครัวของตัวเอง แม่ถือว่ารันเก่งทีเดียวที่เลี้ยงตัวเองได้จนสามารถซื้อบ้านซื้อรถได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ต้องพึ่งพาเงินจากใคร และก็เชื่อว่ารันย่อมมีเหตุในการทำอะไรลงไป”
ระหว่างที่พูดนางหันไปมองหน้าแพรวพรรณ ทำให้ผู้ถูกมองสัมผัสได้ถึงกำแพงที่หญิงสูงวัยเบื้องหน้านี้กำลังก่อขึ้นมา
“การที่รันตัดสินใจมาอยู่ที่นี่กับเรา นั่นก็หมายความว่ารันย่อมจะวางใจในตัวลูกและเชื่อว่านี่คือครอบครัว แม่ไม่เคยคิดว่ารันคือคนอื่น ลูกจำได้ไหม เมื่อก่อนเวลาลูกทำอะไรผิด ลูกก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อกับแม่ แต่เมื่อเราได้พูดคุยกัน ทุกอย่างมันก็คลี่คลายได้เอง แม่ถือว่ารันคือคนในครอบครัว ฉะนั้นลูกต้องคุยกับรัน เชื่อแม่ โทรหารันซะแล้วตามรันกลับมานะลูก”
คำพูดของมารดา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหนักอึ้งในหัว เพราะความโกรธและเจ็บใจ เขาลืมคิดไปจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วรันตัวคนเดียว เขาและครอบครัวถือเป็นครอบครัวที่รันมีอยู่ในขณะนี้ แล้วถ้ารันออกไปจากที่นี่แล้วเธอจะเป็นอย่างไร
เท่านั้นความรักความผูกพันธุ์ที่มันตกตะกอนอยู่ในใจก็ถูกเขย่าให้มันล่องลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“โชค อย่าไปตามมันนะ แม่โชคไม่รู้ถึงความร้ายกายของมัน โชคกับแพรวรู้ทุกอย่างว่ามันทำอะไรไว้ คุณป้าอยู่โรงพยาบาลไม่รู้อะไรหรอก”แพรวพรรณกระเถิบเข้ามานั่งจนเนื้อตัวชิดกับชายหนุ่ม พลางพูดด้วยเสียงเล็กแหลม ทำเอาชายหนุ่มถึงกับผงะ
“พอก่อนแพรว เราขออยู่เงียบๆ สักพักนะ”
.......................................................................................................................................