22 กรกฎาคม 2554 15:23 น.
สมภพ แจ่มจันทร์
ฉันมองเห็นเธอเดินเข้าออกในร้านของฉันทุกวัน จากที่ไม่รู้จักจนกลายเป็นลูกค้าประจำ จากลูกค้าประจำ กลายเป็นเพื่อน บางคราฉันอยากจะปลอบประโลมเธอ ยามที่ใบหน้าเธอหม่นเศร้า บางคราฉันอยากจะโอบกอดเธอยามเธอมีน้ำตา แต่วันนี้สิ่งที่ฉันทำได้คือสิ่งนี้ ที่มันกลั่นกรองจากการพบปะและพูดคุยกันชั่วระยะหนึ่ง หวังว่าเธอคงจะรับมันไว้บ้าง ในบางมุมของความรู้สึก
ในห้วงชีวิตของเธอใช่จะมีแต่ความเงียบเหงา ว้าเหว่ และทุกข์ระทม
เธออาจอยู่กับความเป็นจริงนี้มานานแสนนาน
แม้เข็มนาฬิกาจะหมุนเวียนไปรอบแล้วรอบเล่า เธอก็ยังจ่อมจมกับบาดแผลอันร้าวลึกนี้
เธอบอกว่าเธอหนาวเหน็บสะท้านกายจนชาชิน รุ่มร้อนในหัวใจจนความรู้สึกนี้เหือดแห้ง
เธอย้ำบอกจะไม่โทษใครหรือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือสิ่งที่เธอได้เลือกเอง ด้วยสติสัมปชัญะ
ทุกๆ วันของเธอก็ยังคงดำเนินไป พร้อมกับความรู้สึกเช่นนี้
ผ่านไปแล้ว เป็นวินาที นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี มีแต่สิ่งๆ นี้ที่เกาะกุมหัวใจ
นึกอยากจะให้มันหลุดหายออกไป นานเท่านานมันก็ยังคงอยู่
ความเงียบเหงา ความเดียวดาย เป็นสิ่งที่เธอเคยบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ที่มันยังคงอยู่กับเธอ
ราวกับว่าถูกคำสาป
ฉันรอว่าสักวันหนึ่ง เพื่อนที่ดีของเธอจะเดินจากไป
เธอจ๋า ฉันอยากจะบอกให้เธอรับรู้ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เธอก้มหน้าร้องไห้ก็อย่าลืมว่าครั้งหนึ่งเธอเคยแหงนมองดวงดาวด้วยรอยยิ้ม ฉันคนนี้เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีเพียงความห่วงใยมอบให้ ที่แห่งนี้พร้อมที่จะอ้าแขนรับเธอ เพื่อให้เธอหยุดพักเหนื่อยและกอบโกยเอาความสุขและรอยยิ้มกลับบ้านไป
21 กรกฎาคม 2554 13:31 น.
สมภพ แจ่มจันทร์
ผมขอขอบคุณเธอมากสำหรับแรงบันดาลใจ และไฟดวงเล็กๆ ที่จุดประกายชีวิตผมให้เห็นทางเดิน ระหว่างผมกับเธอนั้น เราเป็นเพียงแค่คนผ่านทางเท่านั้น หรือจะเป็นเพียงคนที่จูนกันติดในบางเรื่อง จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เรื่องมันเริ่มขึ้นก็ตอนที่ฝนตก ผมต้องการที่หลบฝนสักที่ พอที่จะไม่ทำให้สัมภาระผมเปียก ผมวิ่งฝ่าฝนมาจนเจอร้านหนังสือเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมันคือร้านหนังสือที่ผมมาอุดหนุนเป็นประจำ ร้านนี้เป็นร้านหนังสือมือสอง และหนังสือหายาก นานๆ ทีผมถึงจะได้แวะและนั่งพูดคุยกับเธอ เจ้าของร้านหนังสือร้านเล็กๆ ร้านนั้น
เธอเป็นคนไม่จัดว่าสวย แต่งตัวธรรมดาๆ ไม่หวือหวาเหมือนสาวๆ ทั่วไป แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมต้องแวะมาหาเธอถ้ามีโอกาสก็คือ ความสละสลวยของคำพูด แต่ละคำ แต่ละวลี มันเหมือนหลุดออกมาจากบทประพันธ์ หรือหนังสือปรัชญาอะไรทำนองนั้น เธอเป็นคนพูดตรง ไม่ค่อยมีจริตมารยาอะไรมากมาย นั่นแหละคือแม่เหล็กตัวใหญ่ที่ดึงผมให้เข้ามาหาเธอ
วันนี้ก็เช่นกัน หากฝนไม่ตกผมก็กะว่าจะแวะไปหาเธอสักหน่อย เผื่อว่าเธอจะมีหนังสืออะไรดีๆ บ้าง แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกอย่างกับฟ้ารั่วเสียนี่ ระยะทางไม่ถึง 100 ม.ก็จะถึงร้านเธอแล้ว ผมสูดลมหายใจลึกๆ แล้วตัดสินใจวิ่งไปหาเธอ ซึ่งเธอก็ต้อนรับผมดีเช่นเคย เธอจัดการหาผ้ามาเช็ดเก้าอี้ให้ผมนั่ง และดึงผ้าใบลงครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันกองหนังสือจากละอองฝน เราเริ่มต้นคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระเช่นเดิม จากนั้น เธอก็ปล่อยให้ผมเลือกรื้อหนังสือของเธอได้ตามใจชอบ โดยมีเธอแนะนำอยู่ข้างๆ
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมแนะนำว่าให้เธอดึงผ้าใบลงปิดหน้าร้านให้มิดชิดดีกว่า เพราะผมกลัวว่าหนังสือกองโตนั้นจะได้รับอันตราย ซึ่งเธอก็เห็นดีด้วย เพราะหากจะปิดร้านแล้วกลับบ้านก็กลับไม่ได้ หรือหากจะปิดร้านเลย ก็จะพาลไม่มีอากาศหายใจกันเสียเปล่าๆ นั่นเองภายในร้านจึงมีแค่เราสองคน
เรานั่งสนทนากันได้ครู่ใหญ่ เธอถามผมว่าผมทำงานอะไร ผมตอบเธอไป และบอกต่อไปอีกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับที่ผมเรียนมาเลย แต่ที่ผมเลือกทำงานนี้ก็เพราะรายได้ดี แล้วผมก็ย้อนถามเธอไปบ้างว่าแล้วเธอหล่ะ เธอตอบผมอย่างมั่นใจว่าเธอเรียนจบสายอาชีพมา แต่เธอชอบที่จะอ่านหนังสือ และชอบที่เห็นคนอื่นได้อ่านหนังสือ เธอจึงตัดสินใจเปิดร้านหนังสือร้านนี้ แม้มันจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ ก็ตาม เพราะนั่นคือความสุข เธอยินดีที่จะให้ใครต่อใครมารื้อค้นหนังสือดู แม้จะไม่ซื้อก็ตาม มีความสุขเมื่อร่วมวงสนทนากันเกี่ยวกับหนังสือ หรือนักเขียนหลายๆ ท่าน วันเสาร์ อาทิตย์ ก็มีความสุขที่ไปเดินสวนฯ เพื่อไปดูหนังสือหายาก ถ้ามีเงินมากหน่อยก็หาซื้อเก็บไว้ เล่มไหนพอใจขายก็ขาย เล่มไหนชอบมากก็เก็บไว้เอง นี่แหละคือความสุขของชิวิตแล้ว
แล้วความสุขของคุณหล่ะ อยู่ที่ไหน อยู่กับการได้ทำอะไร เธอถามผมอีกครั้ง แต่แปลกนะ ผมไม่ยักกะตอบเธอได้ มันเหมือนมีก้อนอะไรมาอุดปากไว้เสียอย่างนั้น ผมได้แต่นั่งนิ่ง ภาพวันเก่าๆ มันย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง วันที่ผมได้เขียนหนังสือ วันที่ผมได้ออกสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ วันที่ผมอยู่กับกองหนังสือและเอกสารกองโต จนถึงวันนี้ วันที่ผมเบนเข็มทิศชีวิตของตัวเอง มาสู่อีกสาขาอาชีพหนึ่ง ที่เม็ดเงินสะพัดกว่า แต่ในใจลึกๆ ของผม มันก็ยังโหยหาที่จะเขียนหนังสืออยู่
เธอสัมผัสแขนผมเบาๆ เพื่อเรียกผมกลับคืนมา นั่นสินะ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นมากน้อยเพียงไร ผมไม่เคยถามคำถามนี้กับตัวเอง ผมรู้เพียงว่าผมทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินเดือนก้อนโต ซึ่งมันทำให้ชีวิตของผมสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก ผมมองหน้าเธออีกครั้ง และยิ้มให้เธออย่างขอบคุณ ที่เธอทำให้ผมคิดถึงตัวตนของผมมากขึ้น
ฝนเริ่มซาแล้ว แต่ผมยังไม่อยากแยกจากเธอ ความรู้สึกพิเศษบางอย่างมันบังเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าความรู้สึกของผมมันคงปิดเธอไม่อยู่ ผมเริ่มถามเธอว่าเธอมีคนรักแล้วหรือยัง เธอตอบว่าขอบเรียกว่าเพื่อนชายได้ไหม เพราะคนรักของเธอนั้นมีมากมายหลายคน แต่เพื่อนชายนั้นมีคนเดียวที่สนิทที่สุดในตอนนี้ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเพื่อนชายของเธอจะเข้ากับเธอได้มากน้อยแค่ไหน หรือไปด้วยกันนานสักเท่าไหร่ เธอเปิดประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับความรัก ซึ่งนั่นเองยิ่งทำให้ผมรู้สึกกับเธอมากมายขึ้นไปอีก แต่เธอช่างเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเสียจริง
ในวันวานผมไม่รู้ว่าเธอกับเพื่อนชาย มีอนาคตร่วมกันอย่างไรบ้าง แต่ในเวลานี้ วินาทีนี้ ผมรู้สึกต้องการเธอมาอยู่ข้างๆ ผมเสียจริง ผมต้องการคนแบบนี้แหละ ผมส่งยิ้มให้เธอ เหมือนเธอจะอ่านใจผมออก เธอเอื้อมมือมาสัมผัสหลังมือผม แล้วบอกว่าเราเป็นเพียงคนผ่านทางที่แวะมาทักทายกันเท่านั้น ซึ่งบางเรื่องเราอาจจะจูนกันติดเร็ว หรือคุยเข้าใจกันง่ายกว่าคนอื่นๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้ากันได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ต่างๆ มันต้องมีชั้นตอน ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ใจอยากจะให้เป็น แต่ต้องให้มันดำเนินไปตามวันและเวลาที่เหมาะสมของมันเถิด นั่นคือความประทับใจอีกครา ที่เธอเปล่งวาจานั้น ผมอยากจะกอดเธอไว้ให้แน่นเสียจริงๆ เธอจะได้ไม่ไปจากผม
แต่ความจริงมันก็คือความจริงวันยังค่ำ ผมรู้จักเธอเท่าที่เธอยอมให้ผมรู้จัก แม้ว่าตัวผมเองอยากจะเปิดเผยตัวตนของผมให้เธอรู้จักมากเท่าใดก็ตาม มันก็ถูกของเธอ ผมควรจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามขั้นตอนดีกว่า วันนี้ผมได้รู้จักบางมุมของเธอ ในวันข้างหน้าผมอาจจะมีโอกาสได้รู้จักเธอมากกว่านี้
หลังจากฝนหยุด ผมบอกขอบคุณที่เธอให้ที่หลบฝน และให้แง่คิดบางอย่างกับผม ผมจำใจเดินจากเธอมาทั้งๆ ที่ใจผมยังติดตรึงอยู่กับเธอ ผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะมีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับเธอเช่นนี้อีกหรือไม่ เพราะงานของผมนั้นมันช่างยุ่งดีเสียจริงๆ ก่อนกล่าวคำอำลา ผมมองหน้าเธออีกครั้ง เมื่อสายตาของเราทั้งสองประสานกัน ผมแน่ใจว่าเธอเองคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผมมากนัก
หลังจากนั้นอีกเกือบ 5 เดือน ผมก้าวย่างไปหาเธออีกครา ซึ่งก็เช่นเดิม ในวันที่มีสายฝน ผมนั่งคุยกับเธอใต้แสงไฟสลัวท่ามกลางบรรยกาศชุ่มฉ่ำของสายฝน แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ความรู้สึกของผมมันยังหมือนกับเมื่อวันนั้น วันที่ฝนตกหนัก ผมบอกกับเธอว่าผมตัดสินใจลาออกจากงาน โดยที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับ เธอค่อนข้างตกใจว่าเหตุใดผมจึงทำเช่นนั้น ผมตอบเธอไปว่า เธอนั้นช่างโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอกและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ส่วนผมไม่อาจจะอยู่กับการหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างเป็นก้อนโต ผมจะทำในสิ่งที่ผมต้องการทำ เผื่อว่าสักวันหนึ่งผมจะค้นหาตัวตนของผมได้บ้าง
ผมอยากจะกอดเธอไว้แน่นๆ เสียจริง แม้ว่าการตัดสินใจของผมจะทำให้ผมไม่มีโอกาสได้พบกับเธออีก แต่มันก็ทำให้ผมได้เลือกทางเดินชีวิตตามแบบของผม ผมได้แต่จับมือเธอไว้แน่น แล้วพร่ำบอกเธอว่า ได้โปรดอย่าลืมผม ผมไม่ได้ต้องการความรักจากเธอ ผมต้องการเพียงแค่ความระลึกถึงกันบ้าง โดยเฉพาะในวันที่มีสายฝนพรำ เพียงเท่านั้น
ผมเองไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกเช่นนั้นบ้างหรือไม่ นับตั้งแต่วันที่ผมกล่าวคำล่ำลากับเธอ แต่โดยความจริงผมไม่เคยลืมเธอเลย ณ วันนี้ ผมได้อยู่ในสถานที่ที่ผมใฝ่ฝัน ได้ทำงานอย่างที่ผมอยากทำ ได้ดำรงชีวิตตามวิถีที่เรียบง่าย ซึ่งบางวันที่ฝนตกหนัก ผมก็อดที่จะคิดถึงเธอไม่ได้ เพราะนอกจากเธอแล้วความสวยงามของภาษาในการสนทนา ผมยังมองหาคนอื่นไม่เจอ ผมเองก็ได้แต่หวังว่า ในบางอารมณ์หรือบางสถานการณ์เธอจะระลึกถึงผมบ้าง เหมือนอย่างที่ผมกำลังรู้สึกในตอนนี้
20 กรกฎาคม 2554 23:38 น.
สมภพ แจ่มจันทร์
ย่างเข้าขวบปีที่สองแล้วสำหรับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว ผมกระเสือกกระสนตัวเองจากเมืองหลวง และถีบตัวเองออกมา ปลายทางแม้ตอนแรกผมจะยังระบุไม่ได้ แต่วันหนึ่งผมก็รู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ที่ผมต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ แรกๆ ในการมาอยู่ในเมืองนี้ มันค่อนข้างสมใจนะครับ เมืองมันเงียบดี โดยเฉพาะ วันพุธ ตอนบ่าย มันเหมือนกับว่าถนนทั้งเส้นมีผมอยู่แค่คนเดียว เดิมทีเมืองนี้ เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญมาก แต่เพราะอะไรก็ไม่รุ้นะครับ ทำให้การค้ามันซบเซาลง เมืองมันก็เลยเงียบๆ อย่างนี้แหละครับ
ผมมาอยู่กับครอบครัวของเพื่อน ที่เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ และร้านอาหาร สนุกดีครับ ถึงแม้ว่าคนจะไม่พลุกพล่าน แต่ก็ยังพอมีนักเดินทางแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่เมืองมันก็ยังคงเงียบอยู่ดี ผมพอใจครับ มากเลยทีเดียว เพราะการที่ผมเลือกมาอยู่เมืองนี้ก็เพราะว่ามันเงียบ ไอ้ส่วนจะทำมาหากินอะไรนั้น เอาไว้คิดทีหลัง เพราะผมไม่มีภาระอะไร แบบว่าตัวคนเดียวครับ
แต่ความพึงพอใจนั้นอยู่กับผมได้ไม่นาน พอย่างเข้าเดือนที่สี่ เมืองก็เริ่มมีผู้คนพลุกพล่านขึ้น จะขอบคุณหรือด่าทอหน่วยงานของรัฐดีละครับ ที่โปรโมทเมืองจนทำให้ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมา จากเหนือสุด ไปถึงใต้สุดก็แห่กันมาครับ ผมเคยถามนักท่องเที่ยวว่า มาทำอะไรกันที่นี่ บางคนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน มาตามกระแสว่างั้นเถอะ
ผมเริ่มอยากจะหาที่อยู่ใหม่ เพราะมันช่างไม่ต่างอะไรกับชีวิตของผมในเมืองหลวง แต่ละวันมีผู้คนมากหน้าหลายตา เข้ามาในบ้าน จะโดยเพราะบ้านเป็นที่สาธารณะหรือเปล่า ที่ผมใช้คำว่าสาธารณะก็เพราะว่า เป็นร้านอาหารไงครับ คือใครจะมาก็ได้ ส่วนที่พักไม่ต้องพูดถึง มากหน้าหลายตา จนบางครั้งทำให้ผมไม่อยากจะนอนที่บ้านด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างไรได้ ก็ผมมาอาศัยเขาอยู่นี่ครับ ผมพยายามมองโลกในแง่บวก คือว่ามันก็เป็นการดีที่เราได้เจอผู้คนเยอะแยะ ได้พูดคุย และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากขึ้นจริงๆ ครับ ตั้งแต่ระดับด็อกเตอร์ ครู อาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้า ผู้ประกอบการจากที่อื่น นักศึกษา หรือคุณตา คุณยาย เยอะแยะครับ
แต่ก็เหมือนการหลอกตัวเอง ผมทนอยู่ในสภาวะนั้นได้ไม่นานหรอกครับ เออลืมเล่าไป ในเมืองนี้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่อพยพมาเปิดกิจการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ที่พัก แยะมากครับ เยอะจนอยากจะแบ่งไปที่อื่นบ้าง ในตอนแรกการสนทนาในวงน้ำจันทน์ ใครบางคนเผยมาว่า ถ้าต้องการอยากให้คนมาที่นี่เยอะๆ ต้องจัดกิจกรรมขึ้น เช่น คอนเสริต งานประเพณี หรืองานบุญต่างๆ แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนได้รู้ แล้วเขาจะได้มากัน ซึ่งมันก็จะทำให้เงินสะพัด
ใครบางคนเอ่ยขึ้นมาว่าต้องจัดงานวัดขึ้น มีมหรสพต่างๆ พวก หนัง ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน งานออกร้าน ฯลฯ ผมแย้งในใจว่า ห่าเอ้ยคนที่นี่เขาไม่เคยมีวัฒนธรรมการจัดงานวัดอย่างนั้นมาก่อน มันไม่เหมือนกันผู้คนภาคกลาง ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่มันไม่ได้ฟิวของเมือง มันก็เหมือนโกหกนักท่องเที่ยวนั่นแหละ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือขอตัวกลับไปนอน เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับพวกเขา ก็การที่ผมเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อปลีกวิเวกไม่ใช่หรือ แล้วผมจะไปสนใจคนอื่นทำไมหล่ะ หาที่เงียบๆ อ่านหนึ่งสือดีกว่า
หนึ่งปีที่ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมกิน ดื่ม เที่ยว ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำ และไม่เดือดร้อนใคร เวลาว่างผมก็ช่วยงานทางครอบครัวเพือน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้จักชาวบ้านเกือบทั้งเมืองแล้ว แต่ช่วงเวลาแห่งความสุข มันติดจรวดครับ เผลอแผล็บเดียวมันก็หมดลงแล้ว และก็ก้าวย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการทำมาหากิน เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาผมใช้เงินเก็บไปเกือบหมดแล้ว
ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมคุ้นเคยและทำได้ดีก็คือการเขียนหนึงสือ และการค้าขายน้ำเมา ผมคิดอยู่นานสองนาน จนในที่สุดผมเลือกอย่างหลังเป็นงานหลัก และอย่างแรกเป็นงานรอง ผมตัดสินใจลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านกินดื่ม ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการบางรายก่นด่าผมว่าผมเป็นพวกมนุษย์ทำลายวัฒนธรรม ผมไม่อยากแย้งหรอกครับ มันป่วยการมากกว่า ผมอยากจะย้อนถามว่าการทำลายวัฒนธรรมนั้น คือการที่ผมขายน้ำเมานั่นหรือ แต่ถ้าถามเขาต่อไปว่าการดื่มน้ำเมา หรือการค้าขายน้ำเมานั้นมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมีมานานแล้ว แล้วมันก็ไม่แปลกอะไรเลยที่ผมจะทำบ้าง
ร้านผมเปิด ห้าโมงเย็นปิดตีสอง บางทีดื่มเพลินไปหน่อยก็ยิงยาวไปตีสี่ตีห้า กลับบ้าน นอน ตื่นมาก็ทำกิจกรรมส่วนตัว แล้วก็นอนต่อ ตกเย็นผมก็ไปที่ร้าน แต่ช่วงนี้เป็นฤดูฝน หรือหน้าโลว์ ผู้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ซึ่งผมกับเพื่อนๆ ก็ระดมสมองกันคิดวิธีการดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น หาเด็กสวยๆ มานั่ง หรือกิจกรรมพวกเปิดแผ่น ดนตรีสด
สามวันมานี้ ผมไม่สบายเพราะตากฝน วันนี้เป็นวันที่สาม อาการผมดีขึ้นมาก ผมนั่งดูบัญชีของร้าน พยายามคิดค้นวิธีทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงลูกค้า แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดๆอยู่นั้น แม่ของเพื่อนก็เรียกผมไปทานข้าว และจับเนื้อจับตัวผมดูว่าหายไข้ดีแล้วหรือยัง แล้วท่านก็บอกว่า ทำอะไรก็ช่างขอให้ดูแลตัวเองบ้าง แล้วท่านถามต่อว่า แล้วเมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียวถ้าไม่สบายอย่างนี้ทำอย่างไร ใครมาดูแล
หลังจากผมทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมปลีกตัวมานั่งรับลมเงียบๆ อยู่คนเดียว ผมกำลังย้อนมองดูตัวเอง จุดประสงค์ที่ผมมาอยู่ที่เมืองนี้ ก็เพราะต้องการความสงบ ผมเบื่อสังคมเมืองใช่ไหม ผมเบื่อความเห็นแก่ตัวของคนในเมืองใช่ไหม ผมระอากับการแข่งขันในสังคมใช่หรือเปล่า แต่คำตอบทุกอย่างมันก็คือ มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงมีชีวิตแบบเดิม แต่ละวันมันเหมือนทำตามตารางเหมือนตอนอยู่ในเมืองใหญ่ ผมยังต้องเหนื่อยสมองเพื่อจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปอีก ผมยังคงมีเพื่อนหรือไปสมาคมกับคนที่มีาจากเมืองใหญ่ และที่สำคัญ การแสวงหาผลกำไร มันช่างไม่มีอะไรต่างกันเสียเลย ผมกับคนพวกนั้นมันช่างไม่มีต่างกันเลย