19 กรกฎาคม 2553 14:56 น.
สมภพ แจ่มจันทร์
ตอนที่ ๒ ปี้เพ็ญจ๋า...คำหล้ามาแล้ว
รถไฟเทียบชานชาลา คำหล้าหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระลงมายืนที่ป้ายบอกหมายเลขชานชาลาที่ ๕ เธอแหงนงดูนาฬิกาอันมโหฬาล ที่แขวนอยู่ผนังเหนือช่องขายตั๋วที่มีนับสิบๆ ช่อง บ่งบอกถึงเวลาตีห้าตรง รถไฟนี่มันวิ่งเร็วดีแท้ คำหล้านับชั่วโมงหลังจากที่เธอขึ้นรถไฟมาจากสถานีเชียงรวยตอนสี่ทุ่มตรง เป็นเวลา ๗ ชั่วโมง อย่างที่ปี้เพ็ญเปิ้นบอกไว้แต้ๆ
สาวน้อยจากเชียงรวยยืนมองดูผู้คนด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าผู้คนที่สถานีรถไฟนี้มาจากที่ใดกันบ้าง และจะไปแห่งหนใดบ้าง เธอรู้เพียงแต่ว่าผู้คนมันมากมายมหาศาลยิ่งกว่างานตานก๋วยสลากที่วัดบ้านสันต้นข่าของเธอหลายร้อยเท่า โอนี่หรือกรงเทพฯ ผู้คนมันช่างมากมายเหลือเกิน แต่ที่เธอสังเกตุดูผู้คนเหล่านี้น่าจะไม่ใช่ชาวกรงเทพฯ เพราะเพิ่งลงมาจากรถไฟเหมือนกัน น่าจะเป็นคนบ้านนอกคอกนาเช่นเดียวกันกับเธอที่เข้ามาแสวงหาโชค หรือเข้ามาเที่ยว
คำหล้ายกกระเป๋าสัมภาระใบเขื่องลงมาจากรถไฟ เธอกำลังมองหาปี้เพ็ญที่สัญญาว่าจะมารับตามเวลาและสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเสียแล้วสิ แต่จะทำอย่างไรดีเล่า เพราะข้าวของๆ เธอมันมากเหลือเกินครั้นจะเอาไปเข้าห้องน้ำด้วยก็คงไม่ไหว คำหล้ารีบมองซ้ายมองขวา เพราะกลัวว่าหากเธอไปเข้าห้องน้ำจะมีมือดีมาลากกระเป๋าของเธอไป
"ไม่ต้องกลัวหายหรอกหนู" เสียงใครคนหนึ่งร้องบอก
หญิงวัยกลางคน เดินมาพร้อมเครื่องดูดฝุ่น และตะกร้าใส่น้ำยาต่างๆ พูดพลางส่งยิ้มให้ ดูจากเครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดสะอ้าน และอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว คำหล้าเดาไม่ยากว่าหญิงคนนี้น่าจะเป็นแม่บ้านที่สถานีรถไฟแห่งนี้
"ไม่หายจริงๆ นะป้า" คำหล้าย้ำถาม
"โถแม่หนู ที่นี่ใครเอาอะไรวางไว้ไม่เคยหาย เพราะตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองที่มีนโยบายให้พระเทศน์ออกเสียงตามสายวันละ 2 เวลา จิตใจคนมันก็ดีขึ้น รู้จักผิดชอบชั่วดี ตอนนี้นะในเมืองเขาไม่กลัวของหายกันแล้ว"
ป้าคนเดิมอธิบายให้คำหล้าฟัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วเธอก็สบายใจเพราะจะได้ทำธุระส่วนตัวได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
"งั้นหนูวางไว้ตรงเสานี้ก่อนเดี๋ยวค่อยออกมาเอานะป้า"
"วางไว้เถอะ ป้าก็ดูดฝุ่นทางเดินอยู่แถวนี้แหละ"
"พุธโธ ธัมโม สังโค" คำหล้าอุทานออกมาเป็นภาษาถิ่น
ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นห้องน้ำห้องส้วมที่ไหนมันช่างใหญ่โตขนาดนี้ แถมยังตกแต่งได้สวยงาม นี่ละหนาที่เขาเรียกว่า กรงเทพ เมืองฟ้าอมรความศิวิไลมันช่างต่างกับบ้านสันต้นข่าของเธอแท้หนอ
คำหล้าค่อยๆ ก้าวไปตามช่องทางที่ติดป้ายบ่งบอกว่าเป็นทางเข้า ภายในห้องน้ำถูกทาสีด้วยสีครีม พื้นปูด้วยหินอ่อนสีเย็นตา ห้องส้วมและห้องอาบน้ำถูกแยกออกไปคนละฝั่ง คำหล้าชะโงกหน้าไปดูฝั่งที่เป็นห้องอาบน้ำ เธอเห็นหญิงวัยกลางคน 3 คนกำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ
"จะอาบน้ำก็มาทางนี้อีหนู" หญิง 1 ใน 3 ร้องบอกกับคำหล้า
คำหล้าอดใจไม่ไหว ค่อยๆ เดินไปดูที่ห้องอาบน้ำ ด้านในมีสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ไว้บริการพร้อมสรรพ มีเครื่องทำน้ำอุ่นสำหรับสร้างความผ่อนคลายให้ผู้มาใช้บริการ บรรยากาศในห้องอาบน้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสบู่กลิ่นพฤกษานานาพรรณ
"ป้าเขาให้ใช้ฟรีหมดเลยหรือ" คำหล้าย้อนถามบ้าง
"ใช่แล้ว ตอนนี้หลวงเขาดูแลประชาชนดีขึ้น ไอ้ของต่างๆ ที่เอามาให้ใช้กันฟรีๆ ก็มาจากภาษีของพวกเราๆ นั่นแหละ ป้าขายอาหารตามสั่งอยู่ในสถานีรถไฟ นี่เพิ่งจัดของเสร็จก็มาอาบน้ำที่นี่ทุกวันนั่นแหละ"
คำหล้าฟังเช่นนี้แล้วก็นึกชื่นชมหลวงที่ป้าคนนั้นพูดถึงจริงๆ
อีกฝั่งหนึ่งที่เป็นห้องส้วมช่างเย็นสบายเหลือเกิน เพราะติดแอร์คอนดิชั่น มีกระจกยาวใสปิ้ง สำหรับส่องสำรวจดูร่างกายอยู่ 10 บาน อ่างล้างหน้าก็เป็นระบบสัมผัส หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพแล้ว คำหล้าออกมาจากห้องน้ำอันหรูหรา เธอยังพบว่ากระเป๋าสัมภาระของเธอยังอยู่ครบดีทุกอย่าง เป็นอย่างที่ป้าแม่บ้านบอกจริงๆ ที่นี่ไม่มีของหาย
อีก 10 นาทีจะถึงเวลานัดหมาย คำหล้ายืนที่ป้ายบอกชานชาลาที่ ๕ ตามที่ปี้เพ็ญบอกไว้ เมื่อไหร่หนอปี้เพ็ญจะมารับสักที เข็มนาฬิกาเดินหน้าไปเรื่อยๆ คำหล้าเริ่มใจคอไม่ดี เพราะนี่ผ่านเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของปี้เพ็ญ แล้วเธอจะทำอย่างไรดีเล่า
"น้องจะไปไหน เห็นยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว" ชายรูปร่างสันทันคนหนึ่งเดินเข้ามาถามไถ่
คำหล้ามองชายแปลกหน้าอย่างงงๆ
"ไม่ต้องกลัวหรอก พี่เป็นคนขับแท็กซี่ รถโดยสาร รู้จักไหม จะไปไหนบอกที่อยู่มาพี่คิดราคาไม่แพงหรอก"
หลังจากชายแปลกหน้าแนะนำตัว คำหล้าก็พอจะเข้าใจ ใช่แล้วเธอมีที่อยู่ของปี้เพ็ญนี่ ถ้าปี้เพ็ญไม่มาเธอก็ไปหาเองสิ รถก็มีแล้ว คำหล้าหยิบกระดาษที่อยู่ขึ้นมาอ่าน
"อยู่ถนนลาดแพร้ว หมู่บ้านอะไร"
"ไม่รู้ รู้แต่บ้านเลขที่ พาไปได้ไหม"
ชายผู้เป็นสารถี ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองคำหล้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาลอบยิ้มนิดๆ ก่อนจะบอกราคาค่าโดยสารไป
"60 บาท ไปไหม" เขาบอกสั้นๆ
"แค่ 60 บาท ถูกจังเลยน้า ไปก็ไป นี่ของฉัน" คำหล้าตกปากรับคำพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กองสัมภาระ
"เพิ่งเคยมากรงเทพหรือ" สารถีเริ่มเปิดประเด็นการสนทนา
"อือ มาครั้งแรกเลยละน้า" คำหล้าตอบไปตามความจริง แล้วตามด้วยเรื่องราวทั้งหมดจนกระทั่งให้เขาพาไปส่งที่บ้านปี้เพ็ญนี่แหละ
คำหล้าดูจะตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพรายรอบจนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ไหว ผู้เป็นสารถีมองดูจากกระจกมองหลัง ก็อดขันไม่ได้เพราะเขาเองไม่คิดว่ากรงเทพฯ จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนบ้านนอกคอกนาได้ถึงเพียงนี้
"น้าเป็นคนกรงเทพฯ หรือเปล่า" คำถามเอ่ยถาม
"ใช่แล้ว น้าเกิดและโตที่นี่"
"โอ้โห คงสบายน่าดูเลยนะ หนูอยากอยู่ที่นี่จังมันสวยงามไปหมด น้านั่นอะไร"
คำหล้าพูดพลางชี้มือไปที่วงเวียนน้ำพุที่ขณะนี้สายน้ำกำลังเต้นระบำอวดกัน
"เขาเรียกว่าน้ำพุ เอาไว้ประดับประดาบ้านเมืองให้ดูสวยงาม" สารถีบอก พร้อมกับชี้มือไปที่วงเวียนน้ำพุ
จากการพูดคุยกับโชเฟอร์แท็กซี่ ทำให้คำหล้ารู้ว่าชาวเมืองกรงเทพฯ นี่เขาดูแลรักษาความสะอาดของน้ำกันอย่างดีเยี่ยม เพราะนับตั้งแต่ล้อหมุนออกจากสถานีรถไฟ เธอเห็นคลองที่ทอดยาวไปตามถนน น้ำในคลองนั้นมันช่างใสสะอาดเสียจริง คนขับแท็กซี่บอกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ริมถนนก็มาตักเอาน้ำจากคลองนี่แหละไปไว้ใช้ และที่สำคัญไม่เสียเงินเสียทองแต่อย่างใด
รถแล่นมาได้สักครู่หนึ่ง คำหล้าก็ยิ่งทวีความตื่นเต้น เพราะแทนที่รถจะแล่นไปตามถนน แต่กลับขับขึ้นสะพานยกระดับ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวจากเบื้องล่างไปสู่เส้นทางที่สูงกว่า
น้า ที่กรงเทพฯ เนี่ยเขามีถนนลอยฟ้ากันด้วยหรือ มันยาวไหมน้า
เขาเรียกสะพานยกระดับจ๊ะหนู มีทั่วกรงเทพฯ นั่นแหละ
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยซ้ำไป เพราะถนนหนทางในกรงเทพฯ นั้นก็เพียงพออยู่แล้ว รถราก็ไม่แออัดเพราะปัจจุบันประชาชนไม่นิยมใช้รถส่วนตัว ตั้งแต่มีการปฏิรูปการปกครอง ผู้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนกันมากขึ้น จะมีก็แต่ผู้ที่ทำงานไกลๆ ที่จำเป็นต้องขับรถส่วนตัวไป แต่ที่ต้องสร้างก็เพราะเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเป็นลาว เขมร เวียดนาม หรือพม่า ต่างก็มีกันทั้งนั้น เราก็ไม่อยากจะน้อยหน้า
โชเฟอร์อธิบายให้คำหล้าฟังจนนึกเห็นภาพ ถ้าเธอไม่ตัดสินใจมาหาปี้เพ็ญ เธอคงไม่มีโอกาสได้นั่งรถบนถนนสูงๆ แบบนี้เป็นแน่
รถแล่นมาเรื่อยๆ โชเฟอร์หยุดรถ คำหล้าสังเกตเห็นรถคันอื่นๆ ก็หยุดตาม
หยุดรถยะอะหยังน้า คำหล้าถามเป็นภาษาถิ่น
ที่หยุดเพราะเป็นทางม้าลาย ทางม้าลายมีไว้เพื่อให้คนเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย สัญลักษณ์จะเป็นการพ่นสีขาวไปที่พื้นถนน สลับช่องกันไป
คำหล้าชะโงกหน้ามองไปด้านหน้าถนนก็เห็นผู้คนกำลังเดินข้ามถนนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งเด็กนักเรียน ชายหญิงวัยทำงาน ที่แต่งตัวสวยหล่อกันทั้งนั้น
ทางด้านเพ็ญนภา หรือปี้เพ็ญของคำหล้ากำลังอยู่ในอาการพะว้าพะวง เพราะเธอรู้ดีว่าวันนี้เธอต้องเดินทางไปรับคำหล้า แต่ลูกสาวคนเดียวของเธอไม่สบายมาก สามีก็ไปทำงานต่างจังหวัด มิหนำซ้ำรถของเธอก็ดันสตาร์ทไม่ติดอีก เธอติดต่อไปยังญาติที่อยู่ไม่ไกลจากกันนักให้มาดูการของลูกสาว ส่วนเธอจะออกไปรับคำหล้า แต่นี่เกือบจะหกโมงเช้าแล้ว ญาติของเธอยังไม่มา แต่เพ็ญนภาก็คิดว่าคำหล้าคงจะยืนรอเธออยู่ตรงนั้น หรือถือที่อยู่ไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รถไฟ เพื่อขอความช่วยเหลือ
เพ็ญนภามองดูหน้าปัดนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว คำหล้าเอ๋ยจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
น้าอีกไกลไหมกว่าจะถึง
ตอนนี้รถวิ่งเข้าสู่ถนนลาดแพร้วแล้ว อาจจะช้าหน่อยเพราะไม่รู้จักบ้านเดี๋ยวให้น้าไล่ไปตามเลขที่บ้าน
อีกไม่นานรถมาหยุดอยู่ที่บ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดหลังหนึ่ง ด้านหน้ามีป้ายบอกว่าบ้านเลขที่ ๑๓๕ แม่นแล้วบ้านปี้เพ็ญแน่นอน คำหล้าดีใจจนหลุดพูดภาษาถิ่นออกมา
ขอบคุณน้านักๆ เน้อ ตี้มาส่งข้าเจ้า นี่สตังค์ค่ารถ ตี้เหลือบ่ต้องทอน
คำหล้ายื่นธนบัตรฉบับละ๑๐๐ บาท ให้กับคนขับรถ ชายคนเดิมขนสัมภาระลงจากรถมาวางไว้หน้าบ้าน พร้อมกับกดกริ่งหน้าบ้าน และยืนรออยู่เป็นเพื่อนสาวน้อยจากเมืองเหนือ กระทั่งมีใครคนหนึ่งออกมาจากตัวบ้าน
ปี้เพ็ญ ปี้เพ็ญ แต้ๆ คำหล้ามาแล้ว มาเปิดประตูฮื้อคำหล้าหน่อยเต๊อะ
เพ็ญนภากึ่งโล่งใจกึ่งดีใจ ที่คำหล้าสาวน้อยจากเมืองเหนือที่เธอกำลังเป็นห่วง บัดนี้มายืนอยู่หน้าบ้านเธอเรียบร้อยแล้ว
พี่ขอโทษนะคำหล้า ที่ไม่ได้ไปตามนัด แล้วมาได้อย่างไรกัน เพ็ญนภาสอบถามคำหล้า
น้าคนนี้เขามาส่ง คำหล้าพูดพลางชี้มือไปที่โชเฟอร์แท็กซี่
เพ็ญนภากล่าวขอบคุณโชเฟอร์แท็กซี่ ที่มีน้ำใจพามาส่ง และเมื่อกล่าวขอบคุณกันแล้วเพ็ญนภาช่วยคำหล้ายกสัมภาระเข้าบ้าน พร้อมกับฟังคำหล้าเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ออกจากเชียงรวย จนมาถึงหน้าบ้านเพ็ญนภา เธอจัดแจงให้คำหล้าพักห้องรับรองแขก ก่อนจะให้คำหล้าไปพักผ่อน เพ็ญนภากล่าวคำขอโทษคำหล้าอีกครั้งที่ไม่สามารถไปรับได้ตามสัญญา
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จสรรพ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทำให้คำหล้าผล็อยหลับไป แต่ก่อนที่จะหลับตาลง เธอคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ปี้เพ็ญจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหนกันนะ