20 กรกฎาคม 2554 23:38 น.

ความเหมือน

สมภพ แจ่มจันทร์

ย่างเข้าขวบปีที่สองแล้วสำหรับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว ผมกระเสือกกระสนตัวเองจากเมืองหลวง และถีบตัวเองออกมา ปลายทางแม้ตอนแรกผมจะยังระบุไม่ได้ แต่วันหนึ่งผมก็รู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ที่ผมต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ แรกๆ ในการมาอยู่ในเมืองนี้ มันค่อนข้างสมใจนะครับ เมืองมันเงียบดี โดยเฉพาะ วันพุธ ตอนบ่าย มันเหมือนกับว่าถนนทั้งเส้นมีผมอยู่แค่คนเดียว เดิมทีเมืองนี้ เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญมาก แต่เพราะอะไรก็ไม่รุ้นะครับ ทำให้การค้ามันซบเซาลง เมืองมันก็เลยเงียบๆ อย่างนี้แหละครับ 

ผมมาอยู่กับครอบครัวของเพื่อน ที่เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ และร้านอาหาร สนุกดีครับ ถึงแม้ว่าคนจะไม่พลุกพล่าน แต่ก็ยังพอมีนักเดินทางแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่เมืองมันก็ยังคงเงียบอยู่ดี ผมพอใจครับ มากเลยทีเดียว เพราะการที่ผมเลือกมาอยู่เมืองนี้ก็เพราะว่ามันเงียบ ไอ้ส่วนจะทำมาหากินอะไรนั้น เอาไว้คิดทีหลัง เพราะผมไม่มีภาระอะไร แบบว่าตัวคนเดียวครับ 

แต่ความพึงพอใจนั้นอยู่กับผมได้ไม่นาน พอย่างเข้าเดือนที่สี่ เมืองก็เริ่มมีผู้คนพลุกพล่านขึ้น จะขอบคุณหรือด่าทอหน่วยงานของรัฐดีละครับ ที่โปรโมทเมืองจนทำให้ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมา จากเหนือสุด ไปถึงใต้สุดก็แห่กันมาครับ ผมเคยถามนักท่องเที่ยวว่า มาทำอะไรกันที่นี่ บางคนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน มาตามกระแสว่างั้นเถอะ

ผมเริ่มอยากจะหาที่อยู่ใหม่ เพราะมันช่างไม่ต่างอะไรกับชีวิตของผมในเมืองหลวง แต่ละวันมีผู้คนมากหน้าหลายตา เข้ามาในบ้าน จะโดยเพราะบ้านเป็นที่สาธารณะหรือเปล่า ที่ผมใช้คำว่าสาธารณะก็เพราะว่า เป็นร้านอาหารไงครับ คือใครจะมาก็ได้ ส่วนที่พักไม่ต้องพูดถึง มากหน้าหลายตา จนบางครั้งทำให้ผมไม่อยากจะนอนที่บ้านด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างไรได้ ก็ผมมาอาศัยเขาอยู่นี่ครับ ผมพยายามมองโลกในแง่บวก คือว่ามันก็เป็นการดีที่เราได้เจอผู้คนเยอะแยะ ได้พูดคุย และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากขึ้นจริงๆ ครับ ตั้งแต่ระดับด็อกเตอร์ ครู อาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้า ผู้ประกอบการจากที่อื่น นักศึกษา หรือคุณตา คุณยาย เยอะแยะครับ

แต่ก็เหมือนการหลอกตัวเอง ผมทนอยู่ในสภาวะนั้นได้ไม่นานหรอกครับ เออลืมเล่าไป ในเมืองนี้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่อพยพมาเปิดกิจการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ที่พัก แยะมากครับ เยอะจนอยากจะแบ่งไปที่อื่นบ้าง ในตอนแรกการสนทนาในวงน้ำจันทน์ ใครบางคนเผยมาว่า ถ้าต้องการอยากให้คนมาที่นี่เยอะๆ ต้องจัดกิจกรรมขึ้น เช่น คอนเสริต งานประเพณี หรืองานบุญต่างๆ แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนได้รู้ แล้วเขาจะได้มากัน ซึ่งมันก็จะทำให้เงินสะพัด 

ใครบางคนเอ่ยขึ้นมาว่าต้องจัดงานวัดขึ้น มีมหรสพต่างๆ พวก หนัง ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน งานออกร้าน ฯลฯ ผมแย้งในใจว่า ห่าเอ้ยคนที่นี่เขาไม่เคยมีวัฒนธรรมการจัดงานวัดอย่างนั้นมาก่อน มันไม่เหมือนกันผู้คนภาคกลาง ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่มันไม่ได้ฟิวของเมือง มันก็เหมือนโกหกนักท่องเที่ยวนั่นแหละ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือขอตัวกลับไปนอน เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับพวกเขา ก็การที่ผมเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อปลีกวิเวกไม่ใช่หรือ แล้วผมจะไปสนใจคนอื่นทำไมหล่ะ หาที่เงียบๆ อ่านหนึ่งสือดีกว่า

หนึ่งปีที่ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมกิน ดื่ม เที่ยว ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำ และไม่เดือดร้อนใคร เวลาว่างผมก็ช่วยงานทางครอบครัวเพือน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้จักชาวบ้านเกือบทั้งเมืองแล้ว แต่ช่วงเวลาแห่งความสุข มันติดจรวดครับ เผลอแผล็บเดียวมันก็หมดลงแล้ว และก็ก้าวย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการทำมาหากิน เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาผมใช้เงินเก็บไปเกือบหมดแล้ว

ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมคุ้นเคยและทำได้ดีก็คือการเขียนหนึงสือ และการค้าขายน้ำเมา ผมคิดอยู่นานสองนาน จนในที่สุดผมเลือกอย่างหลังเป็นงานหลัก และอย่างแรกเป็นงานรอง ผมตัดสินใจลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านกินดื่ม ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการบางรายก่นด่าผมว่าผมเป็นพวกมนุษย์ทำลายวัฒนธรรม ผมไม่อยากแย้งหรอกครับ มันป่วยการมากกว่า ผมอยากจะย้อนถามว่าการทำลายวัฒนธรรมนั้น คือการที่ผมขายน้ำเมานั่นหรือ แต่ถ้าถามเขาต่อไปว่าการดื่มน้ำเมา หรือการค้าขายน้ำเมานั้นมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมีมานานแล้ว แล้วมันก็ไม่แปลกอะไรเลยที่ผมจะทำบ้าง

ร้านผมเปิด ห้าโมงเย็นปิดตีสอง บางทีดื่มเพลินไปหน่อยก็ยิงยาวไปตีสี่ตีห้า กลับบ้าน นอน ตื่นมาก็ทำกิจกรรมส่วนตัว แล้วก็นอนต่อ ตกเย็นผมก็ไปที่ร้าน แต่ช่วงนี้เป็นฤดูฝน หรือหน้าโลว์ ผู้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ซึ่งผมกับเพื่อนๆ ก็ระดมสมองกันคิดวิธีการดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น หาเด็กสวยๆ มานั่ง หรือกิจกรรมพวกเปิดแผ่น ดนตรีสด 

สามวันมานี้ ผมไม่สบายเพราะตากฝน วันนี้เป็นวันที่สาม อาการผมดีขึ้นมาก ผมนั่งดูบัญชีของร้าน พยายามคิดค้นวิธีทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงลูกค้า แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดๆอยู่นั้น แม่ของเพื่อนก็เรียกผมไปทานข้าว และจับเนื้อจับตัวผมดูว่าหายไข้ดีแล้วหรือยัง แล้วท่านก็บอกว่า ทำอะไรก็ช่างขอให้ดูแลตัวเองบ้าง แล้วท่านถามต่อว่า แล้วเมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียวถ้าไม่สบายอย่างนี้ทำอย่างไร ใครมาดูแล

หลังจากผมทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมปลีกตัวมานั่งรับลมเงียบๆ อยู่คนเดียว ผมกำลังย้อนมองดูตัวเอง จุดประสงค์ที่ผมมาอยู่ที่เมืองนี้ ก็เพราะต้องการความสงบ ผมเบื่อสังคมเมืองใช่ไหม ผมเบื่อความเห็นแก่ตัวของคนในเมืองใช่ไหม ผมระอากับการแข่งขันในสังคมใช่หรือเปล่า แต่คำตอบทุกอย่างมันก็คือ มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงมีชีวิตแบบเดิม แต่ละวันมันเหมือนทำตามตารางเหมือนตอนอยู่ในเมืองใหญ่ ผมยังต้องเหนื่อยสมองเพื่อจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปอีก ผมยังคงมีเพื่อนหรือไปสมาคมกับคนที่มีาจากเมืองใหญ่ และที่สำคัญ การแสวงหาผลกำไร มันช่างไม่มีอะไรต่างกันเสียเลย ผมกับคนพวกนั้นมันช่างไม่มีต่างกันเลย				
25 พฤศจิกายน 2553 16:07 น.

เมื่อเรามาพบกันใหม่

สมภพ แจ่มจันทร์

หลังจากที่ผมตัดสินใจเดินหันหลังให้กลับเมืองกรุง นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ที่จิตใจมีความพร้อมเพียงพอ ที่จะหยิบจับเรื่องราวต่างๆ มาเล่าสู่กันฟัง
การจากลาเมืองหลวงในครั้งนั้น ฝากบาดแผลให้ผมอย่างฉกาจ วันนี้บาดแผลนั้น มันจางหาย คงเหลือเพียงแต่รอยแผลเป็น ฝากไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น

ก้าวย่างในเมืองน้อย มันแสนสับสน แต่ก็อบอุ่นละมุนละไม ไปด้วยน้ำใจไมตรี ของคนต่างถิ่น ผมตัดสินใจมาอยู่เมืองๆ หนึ่ง ที่ห่างจากเมืองหลวงเกือบพันกิโล แฝงตัวอยู่ในสังคมชนบท มีเพียงบุคคลเพียง 2-3 คน เท่านั้นที่รู้จัก และรู้ว่าผมเป็นใคร ในสัปดาห์แรกผมพยายามจะเขียนเรื่องสั้นที่ค้างไว้ให้จบได้อีกตอนหนึ่ง แต่ทว่าอารมณ์และความรู้สึกมันกระด้างเกินเกว่า จะทำอะไรต่อไปได้ ผมจึงวางทุกอย่างลง แล้วปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างวิถีของคนที่นี่ ที่ๆ ผมตัดสินใจมาอยู่ ไม่อ่านหนังสือ ไม่ฟังเพลง ไม่ดูทีวี ไม่ใช้โทรศัพท์ มันได้ผลครับ ผมอยู่อย่างนั้นประมาณ 3 เดือน แสงสว่างในจิตใจมันเริ่มแย้มพรายทีละน้อย ผู้คนที่นี่เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหายวันหายคืน เมืองเล็กๆ ที่ผู้คนแทบจะรู้จักกันหมด ไปไหนมาไหนก็ตะโกนทักทายกัน 

ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะอิจฉาผมมกกว่านี้ ถ้าเพียงแต่ผมเอารูปถ่ายหลังบ้าน (ที่อยู่ขณะนี้) มาให้ดู นั่นสินะ มันจะมีอะไรมากมายไปกว่านี้ กินอิ่ม นอนหลับ ในที่ๆ อากาศดีๆ ภาพสวยๆ ผู้คนไม่ละโมบ โลภมาก  แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะ สำหรับคนตัวคนเดียวอย่างผม 

บางที ที่สมองโล่งๆ ความคิดถึงเรื่องราวร้ายๆ ในเมืองกรุง มันก็แวะเวียนเข้ามาบ้าง ในครั้งแรกคือ "รับไม่ได้" ซึมเศร้า เสียใจ กับเรื่องที่ผ่านมา ก็เฝ้าแต่เงียบเหงา หดหู่อยู่อย่างนั้น วันหนึ่งเห็นหญิงคนหนึ่งท่าทางอายุก็น่าจะเกือบ 50 ปีแล้ว ตัดผมสั้น นุ่งผ้าถุง เสื้อเชิ้ตนักเรียน แกเดินไปเดินมา พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย บางคนก็คุยด้วย บางคนก็ไม่สนใจ ก็มานั่งคิดต่อ เออ เขามีความสุขดีนะ ไม่ว่าจะคุยกับใครก็เป็นยิ้มกริ่มไปเสียกับทุกคน ไถ่ถามคนในพื้นที่ บอกว่าแกสติไม่ค่อยดี แล้วไงครับ ที่เล่าให้ฟังก็เพียงแต่ว่า ทำอะไรก้ได้ที่อยากทำ และทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ท่านั้นก็มีความสุขแล้ว

"ความโลภ" "ความอยากได้อยากมี" ของคนเมืองกรุง 
อีกนานไหมที่มันจะแผ่เข้ามาในอาณาบริเวณนี้
ผมคิดว่าไม่นานหรอก
แต่มันก็คงจะมีเวลาพอให้ผมได้พักฟื้นจิตใจ และร่างกายอันอ่อนล้า จากคนละโมบ โลภมาก เพื่อที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้นอีกในวันข้างหน้า

เย็นแล้ว นกตัวสีขาวหลายฝูงกำลังบินกลับรัง ส่วนผมต้องไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำก่อนนะครับ  แล้วจะเขียนมาเล่าให้ฟังใหม่				
19 กรกฎาคม 2553 14:56 น.

กรงเทพฯ พ.ศ.๒๕๕๓ (๒)

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ ๒ ปี้เพ็ญจ๋า...คำหล้ามาแล้ว

รถไฟเทียบชานชาลา คำหล้าหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระลงมายืนที่ป้ายบอกหมายเลขชานชาลาที่ ๕ เธอแหงนงดูนาฬิกาอันมโหฬาล ที่แขวนอยู่ผนังเหนือช่องขายตั๋วที่มีนับสิบๆ ช่อง บ่งบอกถึงเวลาตีห้าตรง รถไฟนี่มันวิ่งเร็วดีแท้ คำหล้านับชั่วโมงหลังจากที่เธอขึ้นรถไฟมาจากสถานีเชียงรวยตอนสี่ทุ่มตรง เป็นเวลา ๗ ชั่วโมง อย่างที่ปี้เพ็ญเปิ้นบอกไว้แต้ๆ

สาวน้อยจากเชียงรวยยืนมองดูผู้คนด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าผู้คนที่สถานีรถไฟนี้มาจากที่ใดกันบ้าง และจะไปแห่งหนใดบ้าง เธอรู้เพียงแต่ว่าผู้คนมันมากมายมหาศาลยิ่งกว่างานตานก๋วยสลากที่วัดบ้านสันต้นข่าของเธอหลายร้อยเท่า โอนี่หรือกรงเทพฯ ผู้คนมันช่างมากมายเหลือเกิน แต่ที่เธอสังเกตุดูผู้คนเหล่านี้น่าจะไม่ใช่ชาวกรงเทพฯ เพราะเพิ่งลงมาจากรถไฟเหมือนกัน น่าจะเป็นคนบ้านนอกคอกนาเช่นเดียวกันกับเธอที่เข้ามาแสวงหาโชค หรือเข้ามาเที่ยว

คำหล้ายกกระเป๋าสัมภาระใบเขื่องลงมาจากรถไฟ เธอกำลังมองหาปี้เพ็ญที่สัญญาว่าจะมารับตามเวลาและสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเสียแล้วสิ แต่จะทำอย่างไรดีเล่า เพราะข้าวของๆ เธอมันมากเหลือเกินครั้นจะเอาไปเข้าห้องน้ำด้วยก็คงไม่ไหว คำหล้ารีบมองซ้ายมองขวา เพราะกลัวว่าหากเธอไปเข้าห้องน้ำจะมีมือดีมาลากกระเป๋าของเธอไป

"ไม่ต้องกลัวหายหรอกหนู" เสียงใครคนหนึ่งร้องบอก
หญิงวัยกลางคน เดินมาพร้อมเครื่องดูดฝุ่น และตะกร้าใส่น้ำยาต่างๆ พูดพลางส่งยิ้มให้ ดูจากเครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดสะอ้าน และอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว คำหล้าเดาไม่ยากว่าหญิงคนนี้น่าจะเป็นแม่บ้านที่สถานีรถไฟแห่งนี้
"ไม่หายจริงๆ นะป้า" คำหล้าย้ำถาม
"โถแม่หนู ที่นี่ใครเอาอะไรวางไว้ไม่เคยหาย เพราะตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองที่มีนโยบายให้พระเทศน์ออกเสียงตามสายวันละ 2 เวลา จิตใจคนมันก็ดีขึ้น รู้จักผิดชอบชั่วดี ตอนนี้นะในเมืองเขาไม่กลัวของหายกันแล้ว"
ป้าคนเดิมอธิบายให้คำหล้าฟัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วเธอก็สบายใจเพราะจะได้ทำธุระส่วนตัวได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
"งั้นหนูวางไว้ตรงเสานี้ก่อนเดี๋ยวค่อยออกมาเอานะป้า"
"วางไว้เถอะ ป้าก็ดูดฝุ่นทางเดินอยู่แถวนี้แหละ"

"พุธโธ ธัมโม สังโค" คำหล้าอุทานออกมาเป็นภาษาถิ่น 
ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นห้องน้ำห้องส้วมที่ไหนมันช่างใหญ่โตขนาดนี้ แถมยังตกแต่งได้สวยงาม นี่ละหนาที่เขาเรียกว่า กรงเทพ เมืองฟ้าอมรความศิวิไลมันช่างต่างกับบ้านสันต้นข่าของเธอแท้หนอ

คำหล้าค่อยๆ ก้าวไปตามช่องทางที่ติดป้ายบ่งบอกว่าเป็นทางเข้า ภายในห้องน้ำถูกทาสีด้วยสีครีม พื้นปูด้วยหินอ่อนสีเย็นตา ห้องส้วมและห้องอาบน้ำถูกแยกออกไปคนละฝั่ง คำหล้าชะโงกหน้าไปดูฝั่งที่เป็นห้องอาบน้ำ เธอเห็นหญิงวัยกลางคน 3 คนกำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ
"จะอาบน้ำก็มาทางนี้อีหนู" หญิง 1 ใน 3 ร้องบอกกับคำหล้า
คำหล้าอดใจไม่ไหว ค่อยๆ เดินไปดูที่ห้องอาบน้ำ ด้านในมีสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ไว้บริการพร้อมสรรพ มีเครื่องทำน้ำอุ่นสำหรับสร้างความผ่อนคลายให้ผู้มาใช้บริการ บรรยากาศในห้องอาบน้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสบู่กลิ่นพฤกษานานาพรรณ
"ป้าเขาให้ใช้ฟรีหมดเลยหรือ" คำหล้าย้อนถามบ้าง
"ใช่แล้ว ตอนนี้หลวงเขาดูแลประชาชนดีขึ้น ไอ้ของต่างๆ ที่เอามาให้ใช้กันฟรีๆ ก็มาจากภาษีของพวกเราๆ นั่นแหละ ป้าขายอาหารตามสั่งอยู่ในสถานีรถไฟ นี่เพิ่งจัดของเสร็จก็มาอาบน้ำที่นี่ทุกวันนั่นแหละ"
คำหล้าฟังเช่นนี้แล้วก็นึกชื่นชมหลวงที่ป้าคนนั้นพูดถึงจริงๆ

อีกฝั่งหนึ่งที่เป็นห้องส้วมช่างเย็นสบายเหลือเกิน เพราะติดแอร์คอนดิชั่น มีกระจกยาวใสปิ้ง สำหรับส่องสำรวจดูร่างกายอยู่ 10 บาน อ่างล้างหน้าก็เป็นระบบสัมผัส หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพแล้ว คำหล้าออกมาจากห้องน้ำอันหรูหรา เธอยังพบว่ากระเป๋าสัมภาระของเธอยังอยู่ครบดีทุกอย่าง เป็นอย่างที่ป้าแม่บ้านบอกจริงๆ ที่นี่ไม่มีของหาย

อีก 10 นาทีจะถึงเวลานัดหมาย คำหล้ายืนที่ป้ายบอกชานชาลาที่ ๕ ตามที่ปี้เพ็ญบอกไว้ เมื่อไหร่หนอปี้เพ็ญจะมารับสักที เข็มนาฬิกาเดินหน้าไปเรื่อยๆ คำหล้าเริ่มใจคอไม่ดี เพราะนี่ผ่านเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของปี้เพ็ญ แล้วเธอจะทำอย่างไรดีเล่า

"น้องจะไปไหน เห็นยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว" ชายรูปร่างสันทันคนหนึ่งเดินเข้ามาถามไถ่
คำหล้ามองชายแปลกหน้าอย่างงงๆ 
"ไม่ต้องกลัวหรอก พี่เป็นคนขับแท็กซี่ รถโดยสาร รู้จักไหม จะไปไหนบอกที่อยู่มาพี่คิดราคาไม่แพงหรอก"
หลังจากชายแปลกหน้าแนะนำตัว คำหล้าก็พอจะเข้าใจ ใช่แล้วเธอมีที่อยู่ของปี้เพ็ญนี่ ถ้าปี้เพ็ญไม่มาเธอก็ไปหาเองสิ รถก็มีแล้ว คำหล้าหยิบกระดาษที่อยู่ขึ้นมาอ่าน 
"อยู่ถนนลาดแพร้ว หมู่บ้านอะไร"
"ไม่รู้ รู้แต่บ้านเลขที่ พาไปได้ไหม"
ชายผู้เป็นสารถี ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองคำหล้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาลอบยิ้มนิดๆ ก่อนจะบอกราคาค่าโดยสารไป
"60 บาท ไปไหม" เขาบอกสั้นๆ
"แค่ 60 บาท ถูกจังเลยน้า ไปก็ไป นี่ของฉัน" คำหล้าตกปากรับคำพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กองสัมภาระ

"เพิ่งเคยมากรงเทพหรือ" สารถีเริ่มเปิดประเด็นการสนทนา
"อือ มาครั้งแรกเลยละน้า" คำหล้าตอบไปตามความจริง แล้วตามด้วยเรื่องราวทั้งหมดจนกระทั่งให้เขาพาไปส่งที่บ้านปี้เพ็ญนี่แหละ

คำหล้าดูจะตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพรายรอบจนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ไหว ผู้เป็นสารถีมองดูจากกระจกมองหลัง ก็อดขันไม่ได้เพราะเขาเองไม่คิดว่ากรงเทพฯ จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนบ้านนอกคอกนาได้ถึงเพียงนี้

"น้าเป็นคนกรงเทพฯ หรือเปล่า" คำถามเอ่ยถาม
"ใช่แล้ว น้าเกิดและโตที่นี่"
"โอ้โห คงสบายน่าดูเลยนะ หนูอยากอยู่ที่นี่จังมันสวยงามไปหมด น้านั่นอะไร"
คำหล้าพูดพลางชี้มือไปที่วงเวียนน้ำพุที่ขณะนี้สายน้ำกำลังเต้นระบำอวดกัน
"เขาเรียกว่าน้ำพุ เอาไว้ประดับประดาบ้านเมืองให้ดูสวยงาม" สารถีบอก พร้อมกับชี้มือไปที่วงเวียนน้ำพุ
จากการพูดคุยกับโชเฟอร์แท็กซี่ ทำให้คำหล้ารู้ว่าชาวเมืองกรงเทพฯ นี่เขาดูแลรักษาความสะอาดของน้ำกันอย่างดีเยี่ยม เพราะนับตั้งแต่ล้อหมุนออกจากสถานีรถไฟ เธอเห็นคลองที่ทอดยาวไปตามถนน น้ำในคลองนั้นมันช่างใสสะอาดเสียจริง คนขับแท็กซี่บอกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ริมถนนก็มาตักเอาน้ำจากคลองนี่แหละไปไว้ใช้ และที่สำคัญไม่เสียเงินเสียทองแต่อย่างใด
รถแล่นมาได้สักครู่หนึ่ง คำหล้าก็ยิ่งทวีความตื่นเต้น เพราะแทนที่รถจะแล่นไปตามถนน แต่กลับขับขึ้นสะพานยกระดับ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวจากเบื้องล่างไปสู่เส้นทางที่สูงกว่า
น้า ที่กรงเทพฯ เนี่ยเขามีถนนลอยฟ้ากันด้วยหรือ มันยาวไหมน้า
เขาเรียกสะพานยกระดับจ๊ะหนู มีทั่วกรงเทพฯ นั่นแหละ
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยซ้ำไป เพราะถนนหนทางในกรงเทพฯ นั้นก็เพียงพออยู่แล้ว รถราก็ไม่แออัดเพราะปัจจุบันประชาชนไม่นิยมใช้รถส่วนตัว ตั้งแต่มีการปฏิรูปการปกครอง ผู้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนกันมากขึ้น จะมีก็แต่ผู้ที่ทำงานไกลๆ ที่จำเป็นต้องขับรถส่วนตัวไป แต่ที่ต้องสร้างก็เพราะเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเป็นลาว เขมร เวียดนาม หรือพม่า ต่างก็มีกันทั้งนั้น เราก็ไม่อยากจะน้อยหน้า 
โชเฟอร์อธิบายให้คำหล้าฟังจนนึกเห็นภาพ ถ้าเธอไม่ตัดสินใจมาหาปี้เพ็ญ เธอคงไม่มีโอกาสได้นั่งรถบนถนนสูงๆ แบบนี้เป็นแน่
รถแล่นมาเรื่อยๆ โชเฟอร์หยุดรถ คำหล้าสังเกตเห็นรถคันอื่นๆ ก็หยุดตาม
หยุดรถยะอะหยังน้า คำหล้าถามเป็นภาษาถิ่น
ที่หยุดเพราะเป็นทางม้าลาย ทางม้าลายมีไว้เพื่อให้คนเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย สัญลักษณ์จะเป็นการพ่นสีขาวไปที่พื้นถนน สลับช่องกันไป
คำหล้าชะโงกหน้ามองไปด้านหน้าถนนก็เห็นผู้คนกำลังเดินข้ามถนนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งเด็กนักเรียน ชายหญิงวัยทำงาน ที่แต่งตัวสวยหล่อกันทั้งนั้น
ทางด้านเพ็ญนภา หรือปี้เพ็ญของคำหล้ากำลังอยู่ในอาการพะว้าพะวง เพราะเธอรู้ดีว่าวันนี้เธอต้องเดินทางไปรับคำหล้า แต่ลูกสาวคนเดียวของเธอไม่สบายมาก สามีก็ไปทำงานต่างจังหวัด มิหนำซ้ำรถของเธอก็ดันสตาร์ทไม่ติดอีก เธอติดต่อไปยังญาติที่อยู่ไม่ไกลจากกันนักให้มาดูการของลูกสาว ส่วนเธอจะออกไปรับคำหล้า แต่นี่เกือบจะหกโมงเช้าแล้ว ญาติของเธอยังไม่มา แต่เพ็ญนภาก็คิดว่าคำหล้าคงจะยืนรอเธออยู่ตรงนั้น หรือถือที่อยู่ไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รถไฟ เพื่อขอความช่วยเหลือ
เพ็ญนภามองดูหน้าปัดนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว คำหล้าเอ๋ยจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

น้าอีกไกลไหมกว่าจะถึง 
ตอนนี้รถวิ่งเข้าสู่ถนนลาดแพร้วแล้ว อาจจะช้าหน่อยเพราะไม่รู้จักบ้านเดี๋ยวให้น้าไล่ไปตามเลขที่บ้าน
อีกไม่นานรถมาหยุดอยู่ที่บ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดหลังหนึ่ง ด้านหน้ามีป้ายบอกว่าบ้านเลขที่ ๑๓๕ แม่นแล้วบ้านปี้เพ็ญแน่นอน คำหล้าดีใจจนหลุดพูดภาษาถิ่นออกมา
ขอบคุณน้านักๆ เน้อ ตี้มาส่งข้าเจ้า นี่สตังค์ค่ารถ ตี้เหลือบ่ต้องทอน
คำหล้ายื่นธนบัตรฉบับละ๑๐๐ บาท ให้กับคนขับรถ ชายคนเดิมขนสัมภาระลงจากรถมาวางไว้หน้าบ้าน พร้อมกับกดกริ่งหน้าบ้าน และยืนรออยู่เป็นเพื่อนสาวน้อยจากเมืองเหนือ กระทั่งมีใครคนหนึ่งออกมาจากตัวบ้าน
ปี้เพ็ญ ปี้เพ็ญ แต้ๆ คำหล้ามาแล้ว มาเปิดประตูฮื้อคำหล้าหน่อยเต๊อะ
เพ็ญนภากึ่งโล่งใจกึ่งดีใจ ที่คำหล้าสาวน้อยจากเมืองเหนือที่เธอกำลังเป็นห่วง บัดนี้มายืนอยู่หน้าบ้านเธอเรียบร้อยแล้ว
พี่ขอโทษนะคำหล้า ที่ไม่ได้ไปตามนัด แล้วมาได้อย่างไรกัน เพ็ญนภาสอบถามคำหล้า
น้าคนนี้เขามาส่ง คำหล้าพูดพลางชี้มือไปที่โชเฟอร์แท็กซี่
เพ็ญนภากล่าวขอบคุณโชเฟอร์แท็กซี่ ที่มีน้ำใจพามาส่ง และเมื่อกล่าวขอบคุณกันแล้วเพ็ญนภาช่วยคำหล้ายกสัมภาระเข้าบ้าน พร้อมกับฟังคำหล้าเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ออกจากเชียงรวย จนมาถึงหน้าบ้านเพ็ญนภา เธอจัดแจงให้คำหล้าพักห้องรับรองแขก ก่อนจะให้คำหล้าไปพักผ่อน เพ็ญนภากล่าวคำขอโทษคำหล้าอีกครั้งที่ไม่สามารถไปรับได้ตามสัญญา
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จสรรพ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทำให้คำหล้าผล็อยหลับไป แต่ก่อนที่จะหลับตาลง เธอคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ปี้เพ็ญจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหนกันนะ				
5 มิถุนายน 2553 13:47 น.

ความรักใต้สะพาน

สมภพ แจ่มจันทร์

ฤาฟ้าฝนจะจงใจ ถาโถมความปวดร้าวมาให้ฉัน ก้อนสีทึบทึมเทาหม่น เคลื่อนตัวเองมาบดบังสำแสงสีทองแห่งชีวิตที่กำลังจะรุ่งโรจน์ ฉันนั่งรอบัญชาจากสวรรค์ที่กำลังจะลิขิตให้ชีวิตฉันเป็นเช่นไร
ไม่นานนักคนบนฟ้าก็ส่งสายฝนมาสัมทับกับสายน้ำที่ไหลรินออกมาจากสองตาของฉัน
ฤาสวรรค์จะกลับใจรีบเก็บความสุขคืนไปจากใจฉัน มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เมื่อวานฉันยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอย่างเต็มปรี่ เมื่อวานซืนฉันยังหัวเราะร่า เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันยังมีความหวังที่จะสร้างอนาคตที่สดใส เมื่อเดือนก่อน.... และเมื่อปีก่อน.... แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้จบสิ้นแล้ว
ฉันไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรอีกต่อไป
โอ้ชีวิตหนอชีวิต
ฉันยังหาบทสรุปให้ตัวเองไม่ได้ ว่าต่อไปชีวิตจะดำเนินไปในทิศทางใด
คนที่ฉันรัก และคนที่รักฉัน และอนาคตที่ฉันหวังไว้ แต่วันนี้มันได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว 

ผมเสียใจ เราคงไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ เราจบกันแค่นี้เถอะนะ
นี่หรือคือสิ่งที่ได้ตอบแทนมาสำหรับ 10 ปี แห่งความรักและความภักดี ที่ฉันมอบให้เขาคนนั้น คนที่ฉันรัก รักจนหมดหัวใจ เหมือนวิญญาณหลุดลอยออกไปจากร่าง ฉันเหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้จะไปในทิศทางใด ทันทีที่เขาใช้คำพูดประโยคนั้น กรีดแทงเข้าไปในใจฉัน

พระอาทิตย์แอบหนีฉันไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฤาจะหนีไปพร้อมกับสายฝน โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวรอบๆ ตัวฉันมีเพียงความมืดเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนยามทุกข์และท้อใจเช่นนี้ 
ฉันอยากตาย
วูบหนึ่งในความคิด
เมื่อไม่มีเขาแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ครอบครัวแสนอบอุ่น บ้านหลังเล็กๆ ที่มีฉัน เขา และลูกของเรา มันจบไปหมดสิ้นแล้ว
บัดนี้ฉันแทบแยกไม่ออกระหว่างน้ำตากับน้ำมูกน้ำลาย ที่พร่างพรูออกมาพร้อมๆ กัน มันน่าทุเรศสิ้นดี
บัดซบที่สุด น้ำตาเจ้ากรรมยังไหลอยู่ไม่ยอมหยุด
ในเมื่อไม่มีเขาแล้ว ฉันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าต่อไปไม่มีเขาอยู่ฉันก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ 
และแล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง ฉันจะต้องตาย ต้องฆ่าตัวตาย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ความทรมานก็กำลับเผชิญอยู่นี้
ใช่แล้ว นั่นคือทางออกทางเดียวของฉันที่มีอยู่ในตอนนี้ แล้วจะเอาวิธีไหนดีหล่ะ
ฉันครุ่นคิดถึงหลากหลายวิธีการทำอัตวิบากกรรม

กระโดดตึกลงไปเลยมั้ย นี่ชั้น 11 มันจะสูงพอมั้ย หรือต้องขึ้นไปชั้นที่สูงกว่านี้ แต่ถ้ากระโดดลงมาแล้วไม่ตายล่ะ แข้งขาหักหรือเป็นอัมพาต เราคงพิการไปตลอดชีวิต มันคงทรมานน่าดู ไม่เอาดีกว่า

หรือกรีดข้อมือปล่อยให้เลือดค่อยๆ ไหลออกจากตัว ให้ตายไปช้าๆ เหมือนในหนังในละคร แต่มันจะเจ็บมากไหมละนี่
ไม่เจ็บหรอก หามีดคมๆ สิ กดลงไปแรงๆ แล้วกรีดเลย ไม่เจ็บหรอก
แต่...แค่มีดเหลาดินสอบาดมือ ฉันยังเจ็บไปตั้งหลายวัน
อย่าคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตายไม่ได้นะสิ
ฉันค้นหาคัตเตอร์ที่โต๊ะทำงาน พยายามค้นหาจำได้ว่าเคยมีอยู่อันหนึ่ง แต่ตอนนี้มันหายไปไหน ฉันชักหัวเสีย เอ่อ ไม่เป็นไร เอามีดปอกผลไม้ก็ได้
ฉันเดินเข้าไปในครัว หยิบมีดปอกผลไม้มาหนึ่งอัน ลองลูบคมมันดู โธ่เอ๊ย วันก่อนฉันใช้มันหั่นมะนาวยังไม่ระคายแม้แต่ผิวเปลือกเลย 
ทำไม จะตายทั้งทีมันถึงได้ยากเย็นนัก ต้องหาวิธีใหม่
โธ่ สวรรค์หรือนรกก็ช่าง ช่วยเปิดทางให้ฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันย้อนกลับมาที่เก้าอี้ตัวเดิม นั่งตัวตรงแล้วพยายามครุ่นคิดถึงวิธีการตายแบบอื่น
กินยาดีกว่า กินยาแก้ปวด ยาพารา กินเข้าไปมากๆ เดี๋ยวน้ำลายก็ฟูมปากเหมือนในละคร แต่ทั่วทั้งห้องมียาพาราเหลืออยู่แค่ 3 เม็ด มันจะตายไหมเนี่ย
แต่ฉันก็ยังไม่ละความพยายาม หรือจะเอาหัวชนกำแพงเหมือนในหนังจีน เวลาที่นางเอกหนีพิธีแต่งงานอะไรทำนองนั้น 
ถ้าไม่ตายหล่ะ ก็ต้องหัวแตก หรือหัวปูดเป็นลูกมะนาว อายเขาแย่ ไม่เอาดีกว่า
กัดลิ้นตัวเอง ฉันลองขบลิ้นตัวเองดูเบาๆ อย่างตั้งใจ แต่ก็ถึงกับต้องร้องออกมา เพราะมันเจ็บจริงๆ 
ทำไมๆ ๆ ๆ สวรรค์ถึงกลั่นแกล้งฉัน
ประทานความสุขให้ฉันเพียงชั่วครู่ แล้วก็พรากความสุขนั้นไปจากฉัน 
กมล ฉันเอ่ยชื่อเขาเบาๆ ในลำคอ
ฉันไม่ดีตรงไหน เธอใช้เหตุผลที่เราเข้ากันไม่ได้ แต่ความจริงคือเธอมีคนอื่น คนอื่นที่เธอรัก คนที่ไม่ใช่ฉัน ชีวิตฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ 
สิ้นสุดความคิดดวงตาทั้งสองข้างของฉันก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำที่หลั่งไหลออกมาจากความรู้สึกเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ กมล สุดที่รักของฉัน
ตาของฉันสอดส่ายไปทั่วห้อง ใช่แล้ว ผูกคอตาย 
ฉันค้นหาเชือกไนล่อนได้มา 1 เส้น ความยาวประมาณ 3 เมตรเห็นจะได้ คราวนี้ฉันได้ตายสมใจแน่ เพราะคนเราถ้าขาดอากาศหายใจเพียง...นาที ก็ต้องตาย แต่ในห้องฉันไม่มีขื่อ แล้วฉันจะผูกกับอะไรดีหล่ะ 
ทำไมมันถึงได้ตายยากตายเย็นอย่างนี้นะ 
นาฬิกาบอกเวลา 21.00 น.
3 ชั่วโมงผ่านไป ที่ฉันนั่งร้องไห้คร่ำครวญ และคิดหาวิธีการตายอยู่หลายหลาก ตอนนี้ก็ยังไม่สัมฤทธิผล น้ำตาเริ่มซึมมาอีกระลอก 
3 ทุ่มแล้วสินะ มันเป็นเวลาปกติที่กมลต้องโทรมาหาฉัน แต่วันนี้และวันต่อๆ ไป คงไม่มีใครโทรหาฉันอีกแล้ว ไม่มีใครอีกแล้ว ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น มันยิ่งเหมือนลิ่มตัวใหญ่ตอกเข้าไปกลางหัวใจฉัน 
กมล ฉันทำอะไรผิดหรือ
มีเพียงคำถามนี้เท่านั้นที่ฉันนึกได้ในเวลานี้ 
กระโดดน้ำ
มันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะฉันว่ายน้ำไม่เป็น แค่วูบเดียวเท่านั้น แล้วฉันก็จะสบาย ฉันตัดสินใจเลือกเอาวิธีการกระโดดน้ำเป็นทางออกสำหรับชีวิตรักที่แพ้พ่ายของฉัน 
พอกันเท่านั้น ชีวิตนี้อยู่ไปโดยไร้เขา ก็ไม่มีประโยชน์
ฉันปิดหน้าต่างปิดไฟ ล็อคห้อง แล้วเดินออกมายืนรอลิฟท์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสะพาน สะพานที่ไหนซักที่หนึ่ง เท่านั้นเองเรื่องราวภายในคืนนี้ก็จะจบลง

เสียงฟ้าคำรามมาอีกระลอกใหญ่ ต้นไม้ลู่ตามแรงลม ชั่วอึดใจน้ำทั้งฟ้าก็พร้อมใจกันเทกระหน่ำลงมา ราวกับจะมาส่งฉันอย่างนั้นแหละ อีกนิดเดียวเท่านั้นความทุกข์ที่ฉันมีอยู่ก็จะหายไป

ฉันยืนอยู่หน้าคอนโด มีผู้คนร่วมยืนอยู่กับฉันหลายคน หลายคนจ้องมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ คงเป็นเพราะดวงตาที่บวมช้ำกระมัง เพราะฉันร้องไห้มาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่ฉันไม่ได้สนใจสายตาพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ฉันสนใจคือการเดินทางออกไปสะพานแห่งไหนแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง
ฉันเรียกแท็กซี่ปลายทางที่สะพานพระราม 7 
สุสานของฉัน ฉันรำพึงกับตัวเอง 
ไม่นานนักฉันก็มายืนอยู่ใต้สะพานพระราม 7 ฝนฟ้ายังกระหน่ำไม่ลืมหูลืม ฉันก้าวเท้าเดินไปยังริมตลิ่ง เพื่อไปพบจุดจบของชีวิต 
ลาก่อน กมล คนที่ฉันรัก ชีวิตนี้ถ้าไม่มีเธอฉันก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่
แม่หนู แม่หนู จะไปไหน แถวตลิ่งน้ำนั้นมันลื่นนะ อย่าเดินเข้าไป เดี๋ยวตกน้ำตกท่าไปละแย่เลย
ฉันหันไปตามต้นหาต้นเสียงนั้น
ภาพหญิงชราคนหนึ่ง แต่งตัวขะมุกขะมอม เสื้อคอกระเช้าสีมอๆ ทับด้วยเสื้อแขนยาวสีดำที่มีแต่รอยปะชุน ผ้าถุงเก่า แทบจะไม่เห็นลายตัวนั้น กวักมือเรียกฉัน
เร็ว รีบเดินกลับมา ฝนตกหนักอย่างนี้มีหวังน้ำท่วมตลิ่งแน่เลย
ฉันยังไม่มีคำตอบใดๆ ให้หญิงชราคนนั้น ได้แต่ยืนทำหน้างงๆ แทนคำพูด
บอกแล้วยังมามองหน้าอีก เด็กสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด ขึ้นมาเร็วๆ
ไม่พูดเปล่า หญิงชราคนนั้นเดินเข้ามาจับที่ข้อมือฉันแล้วกระตุกให้เดินขึ้นจากตลิ่ง
มาทำอะไรมืดๆ ค่ำๆ แถวนี้ รู้มั้ยมันอันตรายนะลูก เด็กดมกาวก็เยอะเดี๋ยวมันปล้นมันจี้เอา โชคร้ายก็โดนเอาไปรุมโทรม เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวเอาไว้
หญิงชรายังพูดไม่หยุด ส่วนตัวฉันยังไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากแม้แต่คำเดียว มีเพียงหญิงชราเท่านั้น ที่พูดไป จูงมือฉันไป
มาทำอะไรที่นี่มืดๆ ค่ำๆ
เอ่อๆ...
ฉันไม่กล้าที่จะบอกความจริงว่าฉันมาเพื่อฆ่าตัวตาย
ยายอยู่ใต้สะพานนี้แหละ คืนนี้ฝนมันตกหนักจริงๆ วุ้ย นอนไม่ได้เลย น้ำรั่วเข้าที่นอน เปียกไปหมด นอนก็ไม่ได้ แถมยังตาแก่ยังมาไข้ขึ้นอีก ฝนฟ้าเทวดาเอ๋ย ทำไมใจร้ายจริงวุ้ย ลำพังฟ้าฝนไม่ตกก็อยู่กันลำบากอยู่แล้ว นี่ยังจะมากลั่นแกล้งอีก กระดาษที่เก็บมาก็เปียกหมด พรุ่งนี้คงขายไม่ได้ เทวดาเอ๋ยทำไมแกล้งคนจนอย่างนี้
หญิงชราพร่ำบ่นถึงความเป็นอยู่อันอัตคัด ที่ฉันกำลังเห็นในขณะนี้
ยายอยู่ที่นี่หรือคะ
ประโยคแรกที่ฉันสนทนากับหญิงชรา
เอ่อ ซิวะ
ยายอยู่ใต้สะพานนี้แหละ โน้นงัยบ้านยาย
หญิงชราชี้ไปที่ใต้สะพาน 
บ้านเหรอ ฉันเห็นแล้วอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ เพราะนั่นมันไม่มีสภาพไหนเลยที่บ่งบอกว่าเป็นบ้าน ที่นั่นเป็นเพียงเพิงไม้อัด ที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านด้วยป้ายโฆษณา มีช่องเล็กๆ เป็นประตู มีเพียงป้ายโฆษณาเก่าๆ เท่านั้นที่ทำหน้าเป็นบานประตูปิดกั้นเพื่อแยกความเป็นส่วนตัวของบ้านที่แกพูดถึง
แล้วมาทำอะไรที่นี่ มืดค่ำๆ มันอันตรายนะนังหนู
หนูมาหลบฝนค่ะ ฉันโกหก
เอ่อมาหลบฝนก็ดีแล้ว นึกว่าจะมากระโดดน้ำตาย หลายวันก่อนก็มีมาคนหนึ่ง ยายออกมาเบาเห็นตอนกระโดดพอดี จะช่วยก็ช่วยไม่ได้ ไอ้ตัวเราก็แก่แล้วแม้จะว่ายน้ำเป็นก็ช่าง น้ำเชี่ยวขนาดนี้ ถ้ากระโดดตามลงไป มีหวังตายตามกันไปแน่ๆ แต่ถ้าตายไปจริงๆ ไอ้ลำพังตัวยายเองไม่เท่าไหร่แก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ ยังห่วงก็แต่ไอ้แก่ มันยิ่งป่วยกระเสาะกระกระแสะอยู่ ถ้าปล่อยมันอยู่คนเดียวมีหวังแย่แน่ๆ เลย
แล้วสามียายป่วยเป็นอะไรเหรอคะ ฉันเริ่มต้นประโยคสนทนา
ก็บอกแล้วไงว่ามันไข้ขึ้น
แล้วทำไมไม่ไปโรงพยาบาลละคะ
ได้ยาพาราไป 2 เม็ดตั้งแต่ 6 โมงเย็น ป่านนี้ไข้ยังไม่ลดเลย หญิงชราตอบในคำถาม
แล้วตากับยายไม่มีลูกหลานเหรอคะ
ก็มีอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้มันไปอยู่ที่ไหนกันหมด
แล้วเอ็งละอีหนู มาทำอะไรแถวนี้ถึงได้มาติดฝนที่นี่ได้ แถวนี้มืดๆ ค่ำๆ ไม่ค่อยมีใครกล้ามาเดินหรอก ดีหน่อยที่ตากับยายมันแก่แล้ว ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี หางตาของไอ้พวกสวะนั่นมันเลยไม่แล
ฉันพยามนึกหาคำตอบที่ดูดีที่สุด
เอ่อ...หนูมาหาลูกค้าแล้วนี้แล้วหลงทางพอดีฝนตก ก็เลยวิ่งมาหลบฝนตรงนี้ค่ะ ฉันโกหกยายอีกครั้ง
แล้วยายอยู่ที่นี่มานานหรือยังคะ
หลายปีแล้ว เมื่อก่อนยายอยู่ที่นครสวรรค์โน้น ลูกหลานเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ กันหมด มันบอกขอเงินไปทำทุนค้าขาย ยายรึก็เอาที่นาไปจำนอง แต่ไม่รู้เวรหรือกรรม พอมันได้เงินมันก็หายจ้อยไปหลายปี ที่นาถูกยึดหมด ตากับยายก็เลยมาตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพฯ นี่แหละ

อ้าว แล้วทำไมยายไม่อยู่ที่นครสวรรค์นั่นละคะ ยายไม่มีญาติพี่น้องบ้างเลยหรือ?

ไอ้มีน่ะ มันก็มีอยู่หรอก แต่อย่างว่า พอเข้าตาจนแม้แต่เลือดสีเดียวกันมันก็เปลี่ยนไป ตอนเอาที่นาไปจำนองใหม่ๆ มีเงินก้อน คนโน้นก็มาพึ่งคนนี้ก็มาอาศัย หยิบยืมต่อไปคนละเล็กคนละน้อย แต่พอไม่มีไปทวงมันมันตอบมาคำเดียวว่า กูก็ไม่มีเหมือนกัน

ฉันนั่งฟังยายเล่าเรื่องจนลืมถึงเรื่องของตัวเอง ลืมเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำไปโดยสิ้นเชิง
ยายมีลูกสาว 2 คน คนแรกแต่งงานมีลูกมีผัวอยู่กำแพงเพชรโน่น แต่ตั้งแต่มันเลิกกับผัวมัน ยายก็ติดต่อมันไม่ได้อีกเลย ได้ข่าวว่ามันไปทำงานที่ภาคใต้ ส่วนอีกคนยายมีเพียงที่อยู่ ที่มันเคยส่งเงินมาให้ 2-3 งวด ก่อนมันจะหายไป มันอยู่แถวเตาปูน ยายเลยตัดสินใจชวนตามาหามัน แต่พอมาแล้วชาวบ้านเขาบอกว่ามันเคยอยู่ที่นี่แต่หายไปหลายเดือนแล้ว ตากับเลยมานั่งพักใต้สะพานนี่แหละ เห็นว่ามันพอหลบฝนได้ ก็เลยอยู่มาจนถึงวันนี้
ระหว่างที่ฉันกับยายนั่งคุยกันนั้น ก็มีเงาตะคุ่มๆ ออกมาจากช่องที่แกเรียกว่าประตูบ้านของแก
ยายนั่นแกคุยกับใครอยู่ ข้าหิวน้ำ หาน้ำให้ข้ากินหน่อย
เสียงแหบพร่าของชายชรา คู่ชีวิตของยายนั่นเอง
ได้ๆ ไอ้แก่แล้วนี่เอ็งจะลุกขึ้นมาทำไม
ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าหิวน้ำ
ฉันมองดูในกระเป๋าถือ มีน้ำขวดเล็กติดมาจากที่ทำงานพอดี
ยายคะถ้าไม่รังเกียจ เอาน้ำของหนูให้ตากินก็ได้นะคะ ฉันไม่พูดเปล่า รีบลุกขึ้นเดินไปหาชายชรา พร้อมกับเปิดฝาขวดน้ำส่งให้ในทันที
ชายชรามองหน้าฉันอย่างสงสัยก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม
เอ่อ มาทำธุระแถวนี้ พอดีติดฝน คุณยายก็เลยคุยเป็นเพื่อนค่ะ แล้วคุณตาละคะเห็นคุณยายบอกว่าไม่ค่อยสบาย ค่อยยังชั่วขึ้นหรือยังคะ
ขอบใจมากลูก ขอให้เจริญๆ นะแม่คุณ หน้าตาสวยแล้วยังมีน้ำใจกับคนแก่อีก เสียงแหบพร่าของชายชราเอ่ยกับฉันอย่างจริงใจ
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  ฉันเอื้อมมือไปจับที่แขนของชายชรา เนื้อตัวยังอุ่นๆ แสดงว่าอาการไข้เพิ่งจะลดลง แต่ยังไม่หาย ยิ่งอากาศเย็นกับไอฝนด้วยแล้ว ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอาทิตย์กว่าอาการจะหายเป็นปกติ
ตาเอ๊ย รีบเดินเข้าไปเถอะ เดี๋ยวเจอละอองฝนจะหนักไปกันใหญ่ ยายรีบบอกตาให้กลับเข้าไปนอน ไม่พูดเปล่ายายเดินเข้าไปจับแขนตา แล้วพยุงร่างผอมเกร็งนั้นเข้าไปในสถานที่ที่แกเรียกว่าบ้าน
ฉันเดินตามเข้าไปโดยไม่ได้รับเชิญ

คุณพระคุณเจ้าช่วยฉันทีเถิด นี่นะหรือที่ยายแกเรียกว่าบ้าน แสงไฟสีส้มจากหลอดไส้ สะท้อนให้ฉันเห็นด้านในเพิงนั้น แม้จะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ภาพทุกอย่างชัดขึ้นในราตรีกาลเช่นนี้ ถ้ามองจากซ้ายมือของฉันด้านในมีแคร่ไม้อยู่ 1 ตัว วางชิดกับผนังด้านที่ติดกับเสาสะพาน บนแคร่ไม้มีเสื่อกับหมอนสองใบ และผ้าห่มผ้าสักหลาดเก่าๆ กองอยู่ มุ้งแทบจะไม่เห็นเป็นสีขาว พื้นเปียกจากน้ำฝนที่วายุเทพพัดพาเข้ามา ถัดจากแคร่ไม้นั้น เป็นลังไม้เก่าๆ ที่วางซ้อนกัน เพื่อดัดแปลงเป็นโต๊ะอาหาร เพราะฉันเห็นด้านบนลังไม้นั้น มีถ้วยอยู่ 2-3 ใบ และกระติกน้ำสีมอๆ อยู่ 1 อัน 

สายตาฉันมองเลยไปเห็นเป็นกองกระดาษนานาชนิดที่ด้านล่างเปียกชื้นไปหมดแล้ว และรถเข็น 4 ล้ออีก 1 คัน หรือเปล่าฉันก็เรียกไม่ถูก ด้านในรถเข็นประกอบด้วยขวดนานาชนิด ซึ่งถ้าฉันเดาไม่ผิด คงจะเป็นค่าอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน

ผนังอีกด้านมีลังไม้ที่ยกซ้อนกันทำเป็นโต๊ะอีกเช่นกัน ชั้นล่างลังไม้ถูกคว่ำลง ส่วนชั้นบนสุดลังไม้ถูกหงายขึ้นแล้วทำเป็นตะกร้าใส่เสื้อผ้า
นี่หรือบ้าน สะท้อนเสียงจากในใจ
กลิ่นเหม็นอับโชยมาเป็นระยะตามแรงลม ฉันแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็แปลกที่สองตายายกลับอยู่ได้อย่างไม่รับรู้ถึงกลิ่นแปลกปลอมเหล่านั้น
เพราะความเคยชินหรือเพราะความจำยอม
โอ๊ยยาย ข้าหนาวเหลือเกิน ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด หัวหนักเหมือนใครเอาหินมาถ่วงไว้ ชายชราบอกกับคู่ชีวิต
เอ็งก็นอนลงเสียเถอะ ข้าจะห่มผ้าให้ หญิงชราดึงผ้าสีมอซอ ที่แกเรียกว่าผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของชายชรา
นอนไปก่อนเถอะวะ ไว้ฟ้าสางข้าจะเอาขวดพวกนี้ไปขาย คงพอซื้อยากับข้าวต้มมาให้แกกิน
หญิงชรานั่งบนแคร่ไม้เคียงข้างผู้เป็นสามี พร้อมกับนวดที่ฝ่ามือของชายชราเบาๆ ปากก็พร่ำพูด ตาเอ๊ย เอ็งอย่าเป็นอะไรไปนะ ถ้าเอ็งเป็นอะไรไปข้าจะอยู่กับใคร 
ยายคะ ตาป่วยมากี่วันแล้วคะ? ฉันอดที่จะถามไม่ได้

หลายวันแล้ว กินยาแก้ปวดเข้าไป มันก็เหมือนจะหาย แล้วมันก็กลับมาเป็นอีก เมื่อวานยายก็ปล่อยให้อยู่คนเดียวทั้งวัน ยายออกเก็บกระดาษเก็บขวดคนเดียว ยาเดี๋ยวนี้มันก็แพงเหลือเกิน ขายขวดได้มา 30 บาท พอซื้อยาได้แผงเดียว ปลาทูหัวขาด 2 ตัว ดีนะที่นังติ๋มร้านลาบมันแบ่งข้าวเหนียวมาให้ พอได้กินก่อนกินยา
ฉันยืนมองดูภาพหญิงชราเนื้อตัวมอมแมมนั่งคลึงมือให้ชายชราผอมเกร็งอยู่พักหนึ่ง
นี่หรือคือความรัก หญิงชราคงรักคู่ชีวิตของนางมาก ถึงได้อยู่ด้วยกันมายาวนานขนาดนี้ ในยามลำบากเช่นนี้ก็ยังไม่คิดจะทิ้งกัน ฉันว่านี่แหละความรัก
ฉันดึงสติออกมาจากภวังค์ ยายคะ ให้หนูพาตาไปหาหมอนะคะ โรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ นี้เอง 
ขอบคุณมากอีหนู ไม่เป็นไรหรอก ยายไม่อยากรบกวน ตากับยายมันแก่แล้วก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เงินทองมันของหายากเอ็งเก็บไว้ใช้เถอะ กินยาแก้ไขไปอีกสัก 2 เม็ดเนื้อตัวคงเย็นกว่านี้ หญิงชราสนทนากับฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะคะ ยายว่าที่นี่อันตรายยายก็ช่วยหนูด้วยการมานั่งเป็นเพื่อนหนูเพื่อรอให้ฝนหยุด  ส่วนหนูก็จะจะตอบแทนยายด้วยการพาตาไปโรงพยาบาล ถือว่าเราแลกเปลี่ยนกัน ถ้ายายไม่ยอมให้หนูพาตาไปโรงพยาบาลยายก็รับเงินนี่ไป
ฉันหยิบธนบัตรสีเทาขึ้นมาหนึ่งใบแล้วส่งให้หญิงชราผู้โชคดีหรือโชคร้ายคนนั้น
เก็บเงินเอ็งไว้เถอะวะ ข้าไม่ใช่ขอทาน ยายพูดด้วยน้ำเสียงขัดเคียง
หนูขอโทษคะยาย หนูไม่ได้คิดอย่างนั้น ก็หนูบอกแล้วไงว่ายายช่วยหนู หนูก็ต้องตอบแทนน้ำใจของยาย หนูถึงให้ยายเลือกระหว่างเงินนี่กับพาตาไปหาหมอ ยายอย่าโกรธหนูเลยนะคะ หนูอยากช่วยจริงๆ ฉันรีบชี้แจง
หญิงชราเริ่มมีอาการผ่อนคลายลง

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงฟ้าคำรามมาอีกระลอก ราวกับใครข้างบนจะส่งสัญญาณว่าวสันต์ฤดูได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เอาเถอะยาย ฉันรบเร้า นี่ฝนก็ตกหนักขึ้นทุกทีๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 
หนูว่าขืนปล่อยให้ตานอนอยู่ที่นี่ถึงพรุ่งนี้เช้า อาการของตาจะทรุดหนักกว่านี้นะคะ

ฉันพยายามหว่านล้อมหญิงชราทุกวิถีทาง จนในที่สุดหญิงชราก็ยอมให้ฉันพาคู่ชีวิตของแกไปโรงพยาบาล
ฉันโทรศัพท์ไปยังศูนย์บริการแท็กซี่ ซึ่งก็นานกว่าจะมีแท็กซี่ยอมมารับ เพราะที่นี่เปลี่ยวและน่ากลัวๆ จริงๆ ฉันเองก็ยังงงๆ ว่าตอนแรกที่ฉันมาแท็กซี่กล้าเข้ามาได้อย่างไร ซึ่งก็ถือว่าฉันโชคดีมาก เพราะในตอนที่ฉันนั่งรถเข้ามานั้น สติของฉันมันกระเจิดกระเจิงไปหมด ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น ถ้าคนขับแท็กซี่มาจากนรกละก็ฉันคงได้ตายสมใจ แต่อาจจะตายพร้อมกับเป็นข่าวหน้า 1 ก็ได้

คืนนั้นฉันพาตากับยายไปโรงพยาบาลใกล้ๆ นั่น ฉันรับเป็นเจ้าของไข้ เบ็ดเสร็จค่าใช้จ่ายทั้งหมด เกือบ 5,000 บ. หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ตาอาจจะเป็นปอดปวม เพราะแกไม่ชอบใส่เสื้ออยู่แล้ว แล้วยิ่งมาเจอสภาพอากาศอย่างนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งตอนหลังตาเล่าให้ฉันฟังว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนฝนกำลังจะตั้งเค้า ตารีบเอาขวดออกไปขายเพราะตอนนั้นทั้งสองตายายมีเงินติดกระเป๋าไม่ถึง 5 บาท จึงต้องรีบออกไป เพราะถ้าปล่อยให้ฝนตก กระดาษที่เก็บมาอาจขายไม่ได้ โดยตาไม่ให้ยายออกไปด้วยเพราะกลัวยายจะโดนฝนแล้วไม่สบาย  แต่ระหว่างทางกลับฝนเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ตาเห็นว่าใกล้จะถึงแล้วจึงรีบฝ่าฝนกลับมา สุดท้ายก็อยู่ในสภาพที่เห็นนี่แหละ

ความรัก ความห่วงหาอาทร มันไม่เคยหมดไปจากใจของผู้เฒ่าทั้งสองเลยแม้แต่เศษเสี้ยว แม้ว่าเวลาจะผ่านมานาน นับตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยใกล้ฝั่งเช่นนี้ ทั้งสองยังคงรักกันและห่วงหาอาทรกันอยู่เป็นนิจ 
ก่อนตาจะออกจากโรงพยาบาล ฉันไปติดต่อไปที่ประชาสงเคราะห์ว่าจะช่วยอะไรสองตายายได้บ้าง พอเจ้าหน้าที่ทราบรายละเอียดจากฉันคร่าวๆ แล้วฉันก็พาเจ้าหน้าที่มาพบทั้งสองที่โรงพยาบาล พอตาออกจากโรงพยาบาล ผู้เฒ่าทั้งสองก็ย้ายจากใต้สะพานไปอยู่บ้านพักของกรมประสงเคราะห์ ซึ่งเจ้าหน้าที่รับปากว่าจะติดตามหาลูกสาวทั้งสองคนของแกให้ แต่ดูท่าทางผู้เฒ่าทั้งสองไม่สู้จะดีใจเท่าไหร่กับเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะตามหาลูกสาวให้ แต่ทั้งสองผู้เฒ่ากลับบอกว่า
จะให้ข้าที่ไหนข้าก็อยู่ได้ แต่ที่นั่นต้องมีเอ็งอยู่ด้วย ใครไปก่อนก็ให้อีกคนไปเผาผีให้
นี่นะหรือคือความรัก ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะสามารถรักใครคนหนึ่งได้ยาวนานเหมือนที่ผู้เฒ่าทั้งสองรักกันได้หรือไม่
ก่อนบอกลาสองผู้เฒ่า ท่านทั้งสองต่างขอบอกขอบใจและอวยชัยให้พรฉัน ส่วนฉันก็สัญญาว่าจะมาเยี่ยมในวันหยุด
ฉันเดินมาถึงประตูใหญ่ของศูนย์ ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก เมื่อหันหลังกลับไปเห็นสองผู้เฒ่ายืนโบกมือให้ฉันอยู่ใต้ต้นก้ามปู ก่อนที่ฉันจะหันไปยิ้มให้ท่านทั้งสองอีกครั้งและก้าวขึ้นรถแท็กซี่ออกไป

ฉันกลับมานั่งในห้อง ที่เดิมที่ที่ฉันกับกมลเคยนั่งจิบกาแฟด้วยกัน ฉันมองไปทั่วทุกมุมห้องภาพของกมลยังคงติดอยู่ในหัวสมอง แต่คราวนี้ฉันไม่พยายามสลัดภาพนั้นออกไป แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือการยอมรับความจริง ความจริงที่ว่า เราเลิกกันแล้ว ฉันเองก็ต้องมีมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้

ยิ่งนึกถึงผู้เฒ่าทั้งสองที่มีความรักความห่วงใยให้กันมากมายขนาดนั้น ฉันยิ่งคิดว่าถ้าหากเป็นฉันกับกมล ในเวลาที่ผ่านไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตเราจะยังคงรักกันอย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่าหากใครคนหนึ่งมีปัญหาเราจะยังอยู่เคียงข้างกันหรือไม่

ฉันกลับมาย้อนคิดดูหลายครั้งหลายครา เมื่อเวลาฉันมีปัญหาหรือตอนลำบาก เขาเองก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือการให้กำลังใจ ฉันจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันลืมเงินสดของบริษัทไว้ในลิ้นชักเกือบแสน แล้วหาไม่เจอ ก็ได้แต่คิดว่าทำเงินหาย ซึ่งฉันเองต้องรับผิดชอบกับเงินจำนวนนั้น ฉันรีบยกหูโทรศัพท์ไปหากมลทันที เขาเพียงแต่บอกว่าลองโทรไปหาที่บ้านสิ เผื่อพ่อกับแม่จะช่วยได้ แล้วเขาก็ไม่ได้ติดต่อฉันอีก จนเมื่อฉันนึกขึ้นได้ว่าเก็บเงินสดไว้ในลิ้นชักด้านในสุด ฉันโทรไปหาเขา เมื่อเขารู้ว่าฉันแก้ปัญหาได้แล้ว เราจึงกลับมาคุยกันได้อีกครั้ง แต่ตอนนั้นมันเหมือนความรักบังตา ฉันไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงแต่ว่าเขาคงงานยุ่ง

เมื่อมาย้อนคิดถึงเรื่องเก่าๆ ดูอีกที มันก็มีช่องว่างที่สามารถทำให้ฉันลืมเขาได้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ เพราะเกือบ 10 ปีที่คบกันมา ความดีของเขาก็มีไม่น้อย แต่ฉันก็ขอขอบคุณสองผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ฉันลืมไปเสียสนิท
พ่อกับแม่ ยังไงหล่ะ ถึงฉันจะไม่มีกมล แต่ฉันยังมีพ่อกับแม่อยู่นี่ ฉันจะไม่ทำตัวเหมือนลูกของสองผู้เฒ่าอย่างแน่นอน 
แม่คะสบายดีไหม อีก 2 วันหนูจะกลับบ้านนะคะ คิดถึงพ่อกับแม่จัง
ฉันวางหูโทรศัพท์ ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะทำงานเพื่อเคลียร์งานก่อนลาพักร้อน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสมภพ แจ่มจันทร์