ตอนที่ 9
“ไอ้กิตติ ไอ้คนสารเลว” ชโลธรโพล่งออกมาเมื่อรู้สึกตัวว่าหลุดออกมาจากความฝันแล้ว
“ต้องเป็นแกแน่ๆ คุณรันเลยต้องหาทางออกด้วยวิธี....ไอ้คุณโชค ไอ้เพื่อนหูเบา” แหม่มสบถออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจรันชรีอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งโดนคนรักหลอก เพื่อนก็ไม่เข้าใจแถมยังหูเบาไปเชื่อคนอื่นอีก
ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองชายทั้งสอง หญิงสาวไม่วายที่ต้องเล่าให้เพื่อนอย่างชมพู่ให้ได้รับรู้เรื่องราวที่เธอเพิ่งได้รับรู้มา เพราะเรื่องทุกอย่างมันคงไม่ใช่การประจวบเหมาะอย่างแน่นอน นับตั้งแต่การไปสำรวจบ้านร้างกับคลื่นวิทยุ ซึ่งได้รับการชักชวนจากก้อยเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ที่นานๆ เจอกันที การได้มาทำงานในเมืองๆ นี้ ที่รันชรีเคยอยู่ ได้ร่วมงานกับกิตติ ชายคนรักของรันชรีและที่สำคัญที่สุดเรื่องราวทุกอย่างของรันชรีถูกถ่ายทอดมาให้ชโลธรได้รับรู้ นับตั้งแต่วันที่เธอได้ไปเยือนบ้านหลังนั้น
วันแรกสำหรับการทำงานเธอพยายามเลี่ยงการพบปะหรือพูดคุยกับกิตติจนเห็นได้ชัด ไม่วายชมพู่จะเตือนว่านั่นคือหัวหน้างาน และเตือนสติให้แยกแยะเรื่องความฝันและเรื่องความจริงให้ขาดออกจากกัน มันก็จริงอย่างที่ชมพู่ว่าหากเธอทำแข็งขืนกับหัวหน้างาน มันย่อมส่งผลให้กับการทำงานของเธอเป็นแน่แท้ เธอจึงเริ่มมีความคิดอีกอย่างเข้ามาแทนที่
หญิงสาวเคาะประตู แล้วเดินเข้าไปในห้องผู้เป็นหัวหน้า พร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ เมื่อวานรู้สึกเพลียมากทำให้ทำงานไม่เต็มที่ ดิฉันขอแก้ตัวใหม่นะคะ”
“ผมเห็นแล้ว มันก็จริงอย่างที่คุณว่า หวังว่าวันนี้และวันต่อไปคงจะไม่เหมือนเมื่อวานนะครับ”
กิตติมองหน้าชโลธรอยู่นิดหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องผงะเมื่อใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นหน้าของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย
“รันชรี”
เขาลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินไปหาหญิงสาว เขาพยายามหลับตาแต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพด้านหน้าก็ยังคงเป็นภาพของรันชรีเช่นเดิม
“คุณกิตติเป็นอะไรไปคะ” ชโลธร เอ่ยถามพร้อมกับเท้าที่กำลังก้าวย่างเข้าไปหา
“รัน คุณจริงๆ ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะ” ผู้เป็นหัวหน้างานพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา พลางเอื้อมมือไปจับมือของหญิงสาวเขาสวมกอดหญิงสาวไว้แน่น
ชโลธรพยายามดิ้นสุดแรงจนหลุดออกจากวงแขนของผู้เป็นหัวหน้า เธอมองหน้าเขาอย่างเพิ่งพินิจ เหงื่อกาฬซึมจากผิวหนังไม่รู้สักกี่หยาดหยด เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเรียกผู้เป็นหัวหน้าด้วยกังวานเสียงอันดุดัน
“คุณกิตติ...”
แล้วภาพรันชรีก็หายไป คงเหลือแต่ชโลธรที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ล้วนแล้วแต่เป็นคำถาม แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
ภาพของรันชรี ปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า
กิตติพาร่างของเขานั้นนั่งลงบนโซฟาภายในห้อง สองมือกุมที่ขมับ เขางุนงงกับภาพที่เพิ่งปรากฏ
“รัน ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะ กลับมาหาผมเถอะ ผมผิดไปแล้ว”
เขารำพึงอยู่ในใจ ความร้อนค่อยแผ่ขึ้นรอบดวงตา น้ำใสอุ่นๆ เริ่มซึมมาที่ขอบตาทั้งสองแล้วหยดลงบนหลังมืออันสั่นเทานั้น
“ผมไม่น่าเลย ไม่น่าทำกับคุณแบบนั้นเลย” ภาพเหตุการณ์เก่าๆ กำลังแล่นเข้ามาในความทรงจำอีกครา
...............................................................................................................
“คุณกิตติ คุณทำได้ดีมากต่อไปนี้หมดหน้าที่คุณแล้ว คุณไม่ควรมาที่นี่อีก ที่เหลือแพรวจะจัดการเอง ส่วนสัญญากู้ยืมแพรวคืนให้คุณ แล้วแต่คุณว่าจะเก็บไว้ดูต่างหน้าหรือจะทำลายมันเสีย และอย่าลืมนะว่าคุณอย่ากลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด” แพรวพรรณพูดด้วยสีหน้าจริงจังและตามด้วยรอยยิ้มที่ร้ายกาจ
มันคือเหตุการณ์หลังจากที่ชันชรีโอนเงินจำนวนนั้นให้เขาเรียบร้อยแล้ว
ย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ภรรยาสุดที่รักและเพื่อนสุดที่รักของเขาสร้างบาดแผลอันฉกาจฉกรรจ์ไว้กับเขา ทั้งคู่หอบเงินเก็บทั้งหมดและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความโกรธแค้น ความเสียใจ ได้ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน เขามุ่งแต่จะแก้แค้นผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิต เขาใช้ชีวิตเยี่ยงเพลย์บอย ทุกที่ที่เขาต้องเดินทางไปทำงาน เขาจะต้องมีผู้หญิงของเขาไว้ที่นั่นเกือบทุกแห่ง เขาจะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นรักและตายใจในความรัก แล้วค่อยหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงต้องเสียใจ ร้องไห้ และทุกข์ทรมานที่สุด นั่นคือความวิปริตทางจิตใจที่เขาเองเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาโดยเฉพาะเรื่องเงิน เขามีความสามารถที่จะดึงเงินจากผู้หญิงเหล่านั้นมาใช้อย่างสบายมือ มันยิ่งเพิ่มความหยิ่งผยองในใจขึ้นเรื่อยๆ
พักหลังเขาเริ่มเล่นการพนัน โดยเฉพาะการพนันบอล ที่เคยนำเงินเข้ามาให้เขาหลายล้านบาท แต่โชคก็ไม่ได้อยู่กับเขาอย่างถาวร เขาเสียพนันบอล จนถูกพวกโต๊ะบอลตามล่า หนี้สินจำนวน 1 ล้านบาท หากในยามที่เขามั่งมี เงินเพียงเท่านี้มันไม่ยากเลยสำหรับเขา ในการสั่งจ่ายเช็ค เขาเครียดมากพยายามขอยืมเงินเพื่อน จนกระทั่งโทรไปยืมเงินน้าของแพรวพรรณ ที่เป็นรุ่นพี่สมัยเรียนหนังสือด้วยกัน และเมื่อเรื่องนี้ถึงหูแพรวพรรณแผนการที่หญิงสาวคิดไว้นั้น ก็เริ่มเดินหน้าทันที
แพรวพรรณนำเงิน 1 ล้านบาทไปจ่ายค่าพนันบอลให้กับเขา โดยทำหนังสือสัญญากู้ยืมระหว่างเขาและแพรวพรรณ แต่มีข้อตกลงว่ากิตติต้องทำงานที่แพรวพรรณมอบหมายให้คือทำให้รันชรีออกไปจากชีวิตโชค แพรวพรรณจะคืนสัญญานั้นให้กิตติทันที เขาพอใจในข้อเสนอ เพราะมันเป็นเรื่องถนัดของเขาอยู่แล้วในการทำให้ผู้หญิงรักและหลง
ในช่วงแรกเขาต้องเลิกติดต่อกับผู้หญิงทั้งหมดที่คบหากันอยู่ เพื่อทำทุกวิถีทางให้รันชรีใจอ่อนให้ได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา รันชรีเป็นคนหัวอ่อน ไม่ยากสำหรับคนที่เจนจัดอย่างเขาจะทำให้เธอใจอ่อนได้ และทุกอย่างมันก็เป็นตามแผนการที่เขาวางไว้ เพียงสองเดือนเท่านั้น เขาก็ทุบกำแพงหัวใจของรันชรีลงได้อย่างง่ายดาย
ระยะเวลาที่เหลือคือผลประโยชน์ล้วนๆ ที่เขาได้รับ นอกจากจะได้เงินค่าตอบแทนจากแพรวพรรณมาใช้หนี้ เขายังได้เงินติดมือจากที่รันชรี ยังไม่รวมถึงการเอาอกเอาใจทุกอย่างจากหญิงสาวที่รันชรีเต็มใจมอบให้เขา อาจจะเรียกได้ว่า รันชรีหลงใหลในตัวเขาอย่างชนิดจะบีบก็ตายจะคลายก็รอดก็ว่าได้
พักหลังเขาเริ่มคบหากับผู้หญิงอื่น ซึ่งเขาสามารถปิดบังรันชรีมาได้ตลอด ดังนั้นระยะหลังๆ เมื่อเริ่มจะแน่ใจว่ารันชรีรักเขาจริงแท้แน่นอน เขามักจะปลีกเวลาไปหาผู้หญิงคนอื่นๆ ของเขาเสมอ รวมไปถึงการหายตัวของเขาก่อนที่จะโทรไปปรึกษารันชรีเรื่องเงินยิ่งรันชรีส่งข้อความถึงเขามากเพียงไร เขายิ่งแน่ใจว่าใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดของการทำงานแล้ว จนกระทั่งเงินถูกโอนเข้าบัญชี
เหมือนหลุดจากข้อพันธนาการ เขากระหายถึงหญิงอื่นที่ไม่ใช่รันชรี
แต่มันเป็นความชั่วร้ายอย่างมโหฬารที่วันนี้เขาไม่อาจให้อภัยตัวเองได้เลย
เขาเดินทางเข้าเมืองกรุง และนำเงินที่ได้มาไปเสพสุขกับหญิงคนใหม่ของเขา โดยไม่สนใจว่ารันชรีจะประสพชะตากรรมเช่นไรต่อไปหลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกอย่างเขาเพียงทำตามสัญญาเท่านั้น แต่เหมือนโลกมันกลม วันหนึ่งที่เขากำลังจะออกจากสำนักงานใหญ่ รันชรีกำลังจะเดินเข้ามาในตัวตึก เขายังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี
เธอเห็นเขาและเขาก็เห็นเธอ ทั้งสองสบตากันไม่กี่วินาที ใบหน้ารันชรีบ่งบอกถึงความหม่นเศร้าอย่างชัดเจน แววตาที่แร้งไร้ซึ่งความสดใส รันชรีถลาเข้าหาเขา แต่เขาเองกลับรีบถอยหลังหนีทันที
“คุณกิตติ คุณทำแบบนี้กับรันทำไม คุณทำกับผู้หญิงที่รักคุณได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา
“ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เขาตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและกำลังจะขยับเท้าเพื่อก้าวออกไปด้านนอก
อีกฝ่ายหนึ่งปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจต่อสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองอยู่และวิ่งตามฝ่ายชายไปแล้วโถมกอดเขาจากด้านหลัง
เธอกอดรัดเขาไว้แน่น แต่เขาก็แกะมือเล็กๆ นั้นออก พร้อมกับมองหา รปภ. ที่กำลังเดินเข้ามาทางเขา
“ผมไม่รู้จักคุณ กรุณาออกไปเถอะครับ ผมไม่อยากให้ รปภ.ต้องเชิญคุณออกไป” เขายังพูดต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ภาพรันชรีทรุดนั่งลงต่อหน้าต่อตา แต่เขาก็มองหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชา ปล่อยให้ รปภ.หนุ่มสองนายประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น
“ว่าไงครับคนดี ผมกำลังจะออกจากบริษัท เดี๋ยวผมขับรถไปรับนะครับ” เขาบอกกับผู้ที่โทรมาแล้ววางโทรศัพท์ทันที
หญิงสาวผู้อยู่เบื้องหน้านั้น กลับมีอาการสงบลง หลังจากที่เขาวางโทรศัพท์
ภาพนั้น...รันชรีตัวอ่อนปวกเปียก มี รปภ.สองคุณพยุงออกไปจากอาคาร เธอหันมามองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าวและนิ่งราวกับหิน ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นหรือคำพูดใดจากปากเธอ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่จ้องมองเขา พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลมาจากดวงตาทั้งสอง เขายืนมองชายสองคนพาเธอออกไป จนลับตา
คงมีเพียงอับอายเท่านั้นที่เขารู้สึกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เขาอายที่รันชรีทำเช่นนี้ เพราะคนที่เห็นเหตุการณ์มีไม่ต่ำกว่าสามสิบคนเป็นแน่ เขาไม่อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป เพราะเขายังมีใครอีกคนหนึ่งที่รอเขาอยู่...
ใช่...นั่นคือ...ผู้หญิงคนใหม่...ของเขา
ทั้งสาวกว่า สวยกว่า และที่สำคัญรวยกว่ารันชรีหลายสิบเท่า ชนิดที่รันชรีเทียบไม่ได้เลยสักอย่าง เธอเป็นลูกสาวเจ้าของรีสอร์ทที่ภูเก็ต เขาเจอเธอเมื่อครั้งไปสัมมนาที่นั่น ทุกอย่างที่อยู่รายรอบหญิงคนนี้มันช่างเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้เขาต้องรีบออกมาจากรันชรีให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเขาหลุดพ้นจากรันชรีมาได้แล้ว มิวายที่ผู้หญิงคนนี้จะมาตามรังควานเขาอีก บวกกับพฤติกรรมเมื่อครู่ เขายิ่งไม่อยากแม้จะมองหน้าเสียด้วยซ้ำไป
แต่เหมือนเวรกรรมวิ่งมาถึงตัวเขาแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่เขาพบรันชรีไม่นาน เขาก็พบกับหญิงอีกคนหนึ่งเป็นแม่ม่าย เธอเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกผ้าไหม แม้ว่าจะอายุมากกว่าหญิงทุกคนที่เขาคบหามา แต่กลิ่นเงินมันก็หอมมากกว่าผู้หญิงทุกคนเช่นกัน เขาตัดสินใจคบหากับแม่ม่ายคนนี้ โดยที่ยังไม่เลิกรากับลูกสาวเจ้าของรีสอร์ท ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาแม้แต่น้อย เพราะเป็นเรื่องที่เขาถนัดอยู่แล้ว เขาสลับรางได้ดีวางแผนทุกอย่างได้แนบเนียน จนหญิงทั้งสองไม่เคยสงสัยในพฤติกรรมของเขาเลย แต่หากถามว่าจะให้เขาเลือกคนใดคนหนึ่ง บอกตามตรงว่าเขาเองก็เลือกไม่ถูกเช่นกัน คนหนึ่งรวย สามารถเนรมิตสิ่งที่เขาต้องการได้ อีกคนหนึ่งแม้จะมีเงินไม่มากเท่าแต่ก็สวยกว่า สาวกว่า มันยากเหลือเกินที่จะเลือก
แต่แล้วเขาก็พลาดเข้าจนได้ เมื่อผู้หญิงทั้งสองจับได้ว่าเขาคบหากับคนทั้งคู่พร้อมกัน แล้วหันหลังให้เขาทั้งคู่ ซ้ำร้าย จากการฟุ้งเฟ้อของเขามันก็สร้างหนี้สินก้อนโตให้กับเขาอีกครั้งหนึ่ง พ่อของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ทส่งคนมาทำร้ายร่างกายเขา จนต้องพักฟื้นเป็นเดือน ส่วนหญิงม่ายก็ส่งนักเลงมาดักทำร้ายร่างกายเขาเช่นกัน
และในช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายนั้นเอง เขาก็คิดถึงเธอขึ้นมา “รันชรี” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้ดีกว่าเธอรักเขามากเพียงใด ผู้หญิงที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับเขาในเรื่องราวที่เขากุขึ้นมา หญิงสาวผู้ที่เขาทำร้ายเธอ เขาไม่สามารถอยู่ที่บ้านตนเองได้ เพราะกลัวจะมีคนมาดักทำร้าย อีกทั้งเจ้าหนี้ที่มาตามทวงหนี้ เขาเคยคิดว่าจะไปหารันชรีที่บ้าน มันเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเขา ที่จะทำให้รันชรีให้อภัยเขา นั่นคือความผยองในความคิดของตนเอง
แต่แล้วเขากลับไม่กล้าที่จะไปหาหญิงสาว ความทุกข์ที่เขาได้รับอยู่นั้น มันทำให้เขาได้คิด ยิ่งนานวัน เขายิ่งคิดถึงเธอมากยิ่งขึ้น...รันชรี
จนในค่ำคืนหนึ่งในความฝัน รันชรีพูดพร่ำแต่คำว่ารัก และคำสัญญาในการรอคอย ความฝันนี้กลับวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานวัน จนความรู้สึกผิดมันกระจ่างในใจว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอนั้น มันผิดมากมายสักเพียงไหน ในวันนี้เขาเพียงต้องการขอโทษเธอ และนำเงินทั้งหมดไปคืนให้เธอ แต่จะมีทางไหนเล่า เขาตัดสินใจไปหารันชรีที่บ้าน ก็ไม่พบใครทั้งนั้น สอบถามคนข้างบ้าน ก็ทราบว่าบ้านถูกขายต่อไปแล้ว เขาคงหมดหวังที่จะกล่าวคำขอโทษต่อเธอ
กระทั่งเมื่อบริษัทต้องการเจ้าหน้าที่มาประจำที่เมืองนี้เขาจึงเสนอตัวมาอย่างยินดี นั่นเองทำให้เขาผิดคำสัญญากับแพรวพรรณและอานนท์ ยิ่งคิดดวงตาของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา น้ำใสๆ กำลังเคล้าคลอกับดวงตาทั้งคู่ เขารู้สึกผิดกับรันชรีมาก จนไม่ให้อภัยตัวเอง ที่เขายอมกลับมาเมืองนี้ก็เพื่อเขาจะได้เจอเธออีกครั้งหนึ่ง เขายืนดีจะคืนเงินให้เธอ และยอมรับโทษทัณฑ์จากเธอ
แต่นับตั้งแต่เขาเข้ามาวางแผนการทำงาน จนถึงวันนี้ก็สองเดือนแล้ว เขาเคยโทรไปที่เบอร์โทรศัพท์รันชรีแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาอยากจะไปที่ร้านอาหารอีกครั้งหนึ่ง แต่คำสัญญาที่ไว้ให้กับแพรวพรรณและอานนท์ ก็ทำให้เขาต้องชะงักเท้าเมื่อจะก้าวไปที่ร้านแห่งนั้น เขาได้แต่บอกให้พนักงานไปซื้ออาหารที่ร้าน แล้วไถ่ถามว่าเจอผู้หญิงในรูปหรือไม่ คำตอบคือไม่ ความคิดวนเวียนถึงขนาดจะเข้าไปหาโชค และเล่าทุกอย่างให้โชคฟัง แต่ทุกอย่างมันสับสนอยู่ในความรู้สึก เพราะเขาอยากพบรันชรีด้วยตัวเขาเอง ในตอนนี้อยากโอบกอดเธอไว้แน่นๆ เหลือเกิน แต่จะมีวันนั้นอีกหรือไม่
จนกระทั่งวันนี้ จู่ๆ ใบหน้าของชโลธรก็กลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี หรือเขาจะคิดถึงเธอมากจนทำให้ตาฝาดไป
...................................................................................................................................
ชโลธรยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่หาย ชมพู่ดึงข้อมือเพื่อนออกมาจากสำนักงาน แล้วไถ่ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“เขาต้องการขอโทษคุณรัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่พูดคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหรอก หรือว่าเขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ”ชมพู่ออกความคิดเห็น
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”แหม่มยังคงสงสัยในตัวกิตติอยู่
ในใจระลึกถึงแต่รันชรี หญิงสาวอยากถามรันชรีเหลือเกินว่าต้องการให้เธอทำเช่นไรต่อไป ในเมื่อบัดนี้ท่าทีของกิตติเหมือนต้องการพบรันชรีเพื่อกล่าวคำขอโทษต่อเธอ
“คุณรันค่ะ ถ้าคุณรันอยากให้แหม่มช่วยจริงๆ ละก็ ต้องรีบไขข้อข้องใจทุกอย่างนะคะ แหม่มมีเวลาอยู่ที่นี่แค่สองเดือนเท่านั้น”หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เพราะหวังว่ารันชรีอาจจะได้ยินกับคำกล่าวของเธอ
หญิงสาวใบหน้าหม่นในชุดเสื้อยืด กระโปรงยาวกรอมเท้า ยืนดูหญิงสาวที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ สำนักงานนั้น
“ฉันพาเธอมาถึงที่นี่แล้ว อีกไม่นานเธอจะรู้ทุกอย่าง”ซุ่มเสียงหม่นเศร้า ที่ไร้ซึ่งผู้ได้ยิน
“คุณรันคะ แต่ที่แหม่มอยากรู้ก็คือคุณตายได้อย่างไรคะ คุณรันช่วยให้แหม่มได้เห็นภาพเหล่านั้นได้หรือเปล่า”หญิงสาวยังคงพูดต่อไป ราวกับว่าจะรู้ว่าคู่สนทนานั้นอยู่ไม่ไกลจากกัน
แทนใบหน้าหม่นเศร้านั้นกลับเป็นสายตาที่แดงก่ำ เลือดสีแดงสดค่อยๆ ผุดออกมาจากตาทั้งสองข้าง แขนทั้งสองข้างของเธอกำลังมีเลือดไหลออกมาเช่นกัน พร้อมกับเสียงหวีดร้อง ที่ตอนนี้หากหญิงสาวได้เห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ เธอจะยังคงครองสติได้หรือไม่
......................................................................................................................................
ตอนที่ 8
ในขณะที่อาการของมารดายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น จู่ๆ ก็มีข้อความจากแพรวพรรณส่งมาถึงชายหนุ่ม หลังจากการอ่านข้อความนั้นแล้ว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มทวีความตึงเครียดขึ้นอีกหลายสิบเท่า เขาตัดสินจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลผู้เป็นมารดา ส่วนตนเองนี้ขอกลับมาพิสูจน์บางสิ่งให้แน่ชัดก่อนแม้ผู้เป็นบิดาจะเอ่ยถามสักเท่าใด หาได้มีคำตอบเล็ดลอดออกมาจากปากบุตรชายไม่
แม้ว่าโชคจะรู้จักนิสัยใจคอแพรวดีว่าเธอค่อนข้างจะเป็นคนขี้อิจฉาเล็กๆ เพราะที่ผ่านมาแพรวมักจะโทรศัพท์มาเล่าเรื่องราวต่างๆ ของรันให้โชคฟังอยู่เป็นประจำ นับตั้งแต่เรื่องรันมีแฟน เรื่องรันพาแฟนไปกรุงเทพฯ และเรื่องรันไปขลุกอยู่ที่บ้านแฟนจนไม่ค่อยได้เข้ามาที่ร้าน จนถึงวันนี้เรื่องรันยักยอกเงิน มันชักจะยังไงแล้ว แต่โชคก็ได้แต่บอกไปว่าแล้วจะจัดการเอง
จิตใจของโชคเริ่มสั่งให้สมองครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ เพราะทุกอย่างยกเว้นเรื่องรันชรียักยอกเงิน มันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น แต่โชคถือว่านั่นคือสิทธิส่วนบุคคล รันชรีเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเธอย่อมมีผู้ชายเข้ามาจีบเป็นเรื่องธรรมดา หรือถ้าหากเธอจะมีแฟนมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอีก แต่ถามว่าโชคเห็นด้วยไหมกับการที่เพื่อนสนิทจะคบกับผู้ชายคนนั้น เขาค่อนข้างจะติดไปทางลบ เพราะเขาเชื่อในสายตาผู้ชายที่มองผู้ชายด้วยกันออก แต่กระนั้นโชคก็ไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสินใครจากความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
ชายหนุ่มกลับมาที่ร้านโดยไม่แจ้งให้ใครทราบล่วงหน้า เขาสังเกตดูพฤติกรรมของรันชรี เป็นจริงอย่างที่แพรวพรรณบอกไปเสียทุกอย่าง เมื่อเขาเอ่ยถามถึงเงินหมุนเวียนของร้านที่มีอยู่
เสียงสนทนาเล็ดออกมาจากห้องบัญชีบริเวณด้านในสุดของร้าน พนักงานหลายคนพยายามเงี่ยหูฟังว่าคู่สนทนาภายในกำลังโต้เถียงกันเรื่องอะไร นับตั้งแต่คุณรันของพนักงานทั้งหลายเข้ามาช่วยโชคบริหารงานร้านนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่การสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ จะทำให้พนักงานในร้านแตกตื่นเท่าวันนี้
“ฉันถามว่าสมุดบัญชีมันหายไปไหน” โชคพูดกับรันชรีด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ฉันทำหาย แกก็ให้ทางแบ้งค์เขาทำสเตทเม้นท์ออกมาให้สิ”รันชรีตอบโดยไม่สบตาผู้ถาม
“มันเป็นเอกสารสำคัญแกทำหายได้ยังไง นี่มันวันหยุดยาว กว่าธนาคารจะเปิดอีกตั้งสี่วัน”
“แล้วแกเป็นอะไรขึ้นมาถึงได้อยากเช็คยอดเงินเอาวันนี้”
“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้น หรือแกไม่อยากให้ฉันรู้”
“แกก็เช็คยอดในโปรแกรมบัญชีได้นี่โชค”
“ฉันแค่อยากเห็นตัวเงินสดเท่านั้น ว่ามันยังอยู่ดีหรือเปล่า”
“โชคแกเป็นอะไรหรือเปล่า”หญิงสาวกล่าวด้วยจิตใจหวาดหวั่น แต่ก็ยังฝืนที่จะสบตาคู่สนทนาที่จ้องเธอตาเขม็ง
“ได้สิรัน งั้นฉันจะเช็คยอดขายในโปรแกรม ไว้ธนาคารเปิดแกไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
.................................................................................................................
เหมือนโชคยังเข้าข้างหญิงสาวอยู่บ้าง หลังจากโชคเดินจากไป รันชรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอรีบล็อคกุญแจห้องบัญชี แล้วกดโทรศัพท์ไปหาชายคนรักทันที และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาทราบ พลางบอกให้รีบจัดการเรื่องเงินให้เร็วที่สุดก่อนที่โชคจะรู้เรื่องนี้เข้า แต่เธอก็เบาใจเมื่ออีกฝ่ายยืนยันว่าภายในสองวันนำเงินทั้งหมดมาคืนให้เธอ
สองวัน สามวัน สี่วัน จนถึงวันที่ธนาคารเปิด บัดนี้คำว่ากระวนกระวายคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่หญิงสาวกำลังประสพอยู่นี้ เธอพยายามติดต่อชายคนรัก แต่นี่ผ่านวันนัดมาแล้ว เขาก็ยังติดต่อไม่ได้
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะทำกับฉันได้ลงคอ แกรักผู้ชายคนนั้นมากใช่ไหม ฉันเคยเตือนแกแล้วแต่แกก็ไม่เชื่อ ตอนนี้แกรู้หรือยังว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นยังไง”
ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากหญิงสาว มีเพียงเสียงสะอื้นเล็กๆ เท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา
“แกอาศัยช่วงที่ฉันต้องไปดูแลแม่ มาฉวยโอกาสตลบหลังฉันแบบนี้หรือรัน คำว่าเลวมันยังไม่พอสำหรับการกระทำของแกเสียดายที่เราคบกันมาเป็นสิบๆ ปี” ชายหนุ่มมองดูหน้าหญิงสาว ที่บัดนี้ความโกรธเกลียด มันได้เข้ามาครอบคลุมทุกอณูสัมผัสจนหมดสิ้น
“ฉัน...ฉัน”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พอแล้วรันแกไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ฉันไม่อยากฟัง แกมันเพื่อนทรยศ เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อน ถ้าแกรักมันมากก็ไปอยู่กับมันเลย ฉันผิดหวังในตัวแกมาก ออกไปซะเถอะฉันอยากอยู่คนเดียว”ชายหนุ่มกล่าวโดยที่ไม่มองหน้าคู่สนทนาแม้สักนิด
หญิงสาวค่อยๆ ชันกายจากโซฟาตัวใหญ่ พลางใช้หลังมือซ้ายปาดหยดน้ำตาที่กำลังจะหลั่งรินลงมา มือขวาจับลูกบิดประตู และพาตัวเองออกไปจากห้องเล็กๆ ห้องนี้
กลุ่มพนักงานทีออกันอยู่ที่ปากประตูต่างแตกฮือไปคนละทาง เมื่อรันชรีเปิดประตูออกมา
ความเสียใจที่ถูกคนรักหลอกลวง ความเสียใจที่ตนเองตัดสินใจผิด ความเสียใจที่ทำให้เพื่อนผิดหวัง ความเสียใจที่เพื่อนไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ มันถูกปิดล็อคอยู่ในหัวใจในขณะนี้
แพรวพรรณและอานนท์มาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ทั้งสองหันไปมองตามเสียงประตูที่ถูกเปิดออก แล้วยิ้มอย่างสุขใจ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคาดคิด ป่านนี้โชคคงรู้แล้วว่ารันชรีเอาเงินของร้านไป และคงจบไม่สวยสักเท่าไหร่เมื่อดูจากสีหน้าของรันชรีและดวงตาแดงช้ำ
“สมน้ำหน้า ฉันเตือนแกดีๆ แล้ว ก็ไม่ยอมไป มันต้องเจอแบบนี้” แพรวพรรณเอ่ยกับรันชรีเมื่อหญิงสาวเดินมาใกล้ๆ
รันชรีหันมองแพรวพรรณแวบหนึ่ง เหตุใดแพรวพรรณจึงพูดเช่นนั้น หรือเพื่อนคนนี้จะรู้เรื่องเงินที่เธอนำไปให้กิตติ แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร แต่มันก็ป่วยการที่จะคิด เพราะในยามนี้คนที่รันชรีต้องคิดถึงมากที่สุดคือโชค เพื่อนโกรธเคืองเธออย่างรุนแรง มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้เพื่อนคลายความรู้สึกนี้ลงไปได้
แพรวพรรณถือวิสาสะเข้าไปในห้องบัญชีนั้น หญิงสาวก้าวเข้าไปหาเพื่อนชายในทันทีโดยมีอานนท์เดินตามเข้ามาทีหลัง
“พวกไม่ซื่อสัตย์ โชคแกต้องแจ้งความนะ ข้อหายักยอกทรัพย์” แพรวเสนอความคิดเห็น
เงียบ....เงียบ ยังคงมีแต่ความเงียบเท่านั้น
“ไม่อย่างนั้นก็ไล่มันไปซะ แล้วไม่ต้องคืนหุ้นที่มันเอามาลงทุน ขืนเอาไว้ อีกหน่อยมันต้องพาผู้ชายของมันมายึดร้านแน่ๆ แพรวเคยเตือนโชคแล้ว ถึงโชคจะรู้จักกับนังนั่นมาเป็นสิบปี แต่มันก็เพิ่งรู้จัก ไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ไว้ใจไม่ได้หรอก” แพรวพรรณเสนอความคิดเห็นอีกรอบ
มันก็จริงอย่างที่พรรณพรรณว่า ให้รันชรีออกไปจากร้านแล้วยึดหุ้นทั้งหมดไว้ ทุกอย่างก็ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกัน ส่วนเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์คนนั้นจะไปทางไหน หรือจะไปอยู่กับผู้ชายที่ไหนเขาจะไม่สนใจใยดีอีกต่อไป
“แต่ยังไงโชคยังมีแพรวอยู่ทั้งคนนะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็ก พ่อแม่ก็รู้จักกันหมด เราไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว ไล่มันไปซะ เชื่อแพรวเถอะ ช่วงนี้แม่โชคยังไม่หายดีแพรวกับนนท์จะมาช่วยเอง แล้วก็เลิกคิดถึงเพื่อนทรยศคนนั้นได้แล้ว” แพรวพรรณเอื้อมมือไปแตะหลังมือชายหนุ่มเบาๆ พร้อมกับสบสายตากับอานนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
นับตั้งแต่วันนั้นรันชรีพยายามติดต่อกับชายคนรัก แต่ก็เปล่าประโยชน์ เธอได้แต่ฝากข้อความทิ้งไว้ และหวังว่าอีกไม่นานกิตติจะกลับมาหาเธอพร้อมกับคลี่คลายปัญหาทุกอย่างที่เธอกำลังประสพอยู่ในขณะนี้ ทางฝ่ายเพื่อนรักในขณะนี้นอกจากจะไม่มองหน้าเธอแล้ว โชคยังพาแพรวพรรณและอานนท์เข้ามาร่วมบริหารงานที่ร้าน ส่วนโชครีบกลับไปดูแลมารดาที่โรงพยาบาล ทำให้บัดนี้คนทั้งคู่กลายเป็นเจ้าของร้านไปโดยปริยาย
ตอนที่ 7
เช้าวันใหม่กับเมืองเล็กๆ ที่กำลังโตเมืองนี้ หลังจากทั้งสองสาวจัดการกับเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณสมชายผู้จัดการทั่วไป กำลังจะพาทั้งคู่เข้าพบหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่เธอทั้งสองจะต้องวาดลวดลายในการทำงานครั้งนี้ไว้กับคนๆ นั้น แต่แล้วหนึ่งในสองของหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะกับป้ายชื่อหน้าห้อง
“กิตติ คุณานันทการ”
ชายที่เธอคนนั้นตกหลุมรักอยู่ เขาเป็นหัวหน้าเขตอย่างนั้นหรือ?
ภาพของชายในความฝันปรากฏในทันทีทันใด หญิงสาวได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนๆ เดียวกับคนในฝัน ว่าแล้วเธอจึงหันหลังกลับมาถามพนักงานชายที่พาเธอทั้งสองมาพบกับหัวหน้าฝ่ายการตลาดนี้
“คุณกิตติเพิ่งย้ายมาจากเขตภาคตะวันออกเมื่อต้นเดือนนี้เอง ก่อนหน้านี้คุณกิตติมาสำรวจตลาดที่นี่ และเขียนแผนการตลาดส่งไปให้สำนักงานใหญ่ ทางสำนักงานใหญ่ก็เลยดึงตัวคุณกิตติมาประจำที่เขตนี้ และส่งพวกคุณทั้งสองคนมานี่แหละครับ บริษัทเรากำลังจะมีคู่แข่งมากขึ้นทันทีที่ห้างสรรพสินค้าเปิด คุณกิตติเป็นคนเก่งใครๆ ที่อยู่ที่บริษัทเกิน 10 ปี รู้กิตติศัพท์ดีครับ” ผู้จัดการคนเดิมเล่าถึงที่มาของหัวหน้าเขต
แหม่มพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับจังหวะของหัวใจที่เต้นถี่และแรงขึ้น แต่ไม่ทันที่จะสะกิดบอกชมพู่ ประตูห้องทำงานนั้นก็ถูกเปิดออก
เสียงหัวใจของหญิงสาวเต้นอย่างจับจังหวะไม่ได้
“หัวหน้าครับ คุณชโลธรและคุณชมพูนุช จากสำนักงานใหญ่ครับ”
คุณสมชายกล่าวแนะนำหญิงสาวทั้งสองต่อผู้เป็นหัวหน้า
ไม่ผิดคนแน่ แหม่มจ้องมองชายที่อยู่เบื้องหน้าตาไม่กระพริบ เป็นเขาจริงๆ ด้วย ชายคนรักของเธอคนนั้น อะไรหนอชักพาให้แหม่มต้องมารับรู้กับเรื่องราวเช่นนี้ เธอเริ่มสับสนอยู่ในใจลึกๆ ก่อนจะยกมือไหว้และกล่าวคำแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เธอพบในความฝัน น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกที่คุ้นเคยนั้น หญิงสาวเคยได้ยินมาแล้วจากความฝัน แม้หน้าตาจะไม่ถึงกับหล่อเหลามาก แต่จากบุคลิกโดยรวมแล้วเขามีเสน่ห์น่าดู โดยเฉพาะการพูดจา ที่ไพเราะรื่นหูจริงๆ ยิ่งประกอบกับน้ำเสียงของเขาแล้ว มันไม่แปลกเลยที่จะทำให้คุณรันของเธอหลงใหลในน้ำเสียงนี้
ในห้องๆ นั้นมีพนักงานนั่งอยู่แล้วสี่คน ทุกคนมีเอกสารวางอยู่ตรงหน้า เสมือนกำลังประชุมนอกรอบกันอยู่ กิตติเชื้อเชิญให้หญิงสาวทั้งสองนั่งตรงเก้าอี้ที่จัดวางไว้ให้ แล้วเริ่มพูดคุยถึงเรื่องแผนการตลาดทันที
“คุณชโลธร คุณมีอะไรจะเสนอหรือเปล่าครับ”ชายผู้อยู่เบื้องหน้าเอ่ยถาม
กว่าสองชั่วโมงแห่งการพูดคุย ทุกคนต่างเสนอความคิดเห็นต่างๆ นานา สำหรับการแผนการตลาดที่กิตติแจกเอกสารให้ คงมีแต่ผู้ถูกถามเพียงคนเดียวที่ไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ กิตติ มองดูหญิงสาวตรงหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วผายมือออกข้างหนึ่ง เป็นการบีบให้เธอต้องเสนอความคิดเห็นกรายๆ
“ค่ะ ดีค่ะ จะเริ่มเปิดอบรมพรุ่งนี้ รอบแรกเป็นหน้าที่ของดิฉัน ส่วนรอบบ่ายเป็นหน้าที่ของคุณชมพูนุชค่ะ”
แหม่มหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนเอง เธอละล่ำละลักตอบจนผู้เข้าร่วมวงสนทนาทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน
“เอาละครับ ถ้าไม่มีใครเสนออะไรเพิ่มเติม ก็สรุปตามนี้เลยนะครับ”
ชายผู้มีตำแหน่งสูงสุดในขณะนี้พูดพร้อมกับรวบรวมเอกสารด้านหน้ามาไว้ในมือ ก่อนจะเอ่ยปากทักทายเป็นการส่วนตัวกับหญิงสาวทั้งคู่ ที่ทางสำนักงานใหญ่การันตีถึงฝีไม้ลายมือในการทำงาน แต่เขาจะเชื่อคำบอกเล่าจากสำนักงานใหญ่ หรือเชื่อจากสายตาตนเอง เพราะหนึ่งในผู้ที่มานั้นไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เลยในที่ประชุมที่เพิ่งผ่านไป เอาแต่นั่งนิ่งและมองหน้าเขาอยู่ตลอดการประชุม
“คุณชโลธร คุณชมพูนุช ประชุมเสร็จแล้วคุณสมชายจะพาคุณทั้งสองคนไปบ้านพักที่ทางบริษัทจัดไว้ให้ ผมต้องขอตัวไปดูพื้นที่สักหน่อยครับ”
พูดจบผู้เป็นหัวหน้าหันมายิ้มให้กับทั้งคู่ ก่อนที่จะออกจากห้องประชุมไป แหม่มหันหน้าไปหาเพื่อนด้วยสายตาที่หวั่นๆ แล้วรีบสะกิดให้เพื่อนรีบเดินตามออกจากห้องประชุมโดยไม่พูดจาใดๆ
ระหว่างเดินทางกลับที่พัก แหม่มเล่าเรื่องหัวหน้าเขตกับชายในฝันให้ชมพู่ฟังโดยละเอียดว่าเป็นคนๆ เดียวกัน ผู้สนทนานั่งนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ซึ่งแหม่มเองก็ไม่รู้ว่าชมพู่มีความคิดอย่างไรในเรื่องนี้
“แหม่ม ฉันว่าผู้หญิงคนนั้น คุณรันอะไรของแกน่ะ เขาต้องการให้เราช่วยเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างมันจะไม่ประจวบเหมาะขนาดนี้หรอก”
ชมพู่ออกความคิดเห็น
“มันก็จริงอย่างที่แกว่า เรากับก้อยไม่ได้เจอกันมาเป็นปี อยู่ๆ ก้อยก็ชวนไปสำรวจบ้านร้าง แล้วเราก็ได้รับคำสั่งให้มาทำงานที่นี่ และก็เจอ...คุณกิตติ” แหม่มกำลังลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ที่พบกับกิตติ มันคงจะจริงอย่างที่ชมพู่ว่า
“ถ้าคุณรันเขาอยากให้ฉันช่วยเขาจริงๆ ฉันก็จะช่วย แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และเธอตายได้อย่างไร ตายเมื่อไหร่ แล้วทำไมวิญญาณของเธอถึงยังอยู่ที่บ้านร้างหลังนั้น”
................................................................................................................................
เมฆเคลื่อนตัวลงต่ำ สีทึมทะมึนของมันข่มขวัญผู้เฝ้ามอง บนชั้น 4 ของโรงแรมระดับสามดาว ของเมืองนี้ แหม่มยืนพิงขอบหน้าต่าง ทอดตาไปยังทิวทัศน์ของเมืองที่ตอนนี้กำลังถูกปกคลุมด้วยความมืดของเมฆฝน ชมพู่กำลังเก็บสัมภาระต่างๆ ให้เรียบร้อย เพื่อรอเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า คุณสมชายจะพาพวกเธอไปยังบ้านเช่าที่ทางบริษัทเช่าไว้สำหรับพนักงาน
ไม่นานนักเม็ดฝนเล็กๆ นับล้านเม็ดก็กระหน่ำซัดลงมายังเบื้องล่าง ภายนอกหน้าต่างตอนนี้ เหมือนจะถูกกลืนกินไปด้วยลมและฝน แหม่มเลื่อนหน้าต่างปิดอย่างแน่นหนาแต่สายตายังมองออกไปข้างนอกอย่างไม่หยุดนิ่ง เมืองนี้มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลพาดผ่านกลางเมือง มันเลี้ยวลดเหมือนงูตัวมหึมานอนขวางอยู่กลางเมือง ขณะนี้หยดน้ำฝนคงจะไปรวมตัวกับน้ำที่อยู่ในแม่น้ำนั้นอย่างกลมเกลียว ภาพต่างๆ ค่อยๆ เลือนไปและกลายเป็นสีขาวไปในที่สุด
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้”แหม่มพึมพำกับตัวเอง
“เธอได้รู้แน่ชโลธร แต่ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถทำในสิ่งที่ฉันอยากทำได้ เธอต้องนั่งสมาธิและภาวนาเท่านั้น ส่งกระแสภาวนานั้นมาให้ฉัน เพื่อให้ฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง” เสียงของรันชรีแว่วอยู่ข้างหูของหญิงสาว แต่ทว่ากลับได้ยินไม่ชัดเจนเท่าใดนัก
..................................................................................................................................
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างจนหุบไม่อยู่ เมื่อมาถึงบ้านพักที่ทางบริษัทเตรียมไว้ให้ จากประตูรั้วใหญ่จนถึงโรงจอดรถถูกเทคอนกรีตไว้ตลอดแนวไปจนถึงตัวบ้าน หน้าบ้านเป็นสนามหญ้าเล็กๆ ที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวกะทัดรัดเหมาะสำหรับครอบครัวที่ไม่ใหญ่นัก สีเขียวอ่อนของบ้านดูกลืนไปกับสีเขียวของต้นมะม่วงหลังบ้านที่ระดับความสูงโผล่พ้นหลังคาบ้านออกมาให้เห็น แม้ว่าตอนนี้แหม่มจะยืนอยู่หน้าบ้านก็ตาม
มองเลยไปทางด้านหลังเป็นรั้วสูงระดับหัวเข่า จากแนวตรงรั้วหักมุมออกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยื่นออกไป ที่ว่างในพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นมีเก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ยืนตระหง่านเหมือนจะรอให้ผู้อาศัยมานั่งพักพิง ข้างๆ กันนั้นเรียงรายไปด้วยกระถางต้นกุหลาบ ที่ตอนนี้กำลังแข่งกันเบ่งบานอวดสีสันทั้งขาวและแดง
แต่นั่นเองทำให้หญิงสาวถึงกับก้าวขาแทบไม่ออก พื้นที่สี่เหลี่ยมนั้น ทอดตัวออกไปสู่แม่น้ำ เก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ กระทั่งเหล่ากระถางดอกกุหลาบนั้น มันเป็นสถานที่เดียวกับที่รันชรีและกิตติเคยอยู่ ซึ่งบัดนี้มันกำลังจะกลายเป็นเคหาสถานชั่วคราวของเธอและชมพูนุช
“มันต้องมีอะไรในบ้านนี้” กังวานหนึ่งของความคิด
“บ้านหลังนี้บริษัทเช่าไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ครับ เป็นของคนรู้จักกัน เจ้าของบ้านเขาชอบจัดสวนพอรู้ว่าพวกคุณจะมาเขาก็ให้คนมาทำความสะอาด และตัดแต่งต้นไม้ดอกไม้ อย่างที่เห็นนี่ละครับ เมื่อก่อนคุณกิตติก็เคยอยู่บ้านหลังนี้”
เป็นจริงอย่างที่เธอคิด ภาพในความฝันนั้น มันเป็นจริง บ้านหลังนี้มีห้องนอนสามห้อง ห้องรับแขกอยู่ทางด้านหน้าสุด และด้านหลังมีพื้นที่เล็กๆ สำหรับทำครัว หลังจากแบ่งห้องนอนกันเสร็จสรรพเรียบร้อย การจัดวางข้าวของใช้เวลาไม่มากนัก แหม่มหยิบแฟ้มเอกสารที่เพิ่งประชุมเสร็จสิ้น แล้วพาตัวเองออกมานั่งเก้าอี้โยกริมแม่น้ำ
“คุณกิตติเคยอยู่บ้านหลังนี้ งั้นก็แสดงว่าคุณรันก็ต้องเคยมาที่บ้านหลังนี้เหมือนกัน” หญิงสาวรำพึงกับตนเอง
“คุณรันขา ตอนนี้แหม่มมาอยู่ในบ้านที่คุณรันเคยอยู่มาก่อน หากคุณรันต้องการจะบอกอะไรกับแหม่มก็บอกมาเถอะค่ะ แหม่มจะได้ช่วยคุณรันไงคะ” อีกครั้งที่หญิงสาวพูดขึ้นมา ราวกับว่าสนทนาอยู่กับใครบางคนอยู่
แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่า ผู้ที่เธอกำลังสนทนาด้วยนั้น จริงๆ แล้วนั่งที่เก้าอี้เล็กๆ ริมกระถางกุหลาบข้างๆ เธอนั่นเอง
“ได้สิชโลธร ฉันจะพาเธอไปดู ไปดูให้เห็นความเลวของคนๆ นี้”
แม้จะเพิ่งอ่านเอกสารเพียงสองหน้าเท่านั้น แต่ทำไมตอนนี้หนังตาของแหม่มถึงได้หนักอึ้ง ราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยหิน ยากเย็นที่จะฝืนอ่านสิ่งที่อยู่ในมือต่อไป
...............................................................................................................................................
หญิงสาวพลิกตัวพร้อมกับยืดแขนโอบกอดชายที่นอนอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข ฝ่ายชายลืมตาขึ้นช้าๆ และโอบกอดฝ่ายหญิงบ้าง ทั้งคู่อยู่บนเตียงโดยปราศจากอาภรณ์ใดๆ ปกปิดร่างกาย มีเพียงผ้าแพรผืนบางเท่านั้นที่ห่มคลุมร่างกายของคนทั้งสองอยู่
“รันรักคุณนะคะ ต่อไปนี้ทั้งกายและใจของรันเป็นของคุณคนเดียว แล้วคุณรักรันหรือเปล่าค่ะ”หญิงสาวกระซิบข้างหูชายคนรัก
“คุณดูเอาเองเถอะรัน ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคุณ คำพูดมันไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอกที่รัก คุณรอผมนะที่รัก”หญิงสาวหอมแก้มชายที่อยู่ข้างกายฟอดใหญ่ ฝ่ายชายเชยคางหญิงสาวขึ้นมาและบรรจงใช้ริมฝีบางแนบไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย หญิงสาวหลับตาพริ้มเหมือนเธอจะหมดเรี่ยวหมดแรงไปในขณะนั้น
สลับกันเป็นภาพของชายหญิงทั้งคู่ทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน บ้านหลังนี้ และอีกหลังหนึ่งซึ่งก็คือบ้านร้างหลังนั้นนั่นเอง กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ นั่งทานอาหาร ฝ่ายหญิงวิ่งไปเปิดประตูบ้าน ฝ่ายชายลงจากรถแล้วยื่นกระเป๋าเอกสารให้ฝ่ายหญิง นับไม่ถ้วนของอิริยาบถของทั้งคู่ สลับกันไปมา ทั้งที่บ้านหลังนี้และที่บ้านร้าง
“เลี้ยวตรงสามแยกนั้น เดี๋ยวถึงบ้านรันแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกชายที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ ทั้งคู่สบตาแล้วส่งยิ้มให้กันแทนคำพูด
“คุณเสร็จงานเมื่อไหร่ รันจะพาคุณไปรู้จักกับป้าและพี่สาวของรันนะคะ”
“ได้สิที่รัก ผมก็อยากรู้จักครอบครัวของคุณ อีกหน่อยเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่”
ความสุขของหญิงสาวมันเอ่อล้นมาจนเต็มใบหน้าอันเปื้อนยิ้มนี้
“แล้วคุณบอกเพื่อนคุณว่ายังไง ผมก็ลืมถามไปเสียสนิท”
“รันบอกว่ากลับมาเยี่ยมพี่สาวและป้า แล้วช่วงนี้ก็เงียบๆ ด้วย โชคอยู่ที่ร้านคนเดียวก็คงได้”
แม้บ้านหลังนี้จะถูกปิดไว้เกือบสองปี แต่หญิงสาวก็จ้างแม่บ้านให้มาทำความสะอาด โดยมีป้าของเธอดูแลอยู่ ทำให้เมื่อเธอกลับมาบ้านจึงพร้อมอยู่อาศัย
กว่าสิบวันของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้ มันคือความทรงจำที่รันชรีบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมเลือนแม้สักวินาทีเดียว เธอไม่เคยคาดคิดว่าการมีชีวิตครอบครัวและการได้อยู่กับคนที่ตนรักนั้น จะมีความสุขได้ถึงเพียงนี้
ดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมสระน้ำ ดอกกุหลาบสีแดงดอกโตบนแจกันแก้วใบใสวางอยู่กลางโต๊ะ เลื่อนต่ำลงมาอีกนิดเป็นชั้นไม้สีน้ำตาลที่ด้านบนมีถังแช่ไวน์ และแก้วไวน์เนื้อดีอีกสองใบ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างลงตัว รอเพียงชายคนรักกลับมาเท่านั้น อาหารเลิศรสจะถูกยกออกมาเสิร์ฟทันที
“รันดีใจที่ได้พบคุณ ขอบคุณมากนะคะ ที่มาช่วยเติมเต็มชีวิตรันให้มีความสุขได้ถึงเพียงนี้” หญิงสาวเอ่ยต่อชายคนรัก
เงียบ คงมีเพียงความเงียบเท่านั้นจากชายคนรัก หากแต่หญิงสาวกลับคิดว่าเขาคงจะสนใจอยู่ที่อาหารจานโปรดเสียมากกว่า จึงไม่ทันฟังสิ่งที่ตนพูดออกไป หญิงสาวได้นึกขำ เขาคงเหนื่อยและหิวมากสินะ
“คุณทำอาหารอร่อยมากเลยนะรัน”คำชมของฝ่ายชายยิ่งเพิ่มความยาวนานของรอยยิ้มนั้นไปอีก
“กิตติค่ะ ถ้าคุณจะย้ายมาประจำสำนักงานใหญ่ รันก็จะย้ายกลับมาเหมือนกันค่ะ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันที่นี่ไงคะ” หญิงสาวเสนอความคิดเห็น
ชายคนรักนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ดีเหมือนกันนะรัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณรอผมหน่อยก็แล้วกันนะที่รัก”
“ได้ค่ะ รันรักคุณ รันรอคุณได้เสมอ” ความสุขที่มันล้นปรี่ในบัดนี้มันได้ทะลักล้นมาทั้งทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของหญิงสาว
แต่หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น รันชรีต้องรีบกลับมาที่ร้านอาหารด่วนเพราะมารดาของเพื่อนไม่สบาย เธอจึงไม่มีโอกาสพาชายคนรักไปพบกับป้าและพี่สาว ส่วนพ่อเธอนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอเรียนประถม และแม่เธอเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งหลังจากเธอเรียนจบได้ปีเดียว มีเพียงป้าและพี่สาวเท่านั้นที่นับเป็นญาติสนิทเหลือมีอยู่
ตลอดเวลาที่ขับรถกลับหญิงสาวคิดว่าเมื่อกลับถึงร้านจะเล่าเรื่องระหว่างเธอและกิตติให้โชคฟัง แต่เมื่อมาถึงโชคต้องพาแม่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จึงทำให้ทั้งคู่สวนทางกัน เธอเห็นว่าเพื่อนกำลังยุ่งอยู่กับอาการป่วยของมารดาจึงยังไม่ได้เอ่ยปากเรื่องนี้แต่อย่างใด
“รัน ช่วงนี้ฉันต้องให้แกดูแลร้านไปคนเดียวก่อนนะ แล้วฉันจะให้แพรวกับนนท์เข้าไปช่วย ฉันต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”
การสนทนาครั้งล่าสุดระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง ทั้งๆ ที่เธอเองอยากจะบอกเพื่อนไปว่าไม่เห็นด้วยกับการให้คนทั้งคู่เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ทว่าปลายสายวางหูไปเสียก่อน เธอจึงได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงความร้ายกาจที่โชคยังไม่รู้
........................................................................................................................
ฝนกำลังกระหน่ำ ผู้คนในร้านอาหารดูบางตา รันชรีนั่งมองดูโทรศัพท์แล้วถอนหายใจเบาๆ เธอจ้องมองโทรศัพท์อยู่นานสองนาน จนไม่รู้ว่ามีสายตาสองคู่ลอบมองมาจากหน้าร้าน
ย่างเข้าวันที่ห้าแล้ว ที่กิตติขาดการติดต่อไป เขาไปไหน ทำอะไร อยู่กับใคร ทำไมจึงไม่รับโทรศัพท์หรือโทรกลับ มากมายคำถามที่วนเวียนอยู่ในความคิดของหญิงสาว ในวันแรกรันชรีคิดว่าเขาคงจะยุ่งอยู่กับงาน แต่นี่ห้าวันเข้าไปแล้ว หากเขาเห็นว่ารันชรีโทรไปหาทุกวันอย่างน้อยเขาน่าจะโทรกลับบ้าง คงมีแต่ความเงียบและคำถามเท่านั้นที่อยู่รอบๆ ตัวหญิงสาว
“คิดถึงนะ ถ้าว่างแล้วโทรกลับด้วย”รันชรีกดส่งข้อความไปยังเบอร์ปลายทาง
“รอโทรศัพท์ใครอยู่เหรอรันชรี”แพรวพรรณนั่นเอง ใบหน้าสวยที่ปิดบังจิตใจอันชั่วร้ายไว้ กำลังย่างก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกับคำถาม
“เธอมาทำอะไรที่นี่ แล้วฉันก็ไม่ได้รอใครทั้งนั้น ฉันนั่งฟังเสียงฝนต่างหาก” หญิงสาวเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือ และหันไปมองแขกที่เธอไม่ได้เชื้อเชิญ
“เธอแน่ใจหรือว่าเธอไม่ได้รอโทรศัพท์จากใคร แล้วที่ฉันมานี่ก็เพราะโชคขอร้องให้ฉันมาทำหน้าที่หุ้นส่วนแทน”แพรวพรรณยิ้มอย่างหยิ่งผยอง
เป็นเวลากว่าเจ็ดเดือนแล้วที่หญิงสาวเปิดใจคบหากับชายผู้นี้ แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเขาคือ “คนรัก”แต่ทว่าพฤติกรรมทุกๆ อย่างระหว่างเธอและกิตติทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด รันชรีตัดสินใจเล่าให้โชคฟังทางโทรศัพท์ ว่าเธอรักชายคนนี้และอยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
“แกจะคบหากับใครมันเป็นสิทธิ์ของแก เราต่างก็โตกันแล้ว”
เป็นคำพูดที่โชคบอกหลังจากเธอบรรยายถึงความรู้สึกต่างๆ นานาให้ฟังน้ำเสียงนั้นดูเคร่งเครียดและเย็นชา รันชรีได้แต่คิดว่าเพื่อนคงพะวงเกี่ยวกับอาการป่วยของมารดา เธอจึงรู้สึกผิดเสียด้วยซ้ำที่เอาเรื่องส่วนตัวของตนไปใส่สมองเพื่อน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกรันชรีขึ้นมาจากความคิดอันจ่อมจม พลันเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้เธอยิ้มขึ้นมาได้ทันทีทันใด
“รันคิดถึงคุณมาก คุณหายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์รันค่ะ”ความรู้สึกที่ถูกอัดอยู่ในใจถูกเผยออกมาในทันทีที่รับสาย
“ผมขอโทษนะรันที่ไม่ได้ติดต่อคุณ ผมมีปัญหาเรื่องงาน และตอนนี้ผมกำลังเดือดร้อน”
“เป็นอะไรมากไหมคะ มีอะไรให้รันช่วยไหม” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความห่วงใยยิ่ง
“รัน มันยากลำบากเหลือเกินกว่าผมจะตัดสินใจที่จะบอกคุณ”หญิงสาวทวีความสงสัย
“ผมพลาดเองที่ไม่รอบคอบในการดูเอกสาร ผมเซ็นต์เอกสารให้พนักงานเบิกสินค้าไปมูลค่าเกือบสองล้าน แล้วตอนนี้พนักงานคนนั้นก็หายไปพร้อมกับสินค้าพวกนั้นทั้งหมด”
“ทำไมคุณไม่แจ้งความ”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมพลาดที่เซ็นต์เอกสารให้เบิกสินค้าไป โดยไม่ดูจำนวนสินค้าให้ละเอียด ความผิดทุกอย่างมันอยู่ที่ผม ตอนนี้ผมต้องเอาสินค้าพวกนั้นกลับคืนบริษัทให้ได้ ไม่อย่างนั้นผมต้องเดือดร้อนมากกว่านี้แน่นอน”อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเกรี้ยวกราดในอารมณ์
หากนับเงินเก็บของรันชรีแล้วในตอนนี้มีไม่ถึงล้าน เพราะเงินถูกนำไปเพิ่มทุนเพื่อปรับปรุงร้านครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่เธอเป็นห่วงเขาเหลือเกิน หากเขาไม่สามารถเอาสินค้ามาคืนบริษัทได้อะไรจะเกิดขึ้น มันคงไม่ยากที่จะคาดเดา ลำพังเงินเก็บของเธอมันก็ไม่พอ แวบหนึ่งในความคิด หากบวกกับเงินหมุนเวียนในร้านก็พอที่จะช่วยกิตติได้ แต่ถ้าบอกโชค เขาคงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นแน่ รันชรีนอนคิดเรื่องนี้กว่าค่อนคืน
“ที่รัก คุณพอจะช่วยผมได้ไหม แล้วผมจะรีบหาเงินมาคืนคุณให้เร็วที่สุด”คำพูดของกิตติยังคงก้องอยู่ในกังวานของความคิด
เสียงโทรศัพท์ดังมาอีกครั้ง กิตตินั่นเอง ป่านนี้เขายังไม่หลับไม่นอน คงเครียดกับเรื่องนี้อยู่อย่างแน่นอน รันชรีเดาความรู้สึกของผู้ที่โทรมา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กิตติพูดด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด รันชรีเป็นห่วงชายคนรักอย่างสุดหัวใจ
“ยืมเงินของร้านมาหมุนก่อนได้ไหมที่รัก”ฝ่ายชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน
“มันจะดีหรือคุณ หากโชครู้เขาคงไม่ยอมหรอก”
“คุณก็อย่าให้เพื่อนคุณรู้สิ ตอนนี้เพื่อนคุณก็ไม่อยู่ ผมทำเรื่องเอารถไปเข้าไฟแนนซ์แล้ว และบ้านของผม ตอนนี้เพื่อนผมที่ทำงานบริษัทไฟแนนซ์กำลังช่วยเรื่องเอกสารอยู่ ไม่น่าจะเกินอาทิตย์หรอก คงจะทันก่อนที่เพื่อนคุณจะกลับมา”
มันก็จริงอย่างที่กิตติบอก โชคไม่อยู่ ต้องอยู่โรงพยาบาลเฝ้าแม่เป็นเดือน หากเธอนำเงินออกมาหมุนก่อน แล้วรีบคืนเข้าบัญชีก่อนโชคจะกลับมา คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของบทสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อน
“ฉันจะเตือนนะ ผู้ชายที่เข้ามาหาแก ก็เพราะรู้ว่าแกเป็นเจ้าของร้านๆ นี้ หากวันหนึ่งแกไม่ใช่เจ้าของที่นี่คนพวกนั้นจะยังอยากคบกับแกไหม กลิ่นเงินของแกมันหอมมากกว่ากลิ่นความเป็นผู้หญิงของแก”
เธอเคยถามตัวเองว่าเหตุใดโชคจึงมีความคิดเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เขาเองยังไม่รู้จักกิตติเสียด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็ได้แต่คิดในแง่ดีว่านั่นคือความห่วงใยที่เพื่อนมีต่อเธอ แต่ในวันนี้ชายคนที่เธอรักกำลังมาขอยืมเงินจากเธอ หรือคำพูดของเพื่อนจะเป็นจริง
ตราชั่งของความรู้สึกกำลังทำงานอย่างหนัก ข้างหนึ่งคือความรักและความห่วงใยต่อชายคนรัก อีกด้านหนึ่งของตราชั่งคือคำเตือนของเพื่อน เข็มบนหน้าปัดตราชั่งมันสั่นระริกไม่ยอมโน้มไปที่ด้านซ้ายหรือขวา มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าอะไรที่มีน้ำหนักมากกว่ากัน
แต่แล้ว...
เงินสองล้านบาทก็ถูกโอนเข้าบัญชีกิตติ
48 ชั่วโมงนับจากนั้น ชายคนรักกลับมาหาเธอด้วยใบหน้าที่คลายกังวล หญิงสาวโอบกอดชายคนรักด้วยความคิดถึง ฝ่ายชายกอดหญิงสาวไว้แน่นยิ่งกว่า แต่หารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ด้วยความสะใจ
“แพรวพรรณ”
หญิงสาวยืนยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์หาอานนท์และเลี่ยงออกไปคุยนอกร้าน
“ขอบคุณนะรัน หากไม่มีคุณป่านนี้ผมคงลำบากแย่ ตอนนี้ผมกำลังเร่งเพื่อนผมเรื่องบ้านเรื่องรถ เอกสารผ่านแล้วไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนเด็ดขาด” ชายคนรักกล่าวด้วยหน้าตาที่ไร้ความกังวล
“ไม่เป็นไรค่ะ รันรักคุณ รันทำทุกอย่างเพื่อคุณได้เสมอ”
รันชรีสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ชายคนรักชื่นชอบ เธอตักอาหารใส่จานให้เขา พลางมองเขาด้วยสายอันอ่อนโยน ในวันนี้ความคิดหนึ่งกำลังผุดขึ้นมาในสมองของเธอ “อยากแต่งงาน”นี่หรือความสุขในการมีชีวิตคู่ ที่ไหนก็ได้ที่มีเขาอยู่ เธอพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป แต่การมาครั้งนี้ของชายคนรัก กลับนำข่าวร้ายมาสู่เธอ
“ผมได้รับคำสั่งจากบริษัทให้ย้ายเข้าสำนักงานใหญ่” ชายคนรักกุมมือหญิงสาวไว้แน่น
รันชรีนั่งเงียบ และรู้สึกชาๆ ที่ใบหน้า
“ทำไมคะ”
“ก็เรื่องนั้นแหละ มันถือเป็นความบกพร่องของผม คุณยังอยากจะอยู่ที่เมืองนี้หรือคุณจะกลับไปอยู่ที่บ้านของคุณ เหมือนที่เราเคยคุยกันไว้”
คิ้วโค้งได้รูปนั้น เริ่มย่นเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด หากเธอเลือกที่จะไปจากเมืองนี้ทั้งๆ ที่เพื่อนยังไม่สามารถจะกลับมาดูแลร้านได้ จะผิดมากไหม แต่ถ้าหากเธอต้องห่างไกลจากเขา ความรู้สึกทรมานคงเกาะกุมหัวใจเธอทุกวินาทีเป็นแน่
“คุณอยู่ที่ไหนรันก็อยู่ที่นั่นค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง กระชับมือที่กุมมือหญิงสาวไว้แน่น
“ช่วงนี้ผมต้องเคลียร์งานที่นี่ให้เสร็จก่อน แล้วถึงจะไปที่สำนักงานใหญ่ หลังจากที่ผมเอาเงินมาคืนคุณๆ กลับไปรอผมที่บ้านคุณได้เลยนะที่รัก เราจะได้อยู่ด้วยกัน” ชายคนรักกล่าวพร้อมกับแววตาหญิงสาวที่พร่างพราวไปด้วยประกายแห่งความหวัง
แม้การตัดสินใจครั้งนี้จะไม่มีการปรึกษาเพื่อน แต่หญิงสาวกลับมีความคิดอันหนักแน่น ที่หวังจะสร้างอนาคตและครอบครัวเล็กๆ กับชายที่ตนรักอย่างสุดหัวใจ
.......................................................................................................................................
ตอนที่ 6
ชื่อ “ชโลธรและชมพูนุช” ถูกพิมพ์ลงในจดหมายแนะนำตัวสำหรับการเดินทางไปยังบริษัทเครือข่ายในต่างจังหวัด เมื่อเช้า หัวหน้ามอบซองเอกสารสีขาวให้กับพนักงานหญิงทั้งคู่
แหม่มและชมพู่เพิ่งได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้เดินทางไปทำงานยังสาขาต่างจังหวัดเมื่อตอนสาย หลังเลิกงานหญิงสาวจึงรีบกลับที่พักเพื่อเก็บสัมภาระ เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการอยู่ต่างจังหวัดเป็นระยะเวลา 2 เดือน
“ทำไมมันกะทันหันอย่างนี้นะ” แหม่มบ่นอุบขณะเก็บเสื้อลงลงในกระเป๋าเดินทาง
“ก็ถือว่าไปเที่ยวสิแก แถมยังได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่มอีก มองโลกในแง่บวกเข้าไว้” ชมพู่พยายามชักจูงความคิดของเพื่อนไปในทางที่ดี
“ก็ฉันคิดว่า ฉันจะลองนั่งสมาธิอย่างที่หลวงตาบอกเมื่อวาน แล้วจะไปที่บ้านหลังนั้นอีก” อีกฝ่ายกล่าวถึงเหตุผลบางอย่าง
“แกยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกเหรอแหม่ม” ชมพู่กล่าวอย่างอ่อนใจ
แหม่มหยุดที่จะสนทนาต่อเมื่อหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในความฝันที่เธอได้พบพาน มันช่างเหมือนความจริงจนเธอไม่กล้าที่จะเล่าให้เพื่อนสนิทอย่างชมพู่ฟัง หรือบางทีเธออาจจะคิดมากจนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะไปเองก็เป็นได้
“เธอไม่ได้คิดไปเองหรอก ฉันมีอยู่จริง แล้วฉันกำลังจะพาเธอไปพบกับคนใจร้ายพวกนั้น” เสียงๆ หนึ่งแว่วเข้ามา
หญิงสาวหันขวับทันที เพื่อค้นหาที่มาของเสียงๆ นั้น
“หรือจะหูฝาด เราคิดมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ” หญิงสาวหันมาตำหนิตนเอง
แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่หญิงสาวมองไม่เห็นนั้นอยู่ที่เบื้องหน้า หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวนั้น ยืนมองอยู่ด้วยแววตาแห่งความหวัง ความหวังที่เธอรอคอยมานาน
นานมากแล้วที่หญิงสาวทั้งสองสัมผัสแต่กับความอึกทึกของเมืองหลวง ความสะดวกสบายทุกอย่างมันกลับกลายเป็นปัจจัยที่ห้าไปโดยอัตโนมัติ และหากเอ่ยถึงภาคเหนือมันก็ช่างยาวนานเหลือเกินที่เธอไม่ได้ไปเยือน แม้จะเป็นการท่องเที่ยวหรือพักผ่อนก็ตาม ใจหนึ่งก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างจังหวัด แต่อีกใจหนึ่งก็อดเสียดายไม่ได้เพราะหญิงสาวแอบคิดไว้ในใจเล็กๆ ว่าจะกลับไปที่บ้านร้างหลังนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหน้าที่การงานนำพาให้เธอต้องออกจากเมืองหลวง หญิงสาวก็ได้แต่คิดว่าไว้อีกสองเดือนเธอจะต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแน่นอน
ชมพู่ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานถูกมอบหมายให้ไปปฏิบัติภารกิจคู่กัน ทำหน้าที่เป็นสารถีในช่วงแรกของการเดินทาง ออกจากเมืองหลวงมากว่า 3 ชั่วโมง ทิวทัศน์รอบข้างเริ่มสบายตาขึ้นเรื่อยๆ ภาพตึกสูงระฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีเขียวของนาข้าวที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา มันช่างเป็นภาพที่ทำให้หญิงสาวสบายตา และค่อยๆ เคลิ้มหลับไปในที่สุด
…………………………………………………………………………………………………………………
“นี่พวกเธอเป็นอะไรกัน พวกเธอต้องการอะไร”
ภาพหญิงสาวที่แหม่มเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากำลังสนทนากับชายหญิงอีกสองคน ดูท่าทางตึงเครียดน่าดู
“ก็ไม่มีอะไร เธอขายหุ้นในร้านนี้ให้ฉันแล้วออกไปจากร้านนี้ไปซะ เธอก็รู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับโชค ตราบใดที่มีเธออยู่โชคไม่มีวันเห็นความดีของฉันแน่นอน”
ชายหญิงคู่นั้นยืนประกบซ้ายขวา จนเกือบชิดเธอที่อยู่ตรงกลางฝ่ายหญิงกำลังพูดจากับด้วยแววตาที่ดุดัน
หญิงสาวที่กำลังพูดอยู่นี้จัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีเลยทีเดียว ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโต จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ ผมยาวดำขลับถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพู ซึ่งหากเทียบเรื่องความสวยของหน้าตากับหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าแล้วเธอเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้ แต่พฤติกรรมที่เธอกำลังแสดงอยู่นี้ช่างแตกต่างกับใบหน้าที่สวยงามของเธอเหลือเกิน
“เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฉัน ถึงไม่มีฉันอยู่แต่ถ้าโชคเขาไม่รักเธอ ยังไงเขาก็ไม่รัก แล้วการที่เธอเอาเรื่องไม่ดีของโชคมาเล่าให้ฉันฟังนี่ ฉันรู้ว่าโชคมีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง และหากโชคเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน เขาคงไม่พูดผ่านเธอหรอก วิธีการที่เธอกำลังทำมันก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยนะแพรว” หญิงสาวพูดเชิงอธิบาย
“เชื่อแพรวเถอะรัน เธออย่าดื้ออยู่ที่นี่ต่อไปเลย” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“มันไม่ยุติธรรมเลยนะ พอรันไม่ชอบนนท์แล้ว นนท์ก็ตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับรัน จริงๆ แล้วเราคบกันแบบเพื่อนก็ได้นี่”
หญิงสาวมองชายหนุ่มเบื้องหน้า และพูดจาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เธอคิดว่าไอ้นนท์มันรักเธอมากขนาดนั้นเชียวเหรอ ทีมันจีบเธอก็เพราะว่าต้องการแยกเธออกมาจากโชคเท่านั้น อย่าสำคัญตัวผิดหน่อยเลย” หญิงใบหน้าสวยนั้นหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยืนข้างกัน
“เอาเป็นว่าพวกเรามีกันสองคน ส่วนเธอคนเดียว ทางที่ดีเธอขายหุ้นให้แพรวแล้วกลับบ้านเธอไปซะจะดีกว่า”ฝ่ายชายเป็นผู้พูดบ้าง พร้อมกับสายตาที่เจ้าเล่ห์ จ้องมองมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“เธอสองคนนี่มันงูพิษจริงๆ ต่อหน้าโชคเธอทำเป็นดีกับฉัน แต่พอลับหลังเธอก็ต้องการให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันไปทำอะไรให้เธอทำไมเธอถึงไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่”
“แกอยากรู้มากใช่ไหม ฉันจะบอกให้แกรู้ก็ได้”คราวนี้สลับเป็นหญิงใบหน้าสวยที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งกำลังตะคอกใส่หน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงกลาง โดยมือข้างหนึ่งของเธอกำลังบีบปลายคางของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางไว้
“ตั้งแต่โชครู้จักกับแกเค้าก็ให้ความสำคัญกับแกมาก ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นต้องเป็นฉัน อะไรๆ ก็แก แล้วก็แก โชคให้ความสำคัญกับแกมากเกินไป จริงๆ แล้วหุ้นส่วนร้านนี้ต้องเป็นฉันไม่ใช่แก ฉันตามโชคกลับมาที่นี่เพื่อจะมาเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโชค แต่โชคกลับเลือกแก ฉันจะเตือนแกเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าให้กลับบ้านไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก คนที่นี่ไม่ต้อนรับแก จำใส่หัวไว้ด้วย ถ้าแกยังขืนที่จะอยู่ที่นี่ต้องไป อย่าหาว่าพวกเราใจร้ายก็แล้วกัน”
พูดจบหญิงสาวกระแทกศีรษะของอีกฝ่ายเข้ากับผนังห้องอย่างจัง ตามด้วยชายหนุ่มที่ตอนนี้จ้องหญิงสาวอย่างไม่กระพริบตา
หญิงสาวผู้ถูกกระทำได้แต่ยืนอึ้ง ด้วยความคาดไม่ถึงว่าเพื่อนทั้งสองคน จะคิดกับเธอได้ถึงเพียงนั้น แม้ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่แต่เธอก็รู้จักกับเพื่อนสองคนนี้มากว่าห้าปีแล้ว จนโชคชักชวนเธอมาร่วมทำธุรกิจที่บ้าน แพรวก็ตามกลับมาอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยกัน เธอเองเคยถามโชคเมื่อครั้งที่ชายหนุ่มแนะนำให้รู้จักกับแพรวพรรณว่าทั้งสองเคยชอบพอกันมาก่อนหรือไม่ เพราะพฤติกรรมของแพรวพรรณที่แสดงออกต่อโชคนั้นมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าตัวคิดอย่างไรอยู่ แต่ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนก็บอกปฏิเสธว่าทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น
บัดนี้ความเจ็บปวดจากแรงกระแทกระหว่างศีรษะกับผนังห้องมันไม่เท่ากับความเจ็บปวดในความรู้สึก ที่เธอเองเริ่มจะรู้ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ชายหญิงคู่นั้นตบท้าวเดินออกไปจากห้องพร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ ปล่อยให้หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่เพียงลำพัง เธอผู้นั้นค่อยๆ เดินออกมาจากห้องๆ นั้น ภายนอกเป็นร้านอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟโบราณสีนวลตา ที่ผนังถูกปูทับด้วยผ้าทอพื้นเมืองลายแปลกตา พื้นกระเบื้องขัดมันสีไข่ไก่ ประดับลวดลายดอกพิกุลนั้น เมื่อยามสะท้องแสงไฟ มันช่างดูราวกับดอกพิกุลเหล่านั้นเพิ่งร่วงหล่นมาจากต้นรายรอบไปด้วยกระถางกุหลาบสีแดงสด
มีลูกค้าแน่นเกือบเต็มร้าน พนักงานเดินขวักไขว่สวนกันไปมา เสียงบรรเลงของเปียโนถูกคัดสรรให้เอาใช้ขับกล่อมลูกค้าในยามเย็นเช่นนี้ ลูกค้ามากหน้าหลายตา กำลังอิ่มเอมกับความเลิศรสของอาหารเคล้ากับความเลิศรสของบรรยากาศร้าน ที่ได้ชื่อว่ากำลังดังเป็นพลุแตกของเมืองๆ นี้ก็ว่าได้
“รัน แกเป็นอะไรไปวะ เรียกอยู่ตั้งนานทำเป็นไม่ได้ยิน แพรวกับนนท์กลับไปแล้วเหรอ สองคนนี้ก็แปลกบอกให้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนก็ไม่ตอบรีบจ้ำอ้าวออกไปซะงั้น เออ...รันไปดูลูกค้าโต๊ะนั้นหน่อย เห็นเขาถามหาแกอยู่ เนื้อหอมนะแกช่วงนี้”
ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาวกระเซ้าเล่นแกมเป็นห่วง เพราะนับตั้งแต่รันชรีมาอยู่ที่เมืองนี้ ก็เข้าปีทีสองแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาจีบ หากแต่เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนจะมีใครสักคนส่งดอกไม้ช่อใหญ่ให้กับหญิงสาว ซึ่งเขาเองพอคาดเดาได้ว่าต้องเป็นสัญญาณของการเชื่อมสัมพันธ์แบบไหน
หญิงสาวเดินผละจากชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น หลังจากทักทายตามมารยาทแล้ว พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งจึงเดินมาสะกิดด้านหลัง ทันทีที่รันชรีหันกลับไป ก็พบกับดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่
“พี่รันครับ ลูกค้าเขาให้ผมเอามาให้พี่น่ะครับ”
“ชอบไหมครับคุณรัน”
เสียงทุ้มนุ่มๆ มาจากใครคนหนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า ส่งเป็นคำถามมายังหญิงสาว รันชรีได้แต่ยิ้มแบบเสียไม่ได้ และรับดอกไม้ช่อนั้นไว้
“สวยดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ งั้นรันให้เด็กจัดใส่แจกันไว้ในร้านเลยก็แล้วกัน จะได้ไว้อวดลูกค้าท่านอื่นด้วย”หญิงสาวถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งสำหรับเธอ
หญิงสาวเลี่ยงออกมาอีกด้านหนึ่งของร้าน แต่ความคิดยังคงติดอยู่กับชายเมื่อสักครู่
“เขานั่นเอง”
แม้หญิงสาวจะไม่รู้จักชายคนนี้ แต่ดอกไม้ช่อนี้เป็นช่อที่สามแล้วที่เธอได้รับจากคนๆ เดียวกันในเดือนนี้
“เขาเป็นใคร?”
แน่นอนว่าเขาคือลูกค้าคนหนึ่ง
แต่แล้วเหตุใดจึงมอบดอกไม้ให้เธอ?
“ดอกไม้สวยๆ สำหรับคนที่สวยที่สุดของผมครับ”
ใบหน้าหญิงสาวแดงปลั่งขึ้นมาทันทีที่เสียงทุ้มนุ่มนั้นดังมาจากด้านหลังของตน
“ผมจะมาที่ร้านนี้ทุกวันได้ไหมครับ”ชายผู้นั้นเอ่ยถามด้วยนัยตาเว้าวอน
แม้ว่าสองครั้งที่ผ่านมาหญิงสาวจะเพียงพูดคุยและกล่าวคำขอบคุณในฐานะลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับวันนี้ความรู้สึกบางอย่างมันเริ่มเกิดขึ้น เหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง หัวใจเธอเต้นแรงผิดปกติ บางครั้งรู้สึกชาไปทั้งตัว แต่บางครั้งก็รู้สึกเบาหวิวเหมือนร่างกายจะล่องลอยไปในอากาศเสียอย่างนั้น
พวงแก้มแดงระเรื่อบนใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยไร้การควบคุมของเธอ ราวกับเป็นลูกกุญแจที่หยิบยื่นให้ชายผู้นั้นไขเข้าไปในห้องหัวใจที่ถูกปิดไว้มาเนิ่นนาน
เคยมีใครหลายคนบอกว่า แม้ว่าหญิงสาวไม่จัดว่าเป็นคนหน้าตาสะสวยมากมาย หากแต่เธอกลับมีเสน่ห์บางอย่างที่มองได้อย่างไม่เบื่อ นับตั้งแต่เลิกรากับแฟนหนุ่มเมื่อครั้งเรียนอยู่ปีสาม เพื่อนๆ ก็ไม่เห็นว่าเธอจะเปิดใจคบใครเป็นแฟนอีกเลย คงมีบรรดาเพื่อนฝูงเท่านั้นที่ห้อมล้อมเธออยู่ โดยเฉพาะเพื่อนชายอย่างโชคที่เธอสนิทสนมมากที่สุด จนเพื่อนๆ อดคิดไม่ได้ว่าเธอแอบชอบโชคอยู่ลึกๆ จึงไม่ยอมมีแฟนสักที แต่ความจริงทั้งหมดมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้
“ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะกับการมีชีวิตคู่ อยู่กับเพื่อนแล้วมีความสุขกว่า ตอนนี้ฉันมีงาน มีบ้าน มีรถ ก็แค่เก็บเงินไว้ใช้ตอนแก่ให้ได้มากที่สุด แล้วก็อยู่กับเพื่อนแค่นี้ก็พอแล้ว”มันคือคำตอบที่เพื่อนเคยได้รับ และหลังจากวันนั้นมาไม่มีเพื่อนคนไหนถามไถ่เกี่ยวกับความรักของรันชรีอีกเลย
จนกระทั่ง...ชายคนนี้เข้ามา
หากคาดเดาถึงอายุอานามของบุรุษผู้ส่งดอกไม้ให้น่าจะเลขสามปลายๆ หรือเลขสี่ต้นๆ แต่ดูจากเค้าโครงหน้าตาแล้ว ตอนรุ่นๆ คงจะเนื้อหอมไม่เบา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องคาดเดาอายุขนาดนี้น่าจะมีครอบครัวไปเสียแล้วเพราะในความเป็นจริงชายอายุเท่านี้น้อยคนนักที่จะยังครองตัวเป็นโสดได้ ทำให้ในตอนแรกหญิงสาวไม่อยากเชื่อมความสัมพันธ์ใดๆ ต่อ แต่ทว่าความรู้สึกภายในมันกลับเรียกร้องให้เธอต้องลอบมองไปทางเขาบ่อยๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
“หรือคุณรันรังเกียจพ่อม่ายอย่างผม”
หญิงสาวหวนนึกถึงคำถามพร้อมสายตาเว้าวอนของชายผู้นั้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ และลมหายใจที่ถูกถอนออกมาเบาๆ
“ก็แสดงว่าเขาเคยมีครอบครัวมาก่อนแล้ว” แต่จะสาเหตุอะไรที่ทำให้ต้องเป็นโสดอีกครั้ง หญิงสาวยังคงเก็บความสงสัยนั้นไว้ลึกๆ
“กิตติ คุณานันทการ หัวหน้าฝ่ายการตลาดระดับเขต”
หญิงสาวอ่านชื่อและตำแหน่ง ของผู้เป็นเจ้าของนามบัตรเสียงแผ่วเบา แล้วเลยสายตาไปยังแจกันดอกกุหลาบที่สียังคงแดงสดรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏให้เห็นได้ที่มุมปากของเธอ ขณะนี้เจ้าของช่อดอกไม้นี้จะอยู่ที่ไหนนะ? วันนี้เขาจะมาหาเธออีกหรือเปล่า?
คำถามที่ถูกกลั่นกรองจากความรู้สึกที่แท้จริงในยามนี้
จะผิดไหมหากวันนี้เธอจะยอมเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต ใจหนึ่งก็ยังกลัวแต่อีกใจหนึ่งมันกลับส่งเสียงเรียกให้เปิดกลอนประตูนั้นเสีย
อีกหนึ่งคำถามที่เธอย้อนถามตัวเอง
สายลมอ่อนๆ ปะทะใบหน้าหญิงสาว เธอทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่มีดอกกุหลาบสีแดงโตปักอยู่บนแจกันแก้วใบนั้น พร้อมๆ กันใบหน้าของผู้มอบให้ก็วนเวียนเข้ามา ความสับสนเช่นนี้ ยากที่จะตัดสินใจ หากวันนี้แม่ยังอยู่กับเธอ เธอคงจะรีบไปปรึกษาแม่อย่างแน่นอน แต่ทว่าสิ่งที่เธอทำได้คือการนั่งคุยกับรูปภาพของแม่เท่านั้น
แต่หญิงสาวจะรู้หรือไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังเพ่งพินิจในอากัปกิริยาของเธออยู่
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนรักคนเดียวของเธอ ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวอยู่พักใหญ่ ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าในขณะนี้ชายหนุ่มรู้สึกเช่นไรกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินตรงไปที่หญิงสาวที่กำลังนั่งส่งยิ้มให้กับดอกกุหลาบสีแดงในแจกัน
“รัน แกชอบเขาหรือ?”
“ใครชอบใครโชค” หญิงสาวส่งคำถามคืน
“ฉันจะเตือนแกไว้อย่างนะรัน ทุกคนที่เมืองนี้รับรู้ว่าแกคือเพื่อนของฉัน คือเจ้าของร้านนี้ครึ่งหนึ่ง มีคนสองแบบคือ ต้องการความรักจากแก และต้องการเงินจากแก จะคิดจะทำอะไรก็ขอให้รอบคอบหน่อยนะเพื่อน”
พูดจบชายหนุ่มก็ผละจากหญิงสาวออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายอึ้งกับคำพูดที่เพิ่งได้รับฟังมาเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
“มองโลกในแง่ร้าย! แกคิดเหรอว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่แกคิด แกไม่รู้จักเขาสักหน่อยแล้วจะมาพูดจาแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะเพื่อน”หญิงสาวเอ่ยไล่หลัง
ชายหนุ่มหยุดแล้วหันหลังกลับไปทางหญิงสาว
“หรือแกจะบอกว่าแกรู้จักเขาล่ะ”
หญิงสาวยากที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อไปได้ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองตามหลังผู้เป็นเพื่อนที่กำลังเดินจากไป
.........................................................................................................................................
ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งยืนสวมกอดกันอยู่บนชานที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ รายล้อมด้วยกระถางดอกกุหลาบสีแดงสดฝ่ายชายเอามือลูบศีรษะฝ่ายหญิงเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาจับตรงหัวไหล่ และฝากรอยจุมพิตเล็กๆ ไว้บนหน้าผากของหญิงสาว
“รัน คุณรอผมนะครับ ผมจะทำเรื่องขอย้ายมาประจำที่จังหวัดนี้ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
ฝ่ายชายพูดกึ่งให้คำสัญญากับหญิงสาว แทนคำตอบมือเล็กๆ ของหญิงสาวเอื้อมไปจับที่ใบหน้าของฝ่ายชาย
“ค่ะ รันจะรอคุณ รันรักคุณมากนะคะ”
หญิงสาวหันหลังกลับเพื่อนั่งลงที่เก้าอี้โยกบนชานไม้นั้น ฝ่ายชายกำลังตัดกิ่งแห้งของต้นกุหลาบออก พระอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาแล้ว ฝูงนกกำลังบินกลับรังเป็นทิวแถว ในยามนี้หัวใจหญิงสาวคงจะพองโตมากกว่าดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังเขาโน่นหลายสิบเท่า รอยยิ้มของเธอมันยากที่จะบอกไว้ว่าความสุขที่มีนั้นมันมากมายเพียงใด
...........................................................................................................................................
“แหม่ม แหม่ม”เสียงใครคนหนึ่งเรียก หญิงสาวลืมตาขึ้นมา ทั้งๆ ที่เธอเองยังอยากจะหลับใหลต่อไป
“แวะปั๊มกันหน่อย แล้วแกก็มาเปลี่ยนฉันขับรถ หลับมาพอแล้วถึงคราวให้ฉันพักสายตาบ้าง”
ผู้ทำหน้าที่สารถีในช่วงแรก พูดพลางเปิดประตูรถ แล้วก้าวลงไปยืนบิดขี้เกียจอย่างไม่ยี่หร่าต่อสายตาผู้คนที่กำลังจ้องมองหญิงสาวในอาการที่กำลังขับไล่ความเมื่อยขบอยู่ในขณะนี้
“ชมพู่ ฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้แกฟัง” แหม่มกล่าวออกมาอย่างยากเย็น
แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับรู้
อีกไม่ถึง 20 กิโลเมตร จะถึงจุดหมายปลายทาง แต่เข็มไมล์ของคันเร่งยังคงที่ ราวกับว่าเป็นการนั่งรถชมวิวทิวทัศน์ของวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ของผู้กำลังเดินทางท่องเที่ยว แต่ทว่าในขณะนี้ปลายทางของทั้งสองสาวไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจอีกต่อไป สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือหัวข้อสนทนาที่ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีช่วงที่สองเล่าให้เพื่อนฟังต่างหาก
“แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้คิดไปเอง แกลองเล่าให้ฟังอีกรอบได้ไหม”ชมพู่ถามซ้ำเป็นครั้งที่เท่าใด แหม่มเองก็จำไม่ได้แล้ว
“นี่แก! จะให้ฉันเล่าให้ฟังอีกกี่รอบมันก็ยังเหมือนเดิม แกไม่ต้องมาทดสอบฉันหรอก ฉันไม่ได้โกหก ฉันแน่ใจเพื่อน มีอย่างเหรอ จะฝันถึงคนๆ เดียวกันและเรื่องราวมันก็ต่อเชื่อมโยงกัน จนฉันรู้สึกได้ว่าฉันเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย”แหม่มยังคงยืนยันกับเพื่อนสาว
“งั้นฉันว่าเธอคนนั้น คุณรันของแก คงต้องการบอกอะไรแกซักอย่างแล้วละ”คราวนี้คู่สนทนาดูเหมือนจะยอมรับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นต้องรีบไปให้ถึงที่โรงแรม แล้วฉันจะรีบนอนจะได้หลับฝันถึงเธอคนนั้นต่อ ฉันชักจะอยากรู้แล้วล่ะว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
พูดจบผู้ทำหน้าที่สารถีไม่รอช้า เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจนผู้ที่โดยสารมาด้วยนั้นร้องเสียงหลงด้วยความตกใจในระดับความเร็วของรถ
แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ทั้งสองวางแผนไว้ เพราะเมื่อเธอถึงโรงแรมก็มีเจ้าหน้าที่ของสาขานั้นมาคอยต้อนรับ และพาทั้งสองสาวไปทานอาหารพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคน กว่าจะกลับถึงโรงแรมอีกทีก็เกือบสี่ทุ่ม ทำให้สองสาวเหนื่อยล้าไปตามๆ กัน ซึ่งแหม่มเองที่คาดหวังว่าจะได้ฝันต่อก็ต้องผิดหวัง เพราะคืนนั้นแหม่มหลับเป็นตาย นอนรวดเดียวถึงหกโมงเช้า จะเสียดายที่ไม่ได้ฝันต่อหรือจะดีใจที่ได้พักผ่อนเต็มที่ แหม่มเองก็ยังเลือกไม่ถูกในความรู้สึก
.....................................................................................................................................
ตอนที่ 5
แม้จะเป็นวัดที่อยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าวัดแล้ว สถานที่นี้ย่อมจะเงียบและมีความสงบมากกว่าสถานที่อื่นๆ แน่นอน แหม่มเดินดูลวดลายแกะสลักที่บานประตูโบสถ์ด้วยความสนใจ หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า จะด้วยเพราะความร่มรื่นของสถานที่ หรือความสวยงามในงานฝีมือแกะสลักก็ตาม แต่สถานที่แห่งนี้ก็ทำให้หญิงสาวไม่อยากออกไปจากอาณาบริเวณในขณะนี้
“โยมลองหัดนั่งสมาธิดูบ้างสิ เผื่อว่าบางทีบุญกุศลที่มาจากการภาวนาของโยม อาจช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้”
หญิงสาวหวนนึกถึงคำพูดของพระชรา หลังจากที่เธอและเพื่อนไปทำบุญและถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเธอคนนั้น เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา มันยิ่งทำให้หญิงสาวครุ่นคิดจนไม่สามารถหยุดได้ ถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้น
ซึ่งหากเธอได้ทราบเรื่องที่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถตามมาได้พบเห็นแล้วละก็ ในขณะนี้เธออาจจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างคอยติดตามเธออยู่ แม้กระทั่งในขณะนี้
“ขอบใจเธอมาก...ที่อยากจะช่วยฉัน
... จิตเธอสื่อกับฉันได้...เธอช่วยฉันได้...
ฉันจะพาเธอไป...ไปพบกับคนพวกนั้น
...แล้วนำพาพวกเขา มาที่นี่”
หญิงสาวใบหน้าขาวซีด ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด จ้องมองไปที่แหม่ม พร้อมกับพูดเสียงในลำคอ เธอส่งยิ้มเยือกเย็นให้กับหญิงสาวก่อนที่จะค่อยๆ เลือนหายไป
“ฉันว่าแกเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นซะเถอะ นี่เราก็ทำบุญไปให้เขาแล้ว เขาคงได้รับแล้วล่ะ”ชมพู่พูดเตือนสติเพื่อน เมื่อเห็นแหม่ม นั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด
“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะชมพู่” หญิงสาวลุกขึ้นยืนภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ก่อนจะนำพาตัวเองออกมาบริเวณที่รถจอดอยู่
แม้หญิงสาวจะมากันเพียงสองคน แต่ภาพที่พระชรารูปนั้นได้สัมผัสกลับมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามหลังอยู่ติดๆ
บุรุษผู้ครองผ้าเหลืองเพ่งมองไปยังภาพเบื้องหน้า...
หญิงสาวผู้นั้นหันมามองพระชรา ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะโยม”
พระชราพูดน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ภาพหญิงเบื้องหน้านั้นหาได้เลือนหายไปไม่ เธอยังคงติดตามหญิงสาวทั้งสองออกไปจนลับตา
พระชราทำได้เพียงยืนสงบนิ่งแล้วกล่าวเป็นภาษาบาลี เพื่อแผ่เมตตาไปให้
.........................................................................................................................
แม้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว แต่ทว่าตลอดทั้งวันแหม่มครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของหญิงคนนั้น เธอจึงตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปยังคลื่นวิทยุผีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสอบถามประวัติโดยละเอียดของบ้านร้าง แต่ทว่าได้รบการปฏิเสธจากทีมงาน โดยให้เหตุผลว่าทีมงานไม่สามารถให้ข้อมูลได้ รายละเอียดทุกอย่างต้องรอสอบถามดีเจที่รับผิดชอบในการจัดรายการเท่านั้น
“บ้านร้างรามอินทรา”
หญิงสาวบรรจงกรอกตัวอักษรลงในโลกเครือข่ายอัจฉริยะ ไม่กี่อึดใจภาพบ้านร้างที่แหม่มและเพื่อนเข้าไปร่วมลองดีในรายการวิทยุคลื่นผีก็ปรากฏภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ว่ากันว่าหญิงสาวเจ้าของบ้านฆ่าตัวตายภายในบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เพราะเพื่อนบ้านยังคงเห็นเธอทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ แต่พอตกกลางคืนก็จะได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโหยหวนและเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทุกวัน นับวันเสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้น โหยหวนขึ้น และยาวนานขึ้น เพื่อนบ้านจึงไปหาเธอที่บ้าน และได้พบศพเธอซึ่งตำรวจชันสูตรแล้วว่าเธอเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นบ้านหลังนี้ถูกขายแต่สองสามีภรรยาที่มาซื้อกลับก่อเหตุฆาตกรรมตายด้วยกันทั้งคู่ภายในบ้าน หลังจากนั้นมาบ้านหลังนี้ถูกปล่อยให้ร้าง เพียง 6 เดือน นับจากเหตุการณ์สยอง กิตติศัพท์ความเฮี้ยนของวิญญาณหญิงสาวทวีมากขึ้นทุกวัน ทุกคืนมักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ บางคืนจะเห็นผู้หญิงออกมายืนที่ประตูรั้วหน้าบ้าน จนชาวบ้านในละแวกนั้นไม่มีใครกล้าอยู่ ย้ายออกไปทีละหลัง ทำให้เกือบทั้งซอยไม่มีคนอาศัยอยู่เลย จะมีเพียงต้นๆ ซอยสามสี่หลังเท่านั้น”
หญิงสาววางแว่นตาลงข้างๆ จอคอมพิวเตอร์ แล้วถอนหายใจเล็กๆ ข้อมูลในอินเตอร์เนตไม่ได้แตกต่างอะไรกับข้อมูลที่ทางคลื่นวิทยุแจ้งให้ทราบก่อนที่จะสมัครไปร่วมรายการ แต่สิ่งที่เธออยากรู้มากไปกว่านี้คืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นกระทำการอัตวิบากกรรม
เสียงสะอื้นร่ำไห้ ในค่ำคืนนั้นยังแว่วอยู่ในหู
ตะวันบ่ายคล้อยของวันอาทิตย์ หญิงสาวเผลอหลับไปท่ามกลางความสงสัย
....................................................................................................................................
เสียงเพลงแว่วมาไกลๆ แต่ก็ยังพอจับจังหวะได้ว่าเป็นเพลงบรรเลงสากลในยุค 60 แสงแห่งวันใกล้จะหมดไปแล้วแต่ก็ยังคงมีแสงหลงเหลือให้เห็นสภาพแวดล้อมรายรอบได้อย่างชัดเจน จากสามแยกแหม่มสาวท้าวไปตามเสียงเพลงนั้น มันค่อยๆ ดังขึ้นๆ จนกระทั่งถึงที่มาของต้นเสียง หญิงสาวหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านร้างที่เธอไปร่วมสำรวจกับรายการวิทยุที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่ทว่าสภาพบ้านตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาโดยจะค่อนไปทางคึกคักเสียด้วยซ้ำ รายรอบบ้านถูกจัดแต่งให้สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นสวนรอบบ้านที่ถูกประดับประดาไปด้วยไฟกระพริบหลากสี กลางสนามมีเตาย่างบาบีคิวอันใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยบรรดาเชฟมือสมัครเล่นทั้งหลาย ควันสีขาวลอยโขมงสู่ชั้นบรรยากาศ ใครบางคนถือถาดบาบีคิวเดินไปรอบๆ บ้านและใครอีกบางคนกำลังขมีขมันกับการเปิดเบียร์เย็นๆ แจกสมาชิกที่กำลังยืนรออยู่
ถัดไปที่ข้างบ้านเลยยาวไปจนถึงรั้วหลังบ้าน เป็นสระว่ายน้ำเล็กๆ ที่บัดนี้กลีบกุหลาบสีแดงสดนับร้อยๆ กลีบกำลังลอยเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ข้างๆ กันเป็นกลุ่มชายหญิงที่ทั้งนั่งทั้งยืนสนทนาปนกับเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริง
แน่นอนว่ามันคืองานเลี้ยง
แขกไม่ได้รับเชิญค่อยชะโงกหน้าผ่านประตูใหญ่หน้าบ้านที่ถูกเปิดกว้าง หน้าบ้านมีรถจอดอยู่หลายคัน อย่างไม่รอรีเธอก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน มันช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่าสนุกเสียจริง แต่ทว่ากลับไม่มีใครมองเห็นเธอแม้แต่คนเดียว หญิงสาวเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปคล้ายกับตนเองเป็นเพียงอากาศธาตุ เธอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ หน้าบ้าน เพื่อนำพาตนเองไปยังระเบียงหน้าบ้าน หญิงสาวได้แต่มองเข้าไปภายในบ้านที่นับว่ามีสมาชิกมากกว่าด้านนอกหลายสิบคน
“เอาละๆ มาเพื่อนๆ เรามาอวยพรให้เพื่อนของเราทั้งสองคนดีกว่า”
ชายรูปร่างสมบูรณ์คนหนึ่งยืนขึ้นพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วสมาชิกทุกคนต่างก็หลั่งเข้าไปในตัวบ้าน
ข้างชายรูปร่างสมบูรณ์คนนั้น น่าจะเป็นหญิงสาวคนที่เธอพบ เมื่อมองหน้าเธอชัดๆ เธอไม่จัดว่าสวยมากหากแต่มันมีเสน่ห์บางอย่าง โดยเฉพาะเวลาเธอยิ้ม ดูเธอน่ารักทีเดียว ถัดไปเป็นชายรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาคมเข้มคนหนึ่ง ยืนถือแก้วบรั่นดีแล้วยกขึ้น
“ขอบใจเพื่อนทุกคนที่มางานเลี้ยงส่งเรากับรันในวันนี้ เอ้า !!! ดื่มเพื่ออนาคตที่สดใส”
ทุกคนต่างก็ยกแก้วในมือชูขึ้นพร้อมกับดื่มพร้อมๆ กัน
“ฉันละเชื่อพวกแกสองคนจริงๆ เลย ทำไมไม่แต่งงานกันเลยวะ”ใครบางคนตะโกนมา
“เฮ้ย !”ชายหญิงอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“ไอ้บ้า! พวกเราเป็นเพื่อนกัน เลิกจับคู่ซักทีเถอะวะ เป็นเพื่อนกันอยู่ดูแลกันไปอย่างนี้แหละ ใช่ไหมโชค”หญิงสาวพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางเพื่อนชายหน้าตาคมเข้มคนนั้น
“ใช่ ฉันว่าพวกแกก็เลิกจับคู่สักทีเถอะ คบกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ถ้าจะชอบกันคงชอบกันตั้งแต่เรียนอยู่ละมั้ง ตอนนี้มันเลยวัยแล้วหว่ะ อยู่มาจนอายุขึ้นเลข 3 แล้วยังไม่มีใครมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักที คงต้องไปอยู่คานทองนิเวศน์ด้วยกันหมดนี่แหละวะ”ว่าแล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“แล้วนี่แกสองคนจะไปเมื่อไหร่”หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยถามบ้าง
“เคลียร์บ้านเสร็จ ก็คงเดินทางทันที”
“แล้วทางบ้านไอ้โชคว่าไง ที่รันจะไป”
“พ่อกับแม่ก็โอเคนะ แม่ฉันนี่จะดีใจเสียด้วยซ้ำ ถือซะว่าปลดเกษียณให้โอกาสคนรุ่นใหม่ไฟแรงไปบริหารบ้าง”
“พวกเราจะเอาใจช่วยนะ ขอให้กิจการของพวกแกเฮงๆ นะ”
ผู้เฝ้ามองพอจะคาดเดาเหตุการณ์ออกกรายๆ ถึงงานเลี้ยงในคืนนี้ มันน่าจะเป็นงานเลี้ยงส่งจากเพื่อนๆ ที่หญิงชายคู่นี้กำลังจะเดินทางไปสานต่อธุรกิจอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ใบหน้าของชายหญิงคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มันช่างต่างกับภาพและเสียงที่แหม่มเพิ่งได้สัมผัสมา
............................................................................................................
ข้าวของในบ้านถูกจัดเก็บลงกล่องพลาสติก และแยกหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบ ผ้าคลุมผืนโตกำลังถูกคลี่ออกเพื่อห่มคลุมโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก หญิงสาวใช้หลังมือปาดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา ส่วนฝ่ายชายกำลังล็อคห้องเก็บของใต้บันใด หญิงสาวถือกระติกน้ำใบเล็กๆ สองใบเดินนำออกไปด้านนอก พลางมองไปทางชายหนุ่มแล้วพยักหน้า พร้อมกับใช้สายตามองออกไปด้านนอก เพื่อแทนคำพูดในการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายออกไปนั่งด้านนอกด้วยกัน
เสื่อผืนย่อมถูกกางออกกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน หญิงสาวนั่งมองดูกระถางต้นกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน อีกไม่นานเธอจะจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว การจ้างแม่บ้านมารดน้ำต้นไม้สัปดาห์ละครั้งจะเพียงพอหรือไม่สำหรับการอยู่รอดของเหล่าต้นไม้และดอกไม้ที่เธอรัก
“จะยากอะไรรัน แกก็ขนเอาต้นกุหลาบพวกนั้นไปด้วยสิ” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ
“ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน แกนี่มันช่างรู้ใจฉันจริงๆ เลยวะโชค” หญิงสาวละสายตาจากกระถางดอกไม้แล้วหันไปทางชายหนุ่ม
“ฉันรู้ว่าแกรักต้นไม้พวกนั้น เออแล้วฉันจะช่วยขน ส่วนต้นใหญ่ๆ ก็ค่อยให้คนที่ป้าแกจ้างมาเขารดก็แล้วกัน”
แทนคำตอบหญิงสาวสิ่งยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วใช้มือเล็กๆ นั้นสัมผัสกับพื้นหญ้าสีเขียวที่โผล่พ้นเสื่อออกมา
“แกลงมานั่งกับฉันสิ มานั่งนี่” หญิงสาวว่าพลางใช้มือตบลงบนที่ว่างบนเสื่อข้างๆ ตัว
“อีกหน่อยเราจะไม่ได้มานั่งกันแบบนี้แล้วนะ”
“แกก็พูดอย่างกับว่าจะไม่กลับบ้านแกอีกงั้นแหละ ฉันพาแกไปทำงานนะ ไม่ได้พาไปแล้วไปเลยซะหน่อย ถ้าว่างแกก็กลับมาสิ” ชายหนุ่มแย้งแล้วพาร่างตนเองลงไปนั่งอยู่ข้างๆ หญิงสาว
“ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะคบกันมา 18 ปีแล้ว มันเร็วจนไม่น่าเชื่อเลยวะ” ชายหนุ่มเอ่ย
“รันฉันถามแกจริงๆ เถอะวะ แกไม่คิดจะมีแฟน แล้วแต่งการแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้างเลยเหรอ คือที่ฉันถามแกเนี่ย .....” ชายหนุ่มเอ่ยคำถามแต่ยังคงค้างไว้
“แกไม่ต้องถามต่อหรอก ฉันเคยคิด แต่มันนานมาแล้ว” หญิงสาวชิงตอบคำถามเสียก่อน
“กับใครวะ”
“พี่โบ๊ทไง”
“คนที่เขาทิ้งแกไปอะนะ”
“เออ ไม่ต้องมาย้ำหรอก”
“ฉันรักเขา คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วทำงานอีกซักสองปี ก็จะแต่งงาน แต่มันก็อย่างที่แกเห็นนั่นแหละ สุดท้ายก็เฮงซวย ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเก็บเงินเยอะๆ เอาไว้ใช้ตอนแก่ ถ้าไม่มีใครได้อย่างใจจริงๆ ขออยู่คนเดียวดีกว่า ว่าแต่แกเถอะ กลับไปอยู่บ้านอย่างนี้แล้วพวกสาวๆ ของแกจะทำไงวะ”
“มันพูดยากวะรัน แกก็รู้ว่าฉันมันลูกคนเดียวยังไงฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่ จะมีใครวะอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยู่บ้านนอก”
“แกก็พูดซะน่ากลัว บ้านน้งบ้านนอกอะไรกัน ก็แล้วทำไมแกไม่บอกไปล่ะ ว่าที่บ้านแกเปิดร้านอาหารใหญ่โตขนาดไหน ดันไปบอกเขาเองนี่หว่าว่าเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด”
“ก็นั่นไง ถ้าเขารักฉันจริง เขาต้องไม่สนใจสิว่าครอบครัวฉันจะทำงานอะไร เขาต้องรับให้ได้สิวะ”
“เฮ้ย แต่ฉันว่ามันต้องมีสิวะ ถ้าเขารักแกจริง”
“แกจำโอ๋ได้ไหมละ ฉันคิดว่าฉันชอบผู้หญิงคนนี้มาก แต่พอเจอแม่ฉันทดสอบไม่กี่บท ก็ใส่เกียร์ถอยแทบไม่ทัน” ชายหนุ่มพูดปนรอยยิ้ม
“เอาเป็นว่าต่อไปนี้เรื่องความรักสำหรับแกกับฉัน หยุดไว้ก่อน ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเก็บเยอะๆ ดีกว่าใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยสายตารื่นเริง
“โอเค ได้เลย ใครเก็บเงินได้เยอะกว่ากันภายในห้าปี คนนั้นชนะ” ชายหนุ่มว่า
“แล้วถ้าใครมีแฟนก่อนกัน อะไรดีน้า” หญิงสาวทำหน้าทะเล้น พลางหลับตาครุ่นคิด
“คิดออกแล้ว ถ้าใครมีแฟนก่อนคนนั้นต้องไปกระโดดบันจี้จั๊ม” ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“แกจำตอนไปสมุยได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะเล็กๆ
“ทำไมจะจำไม่ได้ แกกับฉันหลอกให้พวกไอ้อ้วนกระโดดก่อน แล้วก็ขับรถหนีพวกมันที่ท้าให้เรากระโดดบันจี้จั๊ม”ชายหนุ่มร่วมสนทนาเรื่องขบขันในอดีตอย่างออกรสออกชาติ
“จนต้องนอนค้างบนรถ” ทั้งสองพูดพร้อมกันกลั้วเสียงหัวเราะ
...........................................................................................................................
ก็อกๆๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องทำให้แหม่มถูกกระชากออกมาจากการสนทนาที่แสนรื่นเริงนั้น หลังจากลืมตาแล้วเธอยังคงงุนงงกับภาพรอบๆ ตัวที่บัดนี้มันกลายเป็นอพาร์ทเม้นท์ของเธอ ไม่ใช่เทอร์เรซหน้าบ้านที่เธอกำลังยืนมองชายหญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่
“แหม่ม! เปิดประตูเร็วเข้า ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
เสียงชมพู่นั่นเอง ตามด้วยเสียงเคาะประตูที่ถี่ยิบหลังจากเปิดประตูให้เพื่อนแล้ว ชมพู่วิ่งพรวดเข้ามาในห้องและเลยไปห้องน้ำด้านหลังอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวยังคงยืนงัวเงียอยู่ที่ประตู ใจก็นึกถึงแต่เรื่องราวในความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วินาที ซึ่งเธอยังไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังดีหรือไม่