ตอนที่ 14
หนึ่งสัปดาห์แห่งการทำงานในเมืองนี้ ผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เนื้องานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ทางทีมงานวางไว้ ทุกคนร่วมมือกันเป็นทีมเวิร์คอย่างเข้มแข็ง หากตัดเรื่องรันชรีออก กิตติคือหัวหน้างานที่น่าเอาแบบอย่างที่สุด เขาทำงานเก่ง วางแผนการตลาดได้อย่างแยบยล การพูดจาปลุกระดมกลุ่มและโน้มนาวจิตใจถือว่ายอดเยี่ยม คงมีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ชโลธรต้องสะดุดในความคิดคือเรื่องของรันชรี
ชายคนนี้เลวร้ายมากสำหรับเรื่องความรัก...
เลวอย่างไม่น่าให้อภัย...
ใกล้เวลาเลิกงานเต็มที แต่พนักงานทุกคนกลับไม่มีใครเตรียมตัวจะกลับแต่อย่างใด คงเป็นเพราะเม็ดฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอกที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ แล้วเริ่มโปรยปรายเอาตอนใกล้จะเลิกงาน ทำเอาพนักงานหลายต่อหลายคนถึงกับบ่นอุบเพราะไม่มีใครกลับบ้านได้สักคน รวมทั้งชโลธรและชมพูนุช ทั้งสองสาวนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีตามประสาผู้หญิง
“พี่น้ำ คุณกิตตินี่เขามีครอบครัวหรือยังค่ะ” ชโลธรยิงคำถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชี
“เท่าที่รู้ก็เคยมีนะคะ แต่ภรรยาแกเสียไปตั้งนานแล้วค่ะ แต่เท่าที่รู้มาอีกนั่นแหละค่ะ แกเจ้าชู้น่าดู แหมคิดอะไรกับหัวหน้าหรือเปล่าน้องแหม่ม”ชโลธรรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
“พี่น้ำเป็นคนเมืองนี้หรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องในการสนทนา
“โดยกำเนิดเลยละคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้จักคนเยอะสิคะ”
“ก็พอรู้ค่ะ”
รู้จักร้านอาหารชื่อโชติรสไหมค่ะ
“อ๋อรู้จักค่ะ ร้านดังของเมืองเลยล่ะ ว่าแต่น้องแหม่มอยากไปทานที่ร้านนั้นเหรอ นึกว่าหัวหน้าพาไปเลี้ยงต้อนรับแล้วซะอีก”
“แล้วรู้จักเจ้าของร้านหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวยังคงถามต่อไป
“รู้ค่ะ เขาเป็นคนที่นี่ใครๆ ก็รู้จัก ตอนนี้ป่วยเดินไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมือมาให้ลูกชายทำต่อ”
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีก็เล่าเรื่องราวความเป็นมาของร้านให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่ชโลธรรับรู้มาก่อนแล้ว แต่นี่ถือเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่เธอฝันนั้น เป็นความจริงที่โดยที่เธอไม่ได้คิดไปเองหรือแต่งเรื่องขึ้นมา
ชโลธรมองหน้าชมพูนุชเหมือนจะนัดแนะอะไรบางอย่างพอดีกับกิตติเดินออกมาจากห้อง
“แหม! หัวหน้านึกว่าพาสาวๆ จากกรุงเทพฯ ไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านดังแล้วซะอีก” น้ำแซวผู้เป็นหัวหน้างาน
กิตติส่งยิ้มให้กับกลุ่มพนักงานที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่นี้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่น้ำ คุณกิตติเขาอาจจะไม่อยากไปที่ร้านนั่นอีกก็ได้ จริงหรือเปล่าค่ะหัวหน้า” ชโลธรเอ่ยถามด้วยสายตาที่สบประมาท
ไม่มีคำพูดใดๆ จากกิตติ
“แน่ละสิ ทำอะไรกับใครไว้ แล้วไม่กล้าสู้หน้าเขา คนทำผิดแล้วรู้จักขอโทษยังน่าให้อภัย แต่คนที่ทำผิดแล้วไม่ขอโทษนี่สิแย่ยิ่งกว่า ว่าไหมคะพี่น้ำ” ชโลธรรัวออกมาเป็นชุด ทำให้คู่สนทนางุนงงกับคำถาม เพราะไม่รู้เรื่องที่หญิงสาวพูดมา ตรงข้ามกับกิตติที่ขณะนี้รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาที่ใบหน้า
“พี่น้ำไปด้วยกันไหมคะ พรุ่งนี้วันหยุดคืนนี้ก็ฟรีสไตล์ได้” ชโลธรเอ่ยชวน
“หัวหน้าละคะ ไปด้วยกันไหมคะ” น้ำชวนอีกต่อหนึ่ง
“กล้าหรือเปล่าคะ หัวหน้า” ชโลธรพูดพร้อมและสบตากับอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ ที่มุมปาก
“ชโลธร คุณหมายความว่าอย่างไร กล้าหรือเปล่า แค่การไปทานอาหารทำไมผมจะไม่กล้า ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว”
ทั้งๆ ที่ตอบไปอย่างมั่นใจ แต่ภายในใจนั้นกิตติรู้สึกประหม่า เพราะคำสัญญาที่เคยไว้ให้แพรวพรรณและอานนท์ว่าจะไม่กลับมาที่เมืองนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านนี้ คือจุดเริ่มต้นการทำความผิดครั้งใหญ่ของเขาที่มีต่อผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ที่วันนี้เขาไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า เขารักเธอ เมื่อถูกพูดจากระแทกแดกดันจากผู้ใต้บังคับบัญชามันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากจะเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้น เพราะอยากรู้ว่ารันชรีจะยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
“ไม่ตอบแสดงว่าตกลงนะคะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีสำทับมาอีกรอบ
...............................................................................................................................
อากาศชื้นหลังม่านฝน กลิ่นไอของดินยังติดอยู่ที่ปลายจมูก กิตติหยุดยืนมองด้านหน้าของร้านอาหารแห่งนี้ ราวกับจะเห็นรันชรียืนยิ้มทักทายให้หน้าร้าน ภาพเก่าๆ ของวันวานกำลังผุดขึ้นมา กังวานของเปียโนในบทเพลงที่คุ้นหู เธอจะยังอยู่ที่นี่หรือไม่ เหตุการณ์หลังจากวันนั้นจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง
แต่เขากลับไม่คิดว่ารันชรีจะยังอยู่ที่ร้านนี้
คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับแพรวพรรณและอานนท์หลังจากที่คนทั้งสองคืนสัญญากู้ยืมฉบับนั้นให้เขาแล้วมันยังก้องอยู่ในความรู้สึก เขายอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ย้อนกลับมายังเมืองนี้อีกครั้งหนึ่ง จะเป็นเช่นไรหากเขาพบกับคนทั้งสอง และจะเป็นเช่นไรหากเขาเจอกับโชค ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของรันชรี แต่อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดขึ้น ในเมื่อวันนี้เขายอมรับโดยดีว่าเขารักรันชรี และการกลับมาครั้งนี้คือการกลับมารับโทษ โดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าผู้ที่จะตัดสินโทษของเขาอยู่แห่งหนใด
บริกรหนุ่มหน้าตาคุ้นเคย กล่าวคำสวัสดีพร้อมกับยกมือไหว้ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยถามถึงรันชรี บริกรอีกคนสะกิดแขนเอาไว้ แล้วเดินหายเข้าไปในร้าน เขาไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ จึงรีบเดินเข้าไปในร้านเพื่อตามไปสมทบกับพนักงานที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน
ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อภาพภายในร้านเป็นเหมือนหนังจอใหญ่ที่กำลังวนกลับไปเล่นซ้ำในฉากก่อนๆ ที่มีเขาและรันชรีเป็นนักแสดง แต่แล้วก็มีเสียงๆ หนึ่งกระชากเขาออกจากภวังค์
“คุณกิตติ คุณกลับมาที่นี่อีกทำไม คุณผิดสัญญากับแพรว”หญิงสาวกระแทกเสียงถาม และจ้องมองเขาเหมือนจะให้แตกสลายไปในอากาศ
“ผมเลี่ยงไม่ได้ ผมต้องทำงาน”
“มันเป็นข้ออ้างมากกว่า คุณต้องการอะไร”
“แล้วแต่จะคิด ผมมาทำงานจริงๆ”
“ดีนะที่โชคไม่อยู่ คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม งานคุณจะเสร็จเมื่อไร”
“ผมต้องอยู่ที่นี่ไปจนกว่าห้างสรรพสินค้าใหม่จะเปิด”
“คุณบ้าไปแล้วคุณกิตติ แล้วสัญญาที่คุณให้กับแพรวละ”
“ผมจะไม่พูดอะไรที่พาดพิงมาถึงคุณแน่ ผมรับรองได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ๆ โชคก็เดินเข้ามาในร้านอย่างกระหืดกระหอบ ซึ่งเขาต้องชะงักทันทีเมื่อพบกิตติยืนคุยกับแพรวพรรณอยู่ในร้าน
“เขาไม่ได้อยู่กับรันชรีหรอกหรือ? ” คำถามที่ดังอยู่แค่ในใจ
“แล้วตอนนี้รันอยู่กับใคร? ” คำถามต่อมา
“สวัสดีครับ”
กิตติเอ่ยทักทายทั้งที่ใจตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ทางด้านแพรวพรรณขณะนี้เหมือนมีก้อนหินแข็งๆ มาอุดหลอดลมไว้ ได้แต่มองโชคทีกิตติที แต่ด้วยความรีบเพราะลืมเอกสารทำให้โชคไม่สามารถที่จะมีเวลาพูดคุยกับกิตติแม้ใจอยากจะคุยมากก็ตาม
ชโลธรสอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นหัวหน้างาน ที่จริงๆ แล้วเขาต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสมาชิกทุกคน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“หรือเขาจะไม่กล้ามา เราน่าจะให้ใครคนใดคนหนึ่งนั่งรถมากับเขา เขาอาจจะหนีกลับกลางทางก็ได้”
แต่เมื่อมองไปด้านหน้าร้าน หญิงสาวก็พบว่ากิตติยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงใบหน้าสวยคนนั้น แน่ชัดว่าคือแพรวพรรณโดยไม่ต้องไถ่ถามผู้ใด เพราะเธอคุ้นหน้ามาแล้วจากความฝัน
“พวกเขาคุยอะไรกัน ต้องเป็นเรื่องคุณรันแน่ๆ”
ชโลธรชำเลืองตาดูผู้เป็นหัวหน้ายืนคุยกับแพรวพรรณ ก็นึกฉุนขึ้นมา เธอรีบลุกจากโต๊ะและตรงดิ่งไปยังชายหญิงทั้งสองคนนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยกับคนทั้งคู่ คงมีแต่แพรวพรรณเท่านั้นที่มองหญิงสาวด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดลูกค้าท่านนี้จึงได้มายืนจ้องหน้าเธออยู่เช่นนั้น
“มีอะไรต้องปิดบังหรือคะ ถึงไม่ยอมไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน” หญิงสาวส่งเสียงทักทายขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่
“ผมมาสั่งอาหาร คุณมีอะไรหรือเปล่าครับคุณชโลธร” กิตติตอบกลับ
ทางด้านแพรวพรรณละสายตาจากกิตติแล้วเปลี่ยนไปจับจ้องที่หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าแทน ด้วยประโยคคำถามเมื่อสักครู่ทำให้แพรวพรรณขมึงตาใส่ลูกค้าคนนี้แทบจะกลืนกิน
“นางมารร้าย ฉันขอมองหน้าแกชัดๆ สักทีเถอะ” ว่าแล้วชโลธรก็จ้องหน้าแพรวพรรณ พร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ในรอยยิ้มนั้น มันแฝงอะไรมากมายไว้เบื้องลึก มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้
กิตติถือโอกาสแนะนำชโลธรให้แพรวพรรณรู้จัก แต่ทว่าแววตาที่หญิงสาวมองแพรวพรรณนั้นทำให้ทั้งกิตติและแพรวพรรณต่างก็สงสัยว่าเหตุใดหญิงผู้นี้จึงมองหล่อนเช่นนั้น มันเป็นสายตาแห่งความอาฆาต ราวกับคนที่โกรธแค้นกันมาก่อน ทั้งๆ ที่ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แต่สำหรับชโลธรแล้ว เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้มาสักพักใหญ่ๆ และรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างแพรวพรรณและรันชรี ยิ่งพบหน้าและได้พูดคุย เธอยิ่งทวีความเกลียดชังในตัวผู้หญิงคนนี้ คงเหลือเพียงแต่โชคและอานนท์เท่านั้น ที่ชโลธรกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วร้าน แต่ก็ยังไม่พบ
“เธอไม่ต้องกลัวฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ”
บัดนี้วิญญาณของหญิงสาวกำลังยืนยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่หน้าร้าน
กิตติบอกแพรวพรรณว่าตนต้องการนำเงินมาคืนรันชรี แต่แพรวพรรณกลับบอกว่าทุกอย่างจบไปแล้ว และให้เขาเลิกคิดเรื่องคืนเงินเสีย
“มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณอยากจะเจอมันนักก็ไปตามมันที่บ้านมันโน่น”
พลันนั้นความคิดหนึ่งก็บังเกิด
...ใช่แล้ว ก่อนที่มารหัวใจจะกลับมาที่นี่ เธอควรจะให้กิตติไปหารันชรีที่บ้านและห้ามไม่ให้รันชรีกลับมาที่นี่อีก หากรันชรียังรักกิตติอยู่ หล่อนจะต้องทำตามที่กิตติบอกอย่างแน่นอน
“ใช่ คุณไปตามรันชรีที่บ้านสิ ฉันเชื่อว่านังนั่นคงจะรอคุณอยู่”
ตอนที่ 13
แพรวพรรณเล่าเรื่องที่เธอพบรันชรีในร้านอาหารให้อานนท์ฟัง ซึ่งอานนท์พูดเหมือนโชคว่าคงเป็นเงาคนในร้าน ผสมกับแสงของฟ้าที่แลบ ทำให้แพรวตาฝาดเห็นเป็นคนขึ้นมา อานนท์ได้แต่บอกว่าให้แพรวพรรณอย่าคิดมากเรื่องรันชรี ป่านนี้คงได้งานใหม่ทำที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว ห่วงแต่เรื่องโชคเถอะ ให้แพรวรีบๆ ทำคะแนนให้โชครักแพรวให้ได้ ส่วนนนท์ก็มุ่งอยู่ที่เป้าเดิมคือการเปิดสาขาใหม่
เมื่ออานนท์พูดเช่นนี้ แพรวพรรณได้แต่ขบฟันแน่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน นับว่าเธอเสียคะแนนไปไม่น้อย เพราะในเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จู่ๆ โชคก็ผละออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บใจ แต่ทว่าเธอเองกลับไม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เป็นเพื่อนฟัง
วันนี้เธอจะพูดอะไรกับชายหนุ่ม เมื่อเจอหน้าเขา...
ยิ่งคิดก็เสียดายโอกาส...ที่หลุดลอยไป
........................................................................................................................
โชคนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เขาจ้องมองหน้าตัวเอง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทำอะไรไปไม่คิด” เขาบอกกับเงาตัวเองในกระจก
ภาพเหตุการณ์ในสนามแห่งกลกามที่เขาเคลิ้มไปกับแพรวพรรณยังตามหลอกหลอนเขานับตั้งแต่ตื่นนอน
วันนี้หากพบแพรวพรรณ เขาจะทำตัวเช่นไร?
ความละอายที่มีต่อหญิงสาว ทำให้เขาคิดไม่ตกว่าจะมองหน้าหล่อนได้เต็มตาเหมือนเดิมหรือไม่
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกถอนออกมาอีกครั้ง...
ชายหนุ่มนึกย้อนเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงเรื่องแพรวพรรณเห็นรันชรีที่ร้านอาหาร น่าจะร่วมปีแล้วที่หญิงผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ได้ห่างหายไปจากชีวิตของเขา
รันชรีจะกลับไปที่บ้านหรือเปล่า…?
หรือเธอจะไปหาผู้ชายคนนั้น...?
ความโกรธในใจถูกกวนขึ้นมาจากก้นบึ้งอีกระลอก ที่เพื่อนรักอย่างรันชรีทำสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นกับเขาได้ลง รันชรีคนที่เคยรักเพื่อนมากกลับเห็นคนอื่นดีกว่า และยอมทำสิ่งที่ไม่ดีเพียงเพราะผู้ชายแค่คนเดียวเท่านั้น
โชคขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เขายกหูโทรศัพท์หาผู้เป็นมารดา เพื่อจะไปรับท่านออกจากโรงพยาบาล แต่เมื่อเขาลงมาชั้นล่าง ก็ต้องตกใจเพราะแพรวพรรณมาหาที่บ้านแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวจะไปรับผู้เป็นมารดาด้วยกัน
“จะกลับก็ไม่บอก โชคยังเห็นแพรวเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” หญิงสาวกล่าวในเชิงตัดพ้อ
“ขอโทษทีแพรว เราต้องรีบไปรับแม่ ก็เลยไม่อยากปลุก” ชายหนุ่มว่า
“แพรวไปรับคุณป้าด้วยคนนะ เดี๋ยวขับรถให้ก็ได้” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
“เราไปตั้งสองวัน แพรวอยู่ที่ร้านจะดีกว่าไหม ไปกันทั้งสองคนไม่มีใครอยู่ร้าน นนท์ก็ไม่อยู่” เขาหาทางหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับหญิงสาวเพียงลำพัง
แพรวพรรณรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เพราะเธอคาดหวังไว้ว่าเธอหากเธอเข้าทางผู้ใหญ่ มันจะเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีที่เธอพลาดไปเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากเช่นนี้ เธอเองก็ต้องยอมแม้ใจจะปฏิเสธก็ตามแต่
………………………………………………………………………………………………………………
ภายในรถแวก้อนแบบครอบครัวนั้น หญิงสูงวัยนั่งอยู่ทางเบาะกว้างด้านหลัง ด้านหน้าเป็นชายหนุ่มผู้ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันกับนางทำหน้าที่ขับรถ ข้างๆ ชายหนุ่มนั้นเป็นชายสูงวัยที่หน้าตาก็ละม้ายกับชายหนุ่มเช่นกัน
“รันอยู่ร้านเหรอลูก ทำไมไม่มารับแม่ด้วยกัน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรชาย
“นั่นสินะโชค ก่อนที่พ่อจะไปเฝ้าแม่แกที่โรงพยาบาล ก็ไม่ค่อยได้เจอหนูรันเหมือนกัน ที่ร้านยุ่งมากหรือ” ผู้เป็นบิดาส่งคำถามต่อ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากบุตรชาย
“อ้าวว่าไงโชค แม่ถามว่ารันอยู่ไหน โทรหาหน่อย มากินข้าวด้วยกัน แล้วนี่รันรู้หรือเปล่าว่าแม่จะกลับถึงบ้านวันนี้”
“รันเขาไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบผู้เป็นบุพการีด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันเกิดอะไรขึ้นโชค”
ผู้เป็นมารดาเพิ่มระดับความเข้มของน้ำเสียง เมื่อรู้ว่าเด็กสาวที่ตนรักเหมือนลูกไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้แล้ว และน้ำเสียงที่ราบเรียบของบุตรชายที่ประหนึ่งว่าไม่ยินดียินร้ายกับการอยู่หรือการไปของเพื่อนของตนเอง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมว่าแม่อย่าเพิ่งคิดถึงคนอื่นเลย ผมเป็นลูกของแม่ อยู่ตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว รันเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา เขาเลือกอะไรเราไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเขาได้หรอกครับแม่”บุตรชายตอบมารดาด้วยอารมณ์ที่กำลังถูกกวนให้ขุ่น
มารดาได้ฟังคำตอบจากบุตรชายแล้วรู้สึก ใจคอหายอย่างไรชอบกล เพราะนางเองรักและเอ็นดูรันชรีประหนึ่งเป็นบุตรสาวของตนเอง จะด้วยเพราะนางเองไม่มีบุตรสาว หรือเพราะรันชรีต้องสูญเสียมารดาไปก็ตาม แต่ในใจลึกๆ แล้วนางอยากได้รันชรีมาเป็นลูกสะใภ้อยู่เป็นทุน ตั้งแต่โชคแนะนำให้นางรู้จักเมื่อเด็กทั้งคู่ยังเรียนหนังสืออยู่ นางรู้ดีว่าหากบุตรชายไม่มีความรู้สึกพิเศษกับเพื่อนคนนี้คงไม่กล้าพามาที่บ้านอย่างแน่นอน
นางเคยเอ่ยอ้อมๆ กับเด็กทั้งสองคน แต่คำตอบก็คือทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อกำลังวังชาที่จะทำงานมันมีไม่เต็มที่เหมือนก่อน นางจึงเอ่ยปากให้ลูกชายชวนเพื่อนคนนี้มาทำงานด้วยกันที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่นางคาดหวัง รันชรีมาทำงานที่นี่ นางรู้สึกอบอุ่นใจและวางใจในเรื่องธุรกิจที่มีลูกชายคนเดียวของนางและลูกสาวอย่างรันชรีมาช่วยกันดูแล
จะว่าไปตลอดชีวิตของนางนั้นรอบข้างมีแต่ผู้ชาย นับตั้งแต่พี่น้องมาจนถึงลูกชาย และในครอบครัวก็มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง เมื่อรันชรีเข้ามานอกจากจะทำให้นางพึงพอใจแล้ว ก็ทำให้นางคลายเหงาได้ แต่เพราะนางหกล้ม ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน จนต้องเป็นอัมพฤกษ์นางจึงเข้ารักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอกับรันชรี ก็เห็นจะเป็นตอนที่หญิงสาวไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลในจังหวัด ก่อนที่นางจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จนเดินเหินได้ปกติ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ร่วมปีแล้ว มันจึงไม่แปลกที่นางจะถามถึงรันชรีลูกสาวอีกคนที่นางรัก
ประตูรั้วใหญ่ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวที่ผู้เป็นมารดาคุ้นหน้าคุ้นตาหากแต่ไม่ใช่รันชรี
แพรวพรรณ นั่นเอง ที่ตอนนี้กำลังกุลีกุจอเปิดประตูหน้าบ้านออกเพื่อให้รถคันงามของบุตรชายของนางเข้าไปยังลานจอดรถ หญิงสาวผู้คุ้นหน้านั้นเดินมาเปิดประตูรถฝั่งที่นางกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือไหว้และยื่นมือมาให้นางจับหมายจะพยุงนางเดินเข้าไปภายในบ้าน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อนและพฤติกรรมของแพรวพรรณที่ปฏิบัติต่อมารดา ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนในวัยเยาว์คนนี้กำลังจะเข้าหาทางผู้ใหญ่ เพราะเขารู้นิสัยของแพรวพรรณดีว่าหากเธอต้องการอะไรแล้ว ต้องได้ และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้สิ่งนั้นมา
“สวัสดีค่ะคุณป้า แพรวมีผลไม้มาเยี่ยมคุณป้าด้วยค่ะ” แพรวพรรณหยิบตะกร้าผลไม้จำนวนหนึ่งวางไว้บนโต๊ะรับแขก
ผู้เป็นมารดากล่าวขอบคุณตามมารยาท แต่ก็ยังไม่วายสงสัยว่ารันชรีหายไปไหนแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นแพรวพรรณแทนที่จะเป็นรันชรี นางสังเกตดูพฤติกรรมต่างๆ ของแพรวพรรณก็พอจะเดาออกว่าหญิงสาวผู้นี้หวังอะไรจากลูกชายของตน ซึ่งนางจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด เพราะนางรู้ถึงที่มาที่ไปของคนในครอบครัวนี้ดีว่าเป็นเช่นไร รวมไปถึงนิสัยใจคอของแพรวพรรณที่นางรู้จักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
นางเริ่มสร้างกำแพงบางๆ กั้นระหว่างตนเองกับหญิงสาว พลางมองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นห่วงถึงการเข้ามาของแพรวพรรณ
แต่ถ้าหากนางได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อสองคืนก่อน นางเองอาจจะกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้งก็เป็นได้
“เดี๋ยวแพรวพาคุณป้าขึ้นข้างบนนะคะ” หญิงสาวพยุงร่างหญิงสูงวัยที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ขอบใจจ้ะ หนูแพรว ไม่เป็นไร ป้าเดินเองได้” ผู้เป็นมารดาตัดบทไป ทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
ภายในห้องนอนที่นางคุ้นเคย นางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรดริมหน้าต่าง เสียงใบไม้กระทบกับสายลมยามบ่ายเช่นนี้ กับเคหาสน์สถานที่ห่างไปเสียแรมปี วันนี้นางกลับมาแล้ว ความรู้สึกสุขใจบังเกิดขึ้นแต่จะให้มันสมบูรณ์มากที่สุด รันชรีน่าจะอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งไม่ใช่แพรวพรรณที่เธอปล่อยให้สนทนากับบุตรชายอยู่ชั้นล่าง
นางมองหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า แล้วกดไปยังหมายเลขของรันชรี
“รันหรือลูก หนูอยู่ไหน”
“รันอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ค่ะ รันขอโทษนะคะ ที่ทำอะไรโดยไม่บอกแม่ก่อน”
“มีอะไรกัน เล่าให้แม่ฟังได้ไหม แล้วนี่รันจะกลับมาเมื่อไร”
“เร็วๆ นี้ค่ะแม่ แล้วรันจะกลับไปเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังนะคะ”
ตู๊ด........................
สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป
ผู้เป็นมารดาพยายามกดหมายเลขโทรศัพท์ไปอีกครั้ง แต่ทว่ากลับติดต่อไม่ได้ นางได้แต่คิดไว้ว่าเมื่อรันชรีกลับมา คงจะรู้เรื่องทุกอย่าง
เป็นเวลาเดียวกับที่วิญญาณของรันชรียืนอยู่ข้างๆ หญิงสูงวัยและก้มกราบลงที่ปลายเท้าพร้อมทั้งกล่าวคำว่าขอโทษ น้ำตาหยดเล็กๆ ร่วงเผลาะลงที่หลังเท้าของผู้เป็นแม่แต่นางหารู้สึกใดไม่ แต่เมื่อวิญญาณนั้นเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาสีใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเลือดหยดออกมาจากตาทั้งสองข้าง
ผู้เป็นมารดาต่อว่าต่อขานบุตรชาย เรื่องที่ไม่ได้ติดต่อกับรันชรี ทำให้ไม่ทราบว่าขณะนี้เพื่อนตนเองอยู่ที่ไหน นางจึงบอกบุตรชายว่าอีกไม่นานรันชรีจะกลับมา เพราะนางเพิ่งคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายบุตรชายจะทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เขาเองกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่ารันชรีอยู่ที่ไหน แต่การที่หญิงสาวกล่าวกับมารดาตนว่าอีกไม่นานจะกลับมาที่นี่ ความขุ่นหมองกับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมันได้ทะลักล้นออกมาจากใจอีกคราหนึ่ง
เมื่อผู้เป็นมารดาเดินผละออกไป แพรวพรรณที่ยืนฟังและดูเหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเข้ามาประกบชายหนุ่มในบัดดล
“ขอโทษนะโชค แพรวไม่ได้แอบฟัง แต่เผอิญได้ยิน โชคต้องเล่าเรื่องที่นังรันมันขโมยเงินไปให้ผู้ชายให้คุณป้าฟังนะ” แพรวพรรณรีบบอกชายหนุ่ม
“แม่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มันไม่ดี และที่สำคัญมันก็ผ่านไปแล้วด้วย”
“ใครขโมยเงินใคร”
เสียงราบเรียบของผู้เป็นมารดา หากแต่แฝงไปด้วยอำนาจที่โชคคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
คนทั้งคู่หันไปหาที่มาของเสียง
“ก็นังรันไงค่ะคุณป้า ที่มันหายไปเพราะว่ามันขโมยเงินของร้านไปให้ผู้ชาย โชคก็เลยไล่มันออกจากร้านแล้วยึดหุ้นทั้งหมดของมัน นี่แพรวบอกให้โชคแจ้งความ โชคก็ยังใจดีปล่อยมันไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น”คำพูดพรั่งพรูออกมารวดเร็วจากปากของแพรวพรรณโดยที่ชายหนุ่มห้ามไม่ทัน
แต่ผู้ที่เป็นมารดากลับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย เพราะนางคิดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องราวผิดปกติอย่างแน่นอน
“แล้วรันเขายอมรับเหรอว่าเขาเอาเงินไปให้ผู้ชายจริง”
“ก็มันเป็นคนทำบัญชีแล้วเงินก็หายไป ถ้ามันไม่เอาไปแล้วใครจะเอาไปละคะคุณป้า ถามมาได้”แพรวพรรณตอบตามอารมณ์ของตน
“ป้าถามโชคนะแพรว”นางหันหน้าทางหญิงสาว
ไม่มีคำตอบใดๆ จากผู้เป็นบุตรชาย
“ลูกลองพิจารณาดูนะ ลูกกับรันคบกันมากี่ปี ย่อมรู้จักนิสัยใจคอกันดี ปัญหาทุกอย่างมันมีทางออกคือการพูดคุย การหันหน้ามาพูดคุยกันเท่านั้นจะสามารถทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลายลงไปได้” นางเอ่ยกับบุตรชาย
“แต่แม่...มันจบแล้ว ถ้ารันเขาไม่ได้ทำเขาจะยอมไปจากที่นี่ง่ายๆ เหรอครับ”
“แม่เชื่อว่ารันต้องมีเหตุผล”
“แม่นี่ยังไงกัน ผมเป็นลูกแม่นะ แม่กลับไปเข้าข้างคนอื่น” ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา เมื่อถูกมารดาจี้ถูกจุด
“รันไม่ใช่คนอื่น ลูกลองมองย้อนไปสักนิดนะโชค รันเป็นเด็กที่น่าสงสาร มีแม่เหลือเพียงคนเดียวก็ต้องมาตายจากไป ส่วนพี่สาวและป้านั้นต่างคนก็ต่างมีครอบครัวของตัวเอง แม่ถือว่ารันเก่งทีเดียวที่เลี้ยงตัวเองได้จนสามารถซื้อบ้านซื้อรถได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ต้องพึ่งพาเงินจากใคร และก็เชื่อว่ารันย่อมมีเหตุในการทำอะไรลงไป”
ระหว่างที่พูดนางหันไปมองหน้าแพรวพรรณ ทำให้ผู้ถูกมองสัมผัสได้ถึงกำแพงที่หญิงสูงวัยเบื้องหน้านี้กำลังก่อขึ้นมา
“การที่รันตัดสินใจมาอยู่ที่นี่กับเรา นั่นก็หมายความว่ารันย่อมจะวางใจในตัวลูกและเชื่อว่านี่คือครอบครัว แม่ไม่เคยคิดว่ารันคือคนอื่น ลูกจำได้ไหม เมื่อก่อนเวลาลูกทำอะไรผิด ลูกก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อกับแม่ แต่เมื่อเราได้พูดคุยกัน ทุกอย่างมันก็คลี่คลายได้เอง แม่ถือว่ารันคือคนในครอบครัว ฉะนั้นลูกต้องคุยกับรัน เชื่อแม่ โทรหารันซะแล้วตามรันกลับมานะลูก”
คำพูดของมารดา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหนักอึ้งในหัว เพราะความโกรธและเจ็บใจ เขาลืมคิดไปจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วรันตัวคนเดียว เขาและครอบครัวถือเป็นครอบครัวที่รันมีอยู่ในขณะนี้ แล้วถ้ารันออกไปจากที่นี่แล้วเธอจะเป็นอย่างไร
เท่านั้นความรักความผูกพันธุ์ที่มันตกตะกอนอยู่ในใจก็ถูกเขย่าให้มันล่องลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“โชค อย่าไปตามมันนะ แม่โชคไม่รู้ถึงความร้ายกายของมัน โชคกับแพรวรู้ทุกอย่างว่ามันทำอะไรไว้ คุณป้าอยู่โรงพยาบาลไม่รู้อะไรหรอก”แพรวพรรณกระเถิบเข้ามานั่งจนเนื้อตัวชิดกับชายหนุ่ม พลางพูดด้วยเสียงเล็กแหลม ทำเอาชายหนุ่มถึงกับผงะ
“พอก่อนแพรว เราขออยู่เงียบๆ สักพักนะ”
.......................................................................................................................................
ตอนที่ 12
แต่ในเหตุการณ์ระทึกนั้น มันกลับทำให้หญิงสาวคิดถึงวิธีการที่จะดึงให้ชายหนุ่มอยู่กับเธอเพียงลำพัง เพราะจากอ้อมกอดที่เธอกำลังถูกโอบอยู่นี้ มันช่างอุ่นทั้งกายและอุ่นทั้งใจ หญิงสาวถือโอกาสนี้รบเร้าให้ชายหนุ่มไปส่งที่บ้าน
“โชคค้างที่บ้านกับแพรวได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยเมื่อชายหนุ่มขับรถมาจอดหน้าบ้านตน
“จะดีหรือแพรว เราอยู่กันแค่สองคน เดี๋ยวชาวบ้านรู้เข้าแพรวจะเสียหายนะ”
“ใครๆ ก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน และเป็นหุ้นส่วนกันด้วย ไม่มีใครเขาคิดอย่างนั้นหรอก”
มันก็จริงอย่างที่หญิงสาวว่า คนส่วนใหญ่ในละแวกนี้ต่างก็รู้ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกัน และโชคก็เคยเข้านอกออกในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็กแต่...
“แม่บ้านก็อยู่นี่” ชายหนุ่มว่า
“เขาก็นอนในห้องเขา แพรวอุ่นใจกว่าหากคนที่อยู่ด้วยจะเป็นโชค...แพรวกลัวนะโชค” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมส่งสายตาอันเว้าวอน
ชายหนุ่มอดเป็นห่วงหญิงสาวไม่ได้แต่ในเสี้ยวความรู้สึกเขาเองก็พอจะรู้ว่าแพรวพรรณรู้สึกเช่นไร เพราะมีเพื่อนบางคนเคยบอกว่า แพรวพรรณแอบชอบตนอยู่ แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว บัดนี้ความรู้สึกของหญิงสาวอาจจะแปรเปลี่ยนไปก็เป็นได้ แต่ในความขัดแย้งของความรู้สึกนั้นทำให้เขาเริ่มคิดถึงอานนท์ เพราะหากอานนท์อยู่ด้วยอีกคนหนึ่งเขาคงไม่อึดอัดขนาดนี้
“แล้วนนท์ล่ะ เราโทรไปตามนนท์มาอยู่ด้วยกันดีไหม”
“นนท์ไปต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวาน โชคลืมแล้วเหรอ” หญิงสาวตอบด้วยเสียงอ่อย
เมื่อทนรบเร้าจากเพื่อนไม่ไหว ประกอบกับในคืนนี้ฝนตกหนัก เขาเองก็ขี้เกียจขับรถกลับบ้านอยู่เหมือนกัน อีกทั้งแม่บ้านก็อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แพรวพรรณดีใจเป็นที่สุดที่จะได้อยู่กับชายที่หมายปองสองต่อสองภายในบ้านของตน หญิงสาวจัดแจงเสื้อผ้ามาให้ชายหนุ่มเปลี่ยนและผลักหลังชายหนุ่มให้ไปอาบน้ำก่อนตน แต่หลังจากที่หญิงสาวเข้าไปทำธุระของตนเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็ต้องตกใจในภาพเบื้องหน้าของตนเอง
แพรวพรรณในชุดนอนเนื้อบางเบา...
ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธเลยว่าหญิงที่อยู่เบื้องหน้านี้ เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดี อีกทั้งรูปร่างที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ยิ่งอยู่อาภรณ์เช่นนี้แล้วหัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นๆ โดยยากจะควบคุม
เขาได้แต่เสตามองไปที่ทีวีจอใหญ่ในห้องรับแขก
“โชคไม่ต้องนอนที่โซฟาหรอก นอนห้องเดียวกับแพรวก็ได้ ห้องอื่นไม่ได้ทำความสะอาด”
ชายหนุ่มปฏิเสธ หญิงสาวก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ด้วยสายตาที่ยั่วยวน และทิ้งร่างลงบนโซฟาข้างๆ ชายหนุ่ม
“แหมโชค ตอนเด็กๆ เรายังเคยนอนด้วยกันเลย ขนาดตอนเรียนมหาวิทยาลัยเราก็ยังเคยนอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
“มันไม่เหมือนกันนะแพรว นั่นเราอยู่รวมกันหลายคน” ชายหนุ่มพูดโดยไม่มองหน้าหญิงสาว
“หรือโชคคิดอะไรอยู่ แพรวคิดว่าโชคเป็นเพื่อน แพรวกับนนท์ยังเคยนอนห้องเดียวกันเลย”
หญิงสาวไม่พูดเปล่ากลับพาร่างในอาภรณ์เนื้อบางเบานั้น เข้าไปใกล้ชายหนุ่มแทบจะชิดบนโซฟาตัวใหญ่นั้น พลางจับข้อมือชายหนุ่ม
เหมือนร่างกายปราศจากการควบคุม ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวไปโดยดี ซึ่งเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วในบัดนี้หญิงผู้ที่กำลังเกาะกุมข้อมือของเขาอยู่นี้ คิดอย่างไรกับเขากันแน่
หญิงสาวยิ้มให้กับความลุล่วงอีกหนึ่งเปราะ อย่างไรเสียคืนนี้เธอจะต้องหลับในอ้อมกอดของชายหนุ่มผู้นี้ให้ได้
เสียงฟ้าร้องยังดังกึกก้องเป็นระยะๆ สายฟ้าแลบแปรบปราบ แพรวพรรณเอามืดปิดหูพร้อมกับหลับตาปี๋ ปากก็ร้องด้วยความตกใจ หล่อนจงใจกระโดดเข้าหาชายหนุ่ม จนเขาตั้งตัวไม่ทัน ทำให้บัดนี้ร่างของคนทั้งสองล้มลงบนเตียงที่คลุมด้วยผ้าสีหวานนั้น
เมื่อกายใกล้กันถึงเพียงนี้แล้ว จมูกของชายหนุ่มจึงได้สัมผัสกับกรุ่นกลิ่นกายของหญิงสาว
กลิ่นของแพรวพรรณช่างหอมดีจริงๆ เส้นผมก็นุ่มเหมือนเส้นไหมเนื้อตัวนุ่มเนียนน่าสัมผัส
ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมนั้นเข้าเต็มปอด
“โชค...แพรว...กลัว” หญิงสาวออเซาะด้วยน้ำเสียงเย้ายวน
ไม่พูดเปล่าหล่อนเอื้อมมือไปกอดชายหนุ่มเอาไว้ ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกใหญ่
“แพรวทำอะไร”
“แค่กลัวเท่านั้นโชค”
เสียงฟ้าคำรามมาอีกรอบ หญิงสาวยิ่งกอดรัดชายหนุ่มให้แน่นกว่าเดิม
แม้แพรวพรรณจะเป็นเพื่อนกันก็ตาม แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง มีเลือดมีเนื้อเหมือนคนอื่นๆ การกระทำของแพรวพรรณทำให้ชายหนุ่มปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามอย่างชายทั่วไปที่เมื่ออยู่ใกล้หญิงสาวสวยในอาภรณ์บางเบาเช่นนี้ ยิ่งเนื้อกายสัมผัสกัน ความซาบซ่านของกามารมณ์ก็กำลังเข้าครอบงำจนเขาเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หญิงสาวกอดชายหนุ่มไว้แน่น เขาเองก็เช่นกัน ที่บัดนี้มือทั้งสองก็กำลังกอดรัดหญิงสาวอยู่ หญิงสาวกระซิบข้างหู
“หนาวไหมโชค” หญิงสาวกระซิบอีกครั้ง
“กอดแพรวให้แน่นๆ นะ แพรวกลัว หนาวด้วย”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ใช้มืออันเรียวสวยนั้นไล้ไปตามแผงหน้าอกที่แข็งแรงของชายหนุ่ม
หล่อนเอาริมฝีปากได้รูปสวยนั้นประกบไปที่ปากของชายหนุ่ม ลิ้นต่อลิ้นสัมผัสกันอย่างซาบซ่าน รสจูบของแพรวพรรณช่างร้อนแรงเกินที่เขาจะหักห้ามใจได้ เพลงแห่งกามารมณ์กำลังเริ่มบรรเลงขึ้นแข่งกับเสียงของสายฝนด้านนอกที่กำลังกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย
หญิงสาวเริ่มบรรเลงเพลงรักได้อย่างเร่าร้อน ริมฝีปากของทั้งสองบดขยี้กันอย่างดูดดื่ม ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงไปที่ยอดถันของหญิงสาว อีกมือหนึ่งก็ดึงรั้งสะโพกอันงอนงามนั้นเข้ามาชิด เช่นเดียวกับหญิงสาวที่บัดนี้มือข้างหนึ่งกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของชายหนุ่มออก ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ไปตามเนื้อกายที่กำยำนั้น
อารมณ์แห่งความสุขสมในความหวังในชายที่ตนหมายปอง
อารมณ์แห่งการเสพสมในรสกามที่กำลังซาบซ่าน
มันผสมผสานกันในห้วงเหวแห่งความรักของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่ม
ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามที่เธอต้องการ หากคืนนี้เธอกับโชคลงเอยกันด้วยดี วันรุ่งขึ้นเธอก็จะใช้ชื่อว่าเป็นเมียของชายหนุ่มโดยทางพฤตินัย
ความกระหยิ่มยิ้มย่องแทรกเข้ามาในช่วงเวลาแห่งการเสพกามของหญิงสาว
แต่กิจกามที่กำลังดำเนินอยู่นั้นกลับอยู่ในสายตาของผู้เฝ้ามอง ที่บัดนี้ยืนสแยะยิ้มอยู่ปลายเตียง โดยที่คนทั้งสองไม่สามารถมองเห็นได้
“หมดเวลาของเธอแล้วแพรวพรรณ”
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้อง
มันเป็นเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่ม
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ยังดังไม่หยุด...
เหมือนบางสิ่งบางอย่างกระชากชายหนุ่มออกมาจากหุบเหวแห่งกามารมณ์ เขาถอนใบหน้าออกมาจากปทุมถันอันเอิบอิ่มนั้น แล้วจ้องมองหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มที่ตรงหน้า
“แพรว...”
ชายหนุ่มผละออกจากร่างอันเปล่าเปลือยนั้น
เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตามองหาอาภรณ์ที่ถูกปลดเปลื้องออกไป
“โชคเป็นอะไรไป ใครโทรมาก็ช่างเถอะ เรามาต่อเรื่องของเราดีกว่า” หญิงสาวพูดแผ่วเบาไม่วายที่จะดึงรั้งข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้
“แพรว...เรา...ไม่น่าทำแบบนี้เลย”
หญิงสาวลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง พลางดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาปกปิดร่างอันเปล่าเปลือยนั้นแล้วรีบเข้าประชิดชายหนุ่มทันที สองมือกอดรัดไว้ ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังจะหายไปต่อหน้าต่อตา
“โชค...ก็รู้ว่าแพรวคิดยังไงกับโชค ให้โอกาสแพรวนะ”
หญิงสาวไม่พูดเปล่า พยายามเล้าโลมชายหนุ่ม หวังจะให้อารมณ์อันเร่าร้อนเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับมาคุกรุ่นอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มสลัดหญิงสาว จนร่างนั้นเซไปชนขอบเตียง
น้ำตาหยดเล็กๆ เริ่มออกมาเรียกคะแนนสงสารให้กับหญิงสาว
“โชคอย่าทำอย่างนี้กับแพรวเลย แพรวรักโชคนะ รักมานานแล้ว โชคให้โอกาสแพรวสักครั้งนะ แพรวสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่โชคต้องการ ได้โปรดเถอะ” หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา
“ใส่เสื้อผ้าเสียเถอะแพรว แม่เราโทรมา เราขอโทรหาแม่ก่อนนะ”
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ แล้วเดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้หญิงสาวส่งเสียงสะอึกสะอื้นภายในห้องแต่เพียงลำพัง
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แกรักโชคมากใช่ไหม แกจะได้เจออะไรอีกมาก”
รันชรีเปล่งเสียงหัวเราะกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเพราะเธอเองเป็นผู้ที่ทำให้เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น
ชายหนุ่มนั่งทอดกายอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก เขาสับสนเหลือเกินกับการกระทำของตนเอง เขายอมรับว่าเมื่อเขาเห็นแพรวพรรณในชุดนอนนั้น ทำให้เขาอึดอัดไม่น้อย ยิ่งเมื่อฝ่ายหญิงเล้าโลม เขาเองกลับไม่ปัดป้องหรือปฏิเสธการกระทำของเธอ ตรงกันข้าม ยังจะไปผสมโรงกับเธออีก ยิ่งคิดเขายิ่งโกรธตัวเองมากขึ้น ที่ทำอะไรไปโดยขาดสติ
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะติดต่อกลับไปยังผู้เป็นมารดา แต่พลันนั้นเขากลับต้องรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เพราะเบอร์ที่โทรมาเมื่อสักครู่นี้เป็นเบอร์บ้านของรันชรีที่กรุงเทพฯ ซึ่งเขาเองยังไม่เชื่อตาตัวเอง เพราะเมื่อครั้งแรกที่โทรศัพท์ดัง เขาหยิบขึ้นมาดู มันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นมารดาอย่างจริงแท้แน่นอน
“รัน...โทร...มา” เขารำพึง
เขาได้แต่ปล่อยให้ความงุนงงเข้าครอบงำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักสองสามนาที
หญิงสาวใบหน้าสวยก็เดินออกมาจากห้องนอนด้วยดวงตาชื้น
“โชค หากโชคต้องการแบบนี้แพรวก็จะทำตามที่โชคต้องการ”
หญิงสาวในชุดนอนเนื้อบางเบาพูดในมือมีหมอนและผ้าห่มติดมาด้วย
“ฝนยังตกหนักอยู่เลย โชคไม่ต้องกลับหรอก อันตราย แพรวเอาหมอนและผ้าห่มออกมาให้ โชคก็นอนที่โซฟานี่แหละ แพรวจะนอนในห้องคนเดียว”หญิงสาวพูดเหมือนคนสำนึกผิด
ชายหนุ่มรีบออกจากบ้านเมื่อตอนเช้าตรู่ เพราะเขาต้องไปรับมารดาออกจากโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ลืมที่จะสั่งแม่บ้านเอาไว้ก่อนกลับว่าตนจะไปรับมารดาและไม่ต้องปลุกแพรวพรรณ
ตอนที่ 11
หนึ่งปีเต็ม...
ที่ไม่มีผู้หญิงชื่อรันชรีอยู่ให้ขวางหูขวางตา...
วันนี้เป็นวันที่แพรวพรรณมีความสุขที่สุด เธอยอมรับว่าแอบหลงรักโชคมานาน แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และบ้านใกล้กันเธอจึงปิดบังความรู้สึกนี้ไว้ และตลอดเวลาแพรวพรรณคิดเสมอว่ารันชรีคือเสี้ยนหนามแห่งความรักของเธอ แม้รันชรีกับโชคจะบอกว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน แต่ความสนิทสนมทำให้แพรวพรรณอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วทั้งคู่หาได้มีความรู้สึกเพียงแค่เพื่อน หากแต่ทั้งคู่ปิดกั้นความรู้สึกตนเองเอาไว้ โดยต่างฝ่ายต่างไม่บอกกันแต่แสดงออกโดยพฤติกรรมทุกอย่างที่เห็น จนทำให้เธอและอานนท์ต้องวางแผนให้กิตติเข้ามาแยกรันชรีออกจากโชค และมันก็สำเร็จไปอย่างสวยงาม
รันชรีถูกปลดออกจากตำแหน่งเพื่อนสนิทของโชคโดยถาวร และแน่นอนว่าตำแหน่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอ ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาด นับตั้งแต่รันชรีหายตัวไป แพรวพรรณไปที่ร้านอาหารของโชคทุกวัน โดยมีอานนท์พ่วงไปด้วย เธอรู้ว่าโชคโกรธ เกลียด รันชรีมากเท่าใด มันจะยิ่งเพิ่มความสำคัญให้กับตัวเธอมากเท่านั้นบวกกับชายหนุ่มต้องไปดูแลมารดา แพรวพรรณจึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตชายหนุ่มมากขึ้น
“โชคไม่ต้องห่วงนะ แพรวกับนนท์จะดูแลร้านให้อย่างดีเลยล่ะ” แพรวพรรณบอกกับชายหนุ่มเมื่อเขาต้องเดินทางไปหาผู้เป็นบุพการี
“เกรงใจจัง เราไปแค่สามวันแล้วจะรีบกลับมานะ” ชายหนุ่มเอ่ย
“ถ้าเกรงใจ โชคก็ให้แพรวหุ้นด้วยสิ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
จะเพราะความเกรงใจแพรวพรรณ หรือเหตุผลอันใด โชคตัดสินใจให้แพรวพรรณร่วมหุ้นด้วย มันยิ่งทำให้แพรวพรรณพอใจมากขึ้นเพราะได้อยู่ใกล้ชายหนุ่ม ส่วนอานนท์นั้นหวังเพียงแต่เรื่องธุรกิจเท่านั้น เพราะแพรวพรรณสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าหากเขาช่วยเหลือเธอ ตำแหน่งผู้จัดการสาขาใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน นับว่าทั้งแพรวพรรณและอานนท์ต่างก็สมหวังในสิ่งที่ต้องการกันทั้งคู่
แม้วันนี้อากาศจะร้อนอบอ้าว และมืดครื้มไปด้วยเมฆฝน แต่สำหรับแพรวพรรณแล้ว มันเป็นวันที่พิเศษที่สุด หลังจากที่รันชรีหายไปจากชีวิต โชคสนิทสนมกับเธอมากขึ้น จนพนักงานในร้านต่างก็ซุบซิบกันว่าเธอกับโชคเป็นแฟนกัน ซึ่งมันสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย
วันนี้หญิงสาวนัดทานอาหารเย็นกับชายที่ตนหมายปอง เธอจัดการสั่งอาหารที่ชายหนุ่มชื่นชอบ และลงมือจัดโต๊ะอาหารด้วยตนเอง ภาพเธอกับโชคนั่งทานอาหารใต้แสงเทียนมันลอยอยู่ตรงหน้า อีกไม่นานหรอกความเป็นเพื่อนและหุ้นส่วนจะเป็นสะพานไปสู่ความรัก เธอเชื่อมั่นอย่างนั้น
เสียงบรรเลงจากเปียโน กังวานเบาๆ สายฝนเริ่มโปรยปราย มันยิ่งทวีความโรแมนติคสำหรับค่ำคืนนี้หนักหนา ตามเวลานัดโชคก้าวเท้าเข้ามาในร้าน ทันทีที่เขาได้ยินเสียงบรรเลงเพลงนั้น มันอดทำให้เขาคิดถึงเพื่อนคนหนึ่งไม่ได้ แต่เพียงวูบเดียวในความรู้สึก ความโกรธเคืองมันก็ได้ลบภาพเก่าๆ ทั้งหลายไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว เขาไม่อยากจะคิดถึงผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป แม้ความเป็นเพื่อนก็ไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว
คืนนี้พนักงานในร้าน ต่างก็แอบมองแพรวพรรณด้วยสายตาชื่นชม เพราะปกติแพรวพรรณก็จัดว่าเป็นผู้หญิงสวยอยู่แล้ว แต่ในวันนี้ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้านายของพวกเขา สวยเป็นพิเศษ ทำเอาผู้เป็นเจ้านายยิ้มไม่หุบในคำเยินยอนั้น
ชุดเดรสสั้นสีฟ้าที่แขนมีระบายเล็กๆ นั้นมันพลิ้วไหวยามเมื่อต้องกับสายลม กลิ่นน้ำหอมแสนรัญจวนใจที่หญิงสาวเลือกสรรมาเป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้ เธอคิดว่ามันจะทำให้ชายหนุ่มประทับใจในตัวเธอไม่น้อย ทันทีที่ชายผู้เป็นที่รักก้าวเข้ามาในระยะสายตา หญิงสาวลุกขึ้นยืนและโบกมือพลางส่งเสียงเรียก เธอดูสดใสร่างเริงกว่าปกติ
แต่จู่ๆ ฝนเม็ดเล็กๆ ที่โปรยปรายอยู่ก่อน กลับทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมหาศาล
...กระหน่ำหนักขึ้น...
...กัมปนาทของแผ่นฟ้าส่งเสียงกึกก้อง...
กลบเสียงเปียโนอันแสนนุ่มนวลนั้นจนหมดสิ้น
พรึบ.....ไฟทั่วทั้งร้านดับสนิท
คงเหลือเพียงแสงจากเทียนบนโต๊ะ และเทียนหอมบางมุมที่จุดไว้ภายในร้าน ฟ้าแลบแปลบปลาบทำให้หญิงสาวผู้กำลังเบิกบานนั้นมองเห็นใครบางคนอย่างไม่ถนัดตา
“รันชรี”
แพรวพรรณเอ่ยชื่อหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว
ภาพของรันชรียืนอยู่กลางโถงของร้านอาหาร ดวงตาสีแดงก่ำ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด สีแดงสดๆ ไหลออกมาจากแขนทั้งสองข้าง ลงถึงพื้นเป็นทางยาวไหลมาเรื่อยๆ จนถึงโต๊ะที่เธอนั่ง แพรวพรรณทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งตัวแข็ง ตาค้าง หัวใจเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะ
หญิงสาวอยากตะโกนออกมาดังๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แม้กระทั่งขยับตัว โชคหายไปไหน ในร้านมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น และรันชรี
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันที ฉันกลัว ช่วยด้วย”
เสียงตะโกนยังคงดังก้องอยู่แค่ในความคิด
“แพรวๆๆๆ เป็นอะไร กลัวฟ้าร้องเหรอ”
โชคเขย่าตัวหญิงสาว พร้อมกับถามไถ่หลังจากเห็นอากัปกิริยาของเพื่อนที่ดูเหมือนกำลังหวาดกลัว
“โชคช่วยแพรวด้วย รัน นังรันมันมาที่นี่...มันยืนอยู่ตรงนั้น”
แพรวพรรณร้องเสียงหลง และพูดเหมือนคนขาดสติ
ฝ่ายชายหลังจากจุดเทียนเพื่อเพิ่มความสว่างแล้ว เขาหันมองไปรอบๆ ร้าน พบแต่พนักงาน และลูกค้าอีกสามโต๊ะ ที่ขณะนี้กำลังมองมาที่แพรวพรรณเป็นสายตาเดียวกัน
“ว่าไงนะแพรว รันมาเหรอ อยู่ไหน ไม่เห็นมีเลย”
ทั้งโชคและพนักงานทุกคนต่างมองซ้ายขวาเพื่อตามหารันชรีที่แพรวพรรณพูดถึง
“นั่นไงมันยืนอยู่ตรงนั้น เลือดๆ มีแต่เลือดเต็มพื้นเลย” แพรวพรรณพูดและร้องไห้ฟูมฟายไปพร้อมๆ กัน
“ฉัน...กลับ...มา...แล้ว...”
ร่างอาบเลือดนั้นเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“กรี๊ด!!!!”
เสียงแพรวพรรณกรีดร้องจนสุดเสียง
พรึบ...ไฟทุกดวงในร้านติดขึ้นพร้อมๆ กัน ภาพที่ทุกคนเห็นคือแพรวนั่งเอามือปิดหน้าปิดตาแล้วส่ายหัวไปมา ปากก็พูดแต่คำว่าออกไป ออกไป
พนักงานหญิงสามคนเข้ามาบีบแขนบีบขาผู้เป็นเจ้านาย พร้อมกับส่งยาดมให้
“โชค...แพรวกลัว เป็นรันจริงๆ นะ หรือว่ามันจะตายแล้ว ตัวมันมีแต่เลือด ออกไป ออกไป อย่าเข้ามานะ” ชายหนุ่มเห็นอากัปกิริยาเพื่อนแล้วรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีทันใด
“เราว่าแพรวตาฝาดมากกว่า ฝนตกหนัก ไฟดับ ฟ้าแลบ ก็เลยเห็นเงาต่างๆ ในร้านเท่านั้นเอง รันจะมาได้ยังไง เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดูสิแพรว.. มีแต่ลูกค้าและพนักงานร้านเราทั้งนั้น” โชคพูดตามสิ่งที่เห็น
แพรวพรรณเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากเย็น ใช้สายตากวาดไปรอบๆ ร้าน ก็มีเพียงแต่พนักงานเสิร์ฟและลูกค้าอย่างที่โชคว่าจริงๆหรือเธอจะตาฝาด
“หรือเราจะคิดมากไป” กังวานแห่งความคิดที่ดูเหมือนการหลอกตัวเอง
หญิงสาวเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มไว้แน่น ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงความหวาดผวาของหญิงสาวจากเนื้อตัวที่สั่นเทา เขาใช้แขนอันแข็งแรงทั้งสองข้างโอบกอดหญิงสาวไว้ หวังให้ความรู้สึกนั้นเบาบางลงบ้าง หญิงสาวได้ทียิ่งกอดรัดชายหนุ่มให้แน่นยิ่งขึ้น และเอาใบหน้าสวยนั้นซุกไว้ในอ้อมอกของอีกฝ่ายไว้อย่างแนบแน่น
ตอนที่ 10
ตั้งแต่วันที่กิตติเรียกหญิงสาวว่ารันชรี เธอแทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับกิตติอีกเลย และดูเหมือนเขาจะตั้งใจหลบหน้าเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าการทำงานก็ยังดำเนินกันไปตามปกติ กระทั่งวันนี้หลังประชุมเสร็จ ชโลธรปล่อยให้ทุกคนทยอยออกจากห้องไปก่อน โดยเธอนำข้าวของของตนซ่อนไว้ใต้โต๊ะแล้วนำพาตัวเองไปหลบอยู่ข้างตู้เอกสาร จนเหลือกิตติเพียงคนเดียวในห้อง เธอจึงก้าวออกมาจากที่ซ่อน
“คุณรู้จักคุณรัน”ฝ่ายผู้ถูกถามอึ้งไปชั่วขณะ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากผู้ถูกถาม หญิงสาวสืบเท้าเข้าใกล้เขา
“ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องตอบคุณ”
“คุณไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือ ที่ทำกับคนที่รักคุณได้ถึงเพียงนั้น” หญิงสาวยังพูดไม่หยุด
ผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าถึงกับชะงักในประโยคนี้ เขาพยายามรวบรวมสติ แล้วรวบรวมเอกสารพร้อมกับอาการรีบเร่งที่จะออกจากห้องประชุมนี้ แต่ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งรีบเดินตาม
“คุณรู้จักเธอ คุณรู้จักคุณรันดีกว่าดิฉัน แล้วตอนนี้คุณก็อยากรู้ใช่ไหมว่าคุณรันอยู่ที่ไหน”
ราวกับมีอะไรมาฉุดขาเขาไว้ กิตติชะงักเท้าเมื่อชโลธรเอ่ยในสิ่งที่เขากำลังต้องการคำตอบอยู่เช่นกัน
ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดจากปากเขา เขาเพียงหยุดแล้วหันมามองหญิงสาวผู้อยู่เบื้องหลัง เขาจ้องตาเธอเขม็งเหมือนจะจับโกหกเด็ก ทำเอาหญิงสาวที่เดินตามมาด้านหลังถึงกลับหยุดนิ่งเช่นเดียวกัน
“ผมบอกให้คุณไปทำงาน ผมก็มีงานที่ต้องทำอีกมาก” เขาเดินไปอย่างรีบเร่งภายในใจตอนนี้มันกลับร้อนรนเหมือนไฟกำลังเผาผลาญ
“รันชรี คุณเป็นอะไรกับเด็กคนนั้น ?
เด็กคนนั้นรู้จักคุณ?
แล้วเรื่องของเรา เธอจะรู้หรือเปล่า?”
คำถามที่เพิ่งเกิดขึ้นของกิตติ
.........................................................................................................................
หลังประชุมเสร็จสิ้น หญิงสาวไม่มีชั่วโมงการอบรมต่อ เธอจึงแยกตัวกลับมาบ้านพักก่อน เธอเลือกเก้าอี้โยกริมน้ำเป็นแหล่งพักพิงกายยามบ่ายของวัน เธอครุ่นคิดอยู่หลายครั้งว่าทำเช่นไรเธอถึงจะล่วงรู้เรื่องราวของรันชรีต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการฝัน เธอหวนนึกถึงคำพูดของพระชราเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หลังจากที่เธอไปทำบุญให้กับหญิงสาวผู้ทุกข์ระทม เธอก็เดินทางมาเมืองนี้ทันที จึงไม่มีเวลาสำหรับการนั่งสมาธิ
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก และลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นไม้นั้น เธอส่งกระแสจิตไปยังหญิงสาวผู้ทุกข์ระทม ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ภาวนาพุทธ โธ อยู่ในใจ ซึ่งมันก็ได้ผล จิตเธอนิ่งพอๆ ที่จะเห็นสิ่งที่เธอต้องการรู้โดยไม่ต้องหลับฝันเหมือนทุกครั้ง
ภาพของรันชรีไขกุญแจเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ดวงตาคู่นั้นยังคงชื้นไปด้วยน้ำตา ลูกบิดถูกหมุนและประตูถูกเปิดออก มันเป็นบ้านหลังเดียวกับที่เธออยู่อาศัยในขณะนี้ หญิงสาวเปิดประตูห้องนอน แต่ทว่าภายในกลับพบแต่ห้องโล่ง เธอเดินเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้า สิ่งที่พบมีเพียงความว่างเปล่า แล้วทรุดลงนั่งข้างๆ เตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง พร้อมกับสายธารแห่งน้ำตา ที่บัดนี้มันหลั่งไหลออกมาเหมือนแม่น้ำหลายสายมารวมกัน
หญิงสาวเดินไปรอบๆ บ้านและออกมานั่งอยู่ตรงที่เก้าอี้โยกตัวใหญ่นี้ เธอใช้มืออันเรียวเล็กนั้นปาดน้ำตาอีกครั้ง
“คุณอยู่ไหนค่ะ กิตติ คุณทิ้งรันไปแล้วหรือ”
แน่นอนว่ารันชรีเคยมาที่นี่ เพราะครั้งหนึ่งกิตติเคยใช้ที่นี่เป็นที่พัก มันคงจะเป็นเหตุการณ์หลังจากที่โชครู้ว่ารันชรีเอาเงินของร้านไปให้กิตติ เธอคงจะมาตามหากิตติที่บ้านพัก แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
หญิงสาวร้องไห้โฮราวกับคนเสียสติ
กลุ่มควันสีขาวขุ่นลอยอบอวลอยู่ในอากาศแล้วค่อยๆ จางออกไป แต่ภาพเบื้องหน้ากลับกลายเป็นร้านอาหารแห่งนั้น โดยมีแพรวพรรณกำลังยื่นเอกสารบางอย่างให้รันชรี
“รัน นี่คือข้อเสนอที่โชคให้เธอ” รันชรีรับกระดาษจากมือแพรวพรรณขึ้นมาอ่าน
“หุ้นที่แกลงมากับฉันถือซะว่าเป็นเงินที่แกยักยอกไป ฉันจะไม่อยู่สามวัน หวังว่าเมื่อกลับมาแล้วคงจะไม่เจอแกอยู่ที่นี่”
แน่นอนว่ามันคือลายมือของโชคไม่ผิดไม่เพี้ยน เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอหอย โชคไม่รับฟังคำอธิบายใดๆ จากเธอเลย เธอคิดไว้ว่าจะเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารแล้วเอาเงินมาคืนโชค แต่วันนี้เหตุการณ์ทุกอย่างมันเลวร้ายกว่าที่เธอคาดคิดไว้
“กลับไปซะหมดเวลาของแกแล้ว” แพรวพรรณพูดด้วยน้ำเสียงเข้มและเย้ยหยัน
แล้วกลุ่มหมอกควันนั้นก็เข้ามากลบกลืนสายตาของหญิงสาวผู้อยู่ในสมาธิอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็มีภาพใหม่เข้ามาอย่างลางเลือน แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนเธอมองได้ถนัดตา
รัชรีมองดูไปรอบๆ บ้าน
บ้านร้างหลังนั้น บ้านของรันชรี
ภาพแห่งความทรงจำต่างๆ นานา มันผุดขึ้นมา โดยยากที่จะควบคุมในงานเลี้ยงส่ง ภาพเธอและโชคช่วยกันล้างบ่อปลา ไปจนถึงภาพของกิตติชายคนที่เธอรักและเป็นชายคนเดียวที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“ทำไม ต้องทำกับฉันแบบนี้”
เสียงของหญิงสาวกรีดก้อง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า
หญิงสาวพาตัวเองเข้ามายังห้องนอน ห้องที่เธอและชายคนรักเคยมีความสุขด้วยกัน แต่บัดนี้มีเพียงความทรงจำอันแสนเลวร้ายที่ตามติดเธอทุกวินาทีของลมหายใจ
ยานอนหลับหลายร้อยเม็ดถูกวางไว้ตรงหน้า น้ำตาไหลนอง ภาพคนหลายคนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาในมโนภาพ
“รักมากก็แค้นมา เพื่อนรัก ความสัมพันธ์ที่ถูกคมมีดของเงินตัดจนขาดสะบั้น เงินตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งมิตรภาพ เพื่อนที่บอกว่าจะไม่ทิ้งกัน”มีดปลายแหลมเล็กบักลงบนรูปโชคที่ยืนเขียงค้างเธอในวันรับปริญญาบัตร
“และพวกแก เพื่อนที่ไม่เคยหวังดีเลยจริงๆ การจากไปของฉันครั้งนี้ เพราะฉันไม่มีทางสู้ วันนี้พวกแกทำกับฉันได้ แต่ฉันจะไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว รับรองฉันจะไม่มีวันปล่อยพวกแกได้เด็ดขาด”
ปลายแหลมของมีดครั้งที่สองถูกปักที่รูปถ่ายหมู่ในวันทำบุญร้านอาหาร
“สำหรับแก ไอ้คนไม่มีหัวใจ หลอกลวงได้แม้แต่คนที่รักแกที่สุด แกต้องอยู่กับฉันคนเดียวเท่านั้น”
คราวนี้คมมีดถูกกรีดไปที่ข้อมือของหญิงสาว เลือดสีแดงสดๆ ไหลออกมา หยดลงบนรูปชายผู้หนึ่งที่เธอจ้องตาไม่กะพริบ
ความคิดที่ไม่ได้เล็ดลอดออกมาเป็นคำพูด ถูกบรรยายในความรู้สึกของผู้พ่ายแพ้ในขณะนี้ เสียงกรีดร้องมันช่างบาดลึกเข้าไปในทุกอณูของความรู้สึก
เม็ดยานอนหลับนับร้อยเม็ดถูกกรอกเข้าไปในร่างกายของหญิงสาว เธอนั่งอยู่บนเตียงอันนุ่มนิ่มนั้น ด้วยอาการสะลืมสะลือ แต่สิ่งเดียวที่ยังดำเนินไปไม่หยุดคือน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย มีดถูกกรีดไปที่ข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากเส้นเลือดใหญ่ ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วห้อง แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น คงมีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลรินอาบใบหน้าคู่กับเลือดที่ทะลักออกมาจากข้อมืออย่างไม่ขาดสาย เตียงขนาดใหญ่นั้นอาบไปด้วยสีแดงฉานของเลือดสดๆ กำลังทะลักออกมาจากข้อมือเล็กๆ ของเธอ
บัดนี้เปลือกตาของหญิงสาวหนักอึ้งไปทุกทีๆ ภาพทุกอย่างค่อยเลือนไปทีละน้อยๆ แต่ทว่าฤทธิ์ยาไม่อาจทำให้ดวงตาบอบช้ำคู่นั้นปิดลงได้ ดวงตาของเธอยังคงเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น ใครจะรู้ได้บ้างว่ายังมีภาพหนึ่งที่คงค้างอยู่ในดวงตาภาพของเธอกับโชคในวันรับปริญญาบัตร
“ระหว่างเราคงไม่ต้องมีอะไรพูดกันมากมายกว่านี้นะรัน ขอให้แกรับรู้ไว้ว่าเราคือเพื่อนกัน ฉันจะไม่มีวันทิ้งแกเด็ดขาด”
สลับกับภาพเธอในอ้อมกอดของเขา
“ผมรักคุณมาก คุณรอผมนะที่รัก” แล้วความมืดก็เข้ามาแทนที่ทุกอย่าง
“ฉันจะไม่มีวันให้อภัยทุกคนที่ทำกับฉันไว้” วาระจิตสุดท้ายก่อนลมหายใจอันรวยระรินนั้นจะสงบเงียบไป คงเหลือเพียงดวงตาอันเจ็บช้ำนั้นที่ยังคงเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น
ดวงตาของผู้อยู่ในสมาธิ ค่อยๆ เปิดขึ้น พร้อมกับน้ำตาหยดใสๆ ที่กำลังไหลรินจากดวงตาทั้งสอง โดยไม่คาดคิดว่าการทำสมาธิครั้งแรกของเธอ จะนำพาเธอไปพบเหตุการณ์อันสุดสะเทือนใจได้
“โถ คุณรัน คุณช่างเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายจริงๆ คุณคงทรมานมากสินะ ชโลธรถอนหายใจ พร้อมกับจินตนาการไปถึงความรู้สึกของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายในวินาทีปลิดชีวิตตนเอง”
หญิงสาวนั่งกล่าวบทสวดภาษาบาลี เพื่อแผ่เมตตาไปให้เธอผู้ทุกข์ระทมคนนั้น
เหมือนพลังงานมหาศาลพุ่งมาสู่หญิงสาวผู้เฝ้ามองนั้น ใบหน้าซีดเซียวยิ้มรับกับสิ่งที่ได้รับ
“จิตเธอสูงมาก ขอบคุณสำหรับสิ่งที่เธอให้ฉันมา”
หญิงสาวเอื้อมไปแตะที่แขนของชโลธร หากแต่ว่าผู้ถูกสัมผัสนั้นหาได้รู้สึกใดๆ ไม่