ตอนที่ 29
หลังม่านเมฆสีดำที่ปกคลุมความสว่างไสวของชีวิตหลายชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งได้ลอยพ้นผ่านไป ลำแสงแห่งชีวิตก็ปรากฏมาอีกครา แสงแห่งวันใหม่ที่จะมาทาทับจิตใจที่ครั้งหนึ่งเคยมืดดำรอเพียงวันเวลาเท่านั้นที่จะมาเยียวยาบาดแผลอันฝังลึกนั้น ให้จิตใจกลับมาเป็นเหมือเดิมอีกครา
ชโลธรถอนหายใจกับเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ยังมิวายที่จะกล่าวโทษตนเอง ที่เป็นผู้ชักนำให้คนทั้งหมดเข้าไปสู่บ่วงบาศแห่งความอาฆาตของรันชรี จนใครหลายคนต้องประสพชะตากรรมเช่นนี้
แพรวพรรณเดินทางไปอเมริกาแล้ว!
และอานนท์กลายเป็นอัมพาต!
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นผลกรรมทั้งนั้น กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมเลวก็ย่อมได้รับสิ่งที่เลวร้ายกลับคืน
มันคือสัจธรรมที่เลี่ยงไม่ได้
รันชรี...ป่านนี้วิญญาณหญิงสาวจะเป็นเช่นไร ความอาฆาตพยาบาททั้งหลายจะเบาบางหรือเหือดหายไปหรือยัง หลังจากที่นำพาชายทั้งสองออกมาจากบ้านเธอแล้ว ชโลธรไม่เคยสัมผัสกับรันชรีได้อีกเลย เธอทำได้แค่เพียงแผ่เมตตาให้หญิงสาวเท่านั้น หรือบางทีหญิงสาวอาจจะไปสู่ภพภูมิที่ถูกที่ควรแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวถอนหายใจกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
อีกสองวันก็จะถึงงานบวชของโชคและกิตติแล้ว ชโลธรเชื่อว่าความปลอดโปร่งโล่งใจนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเธอคนเดียวเป็นแน่
เมื่อคิดถึงโชค...หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายๆ เธอก็ยอมรับว่าความรู้สึกหนึ่งที่เกิดกับเธอโดยไม่สามารถทัดทานได้เลยคือ “ความรัก” เธอรักผู้ชายคนนี้เข้าเสียแล้วจริงๆ หญิงสาวหวนนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล ชายหนุ่มเกาะกุมมือเธอไว้แน่น พร้อมกับสารภาพความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอ
“คุณรัน...แหม่มรักคุณโชค แหม่มสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดี เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่คุณรันรักมาก” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมา เพื่อหวังว่ารันชรีจะรับรู้ได้
ส่วนกิตติ ชโลธรเองไม่รู้ว่าผลกรรมที่เขาได้รับนั้น มันจะจบสิ้นแล้วหรือยังกับสิ่งเลวร้ายที่เขาหยิบยื่นให้กับรันชรี แต่หลังจากออกจากโรงพยาบาล เขาก็กลับมาทำงานเช่นเดิม คงเป็นเพราะเอกสารจากทางโรงพยาบาล ที่สามารถนำมาชี้แจงถึงการหายตัวไปของเขา เขายังคงเดินหน้าทำงานต่อไปด้วยความมุ่งมั่น
“ความรู้สึกผิดที่มีต่อรันมันจะเป็นตราบาปในชีวิตผมทั้งชีวิต ผมไม่อยากจะคิดเรื่องความรัก ผู้หญิง หรือเรื่องแต่งงานอีกเลย” ประโยคนั้นของกิตติที่บอกกล่าวกับชโลธร
วันนี้กิตตินัดกับโชคไว้ที่ร้านอาหาร เพื่อตรวจเช็คความพร้อมสำหรับงานบวชในอีกสองวันข้างหน้า เขาเข้าไปนั่งในร้านอาหารอีกครา แต่เมื่อดวงตากระทบกับสีแดงกำมะหยี่ของดอกกุหลาบดอกโตนั้น ความระลึกถึงรันชรีก็แล่นเข้ามา
“โอ้! รันชรี หากวันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ งานในอีกสองวันข้างหน้าอาจจะเป็นงานแต่งงานของเราก็เป็นได้” กิตติย้ำคิดถึงเรื่องการแต่งงานที่เขาเคยให้สัญญากับรันชรีเอาไว้
ดวงตาของเขาร้อนผ่าวมาอีกครั้ง แต่ในวันนี้รันชรีไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้แล้ว ผลของบุญกุศลที่เขากำลังจะกระทำหวังว่าจะนำพาเธอให้เป็นสุข หากชาติหน้ามีจริงเขาจะขอเกิดมาเพื่อรับโทษทัณฑ์จากเธออีกครั้งเพื่อความรู้สึกผิดในขณะนี้จะเหือดหายลงไปบ้าง
มารดาของโชคนั้นอิ่มเอมใจเป็นหนักหนา กับงานบวชของบุตรชายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่บุตรชายตั้งใจนั้นจะส่งไปถึงรันชรีอย่างที่ต้องการ แต่นางเองกลับไม่โกรธเคืองรันชรีแต่อย่างใด คงมีเพียงความรักและความเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้น ที่รู้สึกกับลูกสาวอย่างรันชรี เพราะเมื่อกิตติสารภาพทุกอย่างให้ฟัง นางเองถึงกับหลั่งน้ำตา กับเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่รันชรีต้องประสพ
ยิ่งเมื่อชโลธรบอกเล่าถึงภาพของรันชรีในวันที่กำลังจะสิ้นลมหายใจนั้น หัวใจอันผ่านร้อนผ่าวหนาวมาหลายสิบปีของนางนั้น ตกวูบไปกับภาพที่นางคิดตามคำเล่าของหญิงสาว หากวันนั้นบุตรชายของนางให้โอกาสกับเพื่อนสักนิด รันชรีคงไม่โดดเดี่ยวอ้างว้างและต้องหาทางออกด้วยการกระทำเช่นนั้นก็เป็นได้ และหากในวันนั้น นางอยู่ด้วย รันชรีคงจะมีใครสักคนที่โอบกอดในวันที่หญิงสาวผิดหวังและเสียใจ
“รัน...ลูกแม่ สงบเถิดนะลูก โชคกำลังจะบวชให้หนู เลิกจองเวรกันเสียทีนะลูก” นางมิวายที่จะเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
............................................................................................................................................
โชคและกิตติเมื่อได้พูดคุยกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดำเนินไปอย่างดี โชคเองก็คิดว่าหากเพื่อนยังคงมีชีวิตอยู่เธอคงจะดีใจไม่น้อย ที่เพื่อนรักอย่างเขากับชายคนรักของเธอจะเข้ากันได้ดี วันนี้โชคจึงชวนกิตติขับรถออกไปนอกเมือง เพื่อไปซื้อต้นกุหลาบที่รันชรีชอบ มาปลูกเพิ่มทั้งที่ร้านอาหารและที่บ้าน
กิตติเองก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะเขาเองก็รู้ว่าหญิงสาวชื่นชอบดอกกุหลาบสีแดงเป็นอย่างยิ่ง เขาขับรถมาหาโชคที่ร้านอาหาร แล้วจึงนั่งรถของโชคออกไปชานเมืองด้วยกัน
“ผมว่าถ้ารันเขายังอยู่ เขาคงดีใจนะที่ผมกับคุณเข้ากันได้ดี” โชคว่า
“ก็คงจะเป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละ รันเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังเยอะเลยล่ะ ผมเลยรู้ว่ารันเขารักคุณมาก” กิตติกล่าวต่อ
“คุณไม่ได้บอกญาติคุณเลยหรือเรื่องงานบวชพรุ่งนี้” โชคถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้บอกใครทั้งนั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าหากบวชแล้วบางทีผมอาจจะอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ คุณโชค ผมรู้สึกผิดมากๆ จนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ความผิดนี้มันจะลดลงไปบ้าง” กิตติพูดวนซ้ำมาเรื่องเดิมอีกครั้ง
“รัน...ผมขอโทษ”
สองข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นนาข้าว โชคหักหัวรถเข้าไปยังทางลูกรังเล็กๆ นั้น เขาขับเข้าไปอย่างเคยชิน เพราะมันเป็นสถานที่ๆ เขาเดินทางมาซื้อต้นไม้เป็นประจำ
บ้านสวนแห่งนี้เป็นทั้งร้านขายต้นไม้ และเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของชายสูงวัยท่าทางสมถะผู้นั้น เขามีต้นไม้และดอกไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายชนิด โชคและรันชรีมักจะมาเลือกซื้อต้นไม้ที่ร้านนี้เป็นประจำ ทำให้เมื่อทั้งโชคและกิตติก้าวลงมาจากรถชายเจ้าของร้านที่โชคคุ้นเคยดีจึงเดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม
“สวัสดีครับคุณโชค” เจ้าของร้านเอ่ยทักทายแล้วเลยสายตามองไปทางกิตติที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“อ๋อเพื่อนผมเองครับ เขาเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่” โชคบอกกับชายเจ้าของร้าน
แต่ดูเหมือนชายเจ้าของร้านจะจับจ้องไปที่รถ ที่จอดอยู่ที่ทางเข้าบ้านเสียมากกว่า เขามองอยู่เช่นนั้นแล้วจึงเอ่ยถาม
“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะครับคุณโชค สงสัยที่ร้านจะลูกค้าเยอะนะครับ แล้วคุณรันไม่ลงมาด้วยหรือครับ” ชายเจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาเองรู้จักยังคงนั่งอยู่บนรถ
ไม่มีคำตอบใดๆ จากชายผู้มาเยือนทั้งสอง แต่แทนคำตอบเขาทั้งคู่หันกลับไปที่รถอีกครา แต่ก็ไม่พบกับหญิงสาวที่ชายเจ้าของร้านเอ่ยถึงแต่อย่างใด
“ลุงว่ารันนั่งอยู่บนรถอย่างนั้นหรือ” โชคย้ำถามชายเจ้าของร้าน
“ก็ใช่นะสิครับ นั่นไง หรือจะรีบกลับครับ คุณรันถึงไม่ลงมา” ว่าแล้วชายเจ้าของร้านก็ชี้มือไปที่รถที่จอดแน่นิ่งอยู่
เมื่อได้ต้นไม้ครบตามที่ต้องการแล้ว รอเพียงขนขึ้นรถเท่านั้น แต่เมื่อเปิดประตูท้ายรถ ชายเจ้าของร้านก็ต้องงุนงง เมื่อไม่เห็นรันชรีที่ตนเองเห็นว่านั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“หรือเราจะตาฝาดไปวะ” ชายเจ้าของร้านสบถให้กับตนเอง
ระหว่างทางกลับไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้นเลยระหว่างชายทั้งสอง คงมีเพียงสายตาเท่านั้นที่จ้องมองกันด้วยคำถาม หากแต่ไม่มีฝ่ายใดจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“รัน...” ชื่อของหญิงอันเป็นที่รักของชายทั้งสองถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“คุณโชค คุณว่าที่เจ้าของร้านต้นไม้เห็นเมื่อกี้ เขาตาฝาดหรือเปล่า” กิตติเป็นผู้เอ่ยถามก่อน
“หรือว่ารันจะยัง...” แต่ยังไม่ทันที่โชคจะพูดจนจบประโยค เสียงๆ หนึ่งก็แทรกขึ้นมา
“ใช่!...ฉันอยู่ที่นี่ อยู่กับคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่มีวันพรากจากคนที่ฉันรักอีกเป็นอันขาด” สิ้นสุดของกังวานนั้น ชายทั้งสองหันไปที่เบาะด้านหลังรถพร้อมกัน
หญิงสาวอันเป็นที่รักของคนทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้น
“รันชรี”
ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน
ใบหน้านั้นยังขาวซีดเหมือนเดิม หากแต่เนื้อตัวมิได้เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด
เหมือนลมหายใจของชายทั้งสองจะหยุดลงในขณะนั้น ความแรงของจังหวะหัวใจมันหนักหน่วงจนได้ยินเสียงการเต้นของมัน นิ้วมือ แขนขาชาไปจนหมดสิ้น
“นี่รันยังอยู่กับเราหรือ” ชายผู้เป็นเพื่อนรำพึงในใจ
แต่กับชายที่นั่งอยู่เคียงข้างกันนั้น เขากลับไม่ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ เขาหันไปมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอีกครั้งหนึ่ง
“คุณยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม” กิตติเอ่ยเสียงเศร้า
“ฉันไม่โกรธใครทั้งนั้น ฉันเพียงแต่มาตามคนที่ฉันรักเท่านั้น ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีกแล้ว ขอเพียงมอบคนที่ฉันรักกลับคืนมา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” เสียงอันหม่นเศร้าของรันชรีกังวานก้องอยู่ภายในรถนั้น ก่อนจะจ้องไปยังที่ชายทั้งคู่ ในแววตานั้นแม้จะอาบไปด้วยความโศกเศร้า แต่ในบัดนี้มันได้ระคนไปกับความรักจนยากที่จะแยกแยะออกได้ว่าความรักและความเศร้าสิ่งใดมีมากกว่ากัน
ความรัก...ที่มีต่อชายทั้งสอง...ไม่มีวันจางหาย
โชค...เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด
กิตติ...คนรักคนเดียวและคนสุดท้ายของรัน
“เราจะไม่มีวันพรากจากกัน...จำไว้!”
.......................................................................................................................................
เตียงคนไข้สองเตียงนั้นตั้งอยู่คู่กัน ชายทั้งสองนอนนิ่งแน่อยู่บนเตียง จากภายนอกนั้นร่างกายไม่ได้มีบาดแผลใดๆ บ่งบอกเลยว่าทั้งสองประสบอุบัติเหตุ ขับรถชนกับรถบรรทุกไม้เข้าอย่างจังร่างกายที่ไร้ซึ่งร่อยรอยของบาดแผล แต่บาดแผลอันฉกาจฉกรรจ์ที่ยากจะมีผู้ใดมองเห็นนั้น มันอยู่ภายใน แผลอันลึกนั้นยากยิ่งนักที่จะรักษาให้หายได้ แม้แต่จะให้บรรเทาลง จะเป็นไปได้หรือไม่
“แกไม่ต้องห่วงอะไรนักหรอกเพื่อน ฉันจะดูแลแกเอง ก็แกเป็นเพื่อนฉันนี่” รันชรีจับที่หัวไหล่ของเพื่อนเพื่อเป็นการปลอบโยน
“คุณป้าค่ะ ดูสิ โชคร้องไห้อีกแล้ว” ชโลธรใช้มือเล็กๆ ของเธอนั้นบีบที่มือชายหนุ่มไว้ เธอเองไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย ว่าเหตุใด น้ำตาจึงไหลออกมาจากสองตาของชายหนุ่ม น้ำหยดใสๆ นั้น มันหลั่งไหลออกมาเนิ่นนาน หญิงสาวทำได้เพียงใช้กระดาษเนื้อนุ่มสีขาวนั้นซับไว้
“โชคคะ...เกิดอะไรขึ้น คุณต้องการบอกอะไร” หญิงสาวคนรักเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจตนเองอยู่แล้วว่าคงไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะตอบกลับในคำถามนี้
เสียงกรีดร้องของรันชรีกังวานมาอีกเป็นครั้งที่เท่าใดก็ไม่รู้ได้ เสียงร่ำไห้แทรกเข้ามาอย่างแผ่วเบา และเริ่มดังขึ้นๆ หญิงสาวกำลังจะกินยานอนหลับนับร้อยเม็ดนั้น
“อย่า...นะรัน...อย่ากินมันเข้าไป” ชายหนุ่มทัดทานในความรู้สึก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว หญิงสาวกลืนกินเม็ดยาเหล่านั้นไปต่อหน้าต่อตา ความเจ็บแสบที่แขนกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง เขาเจ็บเหลือเกิน บาดแผลมันกำลังปรากฏขึ้นอีกแล้ว หญิงสาวกำลังใช้ปลายแหลมของมีดนั้นกรีดไปที่ข้อมือของตนเอง
“เจ็บเหลือเกิน รัน...ฉันเจ็บเหลือเกิน” ชายหนุ่มยังคร่ำครวญในความรู้สึกต่อไป
“สิ่งที่แกรับรู้ สิ่งที่แกรู้สึก มันเทียบเท่าฉันอย่างนั้นหรือ ไม่เลยนะ....โชคเพื่อนรัก มันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของฉันเลย แกจะต้องรับรู้สิ่งที่ฉันรู้สึก รับรู้สิ่งที่ฉันเคยได้รับ” สิ้นกังวานนั้นรันชรีก็ผละจากเพื่อนรักไปหาชายคนรักของตน ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก
“สุดที่รักของรัน ดูสิเพื่อนรันเขาร้องไห้อีกแล้ว คุณอย่าขี้แยเหมือนเพื่อนรันนะคะ” หญิงสาวโน้มใบหน้าไปจนชิดใบหน้าของอีกฝ่าย กิตติอยากจะผ่านช่วงเวลานี้ไป จะด้วยวิธีไหนก็ตามแต่
ใบหน้าขาวซีดนั้น แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเลือด ลิ่มเลือดทะลักออกมาจากปากหญิงสาว แล้วหยดลงเปรอะเปื้อนตัวชายที่นอนนิ่งอยู่นั้น
“หากคุณจะลงโทษผม ผมก็ยินยอมทุกอย่าง เอาชีวิตผมไปเสียสิ” คำพูดที่ตอบโต้กันได้ด้วยความรู้สึก
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกที่รัก คุณอยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว รันจะอยู่ข้างๆ คุณอย่างนี้ ทุกวัน เราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ทุกวัน ทุกคืน” หญิงสาวที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้น เอนร่างเข้าหาชายคนรัก เธอขยับกายเข้าไปเบียดผู้ที่นอนนิ่งอยู่นั้น สองมือกอดก่ายเขาไว้แน่น เสียงหัวเราะเล็กๆ นั้น มันช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข
ชโลธรมองคนทั้งสองที่นอนนิ่งอย่างถดถอนใจ อีกนานเท่าใด แรงอาฆาตของรันชรีถึงจะเบาบางลง มันคงเป็นเวรกรรมจริงๆ เวรกรรมที่คนทั้งสองต้องชดใช้ในชาตินี้และเป็นเวรกรรมของรันชรีที่จะต้องชดใช้กันอีกต่อไป ไม่รู้เมื่อใดที่จะจบสิ้น
จบ...
ตอนที่ 28
แพรวพรรณลืมตาขึ้นมองเพดาน บัดนี้แสงมันช่างสว่างจ้าจนดวงตาทั้งคู่นั้นไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มตา หญิงสาวค่อยๆ หรี่ตามองดูทีละน้อย หันไปมองด้านซ้ายและขวา มีอานนท์และมารดาของโชคนั่งอยู่ คอนั้นช่างแห้งผากสิ้นดี
“ขอ...น้ำ...หน่อย” แพรวพรรณเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“ฟื้นแล้วค่ะ ฟื้นแล้ว” เสียงใครบางคนที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าใด
หญิงในชุดสีขาวเข้ามาใกล้ แล้วประคองศีรษะของหญิงสาวให้ชันขึ้นเล็กน้อย มองเห็นแก้วน้ำอยู่ตรงหน้า แพรวพรรณดื่มน้ำจากหลอดดูดอย่างกระหาย
“แพรวเป็นไงบ้าง” มารดาของโชคเอ่ยถาม
ยากที่จะตอบออกไปในทันที
หญิงสาวรู้สึกชาที่ใบหน้าและท่อนขาทั้งสองข้างอย่างบอกไม่ถูก
“เราเป็นอะไรไป” ความทรงจำสุดท้ายที่กำลังถูกรื้อฟื้น
“กรี๊ดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องจากหญิงที่เพิ่งฟื้นจากการสลบไสลมาหลายวัน
“ผีนังรัน ผี เอามันออกไป มันอยู่ในรถ เอามันออกไป” แพรวพรรณตะโกนก้อง
“ไม่มีอะไรแล้วหนูแพรว หนูปลอดภัยแล้ว” หญิงสูงวัยตรงเข้าโอบกอดผู้เสียขวัญไว้
แต่หากแพรวพรรณได้เห็นสภาพของตนในบัดนี้แล้ว หญิงสาวอาจจะเสียขวัญมากกว่านี้ก็เป็นได้
“ทำไมแพรวชาที่ขาคะคุณป้า” หญิงสาวกล่าวอย่างยากเย็น เพราะใบหน้าล้วนถูกพันด้วยผ้าพันแผลจนขาวโพลน
“หนูแพรวอย่าเพิ่งลุกเลยจ๊ะ อยากได้อะไรก็บอกพยาบาลเขาก็แล้วกัน นี่นนท์เขาก็โทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่หนูที่อเมริกาแล้ว อีกไม่กี่วันพวกเขาคงจะมาถึง” หญิงสูงวัยกว่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผีนังรัน มันตามแพรวมาค่ะ มันน่ากลัวเหลือเกิน แพรวกลัว แล้วโชคอยู่ที่ไหนค่ะ” หญิงสาวไม่วายจะถามถึงชายที่ตนรัก
“โชคดีขึ้นแล้วกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ ไม่เป็นอะไรแล้ว หนูแพรวไม่ต้องห่วงหรอกนะ”
พยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิร่างกาย และความดันแล้วเดินออกไป
อานนท์มองแพรวพรรณอย่างหวั่นใจ หากเพื่อนของเขารู้ว่าขาอันเรียวงามทั้งคู่นั้นบัดนี้ไม่ได้อยู่ติดกับร่างกายแล้ว เธอจะเป็นเช่นไร เพราะแพรวพรรณเองจัดว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง ยังไม่รวมกับใบหน้าที่ถูกเศษกระจกบาดหลายแผล ยิ่งคิดอานนท์ก็ยิ่งหวั่นใจกับเหตุการณ์เลวร้ายที่แพรวพรรณต้องประสพ
แต่ความหวั่นใจนั้นมันไม่มากไปกว่าเรื่องของตนเอง เพราะทุกคนต่างได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายมาหมดแล้ว คงเหลือแต่อานนท์เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ยังไม่พบเจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นแพรวพรรณ โชค และกิตติ รันชรีอาจจะอาฆาตเขาก็เป็นได้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็ใช้มือข้างหนึ่งจับองค์พระที่ห้อยอยู่ในคอของตนเองไว้แน่น
หลังจากพยาบาลฉีดยาให้หญิงสาวแล้ว ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
มารดาของโชคกลับไปแล้ว คงเหลือเพียงแต่อานนท์และพยาบาลพิเศษที่จ้างมาเท่านั้น ความคิดระแวงและกังวลทำให้อานนท์เอ่ยขอยานอนหลับจากพยาบาล เพื่อที่เขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่บ้าง
“ไม่จริงๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงกรีดร้องของแพรวพรรณปลุกให้อานนท์ตื่นจากการหลับด้วยฤทธิ์ยา
แพรวพรรณร้องเสียงหลง เมื่อพบว่าขาคู่เรียวของตนนั้นบัดนี้มันได้หายไปเสียแล้ว หญิงสาวต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังเล็ดลอดออกมาจากห้องผู้ป่วย จนพยาบาลหลายคนแตกตื่น แต่เรื่องของแพรวพรรณนั้น เป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าพยาบาลมาหลายวันแล้ว ว่าหากหญิงสาวคนสวยผู้นี้ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองต้องกลายเป็นคนพิการจะเป็นเช่นไร หลายคนได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสาร
แพรวพรรณเหมือนคนเสียสติ เอาแต่พร่ำเพ้อหาขาของตนเอง และในค่ำคืนนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับด้วยฤทธิ์ยา รันชรีก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าขาวซีดนั้นก้มลงมาจากเพดานห้อง มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบชิดกับใบหน้าหญิงสาว แม้ต้องการจะตะโกนออกมา แต่ทว่าหญิงสาวกลับทำไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดอยู่ที่ปลายจมูก ดวงตากลมโตนั้นเบิกโพลงกับภาพที่ตนเห็น หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น แต่ทว่ามันยังคงดำเนินเป็นจังหวะไปอย่างเชื่องช้า
“อย่าทำอะไรฉันเลยรัน ฉันกลัวเธอแล้ว” เสียงคร่ำครวญจากหญิงสาวผู้ที่ต้องกลายเป็นคนพิการ บัดนี้น้ำเสียงของเธอช่างแตกต่างจากแพรวพรรณคนเก่าโดยสิ้นเชียง
“ฉันจะไม่ทำอะไรเธออีกแล้ว แพรว แค่นี้มันก็น่าจะทำให้เธอรับรู้ถึงคำว่าตายทั้งเป็น ว่ามันเป็นยังไง เหลือแต่เพื่อนรักของเธอ ฉันจะต้องให้มันลิ้มรสของความเจ็บปวดบ้าง” สิ้นเสียงของรันชรี ภาพใบหน้าขาวซีดนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ทิ้งให้หญิงสาวผู้ต้องตกอยู่ในชะตากรรมนี้ นอนตาเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น
นานเท่าใดหนอ ที่แพรวพรรณคนเดิมจะกลับมา หรืออาจจะไม่มีวันกลับมาเลยก็เป็นได้
หญิงสาวรู้สึกตัวมาอีกทีตอนฟ้าสว่างเต็มตา บัดนี้บิดามารดาของเธอมาถึงแล้ว ทั้งสองร่ำไห้กับสภาพของบุตรสาว ยิ่งมองดูบุตรสาวของตนที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงาม แต่บัดนี้ต้องกลายเป็นคนพิการ ผู้เป็นมารดายิ่งไม่สามารถสกัดกั้นน้ำตาของความเป็นห่วงไว้ได้
“โธ่ แพรวลูกแม่” นางพูดทั้งน้ำตานองหน้า
มารดาของแพรวพรรณปรารภกับมารดาของโชค ที่รู้จักกันดีในฐานะคนบ้านเดียวกัน นางบอกว่าจะพาบุตรสาวไปอยู่ด้วยกันที่อเมริกา
เมื่ออานนท์ได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะสบายใจที่เพื่อนจะได้อยู่กับครอบครัว แต่เขาเองกลับคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ในร้านอาหารที่แพรวพรรณสัญญากับเขาไว้ ดังนั้นความคิดจึงปราดเข้าไปหาโชคในทันที
“ต้องทำดีกับโชคเข้าไว้ เพราะตอนนี้แพรวพรรณไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว” หนึ่งในความคิดของอานนท์
.........................................................................................................
ชโลธรกลับต่างจังหวัดไปก่อนด้วยหน้าที่การงาน แต่ตลอดระยะเวลาที่หญิงสาวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ปรากฏเห็นรันชรีอีกเลย แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามนั่งสมาธิสักเพียงไร หรือแม้แต่ความฝัน ก็ไม่สามารถติดต่อกับรันชรีได้แม้แต่ครั้งเดียว แต่ทว่าก็ไม่มีผู้ใดเห็นรันชรีอีกเช่นกัน ชโลธรได้แต่คิดว่าวิญญาณของรันชรีคงจะเลิกจองเวรและไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับรันชรีไม่ขาด
เมื่อโชคและกิตติได้รับรู้ถึงเรื่องของแพรวพรรณต่างก็ตกใจและรู้สึกสงสารหญิงสาวอย่างมาก ในวันที่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล แพรวพรรณราวกับคนเสียสติ ยิ่งเมื่อเห็นโชคแล้วนั้นเธอกลับไล่โชคออกไปจากห้อง ชายหนุ่มเดาเอาว่าแพรวพรรณคงจะอายที่ใบหน้าเสียโฉม และต้องกลายเป็นคนพิการ
ก่อนเดินทางกลับ โชคและกิตติรวมทั้งผู้เป็นบิดาและมารดา เลือกที่จะไปวัดเพื่อทำบุญให้กับรันชรี
“รัน...ฉันขอโทษนะ สิ่งที่ฉันทำผิดกับแก ฉันสำนึกได้แล้ว ขอให้แกไปสูสุคติเถอะเพื่อน” โชคกล่าวหลังจากกรวดน้ำเสร็จ
เช่นเดียวกับกิตติ ที่แม้จะไม่พูดจาอันใด แต่ในใจนั้นล้วนอัดแน่นไปด้วยคำขอโทษต่อหญิงสาวที่รักตนมาก
หลังจากพระประพรมน้ำมนต์ให้กับคนทั้งสี่แล้ว ทั้งหมดก็พร้อมที่จะออกเดินทางกลับต่างจังหวัด โดยจุดมุ่งหมายหน้าคือการบวชให้รันชรี
“หวังว่ารันคงจะอโหสิให้กับคนบาปอย่างผมนะ” กิตติเอ่ยขึ้นเมื่อขับรถออกจากวัดไปแล้ว
เมื่ออานนท์รู้ว่าวันนี้โชคและทุกคนจะกลับต่างจังหวัด ก็รีบกล่าวลาทางแพรวพรรณทันที แม้ว่าหญิงสาวจะขอร้องให้เพื่อนอยู่ด้วยก็ตาม แต่อานนท์ให้ข้ออ้างว่าจะรีบกลับไปช่วยโชคดูแลร้าน แพรวพรรณยากที่จะกล่าวทัดทานต่อความต้องการของอานนท์ ได้แต่มองอานนท์ที่รีบเก็บข้าวของๆ ตน แล้วเดินออกไปจากห้อง
น้ำตาหยดใสๆ เอ่อนอง ในดวงตาทั้งสองของหญิงสาวผู้กลายเป็นคนพิการ เธอคิดว่าแม้เธอจะสูญเสียขาทั้งสองข้างไป แต่ก็ยังมีอานนท์ที่จะอยู่เคียงข้างเธอเช่นเดิม แต่เมื่อในวันที่เธอรู้สึกย่ำแย่และเลวร้ายที่สุด อานนท์กลับไม่อยู่กับเธออย่างที่เธอคิด
“นี่หรือ น้ำใจของอานนท์ คนที่เธอเรียกว่าเพื่อนมาตลอดชีวิต มีเพียงเท่านี้หรือ” เมื่อความคิดนั้นหยุดลง น้ำใสๆ ก็ใหลออกมาจากดวงตาคู่โตทั้งสองนั้นอย่างยากที่จะสกัดกั้นได้
อานนท์มุ่งหน้ากลับต่างจังหวัด ระหว่างทางเขาโทรศัพท์หาโชคอยู่ตลอด จนเขาสามารถขับรถตามได้ทัน เขาหวังที่จะตีสนิทโชคให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่โชคยังไม่แข็งแรงดี เขาอาจจะได้เข้าไปดูแลร้านอาหารอย่างเต็มตัวก็เป็นได้
รถของโชคและอานนท์จอดคู่กันอยู่ในปั๊มน้ำมัน ในขณะที่นั่งรอทุกคนอยู่นั้น อานนท์เดินเข้าไปหาโชค เขาพยายามพูดคุยกับโชคราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีเพียงคำพูดที่เย็นชาเท่านั้นที่ตอบออกมา จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
“ฉันไม่เกี่ยวกับการตายของรันเลยนะโชค แกเชื่อฉันสิ” อานนท์กล่าวอย่างร้อนตัว
“ฉันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แกอย่ามาตีหน้าซื่อหน่อยเลย” โชคตอบอย่างเสียไม่ได้
“ทุกอย่างฉันถูกบังคับ” อานนท์ยังโกหกต่อไป
“แกกับแพรว ให้คุณกิตติมาหลอกรัน เพื่อให้รันไปจากที่นี่ แกทำได้ยังไงวะ”อานนท์ถึงกับหน้าชากับคำถามของเพื่อน
“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ทุกอย่างเป็นเพราะยัยแพรวคนเดียว ที่บ้านฉันเป็นหนี้บ้านแพรวหลายล้านแกก็รู้ แพรวขู่แล้วก็บังคับฉันว่าหากฉันไม่ช่วย จะไล่พ่อแม่ฉันออกจากบ้าน และยึดทรัพย์สินทุกอย่าง แกจะให้ฉันทนดูพ่อแม่ของฉันกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อย่างนั้นหรือ”
อานนท์ปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อให้โชคเกิดความสงสาร แล้วโยนความผิดไปให้แพรวพรรณทั้งหมด
เรื่องที่พ่อแม่อานนท์เป็นหนี้เป็นสินนั้น โชคพอจะรู้มาบ้าง แต่เขาไม่รู้ว่ามากเท่าใดโดยเฉพาะหนี้สินกับครอบครัวของแพรวพรรณ หากเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนั้นจริง แพรวพรรณนั้นช่างร้ายกาจเหลือเกิน แต่เขากลับบอกตัวเองว่าในเวลานี้เขาจะไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องการบวชให้รันชรีเท่านั้น
“เอาเถอะนนท์ อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย ฉันว่าพวกเรารีบขับรถกลับให้ถึงบ้านก่อนเถอะ ฉันมีอะไรที่ต้องทำให้รัน” โชคกล่าวตัดบทในหัวข้อสนทนานั้น
โชคเดินแยกจากไปเพื่อไปทำธุระที่ห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆ นั้นแยกไปที่มินิมาร์ทในปั๊มน้ำมัน อานนท์โล่งใจไปบ้างที่อย่างน้อยโชคก็ยังไม่ปฏิเสธเขา เขาคงต้องใช้ความพยายามอีกสักนิดเพื่อให้โชคคลายความสงสัยเรื่องรันชรี เพราะอีกไม่ช้าแพรวพรรณก็จะไปอยู่อเมริกาแล้ว เธอคงไม่สามารถอยู่เป็นพยานปากเอกได้หรอก
อานนท์เปิดดูกระเป๋าเงินตนเอง เงินสดเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ เขากำลังมองหาตู้เอทีเอ็ม เพื่อกดเงินสดออกมาซื้อของกินเล็กน้อยในมินิมาร์ทนั้น
ตู้เอทีเอ็มอยู่หน้าปั๊มเกือบติดกับถนน ชายหนุ่มเดินตรงรี่ไปทันที แต่ในขณะที่กำลังทำธุรกรรมทางการเงินอยู่นั้น เสียงร้องอย่างตกอกตกใจของใครหลายคนก็เซ็งแซ่ขึ้นมา
รถน้ำมันคันใหญ่กำลังจะออกจากปั๊ม แต่ทว่ากลับพุ่งชนไปที่ตู้เอทีเอ็มที่อานนท์กำลังยืนอยู่
น่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาทีเท่านั้น
ทั้งกิตติ บิดา และมารดาของโชค ต่างหันไปดูภาพที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่าผู้ประสพเหตุร้ายนั้นคืออานนท์ จวบจนโชคก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ และเห็นคนกำลังมุงดูอยู่หน้าปั๊ม พลางส่ายสายตาหาสมาชิกที่ร่วมทางมาด้วยกัน
พบทุกคน ยกเว้น อานนท์
ไม่มีใครคาดคิด เมื่อรถกู้ภัยมาถึง ร่างที่อาบไปด้วยเลือดของอานนท์ถูกหามออกมาจากซากตู้เอทีเอ็มที่ถูกอัดติดกับกำแพงจนมองไม่เห็นรูปร่างเดิม
“นนท์” สมาชิกทุกคนอุทานชื่อชายหนุ่มขึ้นพร้อมๆ กัน
นั่นคือเวรกรรมของอานนท์โดยแท้ หากเขาตายไปเสียทีเดียวมันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แม้ร่างกายจะไม่พิการ แต่บัดนี้เขาก็ไม่สามารถที่กลับมาเป็นอานนท์คนเดิมได้ เส้นประสาทการเคลื่อนไหวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขากลายเป็นอัมพาต ร่างกายขยับไม่ได้หากแต่ว่ายังมีความรู้สึกอยู่
วูบหนึ่งในวันที่เขารู้สึกตัว ภาพของแพรวพรรณและรันชรีสลับกันเข้ามาอยู่เบื้องหน้า บางคราวก็หัวเราะ บางคราวก็ร้องไห้ สลับกันไปมา แม้จะหวาดกลัวกับภาพดังกล่าว แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำเช่นไรได้ นอกจากนอนมองดูสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ที่มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ได้
...............................................................................................................................
ตอนที่ 27
รถกิตติยังคงจอดไว้ที่บ้านของรันชรี แต่รถแวก้อนอีกคันกลับอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวาดผวา ผู้อยู่ตรงหน้าพวงมาลัยรถ มุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ทั้งโชคและกิตติถูกปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน คนทั้งหมดออกมานั่งรออยู่บริเวณที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ หญิงสูงวัยเอ่ยถามด้วยดวงตาที่ชื้นด้วยคราบน้ำตาถึงเรื่องราวทั้งหมด
หญิงสาวหันไปมองหน้าแพรวพรรณที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอฟังอยู่เช่นกัน
“ฉันไม่เกี่ยวนะ” แพรวพรรณร้อนตัว
“ฉันยังไม่ได้เล่าอะไร ถ้าคุณแพรวไม่มีอะไรก็อย่าร้อนตัวสิคะ”ชโลธรว่า
หญิงสาวพาตัวเองออกมาจากวงสนทนา เพราะเกรงว่าชโลธรอาจจะล่วงรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องให้รันชรีจบชีวิตลง ในใจนั้นอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นจึงรีบปลีกตัวออกมาก่อน และมุ่งหน้าไปหาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทันที เธอจะทำเช่นไรหากกิตติเล่าเรื่องทุกอย่างให้โชคและทุกคนได้รับรู้
แต่ในเมื่อกิตติสัญญากับเธอไว้แล้ว ว่าจะไม่พาดพิงเรื่องใดๆ มาถึงเธอ
แต่เธอจะเชื่อได้หรือไม่ ก็ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยสัญญาว่าจะไม่กลับไปที่เมืองนั้นอีก แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับไปอีกจนได้
ความร้อนรุ่มที่เกาะกุมหัวจิตหัวใจอยู่ในขณะนี้ เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน ยากเหลือเกินที่แพรวพรรณจะทำตัวให้นิ่งเฉยได้ ยิ่งเมื่อนึกถึงภาพรันชรีที่เนื้อตัวเกรอะกรังไปด้วยเลือด ความหวาดผวาก็มาเยือนหญิงสาวอีกครา แต่ความหวาดกลัวก็ลดลงเมื่อหญิงสาวมองดูตะกรุดที่ห้อยอยู่ที่ข้อมือ มันจริงอย่างที่อานนท์ว่า เมื่อเธอมีเครื่องรางอันนี้แล้ว รันชรีไม่เคยมาปรากฏให้เห็นอีกเลย
แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่า บัดนี้ความน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานมาสู่เธอในไม่ช้า
เมื่อแพรวพรรณออกมาจากชโลธรแล้ว ก็ไม่มีอำนาจใดๆ จะสามารถป้องกันตนได้อีก เพราะรันชรีคือเจ้ากรรมนายเวรของหญิงสาว แม้แต่ตะกรุดที่ถูกสวมไว้ที่ข้อมือก็ช่วยอะไรไม่ได้
และในรถนั้นเอง ภาพรันชรีก็ปรากฏขึ้นบนรถของแพรวพรรณ แววตาแห่งความอาฆาตฉายแววมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“พวกแกต้องทุกข์ทรมาน” คำรามก้องของความอาฆาตจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ใกล้จะถึงบ้านเพื่อนของแพรวพรรณแล้ว หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมา แต่ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวรถนั่นเอง หญิงสาวเหลือบตามองไปที่กระจกส่องหลัง ใบหน้าซีดเซียวของรันชรีก็ปรากฏขึ้น
แพรวพรรณหวีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัวอย่างสุดขีด เท้าถูกถอนนออกจากคันเร่งนั้นทันที แล้วสลับเปลี่ยนเป็นเหยียบเบรกแทน รถกำลังหมุนคว้างกลางถนน แล้วเลยแฉลบไปชนเอากับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทาง รถเก๋งคันงามไถลไปอีกเลนหนึ่งของถนนที่ไม่ได้ว่างเปล่า
ภาพสุดท้ายที่แพรวพรรณจำได้คือรถบรรทุกคันใหญ่ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีมืดดำสนิท
..........................................................................................................................
ชโลธรเล่าเรื่องราวของรันชรีทั้งหมดที่ตนเองรับรู้มา ตลอดจนเรื่องเธอกับโชค ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะแรงอาฆาตของรันชรี จึงทำให้บางครั้งหญิงสาวพูดและทำอะไรไปโดยไม่รู้สึกตัวให้ผู้เป็นมารดาของโชคฟัง
“แม่คิดไว้แล้ว มันต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน แพรวกับนนท์ เด็กสองคนนี้ร้ายกาจนัก ทำอะไรไปไม่คิดเสียเลย” นางเอ่ยอย่างอ่อนใจ
“รัน...ลูก แม่ขอโทษแทนโชคนะ ถ้าลูกยังรักแม่อยู่...เลิกเสียเถิดลูก เลิกอาฆาตพยาบาทต่อกันเสียที วันหนึ่งทุกคนจะได้รับผลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้อย่างแน่นอน ปล่อยวางนะลูก แล้วลูกจะพ้นทุกข์” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับรันชรี
แม้จะถูกอำนาจลึกลับนั้นกักขังอยู่ในบ้านของตน แต่ทว่ารันชรีกลับได้ยินเสียงของมารดาของโชค ที่กล่าวขอโทษด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้เสียงนั่นจะเบามากก็ตามที
วิญญาณหญิงสาวร่ำไห้สะอึกสะอื้น...
ผู้ป่วยทั้งสองถูกส่งเข้าพักห้องพิเศษที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ ทั้งชโลธร มารดาและบิดาของโชคนั่งเฝ้าอาการด้วยความห่วงใย ชโลธรบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมห่างกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะเธอรู้แล้วว่าผลจากการแผ่เมตตาของเธอไปสู่รันชรี นอกจากรันชรีจะได้รับแล้ว ตัวเธอเองก็จะได้รับอานิสงค์นั้นเช่นกัน ซึ่งมันจะทวีมากขึ้นกว่าที่เธอมอบให้รันชรีหลายเท่า มันจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันเธอจากรันชรีได้
ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่นั้น ทำให้โชคและกิตติมีโอกาสได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก
“ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่ง” กิตติเอ่ยขึ้นก่อน
โชคมองกิตติอย่างครุ่นคิดในคำขอโทษนั้น
“คุณอย่าโกรธ อย่าโทษรันเลย ความผิดทั้งหมดอยู่ที่ผมคนเดียวเท่านั้น รันเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด”
กิตติกล่าวต่ออย่างยากเย็น แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้โชค และคนทั้งหมดในห้องฟังพร้อมๆ กัน
น้ำตาหยดใสๆ ของลูกผู้ชาย บัดนี้มันหลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว โชคไม่คิดมาก่อนว่าแพรวพรรณและอานนท์จะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ แต่บทสรุปทั้งหมดก็คือตัวเขา ที่ไม่ให้โอกาสเพื่อน จึงทำให้รันชรีต้องพบจุดจบเช่นนี้
“ผมต่างหากละคุณโชค หากผมไม่เข้ามา คุณกับรันก็คงไม่หมางใจกัน แล้วเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น รันน่าสงสารมากที่ต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของผม”กิตติกล่าวโทษตนเอง
“เมื่อผมรู้ว่ารันตายไปแล้ว ผมยอมรับว่าผมกลัว กลัวมาก กลัวว่าผมจะต้องตาย แต่เมื่อเทียบกับความผิดของผมแล้ว ผมยอม...ยอมทุกอย่างที่รันต้องการ ยอมแม้กระทั่งหากเธอต้องการชีวิตผม เพราะตอนนี้ผมรักเธอเข้าจริงๆ มันจึงทำให้ผมกลับไปที่นั่นอีกครั้ง”
ภาพของหญิงสาวตอนกำลังจะสิ้นลมต่างก็ติดตาของชายทั้งคู่
“ผมไม่น่าเลย ผมไม่น่าทำกับคนที่รักผมเช่นนั้นเลย ผมมันเลวอย่างไม่น่าให้อภัย หากรันยังอยากจะเอาชีวิตผมไปเพื่อแลกกับการชดใช้ความผิดทั้งหมด ผมก็ยอม” กิตติพูดด้วยใบหน้าหม่นเศร้า เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา
“มันก็ไม่ต่างกับผมนักหรอกคุณกิตติ ผมเป็นเพื่อนรัน เป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมาเกือบยี่สิบปี แต่ผมกลับไม่เข้าใจเธอ ไม่ให้โอกาสเพื่อนที่ดีคนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ารันไม่มีใคร ผมยังไล่เพื่อนไปได้ลงคอ ความผิดของผมมันก็มากมายเหมือนกัน” โชคกล่าวขึ้นบ้าง
ซุ่มเสียงแห่งการสนทนากังวานมาถึงรันชรีที่ถูกกักขังอยู่ เธอรับรู้แล้วว่าคนที่เธอรักทั้งสองบัดนี้คิดเช่นไร
“แม่ว่า ทั้งสองคนถ้ารักษาตัวให้แข็งแรงแล้วน่าจะบวชให้รันนะลูก” ผู้เป็นมารดาเสนอความคิดเห็น
ทั้งสองมีความเห็นสอดคล้องดังนั้น จึงตกลงกันว่าเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับรันชรีเพื่อเป็นการไถ่บาป และหวังว่ารันชรีจะอภัยให้เขาทั้งสอง
“ฉันไม่มีวันรับ ไม่รับเด็ดขาด” กังวานของรันชรีที่แผ่วเบาลงทุกที
วิญญาณของรันชรีร้องไห้คร่ำครวญอย่างโหยหวน แต่เธอไม่อาจต้านทานพลังลึกลับของชโลธรได้ ความโกรธแค้นแทนที่จะลดลงกลับยิ่งเพิ่มขึ้น
ตอนที่ 26
ชโลธรลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มองไปรอบๆ กาย ที่บัดนี้ถูกความมืดมิดปกคลุมไว้ทุกหนแห่ง
“โชคอยู่ไหน” ความรู้สึกแรกเมื่อรู้สึกตัว
หญิงสาวชันกายให้ลุกขึ้น แล้วค่อยเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอน ที่เธอเองพอจะรู้ว่าคือห้องไหน เพราะเคยมาสำรวจครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทว่าประตูปิดสนิท
“มันถูกล็อคจากด้านใน”
แล้วนี่เธอจะทำเช่นไรดี ฝ่ามือเล็กๆ ทั้งสองตบไปที่ประตู ปากก็ร้องเรียกหาแต่โชค ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด หากแต่ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นกลับได้รับรู้ได้ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“มันไม่มีประโยชน์หรอก” เสียงรันชรี
“คุณรัน ปล่อยคุณโชคออกมาเถอะคะ เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่หรือ คุณจะทำร้ายเขาทำไม มันบาปนะคะ”
“เธอไปได้แล้ว ฉันจะช่วยให้เธอไปจากที่อย่างปลอดภัย”กังวานเสียงสุดท้ายก่อนที่แหม่มจะจำอะไรไม่ได้
รันชรีเข้าสิงร่างชโลธรแล้วขับรถโชคออกมาจากบ้าน เมื่อถึงกลางทาง หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมา ก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในบ้านรันชรีแล้ว แล้วนี่เธอจะทำเช่นไร โชคยังติดอยู่ในนั้น และอาจจะมีกิตติอีกคนที่อยู่ในนั้นด้วย
เมื่อสติกลับมา หญิงสาวเหยียบคันเร่งไปหาชมพูนุชที่อพาร์ทเม้นท์ทันที และเมื่อไปถึงหญิงสาวเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เพื่อนฟัง ชมพู่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หญิงสาวทั้งสองครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ชโลธรตัดสินใจโทรศัพท์ไปหามารดาของโชคและเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังเช่นกัน
ผู้เป็นมารดาเมื่อรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เหมือนอะไรมาอุดหลอดลมของนางเอาไว้
“หนูรันตายแล้ว”แม้ความสงสัยจะมีมากมายเพียงใด แต่ความเป็นห่วงบุตรชายนั้นมีมากมายกว่า
แพรวพรรณที่กำลังนั่งทาเล็บอยู่ไม่ห่างกันนัก หยุดชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของหญิงสูงวัย
“คุณป้าว่าไงนะคะ รันตายแล้ว” หญิงสาวย้ำถามอีกครา
“แล้วตอนนี้โชคอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะคะว่าไปหานังรันที่บ้าน”
หญิงสาวรีบลุกเข้ามาหาหญิงสูงวัยอย่างร้อนรน เพราะเธอเองทั้งรักและเป็นห่วงโชคมาก หากโชคหายไปเหมือนกิตติเธอคงจะทนอยู่ไม่ได้
“ไปค่ะ คุณป้า แพรวจะพาไปตามหาโชคที่บ้านนังรัน แพรวรู้จักบ้านมัน”
หญิงสูงวัยทำตามอย่างว่าง่าย นางนั่งคู่ที่ด้านหน้ารถไปกับแพรวพรรณ ก่อนจะไปแวะรับสามีที่บ้านของตน
...........................................................................................................................
ชโลธรติดต่อกับมารดาของโชคอยู่ทุกระยะ กระทั่งทุกคนมาถึงกรุงเทพฯ แม้ว่าหญิงสาวจะเสนอให้ทุกคนพักผ่อนก่อน แต่ทว่าผู้เป็นมารดากลับตอบปฏิเสธ และยืนยันว่าต้องการไปที่บ้านรันชรีทันที
รถสองคันจอดอยู่หน้าบ้านร้างหลังนั้น และรถอีกคันหนึ่งจอดอยู่ภายในบ้าน ผู้เป็นมารดาร่ำไห้เหมือนใจจะขาด เมื่อนางนึกถึงบุตรชาย ว่าบัดนี้จะเป็นเช่นไร ในบ้านร้างหลังนี้กับวิญญาณของเพื่อน
ชโลธรเป็นผู้นำทางบุคคลทั้งหมดเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
“โชคอยู่ไหน รันปล่อยโชคเถอะนะลูก” ผู้เป็นมารดากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านที่กักขังบุตรชายของนางไว้
“อยู่ชั้นบนค่ะแม่” ชโลธรบอกแล้วเดินนำไปบนชั้นสองอย่างรีบเร่ง
ห้องนอนยังคงถูกปิดล็อคเช่นเดิม
“รัน...ลูกฟังแม่นะ ปล่อยโชคออกมาเถอะ แม่ขอร้อง” นางยังคงร่ำไห้และอ้อนวอนต่อวิญญาณของหญิงสาวที่นางเองก็รักเหมือนลูกเช่นกัน แต่มันกลับไม่เป็นผล
“กลับออกไป” เสียงอันเหี้ยมเกรียมของรันชรี
ผู้เป็นมารดาสะดุ้งเฮือกกับเสียงอันเหี้ยมเกรียมนั้น แล้วนางก็ร่ำไห้ปานใจจะขาด
“จะให้แม่ทำอะไรก็ยอม ปล่อยโชคออกมาเถอะ” นางยังอ้อนวอนต่อไป
แหม่มถอยห่างออกไปเพื่อยืนทำสมาธิ แล้วแผ่เมตตาไปให้รันชรี หญิงสาวคิดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตนเอง หากตนเองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กิตติและโชคอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้ แต่ก็ยังคงกล่าวบทแผ่เมตตาต่อไป
“คุณรันคะ ปล่อยพวกเขาออกมาเถอะค่ะ” แหม่มกล่าวอย่างรู้สึกผิด แล้วตรงไปยังประตู ทุกคนช่วยกันออกแรงผลักประตู จนประตูไม้นั้นเปิดออก
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏ...มันช่างน่าสลดใจเหลือเกิน
กิตตินอนซูบผอมอยู่บนเตียงเก่าๆ ถัดไปบนโซฟาเป็นร่างของโชคที่ใบหน้าซีดเซียวแต่ดวงตาของคนทั้งคู่ยังคงเบิกโพลงอยู่
ผู้เป็นมารดาถึงกับหมดสติเมื่อเห็นภาพบุตรชายที่อยู่เบื้องหน้า ผู้เป็นสามีและแพรวพรรณพยุงร่างนั้นไว้มีเพียงชโลธรผู้เดียวที่มองเห็นรันชรีที่ยืนอยู่ภายในห้อง ด้วยสีหน้าอันโกรธเกรี้ยว
“หมดหน้าที่ของเธอแล้ว ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน อยากลองดีกับฉันใช่ไหม” เสียงรันชรีตวาดลั่นห้อง
ถึงแม้จะหวาดกลัวสักเพียงใด แหม่มก็ยังถลาร่างเข้าไปหาโชคที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา หญิงสาวจับจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างยากเย็น มันแผ่วเบามาก มากเสียจนในตอนแรกเธอคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่เมื่อดวงตาทั้งสองนั้นกระพริบลง หญิงสาวจึงได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“พ่อ...แม่...แหม่ม...ออก...ไป...อันตราย” สิ่งที่โชคอยากจะพูดเหลือเกิน เพราะเขารู้ดีว่ารันชรีคงไม่ปล่อยคนที่จะขัดขวางเธอเป็นเด็ดขาด
“ใครจะเอาเพื่อนฉันไปไม่ได้”
“พอได้แล้วคุณรัน คุณทำเกินไปแล้ว ฉันไม่น่าช่วยคุณเลย” แหม่มตวาดกลับบ้าง
“อยากลองดีกับฉันใช่ไหม”
แต่แล้วก็ปรากฏภาพชายหญิงสองคนเดินตรงเข้ามาหารันชรีทำให้รันชรีหยุดปฏิกิริยาทุกอย่างที่เป็นอยู่
“พ่อ แม่”
รันชรีเรียกบุพการี
“หยุดเถอะลูก อย่าจองเวรกันเลย ลูกทำอย่างนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกเองต่างหากที่จะไม่มีสงบเสียที”
รันชรีร้องไห้ เสียงนั้นโหยหวนน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
“ทุกคนทำร้ายหนู หนูทำผิดอะไร ทำไมทุกคนใจร้ายกับหนู พวกเขารังแกหนูก่อน”
“พ่อกับแม่ขอร้องล่ะ ก่อนที่ลูกจะทำบาปกรรมไปมากกว่านี้ ปล่อยวางเสียเถิด แล้วลูกจะเป็นสุข”
แล้วร่างทั้งสองก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
มีเพียงเสียงสะอื้นไห้จากรันชรีเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ยากจะเยียวยาได้
ชโลธรยังคงแผ่เมตตาไปให้ไม่หยุด ยากเหลือเกินที่จะหยุดยั้งความอาฆาตของรันชรีได้ เธอเองไม่มีสิ่งวิเศษใดๆ ที่จะมาสามารถหยุดรันชรีได้เลย มีเพียงจิตใจอันเมตตาสงสารต่อวิญญาณพยาบาทเท่านั้น
“ด้วยบารมีแห่งพระพุทธคุณ โปรดปกป้องพวกเราด้วยเถิด” สิ่งหนึ่งที่แหม่มยึดมั่นในจิตใจมาตลอด
พลันนั้นหญิงสาวก็จับที่ข้อมือของชายหนุ่ม หมายจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล รันชรีโกรธเกรี้ยวกับการกระทำของแหม่มที่จะช่วยเหลือโชค แต่ทว่าเมื่อรันชรีจะเข้าไปหาชโลธร กลับเหมือนถูกอะไรบางอย่างผลักออกมา เธอไม่สามารถแตะต้องหญิงสาวได้เลยยิ่งทวีความโกรธเกรี้ยวที่กำลังคุกรุ่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอจะเอาเพื่อนฉันไปไม่ได้ เธอจะเอาใครไปจากฉันไม่ได้เด็ดขาด”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด กังวานนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่ทว่าเธอกลับไม่สามารถเข้าใกล้หญิงสาวได้เลย ชโลธรเขย่าร่างของโชคเต็มแรง ชายหนุ่มเหมือนถูกกระชากออกมาจากความฝัน ทันทีที่เขารู้สึกตัว หญิงสาวสวมกอดเขาไว้อย่างแนบแน่น จากนั้นจึงเข้าไปที่ร่างของกิตติที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อสายตาประสพกับบิดาที่ประคองและมารดาของตนที่หมดสติอยู่นั้น เขาก็รี่เข้าไปหาในทันที
“แม่ครับ แม่...” บุตรชายเรียกมารดา นางลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“โชค ลูกไม่เป็นไรแล้วนะ” นางโอบกอดบุตรชายไว้ด้วยความห่วงใยเหลือคณา
ชายหนุ่มหันหน้าไปหากิตติที่นอนอยู่บนเตียง
กิตติดูเหมือนจะอาการหนักที่สุด ร่างกายเขาซูบผอม ไม่มีเรี่ยวแรง โชคใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาที่เหลืออยู่ยกร่างกิตติขึ้นมา โดยมีบิดาของเขาช่วยพยุงลงมาชั้นล่าง คงมีเพียงรันชรีเท่านั้นที่ยังส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง เธอไม่สามารถเข้าใกล้กลุ่มคนเหล่านั้นได้เลย ได้แต่ยินมองกลุ่มคนเหล่านั้นเดินจากไป
“พวกเธอจะไปจากฉันไม่ได้”
รันชรีหันมามองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยแรงอาฆาต
“บารมีแห่งพุทธคุณ โปรดคุ้มครองพวกเราด้วยเถิด โปรดชักพาให้ดวงวิญญาณของคุณรันได้พ้นทุกข์ด้วยเถิด” ชโลธรตั้งมั่นในคำอธิษฐานนั้น
ลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกมาปกป้องพวกเขาเหล่านั้น ทำให้รันชรีไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ชโลธรได้แต่ยืนมองดูวิญญาณของรันชรีกรีดร้องอย่างโหยหวน
บัดนี้คนทั้งสามกำลังจะออกไปจากบ้าน รันชรีพุ่งตรงเข้าหา แต่ก็ถูกแรงผลักอันลึกลับนั้น ไม่ให้เข้าถึงตัวคนกลุ่มนั้นได้เลย
“อย่า...ทิ้งฉันไป อย่าเอาพวกเขาไป” รันชรีเปล่งเสียงกังวาน
หญิงสาวพยายามจะตามออกไป แต่ทว่ากลับออกไปจากห้องๆ นั้นไม่ได้ ลำแสงสีขาวนั้นปิดกั้นไม่ให้ทางออกทุกทางไว้ราวกับเป็นกำแพงหนาทึบ
“อย่า...เอา...คน...ที่...ฉัน...รัก...ไป”
น้ำเสียงที่ระคนไปด้วยความอาวรณ์ การพลัดพรากที่บังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เป็นดั่งมัจจุราชที่คร่าชีวิตเธออีกครั้ง
ชโลธรหันมามองรันชรีอีกครั้งหนึ่ง ภาพนั้นช่างน่าเวทนาเหลือเกิน รันชรีวิ่งไปทั่วห้อง ร่ำไห้กับการพลัดพรากจากคนที่ตนรัก
ตอนที่ 25
เพียงสองปีกว่า ที่เขาไม่ได้เหยียบย่างมาบ้านรันชรี แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ จากปากซอยเข้าไปถึงบ้านรันชรี บ้านแต่ละหลังไม่มีคนอยู่อาศัยอยู่เลย ทุกหลังติดประกาศขายกันหมด กระทั่งรถมาหยุดนิ่งที่หน้าบ้าน บ้านร้างหลังนั้น เขาจำได้แม่นยำ มันคือบ้านของรันชรี
บ้านที่เคยถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของดอกไม้บ้านที่มีแต่ความสุขและสนุกสนาน บ้านที่ถูกอัดแน่นไปด้วยความทรงจำที่ดี บัดนี้มันแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“บ้านร้าง” ชายหนุ่มเอ่ยแผ่วเบา
แต่ทั้งโชคและชโลธรก็ต้องสะดุดตากับรถของกิตติจอดอยู่ในบริเวณบ้าน ฝุ่นเกาะหนาเตอะ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าคงจอดอยู่ที่นี่นานแล้ว
“แหม่ม...คุณ...บอกผมได้ไหม ว่าทำไมเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างยากเย็น
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะ คุณกิตติต้องอยู่ในบ้านแน่นอน”
หญิงสาวเดินนำหน้าชายหนุ่มเข้าไปในเขตบ้าน แล้วพาเขามุดเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งเป็นช่องทางเดียวกับที่เธอเคยเข้ามาครั้งที่มาสำรวจบ้านร้างกับรายการวิทยุ โชคใช้สายตากวาดไปโดยรอบ เขาสลดใจเหลือเกิน แล้วรันชรีอยู่ที่ไหน เพื่อนของเขาอยู่ที่ใด เหตุใดบ้านจึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้
น้ำตาของชายหนุ่มมันกำลังหลั่งใหลอยู่ในใจ
มีเสียงฝีเท้าอยู่ที่ชั้นบน
“หรือจะเป็นรัน”ชายหนุ่มหันหน้าไปบอกกับหญิงสาวข้างกาย
“คุณโชค ขนาดนี้คุณยังไม่เชื่ออีกหรือว่าเพื่อนคุณตายไปแล้ว คุณรันเพื่อนของคุณเธอตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นบ้านหลังนี้คงไม่ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างอย่างนี้หรอก”
แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยของรันชรีก็ดังมาจากชั้นบน
“ฉันรอแกอยู่ที่นี่โชค รอให้แกมาหาฉัน และแล้วแกก็มา วันนี้เพื่อนที่ฉันรักและคนที่ฉันรักมาหาฉันแล้ว และฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครทิ้งฉันไปอีก ทุกคนต้องอยู่กับฉัน”
ชายหนุ่มขนลุกไปทั้งตัว เสียงฝีเท้าชั้นบนหนักขึ้นๆ แล้วเพื่อนรักก็เดินลงมาจากชั้นบน
“รัน แกจริงๆ ด้วย แกยังไม่ตายใช่ไหม แล้วทำไมบ้านแกกลายเป็นแบบนี้”
แม้ว่าชโลธรจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรันชรีให้ฟัง แต่กระนั้นเขาเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่ารันชรีตายไปแล้วจริงๆ ยิ่งเมื่อได้พบกับเพื่อนอีกครั้ง เธอเพียงแค่ผอมลงไปเท่านั้น
“ฉันไม่มีวันตายหรอกโชค เราจะไม่มีวันตายจากกัน พวกแกต้องอยู่กับฉันที่นี่ ได้ยินไหม ต้องอยู่กับฉัน”
“คุณรัน พอเถอะค่ะ เราอยู่คนละโลกกันแล้ว คุณเลิกจองเวรพวกเขาเถอะคะ พวกเขาจะได้รับผลกรรมที่พวกเขาทำไว้แน่นอนค่ะ” แหม่มกล่าว
“หยุด!!!” รันหันมามองแหม่มด้วยสายตาสีเลือด เมื่อแหม่มสบตา ทันใดนั้นเธอก็หมดสติลง
“รัน...นี่แก...เป็น....อะไร” ชายหนุ่มกล่าวถามด้วยซุ่มเสียงสั่นเครือเขายังไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนจะตายไปแล้วจริงๆ
บัดนี้โชคกำลังพยุงร่างของชโลธรอยู่ เสียงกรีดร้องโหยหวนแว่วมาทีละน้อย และค่อยๆ ดังขึ้นๆ และหยุดไป กลายเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและภาพรันชรีก็ปรากฏให้เห็น หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงนอน เธอกำลังร้องไห้ ในมือถือรูปใบหนึ่งไว้ ส่วนบนเตียงมีรูปอีกสองสามใบวางอยู่ โชคมองดูเพื่อนร้องไห้ ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ผ่านมาทางเสียงสะอื้นและหยดน้ำตานั้น เขาอยากจะลุกขึ้นไปโอบกอดเธอเหลือเกิน เพราะครั้งหนึ่งที่เธอต้องสูญเสียมารดาไป มีเขาเพียงคนเดียวที่คอยปลอบประโลม และโอบกอดเธอในวันที่เธอเสียน้ำตา ซึ่งลักษณะการร้องไห้มันไม่ได้ต่างจากวันนั้นเลย แต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย นอกจากการกรอกสายตาไปมาเท่านั้น
เขามองดูเพื่อนเทยาจากกระปุกใส่ในฝ่ามือ มันพูนจนล้น เขาอยากจะลุกขึ้นไปปัดมือนั้นเหลือเกิน เธอกำลังจะกินยาพวกนั้นเข้าไปแล้ว
“อย่านะรัน อย่า อย่ากินนะ”
แต่ก็ไม่เป็นผล มันเป็นเพียงคำพูดที่ไร้เสียงเท่านั้น โชคมองภาพรันชรีกินยานับร้อยๆ เม็ดๆ แต่ทว่าคนที่เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนในร่างกายกลับเป็นเขา เขารู้สึกอยากจะอาเจียน สะลืมสะลือ แต่ทว่าภาพเบื้องหน้าก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
มีดปลายแหลมถูกกรีดลงบนข้อมือของหญิงสาว พร้อมกับความเจ็บปวดที่บัดนี้มันถูกโยนมาที่ชายหนุ่ม เขารู้สึกเจ็บแสบ และมีของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมา ใช่ มันคือเลือดของเขานั่นเอง ที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากแขนทั้งสองข้าง ตามรอยแผลที่รันชรีได้กรีดลงที่ข้อมือของตนเอง โชคเจ็บอย่างเหลือคำอธิบาย
“รัน...ฉันขอโทษ ฉันน่าจะให้โอกาสแกมากกว่านี้”
“มันสายไปแล้วเพื่อน แกคือคนที่ฉันรักมากที่สุด และแกก็คือคนที่ทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ แกต้องรับรู้ทุกอย่างที่ฉันได้รับ แกไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของฉันว่ามันอ้างว้างและโดดเดี่ยวเพียงไหน ฉันทิ้งชีวิตทั้งชีวิตเพื่อไปอยู่กับแก แต่แล้วแกเสียอีกที่เป็นคนขับไล่ฉัน ความผิดของฉันมันมากนักใช่ไหม จนแกลืมเลือนทุกอย่างได้ แกไม่ยอมรับฟังฉัน ถึงวันนี้แกต้องมาอยู่ที่นี่กับฉัน ในบ้านของฉัน ฉันจะไม่ให้ใครจากฉันไปอีกแล้ว”
“เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด กับคนที่ฉันรักมากอีกหนึ่งคน เท่านี้ก็พอฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”
“ไม่นะรัน เราอยู่คนละโลกกันแล้ว เราอยู่ด้วยกันไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันนี่แหละจะทำให้แกต้องอยู่กับฉันตลอดไป”
รันชรีก้าวมาหาเขาอย่างเชื่องช้า สองมืออันชุ่มไปด้วยเลือดของเขาบัดนี้ถูกมือเล็กๆ ของรันชรีฉุดขึ้นมา มันน่าแปลกที่เขาขยับกายได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้แม้แต่น้อย เขาได้แต่มองหญิงสาวอีกผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะนั้น
เขาก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน รันชรียังคงจูงมือเขาต่อไปที่ห้องนอน เมื่อเข้าไปภายในห้องเขาต้องตกใจอีกครั้งหนึ่งที่พบกิตตินอนอยู่บนเตียงนอน ด้วยร่างกายที่ซูบผอม หนวดเคราปกคลุมใบหน้า เขายังไม่ตาย ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบาของกิตติ ดวงตาคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมา ราวกับจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา
มันก็ไม่ต่างอะไรจากเขา ที่แม้จะขยับร่างกายได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้ รันชรีพาเขามานั่งที่โซฟาเล็กๆ ในห้องนั้น มันเป็นโซฟาที่เขาชอบนั่งเป็นประจำ เมื่อเข้ามานั่งพูดคุยกับเพื่อนเมื่อครั้งที่เคยมาเยือนบ้านหลังนี้
“เพื่อนรัก”
“คนรัก”
“ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ตลอดไป”
เหมือนถูกสาปให้เป็นหินหรือท่อนไม้ บัดนี้ร่างกายของเขามันช่างหนักเหลือเกิน ยากยิ่งนักที่จะขยับเขยื้อนได้อีกครา คงมีเพียงแต่รันชรีเท่านั้น ที่เดินวนเวียนอยู่รอบๆ ห้อง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแผดก้องอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายของชายทั้งสอง เริ่มมีของเหลวสีแดงสดซึมออกมา จนเปียกชุ่มไปทั้งตัว มันช่างทรมานเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกินกับบาดแผลเหล่านั้น
รันชรีมองภาพของคนทั้งสองด้วยความพึงพอใจ
“เจ็บไหมคะที่รัก” ใบหน้าซีดเซียวของรันชรีโน้มหาชายคนรักเกือบจะแนบชิด ดวงตาของกิตติเบิกโพลงด้วยความตกใจ แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถจะทำเช่นไรได้
“เป็นยังไงบ้างเพื่อนรัก” รันชรีละจากชายคนรัก แล้วเงยหน้าที่บัดนี้ก็อาบไปด้วยเลือดหันมาทางโชค สายตาแข็งกร้าวนั้นมองมาที่เขา เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง มันช่างเป็นใบหน้าที่สุดแสนจะสะพรึงกลัวเหลือเกิน
“ปล่อยฉันไปเถอะรัน” คำพูดจากใจของชายหนุ่ม
“แกกลัวฉันเหรอ ฉันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ฉันต่างหากที่ต้องกลัวพวกแก พวกคนใจร้าย รังแกคนที่ไม่มีทางสู้ อย่าคิดว่าจะไปจากฉัน แกต้องอยู่กับฉันตลอดไป”
โชคได้แต่กลอกสายตาไปมา บัดนี้แสงจากด้านนอกเป็นสีทองมันเล็ดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท คงจะเย็นมากแล้ว ชโลธรที่นอนนิ่งอยู่ชั้นล่างป่านนี้จะฟื้นหรือยัง แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป รันชรีจะทำร้ายชโลธรหรือไม่ ความรู้สึกห่วงที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาวที่ตนรัก