9 พฤษภาคม 2551 10:50 น.

กาลกิณีวีรบุรุษ

ศิวโรจน์

ผมถือกำเนิดในครอบครัวผู้ดีมีอันจะกิน   บ้านของผมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว   อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม   อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลาย   มีพื้นที่ให้พวกผมวิ่งเล่นได้อย่างเสรี 

                    ผมตัวเล็กที่สุดในบรรดาพี่น้อง   เป็นธรรมดาที่จะโดนรังแกอยู่บ่อย   ๆ   พวกเขามักจะคอยหาเรื่องไล่กัดผมไม่เว้นแต่ละวัน   ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน   ทำไมพี่   ๆ   ถึงได้รังเกียจผม 

                    ทุกครั้งที่แม่ไม่อยู่   ผมจะโดนเล่นงานเสมอ   วันนี้ก็เช่นกันผมโดนไล่ต้อนไปจนมุมที่โคนต้นมะม่วง   ได้แต่ภาวนาให้แม่กลับมาเร็ว   ๆ   แต่ดูเหมือนคำขอของผมจะไม่เป็นผลนะ   

                    ไง...ไอ้น้องนอกคอก...วันนี้เอ็งเสร็จแน่   พี่สามซึ่งเป็นหัวโจกตัวต้นคิดวิธีแปลก   ๆ   มารังแกผมร้องถามด้วยความสะใจ 

                    อย่าทำผมเลยนะครับ...พี่ใหญ่...พี่รอง...ผมเป็นน้องของพี่นะครับ   เสียงอ่อย   ๆ   ของผมกับเนื้อตัวที่สั่นเทาไม่ได้ช่วยให้พี่เกิดความสงสารแต่อย่างใด   พวกเขาหัวเราะลั่นด้วยความสนุกสนาน 

                    ฮ่ะๆๆๆ...น้องข้าน่ะไม่เคยมีตัวกาลกิณีอย่างแกหรอกเจ้าชิโร่   ถ้าไม่อยากเจ็บตัวแกรีบไปเอาของว่างมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้...ไป๊ 

                    ไม่ได้หรอก   อันนี้มันเป็นส่วนของผมกับแม่นะ 

                    แกกล้ามีปัญหาเหรอไอ้ตัวประหลาด   อยากเจ็บตัวใช่มั้ย...ได้...   ไม่ว่าผมจะพูดยังไงก็โดนอยู่ดีแหละครับ   พวกหมาหมู่ก็ยังเป็นหมาหมู่อยู่วันยังค่ำ 

                    แม่กลับมาบ้านพร้อมเจ้านาย   ดูท่าทางเจ้านายผมจะตื่นเต้นยินดีกับอะไรบางอย่างมา   ผมเห็นเธอหัวเราะอยู่ตลอดเวลา   พูดคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที   ไม่เว้นแม้แต่กับผม   ซึ่งปกติเธอไม่เคยสนใจผมมาก่อน 

                    น้ำเสียงปราณีที่เจ้านายมักจะพูดกับแม่และบรรดาพี่   ๆ   สองมือที่คงจะอบอุ่นน่าดูเวลาที่เธอลูบหัวเบา   ๆ   ผมรอวันนี้มา   นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ก็ว่าได้ 

                    วันนี้   ผมรู้แล้วล่ะครับว่าความรู้สึกที่วิเศษสุด   มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างที่ฝันไว้จริง   ๆ   

                    เธอดึงผมไปกอดด้วย...แม่เห็นไหม   เธอเลิกเกลียดผมแล้วฮะ   ไชโย...ผมรู้แล้วฮะ...ว่าความรู้สึกของอ้อมกอดนี่มันวิเศษอย่างนี้นี่เอง... 

                    มานี่สิชิโร่   แม่เรียกผมเข้าไปใกล้   ๆ   หลังจากที่เจ้านายและบรรดาเพื่อน   ๆ   ของเธอเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ได้ไม่นาน 

                    แม่พาเจ้านายไปไหนมาครับ   เธอถึงได้ดูมีความสุขมากมายขนาดนั้น 

                    เราไปกองประกวดมาจ๊ะ   วันนี้เป็นวันตัดสินรอบสุดท้ายและแม่ก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินั้นมาครองสมใจ   เจ้านายเธอถึงได้มีความสุขไงล่ะจ๊ะ 

                    เธอเลิกเกลียดผมแล้วใช่ไหมฮะ 

                      เธอไม่ได้เกลียดลูกหรอกจ๊ะ   อาจจะผิดหวังบ้างที่ลูกไม่เหมือนพวกพี่   ๆ   เขา 

                    นั่นสิฮะแม่...พวกพี่   ๆ   ชอบว่าผมเป็นตัวประหลาด   เป็นตัวกาลกิณี   ทั้ง   ๆ   ที่ผมก็เป็นลูกแม่เป็นน้องพวกเขาเหมือนกัน   ทำไมละฮะแม่   ทำไมไม่มีใครรักผม 

                    ความน้อยใจที่ผมซุกเอาไว้ในอก   มันทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นทุกวัน   ผมทนไม่ไม่อีกแล้ว 

                    ชิโร่...ฟังแม่นะลูก...หนูเป็นลูกแม่   เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์ประทานมาให้แม่   ลูกต้องอดทน   ไม่ว่าใครจะว่ายังไง   หนูก็ยังเป็นลูกรักของแม่เสมอ...จำเอาไว้นะ...ชิโร่ 

                    ทำไมละครับแม่   ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายอดทน   พวกเขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษผม   พวกเขาชอบรังแกผม...เวลาแม่ไม่อยู่   ผมโดนอะไรบ้างแม่รู้มั้ย   กะอีแค่สีขนกับสีจมูกไม่เหมือนกันเนี่ย   ผมผิดมากมายขนาดนั้นเลยเหรอครับ... 

                    ...สำหรับตระกูลโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ของเราน่ะลูก   ต้องมีจมูกสีดำหรือสีน้ำตาล   สีขนต้องเหลืองทอง   หรือสีน้ำตาลอมเหลือง   ไม่ก็น้ำตาลไหม้   มันถึงจะถูกต้องตรงตามตำรา   แต่เพราะขนของเจ้าเป็นสีขาวนวลจันทร์ไม่เหมือนใครในตระกูล   แถมจมูกก็เป็นสีชมพู   ถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงของสายพันธุ์เรา   แต่ถึงลูกจะเป็นยังไง   ลูกก็ไม่สามารถปฏิเสธสายเลือดโกลเด้นที่ไหลเวียนอยู่ในตัวลูกได้...จำเอาไว้นะชิโร่... 

                    ถ้อยคำปลอบประโลมของแม่เหมือนน้ำเย็น   ๆ   ที่ราดรดไฟในใจผม   ในเมื่อผมก็เป็นหนึ่งในตระกูล   ถึงจะเป็นตัวประหลาดสำหรับพวกเขาแต่สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายผมก็เป็นโกลเด้นร้อยเปอร์เซ็นต์   สิ่งที่พวกเขาทำได้   ผมก็ต้องทำได้เหมือนกัน... 

                    การปะทะกันระหว่างผมกับพี่   ๆ   ยังมีเป็นระยะ   ๆ   แต่พักหลังมานี่   พวกเขาเป็นฝ่ายวิ่งบ้างล่ะ   ผมพยายามฝึกซ้อมออกกำลังกาย   เลือกกินแต่อาหารที่มีประโยชน์   จนตัวผมเริ่มโต 

                    สี่เดือนผ่านไป   สำหรับบางคนอาจจะบอกว่ามันช่างรวดเร็ว   แต่สำหรับผมที่ต้องอยู่ท่ามกลางความกดดัน   คอยระวังตัวทุกฝีก้าวมันไม่ได้เร็วอย่างที่ใครเขาว่าเลย 

                    จุดหักเหของชีวิตผม   เริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่ง   ท่ามกลางสายลมอ่อน   ๆ   ผมเห็นผู้หญิง   ผู้ชาย   กับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก   เดินลงมาจากเจ้าสัตว์ประหลาดที่ส่งเสียงคำรามดังมาแต่ไกล   มันมีสี่ขาเหมือนผมนะ   แต่ทำไมขามันกลมน่าเกลียดอย่างนั้นก็ไม่รู้   ผมได้ยินพวกพี่เรียกมันว่ารถยนต์   เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนบนโลกใบนี้ 

                    นางฟ้าตัวน้อยเดินตรงเข้ามาที่ผม   รอยยิ้มอบอุ่นกับมือเล็ก   ๆ   ที่เอื้อมมาหามันสื่อความหมายแห่งมิตรภาพอันสดใส   มิตรภาพที่ผมเคยถวิลหามาเนิ่นนาน 

                    ผมยิ้มตอบความสดใสของเธอ   พยายามพูดจาด้วยภาษาง่าย   ๆ   กับเธอ   ซึ่งดูเหมือนเธอจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง   แต่ภาษาไม่ใช่สิ่งกีดกันมิตรไมตรี   หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว   ผมก็เดินนำเธอชมสวนอันร่มรื่น   พวกพี่ได้แต่มองตามเราสองคนด้วยความอิจฉา   ฮ่ะ   ๆๆ   ทีใครทีมันละกันพี่ 

                    ผมเคยได้ยินใครบางคนบอกว่า   เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ   ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความหมายของมันแล้วล่ะ   
เสียงเรียกหานางฟ้าของผมดังมาแต่ไกล   ปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาใต้เงาไม้อันร่มรื่น   เวลาแห่งการจากลาคงใกล้จะมาถึงแล้วสินะ   ผมได้แต่แหงนมองดูนางฟ้าตัวน้อยด้วยความเหงาหงอย   

                    ไปกันเถอะ   ชิโร่   แม่เราเรียกแล้ว   มือเล็กเอื้อมมาอุ้มผมลอยขึ้นจากพื้น   พาวิ่งเหยาะ   ๆ   กลับไปตามเสียงเรียกที่ดังใกล้เข้ามาทุกที 
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า   เจ้านายเดินยิ้มเข้ามารับตัวผมไปจากมือนางฟ้าตัวน้อยที่คงจะไม่อยากให้ผมลงจากอ้อมกอดเล็ก   ๆ   นั้น   และมันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับผมที่ไม่อยากลงจากอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นนี้เช่นกัน 

                    ส่งชิโร่มานี่เถอะจ๊ะ   ให้น้าอาบน้ำให้มันก่อน   แล้วเชอรี่ค่อยมารับตัวมันไป 

                    ได้ค่ะ   แต่คุณน้าต้องสัญญานะคะว่าจะให้ชิโร่ไปอยู่กับหนูที่บ้าน   เสียงต่อรองของสาวน้อยกับสาวใหญ่ดังขึ้นใกล้   ๆ   

                    ผมมัวแต่ตกตะลึงกับถ้อยคำที่เพิ่งได้ยิน   ผมจะได้ไปอยู่กับนางฟ้าตัวน้อยจริง   ๆ   ใช่ไหม   แล้วแม่ล่ะ   ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่คอยดูแล   ผมอยากไปนะ   แต่ผมไม่อยากจากแม่... 

                    ดูเหมือนแม่จะเข้าใจความวิตกกังวลของผม   สายตาอบอุ่นที่แม่มีให้ผมเสมอมา   มองสบกับสายตาสับสนของผมอย่างปลอบประโลม 

                    ไม่ต้องกลัวหรอกชิโร่...ถึงเวลาที่ลูกจะต้องออกไปเรียนรู้โลกภายนอกด้วยตัวของลูกเองแล้ว   มันเป็นไปไม่ได้ที่แม่จะคอยปกป้องลูกตลอดเวลา   ไปเถอะลูกรัก   ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน   หนูก็ยังเป็นลูกของแม่ตลอดไป 

                    ครับแม่   ผมจะสู้ครับ   ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังครับ   ลาก่อนฮะแม่... 

                    โชคดีจ๊ะลูกรัก...ดูแลตัวเองด้วย   เป็นเด็กดีนะลูก   เสียงแม่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของผมแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม   

                    บ้านหลังใหม่ของผม   อยู่ใกล้กับวัดแห่งหนึ่ง   คุณเชอรี่บอกว่าชื่อวัดโกโรโกโส   วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่   ผมพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่   ๆ   พยายามร่าเริงเพื่อไม่ให้คุณ   ๆ   เป็นห่วง   เมื่อมีเวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง   ผมมักจะคิดถึงแม่และพี่   ๆ   เสมอ   แม้ว่าความทรงจำดี   ๆ   ระหว่างพี่น้องแทบจะไม่ค่อยมีก็ตาม   แต่ผมก็คิดเสมอว่า   เราเป็นครอบครัวเดียวกัน 

                    จะมีใครจะรู้บ้างไหมว่า   ผมคิดถึงแม่และพี่   ๆ   มากเพียงใด   ผมได้แต่หวังว่า   สักวันคงจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่กับแม่และครอบครัวอีก 
ผมเริ่มออกสำรวจพื้นที่กับคุณเชอรี่   ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน   เธอพาผมมาวิ่งออกกำลังกายในบริเวณวัด   ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกหลายตัว   

                    ที่นี่ผมดูจะเป็นของแปลกสำหรับทุกตัว   แรก   ๆ   ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผม   ยกเว้นเจ้าจัมโบ้ขาโจ๋ประจำวัด   ที่คอยไล่กัดผมเวลาที่คุณเชอรี่เผลอ   ทีแรกผมก็นึกกลัวเจ้าจัมโบ้เหมือนกัน   ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตสมชื่อ   กับเขี้ยวขาววาววับ   มันทำให้ผมขาสั่นได้เหมือนกัน   

                    ตัวอื่นดูเหมือนจะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่   พวกเขาคอยสังเกตการณ์ว่าเมื่อไหร่เราสองตัวจะเปิดศึกกันซะที   แต่ผมจะยึดคำสอนของแม่เสมอ   ผมพยายามผูกมิตรกับจัมโบ้แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำเร็จนะ 

                    วันนี้เป็นวันพระใหญ่   คุณเชอรี่กับครอบครัวมาทำบุญกันที่วัด   เป็นธรรมดาที่ผมจะได้รับเกียรติให้มาด้วย   คุณเชอรี่บอกว่าวันพระใหญ่คนจะเยอะ   เพราะฉะนั้นผมจึงได้สิทธิแค่นั่งรอนอกศาลา   เธอเอาสายจูงผมไปผูกกับโคนเสาตันหนึ่ง   ก่อนจะเดินตามพ่อกับแม่เข้าไปในศาลา 

                    ผมนั่งชมนกชมไม้คอยคุณเชอรี่ไปตามเรื่อง   ใจจริงผมอยากไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายมากกว่า   ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลิน   ๆ   ประสาทสัมผัสอันดีเลิศของผมก็จับรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจากซอกมุมมืดใต้ถุนศาลาวัด   

                    สายตาอันเฉียบคมของผมรับภาพคู่ปรับคนสำคัญได้ในทันที   มันนอนแอบอยู่ข้างเสาต้นถัดไป   ให้ตายสิ   ลืมเจ้าจัมโบ้ซะสนิทเลย   สภาพที่ขาดอิสรภาพเช่นผมถ้าสู้กันจริง   ๆ   ผมต้องเป็นรองแน่นอน   ทำไงดีชิโร่   คิดสิคิด.... 

                    เสียงเห่าของสมาชิกก๊วนหลายตัวดังมาแต่ไกล   ผมคิดในใจวันนี้ยังไงเจ้าจัมโบ้ไม่ยอมปล่อยให้ผมลอยนวลแน่   แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ผมขนลุกชัน   บรรดาหมาหมู่นับสิบพร้อมใจกันรุมเจ้าจัมโบ้ที่ดูยังไงก็ไม่สามารถสู้ได้แน่นอน 

                    โอ้...ไม่...เลือดรักความยุติธรรมในกายผมวิ่งพล่านด้วยความลืมตัว   ผมกระโจนกระชากสายจูงขาดจากเสา   มารู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในวงล้อมคู่กับเจ้าจัมโบ้ซะแล้ว 

                    เฮ้ย...เอ็งไม่เกี่ยว...ถอยออกไปเจ้าเด็กน้อย   เสียงคำรามจากเจ้าตัวที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มดังขึ้น   ร่องรอยประวัติศาสตร์บนเนื้อตัวของมันบ่งบอกถึงความจัดเจนสังเวียนไม่น้อย 

                    คุยกันดี   ๆ   ไม่ได้เหรอพี่ชาย   เราก็พวกเดียวกันทั้งนั้นนะครับ   

                    ผมพยายามเจรจา   เพราะประมาณกำลังกันแล้วฝ่ายเราเสียเปรียบย่อยยับ   แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับฟัง   เมื่อตัวแรกกระโจนเข้ามา   ตัวอื่น   ๆ   ก็กระโจนตาม   ท่ามกลางความชุลมุน   ผมอาศัยความได้เปรียบเรื่องรูปร่างและความคล่องตัวกว่า   ไล่งับพวกหมาหมู่บ้าเลือดอย่างลืมตัวลืมตาย   

                    เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนบนศาลา   เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้การปะทะเมามันมากยิ่งขึ้น   สภาพผมกับจัมโบ้ตอนนี้ไม่ต่างจากหัวหน้ากลุ่มหมาหมู่เท่าใดนัก   ผมพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดจากแผลกัดบริเวณไหล่   รวบรวมพลังครั้งสุดท้ายกระโจนพรวดเดียวถึงตัวหัวหน้ากลุ่มก่อนจะหมุนตัวกลับงับคอหอยของมันอย่างรวดเร็ว 

                    เพราะความประมาททำให้มันพลาดท่าผมอย่างง่ายดาย   เมื่อจัดการกับหัวหน้าได้   พวกลูกน้องก็พากันกระเจิงล่าถอยออกไปคนทะทิศละทาง 

                    ตายแล้วชิโร่...เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย...พ่อขา...แม่ขา...ชิโร่เลือดไหล   เสียงตื่นตระหนกของคุณเชอรี่ปลุกผมให้หายจากอาการหน้ามืด   

                    ผมรู้สึกตัวอีกครั้งที่บ้านหลังจากที่หลับไปหลายชั่วโมง   นางฟ้าตัวน้อยนั่งหลับอยู่ข้าง   ๆ   ผม   มือเล็ก   ๆ   อบอุ่นของเธอยังคงเกาะกุมขาข้างหนึ่งของผมอยู่   สายใยเล็ก   ๆ   ที่เหนียวแน่น   ได้หลั่งไหลกันเข้ามายึดครองทุกอณูในหัวใจ   ความรักความเมตตา   ห่วงใยจากใจดวงเล็ก   ๆ   มันมีอนุภาพดีเยี่ยมมากกว่ายาสมานแผลเสียอีก   ผมอมยิ้มด้วยความสุขใจ   แม้จะรู้สึกแสบ   ๆ   ตรงไหล่อยู่บ้างก็ตามแต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกปวดแผลอีกแล้ว   

                    หลังจากแผลหาย   คุณเชอรี่ก็พาผมไปเดินเล่นที่วัดเหมือนเคย   ผมพยายามมองหาเจ้าจัมโบ้ด้วยความเป็นห่วง   วันนี้ผมทำตัวเกเรกับคุณเชอรี่   พาเธอวิ่งวนรอบวัดเพื่อจะตามหาเจ้าจัมโบ้   ดูเหมือนคุณเชอรี่จะทราบความต้องการของผม   เธอกระตุกสายจูงเป็นการประท้วงก่อนจะพาผมเดินลัดไปทางศาลาท่าน้ำหลังวัด 

                    จัมโบ้นอนซมอยู่ที่นั่น   บาดแผลหลายแห่งกำลังสมานตัว   ดูเหมือนมันไม่ได้เจ็บมากอย่างที่คิดแฮะ...คุณเชอรี่ปล่อยให้ผมเดินไปคุยกับมัน   ส่วนตัวเธอเดินไปนั่งเล่นริมแม่น้ำฆ่าเวลา 

                    เป็นไงบ้างจัมโบ้   เจ็บมากไหม 

                    แล้วเอ็งล่ะเป็นไงบ้าง   หายดีแล้วเหรอถึงได้มาซ่าแถวนี้ได้   น้ำเสียงของมันยังคงกวนประสาทอยู่เช่นเดิม   แต่ผมไม่อยากถือสา 

                    ไม่เป็นไรแล้วล่ะ   ว่าแต่นายไปมีเรื่องกะพวกนั้นได้ยังไง 

                    เรื่องมันนานแล้วว่ะ   ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะรอดกลับมาทวงความแค้นแบบนี้เลยประมาทไปหน่อย   แต่ก็ขอบใจเอ็งจริง   ๆ   ว่ะ   ไม่ได้เอ็งช่วย   ข้าคงสิ้นชื่อไปแล้วล่ะ 

                    ไม่เป็นไรหรอก   ฉันไม่ชอบเห็นใครถูกรังแกน่ะ 

                    มิตรภาพระหว่างผมกับเจ้าถิ่นผู้ครองอาณาเขตวัดกำลังงอกงาม   เราคุยกันหลายเรื่อง   ส่วนใหญ่ผมจะเป็นผู้ฟังที่ดีซะมากกว่า 

                    ตูม!!   

                    เสียงเหมือนมีอะไรตกน้ำดังขึ้นใกล้   ๆ   ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ   หัวใจหล่นหายทันทีที่มองไม่เห็นร่างน้อย   ๆ   ของคุณเชอรี่เจ้านายสุดที่รักของผมที่ควรจะนั่งอยู่ริมศาลาท่าน้ำ   ไวเท่าความคิดผมกระโจนลงไปในแม่น้ำทันที 

                    มือน้อยที่โบกชูอยู่กลางแม่น้ำทำเอาหัวใจผมเกือบวายด้วยความเป็นห่วง   ไม่น่าคุยเพลินจนลืมดูคุณเชอรี่เลย   รอผมก่อนนะครับ   ชิโร่กำลังไปช่วยคุณ 

                    จัมโบ้ส่งเสียงเห่าเตือนผมให้ระวังสายน้ำเชี่ยว   ทำให้หลวงพี่ที่กวาดลานวัดอยู่หันมามอง   ผมตะโกนเรียกคุณเชอรี่เสียงหลง   พยายามว่ายน้ำเข้าไปหาเธอ   จนในที่สุด   ผมก็คว้าได้ชายเสื้อของเธอ   ก่อนจะพาเธอตะเกียกตะกายพยายามว่ายน้ำกลับเข้าหาฝั่ง 

                    กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวได้ลดทอนกำลังของผมลงไปจนเกือบจะหมดแรงจมไปหลายครั้ง   กว่าจะพาเธอมาถึงฝั่งได้เล่นเอาผมแทบสิ้นใจ   

                    ผมจะมาอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด   วินาทีแห่งความเป็นความตายกำลังรออยู่   คุณเชอรี่หมดสติไปแล้ว   ถ้าไม่รีบช่วยเธอต้องแย่แน่   ๆ   ในน้ำนั่นไม่รู้เธอสำลักไปกี่อึก   ถ้าเธอเป็นอะไรไป   ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด   

                    ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะทำยังไงให้เธอฟื้น   หลวงพี่วิ่งมาถึงศาลา   แต่ด้วยความเป็นสมณะเพศ   ท่านไม่สามารถจับต้องตัวคุณเชอรี่ได้   ผมกับจัมโบ้ได้แต่ตะโกนเห่าเสียงดัง   จัมโบ้เห็นท่าทางร้อนรนของผมแล้วก็พยายามปลอบให้ผมใจเย็น   ๆ   

                    ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้...ใช่...ฉันจะช่วยเธอเอง...แม่เคยบอกฉันไว้ว่า   ตระกูลของเราต้องฉลาดเข้มแข็ง   

                    ผมบอกจัมโบ้ด้วยความมั่นใจ   ยังไงผมก็ต้องหาทางช่วยเธอให้ได้...ใช่แล้ว...ในเมื่อเธอกินน้ำเข้าไปเยอะต้องหาทางเอาออกมาให้หมด...นั่นเป็นความคิดที่ฉลาดที่สุดของผมในเวลานี้ 

                    ผมกระโดดขึ้นไปบนบริเวณอกของเธอ   กดน้ำหนักตัวพอประมาณ   ครั้งที่หนึ่ง   ครั้งที่สอง   ครั้งที่สาม   ได้ผลครับ   พอครั้งที่สี่   เธอสำลักน้ำออกมา   ก่อนจะลุกขึ้นมาไอตัวงอ   หน้าดำหน้าแดง   เธอร้องไห้เสียงดัง   มือน้อยเอื้อมมากอดผมไว้แน่นเนื้อตัวสั่นเทา 

                    ผมร้องไห้ด้วยความโล่งใจที่สามารถช่วยนางฟ้าตัวน้อยให้รอดพ้นจากอันตรายได้   ผมสัญญากับตัวเองว่า   จะไม่มีวันปล่อยให้เธอมีอันตรายอีก   ความรู้สึกที่หัวใจจะขาดเสียให้ได้ตอนที่มองลงไปเห็นเธอกำลังจะจมน้ำ   มันสอนผมว่า   ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ 

                    คุณเชอรี่ถูกห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปเล่นที่ศาลาท่าน้ำ   ส่วนผมก็ได้เจอกับความพลิกผันในชีวิตอีกครั้ง   ข่าวการช่วยชีวิตคุณเชอรี่ดังไปทั่วเมือง   ผมกลายเป็นฮีโร่   ที่ทุกคนกล่าวขวัญ   แต่นั่นไม่ได้ทำให้ลืมตัว   การได้ตอบแทนบุญคุณ   ความรัก   ความห่วงใยจากมือน้อย   ๆ   นั่นต่างหากเล่า   คือความภาคภูมิใจสูงสุดสำหรับผม 

                    ชีวิตตัวกาลกิณีของผมยังไม่จบแค่นี้นะครับ   หลังจากข่าวของผมดัง   ก็มีคนมาขอถ่ายรูป   เชิญผมและคุณเชอรี่ไปออกรายการต่าง   ๆ   มากมาย   วีรกรรมที่ผมทำครั้งนี้   ทำให้ผมได้รับรางวัลซุปเปอร์ด็อก   สาขาหมายอดกตัญญู 

                    วันนี้ผมได้ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้อย่างเต็มภาคภูมิ   สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจและประทับใจมิรู้ลืม...ภาพที่มันจะไม่มีวันลบเลือนไปจากใจผม...ภาพครอบครัวเล็ก   ๆ   ที่ยืนกอดผมด้วยความรัก   ได้แพร่ภาพไปทั่วทุกมุมโลก... 

...แม่ครับ....ลูกชายคนนี้ของแม่...คนที่เป็นข้อบกพร่องของตระกูล   ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้แล้วนะครับแม่...ไม่ว่าเวลานี้...แม่จะอยู่ที่ไหนมุมไหนของโลกใบนี้...โปรดได้รับรู้ไว้ว่า...ลูกแม่คนนี้....รักแม่ที่สุดในโลกครับ...ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่...ดีใจที่ได้เกิดมาในตระกูล   โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ครับ....ถึงผมจะเป็นกาลกิณี   แต่ผมก็เป็นกาลกิณีวีรบุรุษนะครับพี่...				
30 เมษายน 2551 15:33 น.

ภารกิจสุดท้าย

ศิวโรจน์

3:58 น. 
          ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลพิปูน 
          ร่างของสุภาพบุรุษชรานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ความเผือดของสีผิวแทบจะกลืนเป็นสีเดียวกับผ้าปูที่นอน ขัดกับสีหน้าและแววตาที่มองสบพวกเรา...ดูเหมือนท่านกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิตก็ว่าได้...
          ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงพัดลมเก่า ๆ ที่ผ่านการใช้งานมาหลายสมัย และยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปเรื่อย ๆ
          เอ่อ...คนไข้ไม่ไหวแล้วนะครับ 
          หมอใหญ่เข้ามากระซิบข้างหูพ่อ แต่...เสียงกระซิบท่ามกลางความเงียบสงัด มันดังพอที่จะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละคนที่ยืนรายล้อมเตียงสีขาวได้อย่างชัดเจน 
          อาต้อยเป็นคนแรกที่หลุดเสียงสะอื้นปริ่มว่าใจจะขาดออกมา อาแอ๊ด อาติ๋ว อาเจนและแม่หันมากอดกัน น้ำตาไหลอาบแก้มลูกทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่เข้มแข็งที่สุดอย่างพ่อกับอายุทธ
          ทำไมต้องหลั่งน้ำตา เพียงเพราะว่าพ่อจะพ้นทุกข์ด้วยล่ะลูกเอ้ย...
          น้ำเสียงเย็น ๆ ที่พวกเราได้ฟังจนชินหู เจนใจมาตลอดชีวิตดังขึ้นเบา ๆ พ่อรีบเข้าไปยืนข้างเตียง อาต้อยจับมือปู่ไว้แน่น ลูบแขนเหี่ยวย่นเบามือ
          พ่อครับ...พวกผมอยู่ตรงนี้ ลูก ๆ หลาน ๆ ก็อยู่กันตรงนี้แล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พวกเราจะดูแลแม่ จะดูแลกันและกันให้ดีที่สุด...
          พ่อสูดหายใจลึก พยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นสุดความสามารถ พ่อทราบว่าน้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคนต้องการหลักยึดเหนี่ยว และถ้าเวลานี้ พ่อล้มลงไปอีกคน ทุกคนก็คงจะเสียกำลังใจกันไปหมด

          03:59 น.
          ได้เกิดมาเจอเธอ...ก็ดีมากแค่ไหน...กับคนที่ใคร ๆ ว่าเลื่อนลอย...เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น ก่อนที่มันจะดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันรีบกดรับสาย ยกมือป้องปากเดินออกไปด้านนอกตรงสวนหย่อมของโรงพยาบาล พูดตอบปลายสายเบา ๆ เมื่อหน้าจอดิจิตอล ปรากฏเป็นชื่อกั๊ก
          ฮัลโหล...ถึงไหนกันแล้ว...เออ...ไม่ต้องรีบหรอก ขับรถดี ๆ ล่ะกัน ปู่ไม่เป็นไร...
          เฮ่อ...ค่อยโล่งอกหน่อย นี่ก็รีบจะแย่อยู่แล้ว ไปแวะรับพี่กั้งกับพี่นกที่แปดริ้ว แล้วก็เหยียบมาเต็ม ๆ เลย เจ๊ไม่ต้องห่วงนะ แล้วซันกับเดียวล่ะ ซนมากหรือเปล่า ฝากเจ๊ดูให้ด้วยล่ะ ผมจะรีบไป
          ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นี้นะ ขับรถดี ๆ อย่าหลับในระหว่างทางล่ะ บอกกั้งด้วยอย่าดื่มให้มากนักจะได้นั่งมาเป็นเพื่อนกัน...
          ฉันทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนข้างสวนหย่อม ลมโชยกลิ่นมะลิซ้อนหอมเย็นมาจากสวนเล็ก ๆ ที่จัดได้อย่างน่าดูชม ดอกไม้ทุกดอกเบ่งบานรับน้ำฝนที่ตกพรำไม่ยอมหยุด แมลงปีกแข็งหลายตัว พากันมาเล่นไฟอย่างมีความสุข
          ท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว ความมืดที่เป็นอมตะ มันเป็นสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด สำหรับฉัน ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทุกข์ทรมานไปกว่าการที่ต้องรับรู้ว่าอีกไม่กี่นาที ฉันจะไม่เหลือปู่ไว้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอีกแล้ว สู้ให้รู้ทีหลังซะยังจะดีกว่ามานั่งมองวาระสุดท้ายของท่านแบบนี้...
          ที่บ้านของเราเคยจัดงานมาสารพัด ไม่ว่าจะงานแต่ง งานบวช งานทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่ โกนผมไฟ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีงานศพ แล้วทำไม...ทำไม...ถึงหลีกเลี่ยงงานนี้ไม่ได้นะ...
          ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา นั่งนิ่งมองสรรพสิ่งรอบตัว ก่อนจะตัดสินใจลุกเดินเข้าไป...ไปเพื่อบอกลาปู่สุดที่รักของฉันเป็นครั้งสุดท้าย...

          04:00 น.
          น้องถึงไหนแล้วลูก กุ้งลองโทรเช็คลุงชัยกับอาเล็กสิว่าถึงไหนกันแล้ว ถ้าใกล้ถึงแล้วก็ให้ตามมาที่นี่เลย จะได้ทันปู่...
          อาแอ๊ดที่ยืนใกล้ฉันที่สุดเอ่ยถามออกมาเบา ๆ พวกเราส่วนใหญ่อยู่ที่นี่กันแล้ว เหลือกั้ง กับก้อง แล้วก็ครอบครัวของลุงชัย กะอาเล็กเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง
          ญาติพี่น้องมากมาย ที่หลั่งไหลกันมาเยี่ยม จนแน่นขนัด พยาบาลพยายามกันไม่ให้เข้าไปรบกวนคนไข้แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
          เณรสิทธิ์...เณรยุทธ...แอ๊ด...ต้อย...ติ๋ว เข้ามาใกล้ ๆ พ่อนี่ลูก เณรชัย กับเณรเล็กยังไม่มาใช่ไหม...
          เสียงแหบเครือของปู่ร้องเรียกให้ลูกทุกคนเข้าไปหา ฉันเห็นพ่อและอา ๆ น้ำตากลบตา ไม่ต่างอะไรกับหลาน ๆ ทุกคนที่ยืนรายล้อม ทุกคนรู้ดีว่าเวลาของปู่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งของปู่ จิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้ให้ของปู่ยังคงอยู่เต็มเปี่ยม ไม่เคยมีสักวันที่ปู่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
          ใกล้ถึงเวลาของพ่อเต็มทีแล้วลูกเอ๋ย...สิ่งสุดท้ายที่พ่ออยากจะขอจากลูก...อย่างเดียว...ขอให้...ช่วยกัน...สร้าง สวนมนุษย์ ต่อจากพ่อที
          สวนมนุษย์??!!! 
          เสียงทวนคำด้วยความสงสัยของใครบางคน จุดประกายรอยยิ้มบนใบหน้าซีดเผือดของปู่อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเลือนหายไป แทนที่ด้วยคำอธิบายสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า...
          ที่ผ่านมา...ไม่ว่าใครจะคิดสร้างสวนยาง สร้างสวนผลไม้ ซื้อไร่ ซื้อนา สร้างโรงสี หรือเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเยอะแยะมากมายขนาดไหน แต่สิ่งเดียวที่พ่อสร้างและได้สร้างมาตลอดก็คือ สร้างสวนมนุษย์ พ่ออดทนส่งพวกเจ้าทั้งเจ็ดคน...ให้ได้เรียนจนจบ...จบปริญญาตรีห้าคน...ปริญญาโทคนหนึ่ง...อีกคนก็กำลังเรียนต่อปริญญาโท...พวกเจ้าได้รับราชการเป็นข้ารับใช้แผ่นดินถึงหกคน แม้อีกคนแยกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่เงินภาษีที่ติ๋วจ่ายให้ประเทศชาติปีหนึ่งก็ไม่น้อย...และที่สำคัญลูกทุกคนเป็นคนดี...นี่คือสวนมนุษย์รุ่นแรกที่พ่อภาคภูมิใจที่สุด...
          ปู่หยุดพักเหนื่อย หลังจากที่พยายามพูดประโยคยาว ๆ ที่ทุกคนไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้ว ย่านั่งน้ำตาซึมไม่ยอมห่างเตียงปู่ มือผอมบางของย่าวางอยู่ข้างไหล่ปู่เสมอ เป็นภาพที่พวกเราเห็นบ่อยตั้งแต่ปู่ไม่สบายมาจนถึงวันนี้...นาทีนี้...
          น้องต้น เรียนจบปริญญาตรี แต่งงานมีหลักมีฐาน ไอ้กุ้งได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นสามปี กลับมามีงานมีการเงินเดือนดี เจ้ากั้งจบปริญญาตรี มอ.ปัตตานี เจ้ากั๊กจบก่อสร้างมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ ยังเหลือ ไอ้กิ๊ฟ ไอ้ก็อบ ไอ้เทียนหยด เจ้ากาย เจ้ากร ในรุ่นหลาน กับน้องเดียว น้องซัน น้องเนย น้องแยม ในรุ่นเหลนที่ต้องฝากให้ทุกคนสร้างกันต่อไป...

          04:01 น.
          ความเงียบปกคลุมทุกพื้นที่ของห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ อีกครั้ง ฉันมองผ่านม่านน้ำตาออกไปนอกประตู ลุงชัย ป้าต้อย พี่ต้น พี่เจี๊ยบ อาเล็ก และอาสำเริง กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา... 
          คราบน้ำตาที่ค้างคาบนใบหน้าของลุงชัย ลูกชายคนโตของปู่ น้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่เคยมีใครได้เห็น แต่...มันกำลังหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย...
          ทุกคนเข้ามากราบเท้าปู่ อาเล็กจับมือปู่ขึ้นไปวางไว้เหนือหัว ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกมายืนข้างอายุทธ
          นี่ถ้าพ่อไม่ใกล้ตาย ก็คงไม่ได้เห็นลูกหลานเหลน มาหาพร้อมหน้ากันอย่างนี้ใช่ไหมเนี่ย...
          น้ำเสียงปราณีติดตลก เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนถอยออกไปยืนรายล้อมรอบเตียงแล้ว
          สวนมนุษย์รุ่นต่อไปกำลังรอสองมือของลูกทุกคนโอบอุ้ม ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะเหนือกว่าความดี และความรู้ที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต สวนมนุษย์ที่พ่อได้ปลูก ได้สั่งสอน ได้สร้างขึ้นมาด้วยสองมือของพ่อและแม่นั้น ลูกทั้งเจ็ดคน จงรับเอาไปสานต่อ ขยายสวนของเราให้กว้างใหญ่ไพศาล ทรัพย์สมบัติที่พ่อมีให้ลูกคือความรู้และหน้าที่การงานเท่านั้น จงสร้าง และสะสมความดีไว้กับตัวนะลูกนะ
          เหมือนสายฝนเย็นฉ่ำที่ราดรดลงกลางใจของพวกเราแต่ละคน ช่วยชะล้างความเหนื่อยล้าออกจากหัวใจ ชีพจรปู่เต้นแผ่วเบาลงทุกที แต่สีหน้ามีความสุข และกำลังใจจากลูกหลาน ช่วยให้ปู่ยังสามารถพูดคุยกับพวกเราได้เป็นปกติ
          เทียนหยด น้องกิ๊ฟ น้องก๊อบ ยืนกอดกันร้องไห้เงียบ ๆ ตรงปลายเตียงปู่ ฉันกอดน้องเดียวกับน้องซันไว้คนละด้าน พูดปลอบลูกกับหลานเบา ๆ ไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนคุณทวด ทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ทั้งที่เป็นเด็กช่างซัก แต่วันนี้ สองมือน้อย ๆ ของลูกชายที่เอื้อมมาป้ายเช็ดน้ำตาจากแก้มฉัน เป็นภาพที่สะกดทุกสายตาของบรรดาญาติ ๆ ก่อนที่เสียงสะอื้นจะดังระงมขึ้นอีกรอบเพราะถ้อยคำไร้เดียงสาของลูกชายสุดที่รักของฉัน...
          แม่กุ้งร้องไห้ทำไม โอ๋ๆๆ นิ่งนะ คุณทวดไม่เป็นอะไรสักหน่อย คุณทวดยังสอนพวกเราได้เลย...เดี๋ยวคุณทวดก็กลับบ้านได้แล้ว เราจะได้ไปเล่นสงกรานต์กันไง...แม่กุ้งอย่าร้องนะ

          04:02 น.
          ...ได้เกิดมาเจอเธอ...ก็ดีมากแค่ไหน...กับคนที่ใคร ๆ ว่าเลื่อนลอย...เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ฉันกดรับและพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับน้ำเสียงให้ฟังดูสดใสสุดชีวิต
          ฮัลโหล...ถึงแล้วเหรอ...อือ...เดี๋ยวเจ๊ออกไปรับ
          เจ๊มีร่มหรือเปล่า ข้างนอกฝนตกหนักเหลือเกิน พวกผมไม่ได้เอาร่มติดมา
          จ๊ะ รอเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวเจ๊เอาร่มไปรับนะ
          ฉันกดปิดสัญญาณการติดต่อ ลุกไปบอกพ่อว่ากั้งกับกั๊กมาถึงแล้ว พ่อพยักหน้าบอกให้ฉันรีบออกไปรับน้อง ๆ 
          แม่เข้ามากอดน้องซันกับน้องเดียว ขณะที่ฉันคว้าร่มสามคัน สาวเท้ายาว ๆ เดินลงบันไดเตี้ย ๆ ไปที่ลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล
          น้ำฝนที่ตกลงมาช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยของหยาดน้ำตาบนใบหน้าฉันได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ฟ้องชัดเจนจนน้องชายสองคนสงสัยก็คงเป็นเพราะ ดวงตาอันแดงช้ำของฉันนั่นเอง
          เจ๊แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร ปู่ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย แค่ไม่สบายธรรมดาใช่ไหม
          เจ้ากั๊กที่ความรู้สึกไวเป็นพิเศษเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ทุกคนลงรถ รับร่มและเดินกลับมาทางเก่าที่ฉันเดินผ่านมาเมื่อสักครู่
          เปล่าซะหน่อย รีบเดินเหอะ ปู่รอพวกนายอยู่แน่ะ
          น้องชายสองคนทำหน้าสงสัย...เมื่อมาถึงหน้าห้องปู่ เจ้ากั้งกระซิบถามฉันด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว แฝงความลังเลไม่แน่ใจ ฉันมองตอบน้องด้วยน้ำตานองหน้า แค่นั้นทั้งสองก็รีบเปิดประตูเข้าไปกราบแทบเท้าปู่ทันที
          ปู่ครับ กั้ง กับกั๊กมาแล้วครับ ปู่หายเร็ว ๆ นะ จะได้กลับไปบ้านให้ลูกหลานอาบน้ำสงกรานต์ไงล่ะครับ
          มาแล้วเหรอ เจ้ากั้ง เจ้ากั๊ก...ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ได้รดน้ำปู่แล้วล่ะลูกเอ้ย...อย่าลืมนะลูก เราต้องเป็นคนดี เราต้องทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เราต้องเจริญรอยตามพ่อหลวงของเรานะลูกนะ...
          พ่อ...คิดถึงพระนะพ่อนะ...ตั้งนะโมนะพ่อนะ ไม่ต้องห่วงพวกผม ไม่ต้องห่วงแม่ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น สิ่งที่พ่อสร้างมาตลอดชีวิตพ่อ พวกผมจะสานต่อให้เอง ผมรับรองว่าจะขยาย สวนมนษย์ ของพ่อให้ยิ่งใหญ่ที่สุดครับพ่อ...
          ลูกทั้งเจ็ด เขยสะใภ้ หลานทั้งเก้า กับเหลนอีกสี่คน ก้มลงกราบแทบเท้าปู่ บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปจากใบหน้าซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยความสุขของปู่...
          สุภาพบุรุษชราได้จากพวกเราไปอย่างสงบเมื่อเวลา 04:03 น. การจากไปที่ไม่หวนกลับ เหลือเพียงคำสั่ง ภารกิจสุดท้ายที่ปู่ฝากไว้ให้พวกเรา นั่นคือ การสร้างสวนมนุษย์...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิวโรจน์
Lovings  ศิวโรจน์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิวโรจน์
Lovings  ศิวโรจน์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิวโรจน์
Lovings  ศิวโรจน์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงศิวโรจน์