23 กันยายน 2549 00:21 น.

ถ้าฉันเป็นเศรษฐี...

ศิลปินป่า

....ดึกนี้เศรษฐีได้ตื่นแล้ว
...ลุกมานั่งสำรวจแก้วมณีบนสวรรค์
....ประมาณว่าล้วนของข้ามันทั้งนั้น
....ชื่อแจ่มจันทร์และดวงดาว
.....จะจ้างเทวดามาปรุงอากาศ
...ปั่นบริสุทธิ์สะอาดไว้กลางหาว

จะเจียระไนน้ำค้างที่พร่างพราว
มิให้ร้าวหมองต้องอินทรีย์
ปลูกมิ่งไม้หลากหลายภูผา
จักสั่งฟ้าให้อุ้มฝนรดเต็มที่
กะจะสั่งรดกันแรมแรมปี
ให้มิ่งไม้กกกอนี้ขจีทั่วไพรวัน
  
....ลุกตื่นฟื้นชีพมานั่งนับ
.....เห็นเดือนดับสะดุ้งสะท้านไหว
.....เอะอะตะโกนใครเอาดาวข้าไป
....เทพยดาองค์ไหนให้นำมาคืน
.....กระทืบเท้าดันไปตำเอากะหิน
...ก้อนดวงดาวบิ่นร่วงหล่นมาแต่หนไหน
...เศรษฐี...ยิ้มเหมือนคนที่ไม่มีอะไรที่เสียไป
....เพียงก้อนดาวยังไฉน...มิให้คน

...ตะโกนเรียกนางฟ้ามาบ้วนปาก
.....ถุยกะขากใส่กระโถนป่านสถุล
....นางฟ้ารับใช้เพราะให้ทุน
...น้ำสถุลเศษกักกากมิต่างทอง
....ยื่นผ้าหยิบแป้งประพรหมร่าง
....ทาสรรพางค์ลบลายที่กายหมอง
....ล้างตีนต่างเท้าค่อยประคอง
....หน้าจองหองใจจริตมิปริคำ


...เศรษฐีสั่งเทวดาให้ส่องฉาย
...บอกให้ส่องกายจำเพาะในที่ที่
....กำหนดสั่งฟ้าสั่งตะวันที่เขามี
....บอกให้ชี้ให้ส่องเพียงร่างเดียว
.............
................................ผมไม่สบายจามจนสมองตันตื่อไปหมดเอาแค่นี้ก่อน
...อยากนั่งเขียนถึงเศรษฐีผู้ที่มีอันจะกินผู้กำหนดข้าทาสบริวารด้วยเทพดานางฟ้าในห้วงสวรรค์ชั้นดุสิตดาลัยได้....เปรียบเสมือนหนึ่งปัจเจกชนผู้ที่มากด้วยทรัพย์ศฤคารทั้งหลาย...มีมากล้นจนกินกันไม่รู้สิ้นสุดรุ่นไหนต่อไหน
....ทำให้มานึกถึงคำว่า...พอ
....ทำไมนะคนเรามักจะตีราคาค่าชีวิตตนวัดความสุขกันด้วยอัตราดอกเบี้ย
....มีหน้ามีตากันด้วยเงินทองและความมั่งคั่งที่มาโดย...ต้องมลทินมิสะอาดเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาหากินกับผู้ด้อยปัญญาที่ยากไร้
ตักตวงคนที่เขลาด้อยปัญญามาไว้รับใช้
ปฏิโลมคำหวานหลอกล่อกลลวงกับโคนันทวิศารเขาสูบเขาดื่มด่ำแสวงผลที่ไร้ประโยชน์ที่มักจะเสวนาสบถออกจากปากเสมอว่ามีธรรมะอุปมาอุปมัยเปรียบเปรยอุบายหอมหวานจากปากลมลวง....ว่ารู้ซึ้งธรรมะขั้นสูงอุตริอวดคำอ้างหยิบยกพระผู้มีประภาคเจ้ามาอ้างเสมอ
ข้าผู้น้อยประดุจแมงป่อง...ที่เมาสุราเพียงน้อยนิดอุตริไปรู้ซึ้งแผ่นฟ้าห้วงสวรรค์ชั้นสูงมากเท่าไหร่
มันก็แค่แมงป่องที่เดินชูหางทะนงตนว่ามีฤทธิ์กล้า...อย่าคิดมาต่อกร
ปล.........วันนี้สมองสับสนไม่สบาย
อักษรไร้ทิศทาง........แต่หัวใจยังไม่ไร้เป้าหมายที่ยังเดิน				
20 กันยายน 2549 01:24 น.

ปลดแอกแบกเป้

ศิลปินป่า

....ณ..ดินแดนอันไกลโพ้นบ้านเมืองไร้ซึ่งกติกามิมีระเบียบ
...ขาดแคลนน้ำกระจิตมิตรใจ...
.....เหมือนบ้านเมืองที่ไกลปืนเที่ยงความจำเริญที่มิเคยเข้าถึง
.....มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าของอาจมของผู้คนที่คิดว่ามีอำนาจในการบริโภคสวาปาม
...มันเป็นเหมือนอสูรกายร้ายในร่างคน...สูบกัดกินก้อนเลือดก้อนเนื้อที่มีเพียงน้อยนิดของผู้คนที่หาค่ำกินเช้า....เป็นการบริโภคดูดดื่มกลืนทานกันอย่างมิเคยลืมตาเปิดหู...ตะกละตะกรามประดั่งผีร้ายในร่างคนประดุจซากอสุภะเดินได้...ไร้ใจ...กินกันมูมมามมิมีเผื่อแผ่มีแต่ตักตวงกอบโกยในส่วนที่ตัวที่จะกอบหรือกำได้แม้นว่า...ล้นฝ่ามือที่มีอยู่...กินกันอิ่มท้องเพียงจำเพาะบ้านเขา
เอร็ดอร่อยอิ่มสุขกันเพียง...ครอบครัวเดียว...ในท่ามกลางความหิวโหยอันแสบไส้แทบจะลากขดไส้ออกมานับกองไว้ตรงหน้า...ร้องกันครวญครางร้องกุมท้องล้วนไส้กิ่ว...กลืนกินเพียงลมลวงที่มักจะเชื่อ...หรือหลุดจากปากผู้ที่มักบอกเสมอว่าข้าคือผู้นำ....ผู้นำให้ความอิ่มท้อง...ผู้นำความสมบรูณ์พูนสุข....ผู้นำความสุข.........ล้วนแต่มิใช่เลย...เขาคือผู้นำ...ผู้นำความหายนะวิปโยค...ผู้นำพาความแปลกแยกแตกต่างในความคิดผ่านสมอง...ล้วนสร้างภาพลวงตาด้วยความที่คิดว่า...ชีวิตนี้ข้าคนเดียวที่จะครอบครองจักรวาล
บัดนี้......ณ...ดินแดนมิคสัญญี...ที่เคยมืดมิดทางหัวใจของฝูงชนที่ต้องมนต์สาปทางมายาเจ้าเล่ห์เพทุบายอันแสนอัปยศ....เจ้าไร้เงา...ไร้บ้าน...ไร้แผ่นดินนอนตาย.....เวรกรรมกำลังตามเจ้ามาถึงแล้ว...มาไวโดยมิต้องรอถึงชาติหน้าเลย
               ท่ามกลางความโกลาหลนี้....พรางเขียวขี้ม้า....หมวกเหล็กพร้อมด้วยตีนตะขาบส่งเสียงฮึกเหิม...สมแล้วกับคำว่า...ทหารกล้า...กล้าที่จะยืน
                       เคียงข้างประชาชน.....ดีใจที่รั้วยังเป็นรั้วไออุ่นของปลายปืนมันช่างหอมหวาน....ห่ากระสุนคงเหมือนปุ๋ยที่ราดรดแผ่นดินที่บอบช้ำมานานแสนนาน
...............พอกันทีกับคารมที่หอมหวานนโยบายที่เกลือกกลิ้ง
...........วันนี้มันคือบทพิสูจน์...ค่าของคนโดยแท้
.......................สุขใจที่ได้เห็นปลายปืน......วันนี้ประชาชนพร้อมที่จะยื่น....ดอกกุหลาบเสียบไว้สวยงามแท้ๆ....
............หอมกลิ่นไอประชาธิปไตย...สุขใจที่ได้แผ่นดินของเราคืนมาอีกที				
15 กันยายน 2549 09:31 น.

ปรารถนา...ของหยาดน้ำค้าง

ศิลปินป่า

ในท่ามกลางความเหน็บหนาวที่กัดกร่อนผนังอารมณ์...
     มีใยบุเยื่อแก้วของหัวใจ...ที่ยังสั่นไหวไปกับความหนาวเหน็บที่สัมผัสถึง....ความยะเยือกของความหนาวเย็นที่ไปจอดหยุดนิ่ง...ที่สุดปลายของหัวใจ
     มันเป็นประหนึ่ง...การรำพึงรำพันของหยาดน้ำค้าง...หยดหนึ่ง
      ที่ปรารถนาหยิบเอื้อมดวงดาวที่สกาวสุกใสบนฟากฟ้าสูงส่ง
  มันเป็น...ความฝัน
  มันเป็น...ความหวัง
  มันเป็น....ความปรารถนา
      ถึง..แม้นว่า...สุดเอื้อมของมือที่เหยียดมิเคยถึง...สักที
     ความฝัน...มันการที่ฝัน..อย่างหรูเลิศอลังการแบบอหังการ์.....ฝันคงค้าง
     ความหวัง....มันเป็นการที่หวัง...อยู่อย่างลำพังที่ยังพึงพอใจ....หวังลมๆแล้งๆ
    ความปรารถนา...มันเป็นตัวการ..ของทุกๆสิ่งในมวลอนูธาตุ...ที่มิเคยลืมลับ
ยังคงปรารถนา-อาวรณ์ถวิลมิวาย..ประหนึ่งธาตุที่ก่อตัวจับสถิตย์สิง...ภายใต้อารมณ์...ที่แม้นมิอยากรับรู้...........ก็มิต่างแลประหนึ่ง.....ภวังค์
          ปลายสุดแห่งห้วงอารมณ์....ทำได้เพียง...ความว่างเปล่าที่มิเคยสัมผัสจับต้องได้เลย..รู้สึกสัมผัสได้เพียงลมและความว่างเปล่าเสมอ......
        
        
      ไกลโพ้นสุดขอบฟ้า...ดวงตาดวงดาวคู่หนึ่งจ้องมอง...ในความเวทาหยาดน้ำค้าง
เจ้านี่ช่างมิรู้ตัวเสียยิ่งประไร.....ข้าสาดส่องไออุ่นในยามค่ำคืนเพื่อเจ้าจะได้หลับไหล
....เจ้ากลับคิดเอื้อมลากตัวข้าผู้ทรงศักดิ์...สูงชั้นลงไปเกลือกกลั้วอะตมอาจมเบื้องล่างฉะนั้นหรือ
................ดวงดาวสบถในใจ...อย่างเหยียดหยามผู้ด้อยต่ำต้อย..อย่างหยาดน้ำค้างหยดน้อยเบื้องล่าง
.......เสียงดวงตาที่รำพึงรำพัน...กลับดังก้องไปทั่วห้วงสวรรค์ชั้นดุสิตราลัยก้องกังวาลประหนึ่งเสียงฟ้าฟาด...หล่อราดรดลงมากระทบ...เจ้าหยาดน้ำค้าง
......มันเหมือนเส้นสายอสุนีบาต...ที่มิมีการนับค่าประจุของไฟ...ฟาดลงมากลางอก
....จ่อตรงหัวใจอย่างมิเคยสัมผัส...เสียใจหรือเปล่า...ก็ไม่
หยาดน้ำค้าง...กลับยิ้มอย่างสุขใจ....พึงใจ....นอนหลับตาพริ้มประดุจว่าสุขเหลือเกิน..มิเคยคิดจะต่อว่าดวงดาว..มิเคยที่จะโต้ตอบจันทรา...มันกลับยิ้มเงียบๆนัยต์ตามีประกายวับวาว............เพราะสิ่งที่ดวงดาวตอบโต้หยาดน้ำค้างมานั้น
        ดวงดวงมิได้รับรู้เลยว่า...............สิ่งที่น้ำค้างประสงค์....
                            ได้ให้คำตอบ...........มาแล้ว
                                       มันเป็นแค่.............ความปรารถนา
                                               ใช่ว่า...........ความปรารถนาแห่งห้วงอารมณ์..ไฉน				
14 กันยายน 2549 10:01 น.

ไอดิน-กลิ่นทุ่ง

ศิลปินป่า

....ยามเช้าวันใหม่วันนี้....เงียบเหงา.....โลกนี้ช่างหนาวราวไร้หญิง
....เงียบเงียบหงอยเหงา...กับบรรยากาศ..แห่งการชะโลมดินของพระพิรุณ
...ตะวันอับแสง..มิสามารถสาดส่องผ่านลอด...ลงมาถึง...พสุธา
...บรรยากาศสดชื่น...ร่างกายกระชุ่มกระชวย...จำเพาะร่างกายภายนอก
....ฝนรินรินหยดหยาด...ปรอยปรอยมิขาดสาย..กับเช้าวันนี้
...สายฝนคงกำลังรอแสงตะวันเช่นเดียวกัน...ถ้าแสงสาดส่องกระทบสายฝน
...มันก็เกิดประหนึ่ง...สายสีทองส่องสาดราดลงมาจากฟากฟ้าเสมอ
กรองยองใย...ฝันสีทอง....ละอองรสสุคนธ์ปนรุ้งแก้ว
...ทอผ้าทิพย์ลายพราวแพรว...หนาวแล้วไว้ห่มเจ้าโอมร่างวิญญาณฯ...
....นึกถึงความหลังเก่าก่อน...ไอดินกลิ่นท้องทุ่งมันช่างหอมละมุนละเมียด
....ป่าเขาเย็นยะเยือก...กองฟางวางเรียงราย..ในพื้นดินผู้ก่อกำเนิดเลี้ยงดู
....วัวควาย...เดินและเล็มยอดหญ้าที่ชูคอ...ด้วยรสชาดที่ละเมียดลิ้นเอร็ดเจืออร่อย....ของยอดหญ้าที่เจือน้ำฝนชะโลม....เพื่อการกลืนลื่นคอ
ปูปลาหอยเจอน้ำฝน...ต่างออกมาร่ายรำร้องเพลง....ทำเอาวังเวงกันไปทั่วท้องทุ่ง
แต่สายตาของดาวดาวมักมอง...พื้นพิภพโลกอย่างริษยา....ในวันที่ฝนหลั่งตะวันป่านนี้คงยังมิตื่นเป็นแน่............แสงเจ้ายังมิเห็นมาเยือน
เจ้าคงเร่ร่อนไปนอนกับก้อนเมฆไหนหนอ.....
อิจฉาเทวดา....ริษยานางฟ้า...พวกท่านคงมิรู้ร้อนรู้หนาว...ดั่งทิพย์แก้ว..
...ผู้ข้า...ผู้ด้อยมีเพียงธุลีธาตุในอากาศ...ไว้หายใจ...ในเมืองหลวงที่อันสับสนวุ่นวาย
คราคร่ำผู้คนที่ล้วนกระวีกระวาด...ทำมาหายาไส้...เพียงเพื่ออิ่มหมีพีกูของกู...มิเคยเห็นจะอิ่ม...หมีพีมันตรงไหน
....เห็นฝนหลั่งริน...ทำให้นึกไปสะท้อน...ถึงท้องทุ่งบ้านเกิด...ชนบทแดนไกล...ที่จากมานาน
คิดถึง....แม่ผู้ที่ให้ชีวิต-ให้ปัญญา-ให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยหมดเลยที่...แม่จะให้..สำหรับคนที่ได้ชื่อว่า...ลูก...
ไอดิน...ชนบทที่ห่างไกล...วิถีมั่งคั่งความเจริญเข้าถึง...มันช่างสงบ...วิถีนิ่งอริยาบทพอเพียง...มีแต่ความไมตรีมิมีชิงดีชิงเด่น
อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง....เดินเด็ดยอดกระถินริมรั้ว...จิ้มน้ำพริกยามเช้า...หาใช่ยอดเมฆที่เทวดาปลูกสร้างไว้เลย
ยอดผักที่ไร้สารเกาะกัดกอด...มิเหมือนเมืองที่ว่าศิวิไลซ์...น้ำใจหดหาย
ฝูงชนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวด...ในหัวสมองที่คิดมองกันเพียงตัวเลข.....
.............กำหนดสังคม........กันด้วย.........ตัวเลขความเจริญทางเศรษฐกิจ....
.................................กันปีต่อปี......
......................................................คิดถึงบ้านเหลือเกินครับ				
14 กันยายน 2549 09:52 น.

ไอดิน-กลิ่นทุ่ง

ศิลปินป่า

....ยามเช้าวันใหม่วันนี้....เงียบเหงา.....โลกนี้ช่างหนาวราวไร้หญิง
....เงียบเงียบหงอยเหงา...กับบรรยากาศ..แห่งการชะโลมดินของพระพิรุณ
...ตะวันอับแสง..มิสามารถสาดส่องผ่านลอด...ลงมาถึง...พสุธา
...บรรยากาศสดชื่น...ร่างกายกระชุ่มกระชวย...จำเพาะร่างกายภายนอก
....ฝนรินรินหยดหยาด...ปรอยปรอยมิขาดสาย..กับเช้าวันนี้
...สายฝนคงกำลังรอแสงตะวันเช่นเดียวกัน...ถ้าแสงสาดส่องกระทบสายฝน
...มันก็เกิดประหนึ่ง...สายสีทองส่องสาดราดลงมาจากฟากฟ้าเสมอ
กรองยองใย...ฝันสีทอง....ละอองรสสุคนธ์ปนรุ้งแก้ว
...ทอผ้าทิพย์ลายพราวแพรว...หนาวแล้วไว้ห่มเจ้าโอมร่างวิญญาณฯ...
....นึกถึงความหลังเก่าก่อน...ไอดินกลิ่นท้องทุ่งมันช่างหอมละมุนละเมียด
....ป่าเขาเย็นยะเยือก...กองฟางวางเรียงราย..ในพื้นดินผู้ก่อกำเนิดเลี้ยงดู
....วัวควาย...เดินและเล็มยอดหญ้าที่ชูคอ...ด้วยรสชาดที่ละเมียดลิ้นเอร็ดเจืออร่อย....ของยอดหญ้าที่เจือน้ำฝนชะโลม....เพื่อการกลืนลื่นคอ
ปูปลาหอยเจอน้ำฝน...ต่างออกมาร่ายรำร้องเพลง....ทำเอาวังเวงกันไปทั่วท้องทุ่ง
แต่สายตาของดาวดาวมักมอง...พื้นพิภพโลกอย่างริษยา....ในวันที่ฝนหลั่งตะวันป่านนี้คงยังมิตื่นเป็นแน่............แสงเจ้ายังมิเห็นมาเยือน
เจ้าคงเร่ร่อนไปนอนกับก้อนเมฆไหนหนอ.....
อิจฉาเทวดา....ริษยานางฟ้า...พวกท่านคงมิรู้ร้อนรู้หนาว...ดั่งทิพย์แก้ว..
...ผู้ข้า...ผู้ด้อยมีเพียงธุลีธาตุในอากาศ...ไว้หายใจ...ในเมืองหลวงที่อันสับสนวุ่นวาย
คราคร่ำผู้คนที่ล้วนกระวีกระวาด...ทำมาหายาไส้...เพียงเพื่ออิ่มหมีพีกูของกู...มิเคยเห็นจะอิ่ม...หมีพีมันตรงไหน
....เห็นฝนหลั่งริน...ทำให้นึกไปสะท้อน...ถึงท้องทุ่งบ้านเกิด...ชนบทแดนไกล...ที่จากมานาน
คิดถึง....แม่ผู้ที่ให้ชีวิต-ให้ปัญญา-ให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยหมดเลยที่...แม่จะให้..สำหรับคนที่ได้ชื่อว่า...ลูก...
ไอดิน...ชนบทที่ห่างไกล...วิถีมั่งคั่งความเจริญเข้าถึง...มันช่างสงบ...วิถีนิ่งอริยาบทพอเพียง...มีแต่ความไมตรีมิมีชิงดีชิงเด่น
อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง....เดินเด็ดยอดกระถินริมรั้ว...จิ้มน้ำพริกยามเช้า...หาใช่ยอดเมฆที่เทวดาปลูกสร้างไว้เลย
ยอดผักที่ไร้สารเกาะกัดกอด...มิเหมือนเมืองที่ว่าศิวิไลซ์...น้ำใจหดหาย
ฝูงชนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวด...ในหัวสมองที่คิดมองกันเพียงตัวเลข.....
.............กำหนดสังคม........กันด้วย.........ตัวเลขความเจริญทางเศรษฐกิจ....
.................................กันปีต่อปี......
......................................................คิดถึงบ้านเหลือเกินครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิลปินป่า
Lovings  ศิลปินป่า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิลปินป่า
Lovings  ศิลปินป่า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศิลปินป่า
Lovings  ศิลปินป่า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงศิลปินป่า