25 เมษายน 2550 14:59 น.
ศรรกรา
ดาวเป็นเด็กสาววัยสะพรั่ง ก่อนหน้านี้ครอบครัวของดาวจัดว่าอยู่ในฐานะปานกลาง พ่อทำกิจการของตัวเอง และแม่ก็ดูแลดาว ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ดาวจะมีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส เรียนเก่ง และช่างพูดช่างคุย เป็นที่รักของคนทั่วไป
แต่หลังจากที่กิจการพ่อของเธอประสบความสำเร็จ ท่านกลับไม่มีเวลาให้กับดาวเลย เพราะว่าพ่อต้องการกอบโกยโอกาสทองนี้ให้มากที่สุด ส่วนแม่ซึ่งเคยดูแลดาวอย่างใกล้ชิด ก็เริ่มออกงานสังคม สังสรรค์กับเพื่อนโดยเหตุผลว่า การที่แม่ออกงานสังคมมากเท่าไรก็อาจจะช่วยงานด้านกิจการของพ่อมากขึ้นเท่านั้น
หลายครั้งที่ดาวรู้สึกเหงา เธอจะพูดกับแม่ว่า "แม่ขาอยู่บ้านเป็นเพื่อนหนูหน่อย" แต่คำตอบของแม่ก็คือยิ้มและพูดว่า "ลูกโตแล้ว" บ้างครั้งดาวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จึงเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง
หลายเดือนผ่านไปแล้ว ดาวมีความรู้สึกว่าอยู่บ้านแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา นอกจากความเหงาเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เธอเริ่มคบเพื่อนมากขึ้น เที่ยวเตร่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอน พ่อแม่เธอก็ไม่เคยจับได้ บางครั้งเธอค้างบ้านเพื่อน โดยอ้างว่าทำรายงาน แต่น่าแปลกคะแนนสอบที่เธอเคยทำได้ดี กลับตกฮวบฮาบ
วันหนึ่งหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว "ถล่มคลีนิกเถื่อน" ภาพที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้แม่ของดาวใจหาย ภาพของเด็กสาวที่หล่อนรู้จักดีนอนอยู่ที่เตียงในสภาพที่หว่างขาเต็มไปด้วยเลือด แน่นอนหล่อนย่อมรู้ว่าภาพเด็กสาวคนนั้นเป็นใคร แต่จะให้หล่อนทำอย่างไรละ ระหว่าง....
ให้หล่อนเปิดใจยอมรับว่าเด็กสาวที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์คนนั้นคือ ดาวเป็นลูกของตนเอง โดยไม่แคร์สังคมและยอมรับกับความอับอายในภายหลัง และเริ่มต้นที่จะดูแลและรับผิดที่ตนเองไม่ดูแลลูก หรือ....
ขอเก็บเป็นความลับเฉพาะครอบครัวเท่านั้น ไม่บอกใคร เพราะต้องแคร์สังคมบ้าง แต่จะเอาใจใส่ลูกให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ถ้าเป็นคุณเป็นหล่อนล่ะจะทำอย่างไร?
23 เมษายน 2550 10:26 น.
ศรรกรา
กลางปี 37 ฉันทำงานพิเศษวันเสาร์อาทิตย์จากการชักชวนของเพื่อน จุดประสงค์คือความต้องการหารายได้ในการใช้จ่ายในการเรียน เพื่อจะได้ไม่รบกวนพ่อแม่ โดยที่ฉันไม่คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของเรา
ฉันเจอเขาคนนั้นในที่นั่นด้วย เขาเข้ามาทำงานก่อนฉัน เรารู้จักกันเพราะเพื่อนแนะนำให้ แรก ๆ เราก็มีความรู้สึกที่เพื่อนกับเพื่อนทำงานทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความสนิทสนม ทำให้ความรู้สึกนั้นแปรเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
1 ปีหลังจากที่เราพบกัน ความรู้สึกของเราสองคนต่างเก็บซ่อนกันโดยต่างไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย จนกระทั่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 เขาโทรศัพท์มาที่บ้าน ซึ่งมันก็เป็นปรกติที่เราโทรคุยกันประจำ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ก่อนวางสายเขาทิ้งประโยคหนึ่งที่สามารถทำให้ใจเราสั่นได้ นั่นก็คือ "เราชอบเธอนะ" และก็วางสายทันทีโดยที่ไม่รอรับคำตอบจากเรา
นับจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ดำเนินดีขึ้นเรื่อย ๆ เราคบกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงต่างก็รับรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน จนกระทั่ง.......
ต้นปี 45 ความรักของเราก็ล่มสลายลง ด้วยสาเหตุที่เราเองเป็นคนผิด ทั้งที่ไม่อยากคิดจะทำ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราเสียใจทั้งสองฝ่าย คนที่เราสนิทต่างก็ไม่เชื่อว่าเราจะเลิกกันง่าย ๆ ทั้งที่คบกันมา 7 - 8 ปี เรามีความรู้สึกผิด และละอายที่เกินกว่าที่จะติดต่อพูดคุยกับเขา ทั้งที่เราอยากจะทำอย่างยิ่ง เราอาศัยเพื่อนถามไถ่ข่าวคราวเขาว่าเป็นยังไง จนเวลายืดยาวถึง 5 ปี ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังเหมือนเดิม จนกระทั่ง.........
วันที่ 21 เมษายน มีเพื่อนโทรมาบอกข่าวของเขา ซึ่งต่างจากทุกครั้งที่ฉันจะเป็นฝ่ายถามถึง "เขาตายแล้ว" ฉันได้ยินคำนั้นโดยไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง "อะไรนะ" "เขาตายแล้ว" ฉันยังคิดว่าตัวเองฝัน มันใช่ความจริงเหรอ ซึ่งตลอดเวลาที่ฉันถามถึงเขา ก็มีแต่คนบอกว่าเขาสบายดี แต่ทำไมถึงมีข่าวไม่ดีออกมาได้เหรอเพื่อนล้อเล่น มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ในคืนวันที่ 22 ฉันไปงานศพ กรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างโลงศพนั่นคือเขาจริง ๆ เขาเป็นมะเร็งในตับแต่กลับไม่มีใครบอกความจริงให้ฉันรับรู้เลย ฉันอยากบอกเขาว่า "ฉันขอโทษ" ในขณะที่เขามีลมหายใจ ไม่ใช่บอกกับเขาในขณะที่ร่างเขานอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น "ฉันขอโทษนะ ฉันยังรักเธออยู่นะ จงนอนพักผ่อนให้สบาย ฉันจะไม่ลืมเธออย่างแน่นอน"
เพลง เธอไม่เคยตาย (วงทู)
เหมือนฝันร้าย กลายเป็นจริง
เมื่อวันที่เสียเธอ
รักนี้ต้องเจอ การจากลา
ทิ้งไว้แค่ความทรงจำ ไม่มีทางย้อนมา
จำเธอติดตา ไม่อาจจะลืม
ครั้งนั้นที่มีเธออยู่ ต่างคนต่างรู้ใจ
ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ ก้าวไปด้วยกัน
ครั้งนี้ไม่มีเธออยู่ ใจมันทรมาน
ยังคงต้องการเธออยู่เสมอ
* เธอไม่เคยจะตายจากไปในใจ ฉันยังมีเธอ
เหมือนคนละเมอบ้าบอยังรอ แม้สายเกินไป
เคยรักเธอคนเดียว เกิดมาไม่เคยคิดรักใคร
ฟ้าดินทลาย แต่ใจยังคงรักเธอ
อยากจะหมุนวันเวลา ให้กลับคืนไป
อยากจะย้อนไป เป็นเหมือนดังวันวาน
แต่สิ่งที่เป็นจริง เราต้องจากกันไกล
รับรู้ใจนี้เอาไว้ เธอยังไม่ตายไปจากใจฉัน
(ซ้ำ *)
9 เมษายน 2550 15:27 น.
ศรรกรา
"เออ! นังจันทร์ ไอ้ชิดมันจะกลับบ้านเหรอปล่าวว่ะ" "กลับซิแม่ พี่ชิดก็กลับทุกปีน่ะแหละ ว่าแต่แม่มีธุระอะไรกับพี่เค้าเหรอจ๊ะ?" หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกถึง "ชิด" พี่ชายของเธอที่กลับบ้านเมื่อวันสงกรานต์ปีก่อน เขาได้ซื้อของฝากจากกรุงเทพมากมาย เธอคิดว่าเธอจะเอาเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เมื่อปีก่อนมาใส่ต้อนรับพี่ชาย
"แล้วมันบอกมั๊ยว่าจะกลับวันไหน แม่จะได้ทำน้ำยาป่าเตรียมเลี้ยงต้อนรับมันสักหน่อย" หญิงชรายังถามต่อ "เห็นบอกว่าจะมาถึงเช้าวันที่ 13 จ๊ะแม่" เธอมือก็ยังบีบนวดมารดาอยู่ "เออ..แม่จะได้เตรียมทำน้ำยาแต่เช้า" "ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองก็ได้ แม่พักผ่อนเถอะ ยิ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย หมอบอกว่าให้พักผ่อนมาก ๆ" "ไม่เป็นไรหรอก ข้านอนตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว และขืนข้าปล่อยให้เอ็งทำกลัวไม่ถูกปากมัน" นางพูด
ชิดเข้ามาทำงานในกรุงเทพตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น ซึ่งก็ไม่ต่างจากเด็กต่างจังหวัดคนอื่น ๆ จนเดี๋ยวนี้เขามีครอบครัวของเขาเอง และเขาตั้งใจว่าปีนี้เขาจะพาเมียและลูกซึ่งยังเล็กมาไหว้แม่ของเขาในวันสงกรานต์
ชิดเตรียมเสี้อสีเหลืองที่น้องและแม่อยากได้มาเป็นของฝาก เขาหวังว่าน้องและแม่คงดีใจมากที่เขาจะกลับมาพร้อมกับครอบครัวเขาซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน
"พี่ชิดเช็คสภาพรถเหรอยัง" ภรรยากล่าวขึ้น "เรียบร้อยแล้วจ๊ะ ไม่ต้องห่วง เดินทางไกลแบบนี้พี่ต้องเช็คสภาพรถอยู่แล้ว แถมเผื่อยางอะไหล่ไว้กันฉุกเฉิน" "เออ...แล้วอย่าลืมเตือนไอ้ขวานกับไอ้แสงเรื่องเวลาและสถานที่นัดล่ะ" ไอ้ขวานกับไอ้แสงที่เขาพูดถึงก็คือน้อง ๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งมักจะอาศัยกลับบ้านกับเขาทุกครั้ง
"เอ๊ะ..ป่านนี้แล้วทำไมไอ้ชิดยังไม่มาว่ะ" หญิงชราเริ่มร้อนใจเมื่อเห็นว่านี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชิดกับครอบครัวจะมาถึง "รถคงติดแหละแม่ สงกรานต์ก็เป็นยังงี้ทุกปีแม่ยังไม่ชินอีกเหรอจ๊ะ" "แต่เวลามันมาสายมันจะโทรมาบอกทุกทีนี่" บุตรสาวยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงไอ้จุ่ยเด็กข้างบ้านเรียกขึ้น"แม่ปลื้ม แม่ปลื้ม มีโทรศัพท์" "เออ...สงสัยไอ้ชิดจะโทรมาแน่แน่ นังจันทร์ไปคุยสิว่ามันจะมากันกี่โมง"
จันทร์ไปรับโทรศัพท์หายไปนานจนนางหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงชิดเรียกนางอยู่ข้าง ๆ "แม่ แม่" "อ้าว...มากันตั้งแต่เมื่อไหร่" "เพิ่งมาจ๊ะแม่ แม่สบายดีมั๊ย" "ก็ตามประสาคนแก่ แล้วนี่กินข้าวกินปลากันเหรอยัง" "เรียบร้อยแล้วจ๊ะ เออ..แม่ฉันจะมาลาแม่นะ" "เอ๊ะ ! เอ็งจะไปไหนละลูก เพิ่งลากันแท้ๆ " แทนคำตอบชิดหันหลังเดินออกไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของมารดา
"แม่...." นางมารู้สึกอีกทีก็คือเสียงเรียกของจันทร์ นางมองซ้ายมองขวา "อ้าว....ไอ้ชิดละ" "คือพอดีพี่ชิดเค้าบอกว่ามาไม่ได้จ๊ะแม่ เค้าก็เลยฝากมาขอโทษ และฝากเสื้อสีเหลืองกับไอ้ขวานให้เราสองคนจ๊ะแม่" จันทร์ยื่นเสื้อสีเหลืองให้มารดา และพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ หญิงชราไม่มีทีท่าพิรุธอะไร นางลูบคลำเสื้อที่ลูกชายฝากไว้ให้ "งานมันคงเยอะ ปีนี้เลยไม่ได้กลับ" นางคิดเอง
จันทร์ไม่รู้จะบอกมารดาว่าอย่างไรดี เมื่อความเป็นจริงชิดกับครอบครัวประสบอุบัติเหตุรถชน โดยรถของเขาถูกอัดก๊อปปี้กับรถประจำทางที่เบรคแตก ทำให้ชิดและครอบครัวตายคาซากรถ เธอได้ไปยังที่สถานที่เกิดเหตุซึ่งห่างจากบ้านเพียงไม่กี่กิโลเมตรเพื่อดูทรัพย์สิน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเสื้อสีเหลืองสองตัวที่พี่ชายตั้งใจซื้อมาเป็นของฝาก เสื้อตัวหนึ่งยังอยู่ในสภาพดี แต่เสื้ออีกตัวที่อยู่ในมือของเธอมีแต่แดงแทนสีเดิมของมัน
สงกรานต์ปีหน้าหญิงสาวจะอ้างกับมารดาอย่างไรดี ว่าทำไมไอ้ชิดถึงไม่กลับมา และเธอจะเก็บความลับนี้นานอีกสักกี่ปี