9 เมษายน 2550 15:27 น.
ศรรกรา
"เออ! นังจันทร์ ไอ้ชิดมันจะกลับบ้านเหรอปล่าวว่ะ" "กลับซิแม่ พี่ชิดก็กลับทุกปีน่ะแหละ ว่าแต่แม่มีธุระอะไรกับพี่เค้าเหรอจ๊ะ?" หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกถึง "ชิด" พี่ชายของเธอที่กลับบ้านเมื่อวันสงกรานต์ปีก่อน เขาได้ซื้อของฝากจากกรุงเทพมากมาย เธอคิดว่าเธอจะเอาเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เมื่อปีก่อนมาใส่ต้อนรับพี่ชาย
"แล้วมันบอกมั๊ยว่าจะกลับวันไหน แม่จะได้ทำน้ำยาป่าเตรียมเลี้ยงต้อนรับมันสักหน่อย" หญิงชรายังถามต่อ "เห็นบอกว่าจะมาถึงเช้าวันที่ 13 จ๊ะแม่" เธอมือก็ยังบีบนวดมารดาอยู่ "เออ..แม่จะได้เตรียมทำน้ำยาแต่เช้า" "ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองก็ได้ แม่พักผ่อนเถอะ ยิ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย หมอบอกว่าให้พักผ่อนมาก ๆ" "ไม่เป็นไรหรอก ข้านอนตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว และขืนข้าปล่อยให้เอ็งทำกลัวไม่ถูกปากมัน" นางพูด
ชิดเข้ามาทำงานในกรุงเทพตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น ซึ่งก็ไม่ต่างจากเด็กต่างจังหวัดคนอื่น ๆ จนเดี๋ยวนี้เขามีครอบครัวของเขาเอง และเขาตั้งใจว่าปีนี้เขาจะพาเมียและลูกซึ่งยังเล็กมาไหว้แม่ของเขาในวันสงกรานต์
ชิดเตรียมเสี้อสีเหลืองที่น้องและแม่อยากได้มาเป็นของฝาก เขาหวังว่าน้องและแม่คงดีใจมากที่เขาจะกลับมาพร้อมกับครอบครัวเขาซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน
"พี่ชิดเช็คสภาพรถเหรอยัง" ภรรยากล่าวขึ้น "เรียบร้อยแล้วจ๊ะ ไม่ต้องห่วง เดินทางไกลแบบนี้พี่ต้องเช็คสภาพรถอยู่แล้ว แถมเผื่อยางอะไหล่ไว้กันฉุกเฉิน" "เออ...แล้วอย่าลืมเตือนไอ้ขวานกับไอ้แสงเรื่องเวลาและสถานที่นัดล่ะ" ไอ้ขวานกับไอ้แสงที่เขาพูดถึงก็คือน้อง ๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งมักจะอาศัยกลับบ้านกับเขาทุกครั้ง
"เอ๊ะ..ป่านนี้แล้วทำไมไอ้ชิดยังไม่มาว่ะ" หญิงชราเริ่มร้อนใจเมื่อเห็นว่านี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชิดกับครอบครัวจะมาถึง "รถคงติดแหละแม่ สงกรานต์ก็เป็นยังงี้ทุกปีแม่ยังไม่ชินอีกเหรอจ๊ะ" "แต่เวลามันมาสายมันจะโทรมาบอกทุกทีนี่" บุตรสาวยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงไอ้จุ่ยเด็กข้างบ้านเรียกขึ้น"แม่ปลื้ม แม่ปลื้ม มีโทรศัพท์" "เออ...สงสัยไอ้ชิดจะโทรมาแน่แน่ นังจันทร์ไปคุยสิว่ามันจะมากันกี่โมง"
จันทร์ไปรับโทรศัพท์หายไปนานจนนางหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงชิดเรียกนางอยู่ข้าง ๆ "แม่ แม่" "อ้าว...มากันตั้งแต่เมื่อไหร่" "เพิ่งมาจ๊ะแม่ แม่สบายดีมั๊ย" "ก็ตามประสาคนแก่ แล้วนี่กินข้าวกินปลากันเหรอยัง" "เรียบร้อยแล้วจ๊ะ เออ..แม่ฉันจะมาลาแม่นะ" "เอ๊ะ ! เอ็งจะไปไหนละลูก เพิ่งลากันแท้ๆ " แทนคำตอบชิดหันหลังเดินออกไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของมารดา
"แม่...." นางมารู้สึกอีกทีก็คือเสียงเรียกของจันทร์ นางมองซ้ายมองขวา "อ้าว....ไอ้ชิดละ" "คือพอดีพี่ชิดเค้าบอกว่ามาไม่ได้จ๊ะแม่ เค้าก็เลยฝากมาขอโทษ และฝากเสื้อสีเหลืองกับไอ้ขวานให้เราสองคนจ๊ะแม่" จันทร์ยื่นเสื้อสีเหลืองให้มารดา และพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ หญิงชราไม่มีทีท่าพิรุธอะไร นางลูบคลำเสื้อที่ลูกชายฝากไว้ให้ "งานมันคงเยอะ ปีนี้เลยไม่ได้กลับ" นางคิดเอง
จันทร์ไม่รู้จะบอกมารดาว่าอย่างไรดี เมื่อความเป็นจริงชิดกับครอบครัวประสบอุบัติเหตุรถชน โดยรถของเขาถูกอัดก๊อปปี้กับรถประจำทางที่เบรคแตก ทำให้ชิดและครอบครัวตายคาซากรถ เธอได้ไปยังที่สถานที่เกิดเหตุซึ่งห่างจากบ้านเพียงไม่กี่กิโลเมตรเพื่อดูทรัพย์สิน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเสื้อสีเหลืองสองตัวที่พี่ชายตั้งใจซื้อมาเป็นของฝาก เสื้อตัวหนึ่งยังอยู่ในสภาพดี แต่เสื้ออีกตัวที่อยู่ในมือของเธอมีแต่แดงแทนสีเดิมของมัน
สงกรานต์ปีหน้าหญิงสาวจะอ้างกับมารดาอย่างไรดี ว่าทำไมไอ้ชิดถึงไม่กลับมา และเธอจะเก็บความลับนี้นานอีกสักกี่ปี
22 ธันวาคม 2549 10:17 น.
ศรรกรา
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 - 6 ปีก่อน เหตุการณ์เกิดที่บ้านของยายศรรกเอง ขณะนั้นท่านป่วยหนักด้วยโรคชรา ซึ่งท่านต้องนอนที่บนเตียง มีอาการทรุดบ้างทรงบ้างเป็นธรรมดา จนกระทั่งท่านป่วยหนัก และเพ้อส่งเสียเรียกบุตรสาว (เป็นน้าสาวของศรรกเอง) ว่า "ช่วยไปบอกพ่อแม่ของเด็กที มันร้องไห้เรียกพ่อแม่มัน หนวกหูมากไปเรียกให้มันที" น้าสาวแปลกใจ เพราะว่าในระแวกนี้ไม่มีเด็กเล็ก ๆ อยู่เลยสักคน น้าสาวคิดว่ายายคงเพ้อหนักก็เลยไม่ใส่ใจอะไร แต่ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ญาติพี่น้องได้รับรู้ จนกระทั่งยายเสียชีวิตลง ก็จัดพิธีตามประเพณี ศพของยายจะเก็บก่อน 100 วัน แล้วค่อยเผา สัปเหร่อเอาศพของยายเก็บไว้ในช่องที่เก็บศพในวัด ซึ่งจะมีช่องเก็บศพอยู่ประมาณ 10 ช่อง ยายอยู่ประมาณช่องที่ 2 หรือ 3 จำไม่ค่อยได้ แต่สิ่งที่แปลกที่สุด ช่องเก็บศพที่อยู่ข้าง ๆ ช่องเก็บศพของยาย เป็นที่เก็บศพของเด็ก ๆ ประมาณ 2 - 3 คน ได้ เพราะสัปเหร่อเปิดออกมาให้ดู มีของเล่น มีขวดนม อยู่ในนั้นด้วย ทำให้พวกเราแปลกใจกับคำพูดที่ยายได้พูดที่เราเข้าใจว่าท่านเพ้อ พวกเราถามสัปเหร่อว่า "เด็กพวกนี้ตายเพราะอะไร" สัปเหร่อเล่าว่า "เด็กพวกนี้ตายมานานแล้ว คิดว่าน่าจะท้องร่วงตาย พ่อแม่ก็ไม่เคยมาหา" และพวกเราก็ถามต่อว่า "และทำไมไม่เผาเด็กพวกนี้" เขาก็บอกว่า "เผาไม่ได้ เพราะเด็กยังไม่เคยทำบาป ยังรักษาศีลครบบริบูรณ์" เราถามต่ออีกว่า "เคยเห็นวิญญาณของเด็กพวกนี้เหรอเปล่า" "เคยเห็นวิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหละ แต่ชินแล้ว"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ไหมที่เด็กพวกนี้ส่งเสียงร้องไห้ก่อนที่คุณยายจะเสีย และคุณล่ะคิดว่าอย่างไร ?
7 ธันวาคม 2549 09:39 น.
ศรรกรา
เฮ้ย ! ยัยมินท์นั่นใคร เด็กสาวหันเห็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแต่งตัวปอน ๆ มองเธออยู่ อ๋อ...คนขับรถ ไม่ต้องสนใจหรอก เค้าคงมารับแกกลับบ้านหรือเปล่า เฮ้อ..น่ารำคาญ เออ..แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ เด็กสาววิ่งไปหาชายหนุ่ม เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะกระซิบเบา ๆ นี่...พ่อคราวหน้าไม่ต้องมาหาหนูที่โรงเรียนอีกนะหนูกลับบ้านเองได้ แต่มันไกลนะลูก หนูต้องนั่งรถตั้งหลายต่อ พ่อเป็นห่วง บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ หนูโตแล้วนะ เด็กสาวตวาดโดยไม่สนใจความรู้สึกของพ่อ มินท์เป็นเด็กผู้หญิงที่จัดว่าหน้าตาน่ารัก และเป็นนักเรียนเรียนดีที่โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เพื่อนของเธอจัดอยู่ในกลุ่มลูกหลานคนมีเงินหรือมีชื่อเสียง เธอจะโกหกว่าพ่อของเธอเป็นนักธุรกิจทำงานอยู่ต่างประเทศทั้งที่ความจริงเขาก็เป็นแค่คนกวาดถนนเท่านั้นเอง การที่พ่อมาหาเธอวันนี้ ทำให้เธอกลัวว่าความจริงที่เธอปกปิดมาตลอดจะถูกเผยความจริงออกมา
นายกลศจำต้องเลี้ยงมินท์ลูกสาวคนเดียวของเขา เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอเพราะเห็นว่าเธออาภัพ ภรรยาของเขาเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนนี้ และเขาก็ไม่คิดจะมีภรรยาใหม่เพราะกลัวจะมีปัญหากับเธอ ด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่เขาได้มาเพื่อส่งเสียบุตรสาวให้ได้เรียนโรงเรียนที่มีชื่อเพราะเชื่อว่าจะทำให้เธอมีอนาคตที่สดใสไม่ลำบากเหมือนเขาทำให้เขาลำบากไม่น้อย หลายครั้งที่เขาต้องหยิบยืมเพื่อนเพื่อให้ลูกสาวทำกิจกรรมในโรงเรียนที่มักจะมีบ่อยครั้งในโรงเรียนทั้งงานกีฬาสี งานปีใหม่ จิปาถะ ข้าว่าเฮ็งให้ลูกเอ็งเรียนโรงเรียนวัดไม่ดีกว่ารึ ไม่ได้หรอก....ข้าอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดี ๆมากกว่า เขามักจะพูดอย่างนี้เมื่อเพื่อน ๆ บอกเขา
พ่อ...หนูอยากได้คอม ฯ เด็กสาวบอกเขาหลังจากทานข้าวเย็นร่วมกัน มันแพงไม่ใช่เหรอหนู มันก็แค่สองสามหมื่นเองนะพ่อ เธอพูดเหมือนมันเป็นเศษเงินไม่กี่บาท แต่สำหรับเขาอย่าว่าแต่เงินหมื่นเลยแม้แต่เงินเป็นพันที่เขายังคงเป็นหนี้ค้างบรรดาเจ้าหนี้ เขายังไม่มีปัญญาใช้คืนเลย หนูต้องใช้มันพิมพ์รายงานให้อาจารย์ หนูขี้เกียจใช้ของโรงเรียน มันต้องต่อคิว เด็กหญิงอ้างเหตุผล เมื่อเขาฟังเหตุผลของบุตรสาวเขาจำต้องตอบรับด้วยไม่อยากให้ลูกมีปัญหาเรื่องการเรียน
เถ้าแก่ช่วยตีราคามอเตอร์ไซค์ผมหน่อยว่ามันได้เท่าไหร่ ชายหนุ่มเข็นมอเตอร์ไซค์คนโปรดที่เขามักใช้มันขี่ไปทำงาน นับแต่วันนี้เขาคงต้องอาศัยรถประจำทางไปทำงาน และเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาซื้อรถมาใช้ได้อีกหรือไม่ จากสภาพอั๊วให้เก้าพัน เก้าพัน...เถ้าแก่เพิ่มหน่อยได้ไหมครับ มันยังวิ่งดีนะ ไม่ได้ มันเก่ามากอั๊วให้ลื้อได้เท่านี้ ถ้าไม่เอาไม่เป็นไร เขาจำต้องรับเงินเก้าพัน มันยังขาดอีกหลายพันทีเดียวกว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์ได้ เขาจำต้องหาหยิบยื่นเพื่อนฝูงอีกครั้งกว่าจะรวบรวมเงินที่เขาคิดว่าพอจะซื้อมันได้
วันนี้เขาจะต้องไปหาลูกแต่เช้า เพื่อเอาเงินที่เขาหามาได้นำไปให้ลูก เฮ้ย....คนขับรถบ้านแกมาอีกแล้วว่ะ เพื่อนตะโกนบอกเด็กสาว ทำให้เท้าที่จะก้าวมาหาบุตรสาวต้องหยุดชะงัก นี่ลูกสาวบอกกับเพื่อนว่าเขาเป็นคนขับรถอย่างนั่นหรือ เขากำเงินจำนวนสองมือยื่นส่งให้เด็กสาว เอ่อ...พ่อ....คุณพ่อฝากเอาเงินมาให้ เขาก้มหน้าบอกบุตรสาว เธอรับเงินทันทีไม่มีเสียงคำว่าขอบคุณหลุดจากปากสักคำ กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวหนูกลับบ้านเอง เด็กสาวบอก เมื่อกลศมีความรู้สึกว่าปวดหัว เขาคิดว่าคงเกิดจากอาการเครียด แต่พอเขาจะเข้าบ้านชายหนุ่มก็เป็นลมหมดสติ เพื่อนบ้านต้องช่วยกันพาเขาส่งโรงพยาบาล คุณกลศ....คุณเป็นโรคเนื้องอกในสมอง หมอว่าคุณต้องผ่าตัดด่วน ไม่งั้น เมื่อได้ยินว่าผ่าตัดสมองทำให้เขารู้ว่าค่าใช้จ่ายมันสูงแน่ เขาคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าผ่าตัดที่แพงลิบลิวแน่ ถ้าไม่ผ่าตัด ผมจะอยู่ได้ประมาณเท่าไหร่ครับ มันก็ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของคุณด้วย หมอไม่กล้ารับรอง
6 ธันวาคม 2549 09:06 น.
ศรรกรา
สวัสดีจ๊ะฝุ่น แล้วไผ่ล่ะ หญิงสาวเอ่ยทักเมื่อเหลียวมองดูเห็นว่าชายหนุ่มมาตามลำพัง แทนคำตอบชายหนุ่มยื่นจดหมายของกอไผ่ให้หล่อน หญิงสาวทำหน้าสงสัยก่อนจะคลี่จดหมายออกมาอ่าน เมื่ออ่านจบหญิงสาวก็ยังถามถึงเด็กสาวอีก แล้วไผ่ล่ะ ไผ่เสียแล้ว หลังจากที่ผมพาคุณไปโรงพยาบาล คือไผ่พยายามขี่รถตามรถของผมและเกิดอุบัติเหตุ หญิงสาวตกใจถึงแม้ตลอดเวลาเด็กสาวมีทีท่าว่าไม่ชอบหล่อน แต่ระยะหลัง ๆ เธอก็ดีกับหล่อนมากด้วยเหตุผลที่หล่อนทราบจากจดหมาย คือ...ฉันต้องการไปงานของไผ่ได้ไหมคะ หญิงสาวขอร้อง ได้...หมอบอกว่าคุณออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เดี๋ยวเราไปวัดกันเลยละกัน บรรยากาศในวัดช่างโศกเศร้า มีแขกมาในงานไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นญาติของนางจันทร์ซึ่งมีไม่มาก ปานชนกไม่สามารถอยู่ช่วยงานศพของเด็กสาวได้ เพราะญาติของหล่อนมารับกลับหลังจากได้ทราบข่าวการเจ็บป่วยของหล่อน
สวัสดีน้องไผ่
ไปรษณีย์ใบนี้เป็นใบแรกและเป็นใบสุดท้ายที่พี่มีโอกาสได้เขียนถึงไผ่ ซึ่งพี่คิดว่าไผ่ก็คงต้องการสิ่งนี้จากพี่มากที่สุด ถึงแม้ว่าพี่ไม่รู้ว่าไผ่ได้รับไปรษณีย์ใบนี้เหรอเปล่า แต่พี่ก็หวังว่าไผ่คงได้รับรู้ว่าพี่เสียใจมากที่ไม่รู้เรื่องไผ่มาก่อนหน้านี้ และหากย้อนกลับไปได้พี่ก็คงจะพยายามทำความเข้าไผ่ให้มากกว่านี้ พี่ขอบคุณไผ่มากสำหรับกำลังใจที่ไผ่มีให้พี่มาโดยตลอด และพี่จะจดจำความปรารถนาดีที่ไผ่มีให้กับพี่ถึงแม้ว่าไผ่จะไม่อยู่ในโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สำหรับพี่ไผ่ก็ยังอยู่ในใจของพี่เสมอ ยังเป็นน้องที่น่ารักของพี่ตลอดไป
รักและอาลัย
ไต้ฝุ่น
ไต้ฝุ่นนำไปรษณีย์ที่เขาเขียนหย่อนใส่ลงในโลงศพที่มีร่างที่สงบนิ่งของเด็กสาว ก่อนที่จะเลื่อนโลงเข้าไปในเมรุเพื่อทำการเผา สายตาสองคู่เงยมองดูควันสีขาวที่ค่อย ๆ ลอยพ้นปล่องไฟสูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างของเด็กสาวถูกเผาไปกับกองไฟจนมอดไหม่ คงเหลือทิ้งไว้แต่ความโศกเศร้า ภาพชายหนุ่มและหญิงชราต่างมองควันสีขาวค่อย ๆ จางลง ต่างคนต่างก็ภาวนาขอให้เด็กสาวไปสู่สุคติอย่างมีความสุข
6 ธันวาคม 2549 09:02 น.
ศรรกรา
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ปานชนกก็ถูกนำตัวส่งเข้า ไอซียู ทันที เขามีความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้หญิงสาวอาศัยอยู่บ้านเพียงลำพังจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่ากอไผ่จะมีนิสัยที่โหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ เพราะตลอดเวลาที่เขารู้จักกับเด็กสาว เธอเป็นเด็กที่น่ารัก ร่าเริง และมีน้ำใจ แต่นับตั้งแต่ปานชนกมาอยู่ที่นี่ มันมีอะไรบางอย่างทำให้เด็กสาวไม่พอใจในตัวหญิงสาว เขาครุ่นคิดอยู่หน้าห้อง ไอซียู อยู่นาน จนกระทั่งแพทย์เดินออกมา เขาจึงสอบถามอาการของหญิงสาว คุณหมอเธอเป็นไงบ้างครับ เธอปลอดภัยแล้วครับ แต่..... ชายหนุ่มเห็นอากัปกิริยาของแพทย์ที่ทำการรักษา ทำให้เขารีบเขาไปเขย่าแขนโดยไม่ทันรู้ตัว ผมไม่สามารถรักษาเด็กในครรภ์ได้ครับ เธอแท้ง เมื่อสิ้นประโยคชายหนุ่มแทบผงะ เขาไม่เคยรู้เลยว่าหญิงสาวกำลังตั้งครรภ์ แล้วยังงี้เขาจะทำยังไงต่อไปดี กอไผ่ไม่น่าทำกับหล่อนได้เพียงนี้
ฝุ่นคงรู้แล้วสิว่าข้าวเออ....ข้าว ใช่....ผมรู้แล้ว โต้งใช่ไหม หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ แน่นอนว่าต้องเป็นนายโต้งแน่ เพราะปานชนกไม่ใช่ผู้หญิงที่เหลวไหลอะไร เขาคงไม่ซักถามอะไรอีกเพราะเขาคิดว่าหล่อนก็คงไม่อยากจะพูดถึงรื่องนี้ ผมต้องขอโทษแทนน้องไผ่ด้วยนะ หล่อนมีสีหน้าสงสัย ทำไมต้องขอโทษข้าวด้วย ไผ่ทำอะไร ก็ไผ่เป็นคนผลักคุณไม่ใช่เหรอ หญิงสาวย้อนคิดถึงเหตุการณ์ ไม่นะ ข้าวเดินสะดุดหินล้มลงไปเอง ทำไมคุณคิดว่าไผ่จะแกล้งข้าวละ ชายหนุ่มไม่ตอบและคิดว่าหญิงสาวคงพูดปกป้องกอไผ่อย่างแน่นอน แต่เขาคิดว่ายังไงเขาก็จะหาความจริงในตัวเด็กสาวให้ได้
ชายหนุ่มเฝ้าดูแลหญิงสาวสักพักก็ขอตัวกลับ เขาไปหากอไผ่แต่เห็นนางจันทร์กำลังลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก สวัสดีค่ะคุณฝุ่น มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ผมจะมาหาไผ่ฮะป้า ชายหนุ่มเป็นนางจันทร์ซับน้ำตาจึงคิดว่ามันต้องมีเรื่องอะไรร้ายแรงอย่างแน่นอน เกิดอะไรเกิดฮะ ยัยไผ่มันขี่รถชน ตอนนี้มันอยู่โรงพยาบาล เขาจึงอาสาพาหญิงชราไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อมาถึงขณะนั้นเด็กสาวถูกส่งตัวเข้าห้อง ไอซียู เรียบร้อยแล้ว วันนี้ทำไมมีเหตุการณ์วุ่นวายเสียเหลือเกิน เขาต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลสองสามครั้ง ชายหนุ่มสอบถามว่าเหตุการณ์ถึงทราบว่า กอไผ่พยายามขี่รถมอเตอร์ไซค์เพื่อให้ทันกับรถของเขา จึงทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมาก ห้อง ไอซียู เปิดออกมาพร้อมกับนายแพทย์ที่ทำการรักษา ทั้งคู่เดินกรูเข้ามาและถามเกือบจะพร้อมกัน ไผ่เป็นยังไงบ้างคะ (ครับ) หมอ นายแพทย์มีสีหน้าไม่ดีนัก ตอนนี้เธอยังไม่พ้นขีดอันตรายครับ ศีรษะของเธอได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก โอกาสคงจะไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ สิ้นคำของนายแพทย์ร่างของนางจันทร์ทรุบฮวบลงกับพื้น ทำให้นางพยาบาลต้องช่วยกันปฐมพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้นมานางก็ได้แต่ร่ำไห้จนเขาต้องคอยปลอบหญิงชรา แพทย์ไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้ ดังนั้นทั้งสองจึงจำเป็นต้องกลับบ้านไปก่อน
คุณฝุ่น..รอน้าแป๊ปนึง น้ามีของจะมาให้คุณ นางจันทร์บอกให้เขารอ เมื่อเขาขับรถมาส่งถึงหน้าบ้าน สักพักนางก็เดินออกมาพร้อมกับกล่องใบหนึ่งยื่นส่งให้เขา นี่ของยัยไผ่ น้าว่าคุณเก็บไว้เถอะ คิดว่ายัยไผ่ก็คงอยากให้คุณ เมื่อชายหนุ่มเปิดกล่องออกมาก็เห็นไปรษณีย์หลายใบอยู่ข้างใน ซึ่งล้วนจ่าหน้าถึงชื่อกอไผ่ แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือ ไปรษณีย์เหล่านี้ไม่มีข้อความใด ๆ ทั้งสิ่ง แต่มีชื่อผู้ส่งไปรษณีย์ซึ่งก็คือเขา ทั้ง ๆที่เขาเองก็ไม่เคยเขียนไปรษณีย์เหล่านี้มาก่อนเลย เขาพิจารณาลายมือที่เขียนเขาจึงรู้ว่า เด็กสาวที่มีชื่อว่ากันย์ก็คือคน ๆ เดียวกับกอไผ่นั่นเอง เขาไม่รู้เลยว่ากำลังใจที่เขาได้มาตลอดนั่นก็มาจากกอไผ่มาโดยตลอด เพราะเขาเห็นว่าเด็กสาวไม่เคยมีทีท่าผิดปรกติอะไรในเวลาที่อยู่กับเขาตามลำพัง เขาคิดว่าการที่เด็กสาวจ่าหน้าซองของตัวเองโดยใช้ชื่อตัวเองเป็นผู้ส่งก็อาจเป็นเพราะความในใจของเธออาจต้องการให้เขาเขียนตอบกลับก็เป็นได้ ไต้ฝุ่นดูไปรษณีย์ทุกแผ่นจนกระทั่งเขาเห็นจดหมายหนึ่งฉบับจึงคลี่ออกมาอ่าน ใจความในจดหมายทำให้เขารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กอไผ่ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นเลย เพียงแต่เธอต้องการชดเชยความผิดที่พี่ชายได้ทำกับปานชนก เขาเพิ่งรู้ว่านายโต้งคือพี่ชายของเด็กสาว เพราะตลอดเวลาที่เขามาที่นี่เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มเลย มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น นางจันทร์วิ่งไปรับโทรศัพท์และทราบว่ากอไผ่เสียชีวิตลง ทั้ง ๆ ที่เขาทั้งสองเพิ่งกลับมาถึงมาไม่นานนัก หญิงชราเสียใจอย่างหนักแต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่เพียงปลอบใจเท่านั้นเอง