23 พฤษภาคม 2552 15:27 น.
ศรรกรา
..... แกร๊ก เสียงไขประตูดังขึ้น ไอ้ทิชชูไม่พูดพร่ำทำเพลง มันส่งเสียงเห่าตามสัญชาติญาณหมาบ้าอำนาจ โฮ่งๆๆ.... ผั๊วะ!!! เอ๋ง สิ้นเสียงเห่าก็ตามด้วยเสียงโขลกกระโหลกชุดใหญ่ จิ๊กซอร์นายของมันนั่นเอง แกเห็นว่าเป็นข้า แล้วจะเห่าทำซากอะไรนักว่ะ มันวิ่งไปตั้งหลักอยู่มุมห้อง แล้วส่งเสียงเห่าอีกครั้ง เหมือนกับเถียง ถ้าตูพูดได้จะฟ้องสมาคมพิทักษ์สัตว์คอยดู มันคิดในใจ พลันสายตาแลไปเห็นหมูปิ้งนอนอยู่บนโซฟา และกำลังจ้องมันอยู่เช่นกัน เยาะเย้ยตูเหรอ เดี๋ยวตูก็งับจมเขี้ยวเลยเนี้ย นั่นพาลอีก นายทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ทำให้หมูปิ้งผงกหัวขึ้นเพราะโซฟาเด้งจากน้ำหนักตัวของเขา ก่อนจะนอนต่อ เขาวางถุงอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะรับแขก ฟุด...ฟิด กลิ่นที่อยู่ในถุง มันชวนให้น้ำลายไหล สุนัขสองตัวเหลียวมองไปที่ถุงโดยไม่ได้นัดหมายแต่อย่างใด ก่อนจะกรูเข้ามารวมตัวกันที่ถุงด้วยความสนใจ
..... เอ้ย!! ใจเย็นๆพวก ข้ายังไม่ได้กินเลย เขาร้องห้าม เมื่อเห็นว่าไอ้สองตัวทำท่าจะตะกายของกินที่อยู่ในถุง ไก่ทอดแสนอร่อย ไอ้ทิชชูรู้ได้เลยว่าของในถุงก็คือไก่ทอดจากร้านชื่อดัง มันพรำในใจ และกระดี๊กระด๊าดีใจออกนอกหน้า ก่อนจะเห่าเหมือนจะบอกกับนายว่า กินเร็วๆ สิ ส่วนเจ้าหมูปิ้งก็ได้แต่นอนมองของในถุงแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รอเวลาให้นายกินเสร็จก่อน เขาเทไก่ใส่จาน ไอ้ทิชชูเห็นไก่ชิ้นโตๆอยู่ประมาณ 2-3 ชิ้น กับนัตเก็ตอีกประมาณสิบกว่าชิ้น ยิ่งชวนทำให้น้ำลายไหล ไอ้ทิชชูรบเร้าให้นายกินเสร็จไวๆ เพื่อหวังว่าของที่เหลือจะตกถึงมันบ้าง แต่ก็เหมือนกับว่ายิ่งรบเร้าเขาก็ยิ่งแกล้งกินช้าๆ มันมองไก่ในมือของนายหมดไปแล้วชิ้นที่ 1 และตามด้วยชิ้นที่ 2 ยังมีไก่ชิ้นใหญ่อีกชิ้น กับนัตเก็ตอีกหลายชิ้น มันยังมีความหวังอยู่
.....ไก่ชิ้นที่ 2 หมดไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขากำลังจะหยิบไก่ชิ้นใหญ่ชิ้นสุดท้าย ไอ้ทิชชูกับเจ้าหมูปิ้งดูจะหมดหวังแล้ว หากนายกินไก่ชิ้นสุดท้ายในมือหมด ก็เหลือเพียงนัตเก็ตเพียงไม่กี่ชิ้น กับสุนัข 2 ตัว คาดคะเนจากสายตาสุนัขขี้ตะกละของไอ้ทิชชูดูไม่เพียงพอ ถ้านายแบ่งไก่ชิ้นเล็กๆที่เหลือ ข้าก็จะแย่งเจ้าหมูปิ้ง ไอ้ทิชชูคิดแผนชั่วร้ายไว้ล่วงหน้า ถ้าหากนายกินไก่ชิ้นใหญ่ในมือหมดไปจริงๆ เสียงเรอของจิ๊กซอร์จุดประกายความหวังของไอ้ทิชชูทันที เขาวางชิ้นไก่ที่ยังกินไม่หมดไว้ในจาน และเหมือนกับว่าไอ้สองตัวจะรู้ว่าถึงคิวของมันแล้วที่จะได้ลิ้มรสไก่แสนอร่อยบ้าง ไอ้ทิชชู ข้าให้สิทธิ์แกเลือกไก่ก่อนว่าจะกินชิ้นไหน จิ๊กซอร์ยื่นจานไก่ตรงหน้ามัน ไอ้ทิชชูไม่ลังเล มันเลือกไก่ที่ชิ้นใหญ่สุด แล้วคาบไปไว้ที่จานของมันเหมือนกลัวว่านายจะเปลี่ยนใจ มันค่อยๆลิ้มรสชาติไก่พร้อมกับเหลือบตาด้วยความหวาดระแวง เกรงว่าจะมีใครอาจหาญแย่งไก่ไปจากมัน ส่วนไก่ที่เหลือนายก็จัดแจงเทลงในจานของเจ้าหมูปิ้งที่อยู่คนละมุมกับไอ้ทิชชู
.....เจ้าหมูปิ้งกระโดดลงจากโซฟา เมื่อเห็นว่าเขาเทนัตเก็ตไก่ลงใส่ในจานมันแล้ว มันค่อยเดินไปช้าๆ และนั่งกินอย่างสงบ (ก็มันเป็นสุนัขเรียบร้อยนี่หน่า) พลันไฟริษยาของไอ้ทิชชูก็ลุกพรึบขึ้น เมื่อเห็นว่าความจริงแล้วไก่ในจานของเจ้าหมูปิ้งมิได้น้อยกว่าไก่ของมันเลย มิหนำซ้ำจะดูมากกว่าด้วยซ้ำไป ไก่ในจานของมันมีแค่กระดูกไก่ที่มีเนื้อเหลืออยู่บ้าง แต่ของเจ้าหมูปิ้งถึงจะเป็นไก่ชิ้นเล็กๆ แต่มีปริมาณมากจนพูนจาน อะไรว่ะ ทำไมเจ้าหมูปิ้งมันได้เยอะกว่าล่ะ มันคิดในใจ ว่าแล้วก็ค่อยๆย่องเดินเพื่อจะแย่งไก่ในจานเจ้าหมูปิ้ง แต่ยังไม่ทันจะถึงก็มีมือใหญ่ๆ หนาๆ หนักๆ ตีผั๊วะที่หัวมัน เอ้ย..จะทำอะไร ข้าให้เอ็งเลือกก่อน ยังจะหน้าด้านแย่งเจ้าหมูปิ้งเหรอ ไอ้หมาโรคจิต เขาเท้าเอวต่อว่ามัน ข้ารู้สันดานดีว่าแกเป็นหมาตะกละ ข้าเลยให้แกเลือกก่อน และเดาได้เลยว่าแกต้องเลือกไก่ชิ้นใหญ่ เขาพูดเสร็จก็หัวเราะสะใจมัน แกนั่งแทะกระดูกไก่นั่นแหละดี ฟันจะได้แข็งแรง จะได้แทะรองเท้าข้าได้อีกนานๆ ประโยคหลังเหมือนว่านายจะประชดที่มันชอบขโมยรองเท้าเขาไปแทะประจำ อ๊ะๆๆ อย่าคิดจะไปแย่งเจ้าหมูปิ้งอีกน่ะ เพราะข้าจะนั่งเฝ้าพวกเอ็งกินใก่จนกว่าจะหมด ว่าแล้วเขาหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะนั่งดูเจ้าสองตัวกินไก่
.....อาหารมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่พิเศษสำหรับเจ้าหมูปิ้ง เพราะมันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็อิ่มได้ด้วยกินไก่ที่แสนอร่อย ตรงข้ามกับไอ้ทิชชูที่นั่งแทะกระดูกไก่โดยไม่มีทีท่าว่าจะช่วยให้มันหายหิวได้เลยแม้แต่น้อย
.....เรื่องราวซนๆ ของไอ้ทิชชูจะเป็นไงต่อไป ติดตามตอนต่อไปนะคะ
22 พฤษภาคม 2552 17:30 น.
ศรรกรา
ไอ้ทิชชูเป็นสุนัขสีขาวพันธุ์ชิสุที่เกิดในบ้านผู้มีอันจะกิน โดยพ่อแม่ของมันก็เป็นสุนัขของบ้านนี้เช่นกัน จิ๊กซอร์นายของมันชอบเรียกมันว่า ไอ้หมาโรคจิต เพราะอะไรหรือ?? เพราะมันชอบวิ่งไล่งับหางตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่แปลกหรอก เพราะก็มีสุนัขอีกมากที่ชอบไล่งับหางตัวเองเช่นมัน แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือ เวลากินอาหารเจ้าทิชชูจะหวงกินมาก แล้วมันจะขู่คำรามทุกครั้งที่เห็นอะไรอยู่ใกล้รัศมีมันขณะที่มันกินอยู่ มันหวงกินขนาดไหนหรือ??? ก็หวงถึงขนาดอะไรที่อยู่ใกล้รัศมีที่สายตามันมองเห็น มันจะขู่และพร้อมจะกัดทันทีไม่เว้นแม้แต่หางหรือขาของมันเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะได้ยินไอ้ทิชชูร้องเอ๋งทุกครั้งในเวลากิน เพราะนั่นแสดงว่ามันเผลอกัดขาหรือหางของมันเข้าแล้ว
อาหารโปรดที่ไอ้ทิชชูหวงหนักหวงหนา ถ้าอ่านแล้วก็คงเข้าใจว่าคงจะเป็นอาหารสุนัขสำเร็จรูปที่ราคาสูง รสชาติแสนอร่อย แต่ไม่ใช่เลยมันก็แค่ข้าวคลุกกับตับต้มธรรมดา แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นก็คือ มันเป็นอาหารเพียงมื้อเดียวของแต่ละวัน
ทิชชูมีเพื่อนสนิทอยู่ตัวหนึ่งชื่อ หมูปิ้ง เป็นสุนัขพันธุ์เดียวกัน และไอ้ทิชชูก็ชอบเล่นกับมันอยู่เสมอ แต่ดูจากอากัปกิริยาของหมูปิ้งแล้วไม่ค่อยเต็มใจจะเป็นเพื่อนกับทิชชูเท่าไหร่ เพราะเวลาเล่นกับทิชชูทุกครั้ง เจ้าหมูปิ้งก็ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวอยู่เป็นประจำ หมูปิ้งจะเป็นสุนัขที่เรียบร้อยมาก เรียบร้อยถึงขนาดนายของมันเจ็บมันนั่งตรงไหนมันก็จะอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หนำซ้ำมันยังเป็นสุนัขสงบหมาสงบคำ ซึ่งต่างจากไอ้ทิชชูโดยสิ้นเชิง ความเรียบร้อยของเจ้าหมูปิ้งทำให้นายของมันตั้งฉายาว่า เซรามิค เพราะอะไรน่ะหรือ ?? ตามมาสิ เราจะเล่าให้ฟัง
สาเหตุที่จิ๊กซอร์นายของมันตั้งฉายาเจ้าหมูปิ้งว่า เซรามิค เกิดจากวันหนึ่งมีคนกดกริ๊งประตูบ้าน ซึ่งในขณะนั้นจิ๊กซอร์กำลังนั่งดูทีวี โดยมีเจ้าหมูปิ้งนอนอยู่บนตัก และไอ้ทิชชูกำลังนั่งแทะรองเท้าของนายอยู่ข้างๆ อ่ะน่ะ...คงสงสัยว่าทำไมนายถึงไม่ดุไอ้ทิชชูที่แทะรองเท้าน่ะหรือ ซึ่งความจริงแล้วนายไม่ได้ดุมันเพียงอย่างเดียว เขายังเคยตีมันด้วยรองเท้าเพื่อให้มันรู้ว่าสิ่งที่มันทำอยู่ผิด แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมันก็ยังขโมยรองเท้าเขามาแทะเล่นอยู่นั่นเอง จนเขาอ่อนใจต้องปล่อยมันแทะ มาพูดถึงเจ้าหมูปิ้งกันต่อ เมื่อจิ๊กซอร์ได้ยินเสียงกริ๊งจึงจับเจ้าหมูปิ้งวางไว้บนชั้นที่เป็นตู้โชว์รับแขกเพื่อเดินไปดูว่าใครมา ซึ่งผู้ที่มีเยือนก็คือเพื่อนของเขานั่นเอง เขาเชิญแขกเข้ามานั่งบนโซฟาหน้าทีวี ก่อนที่จะเดินหายออกไปในครัวสักพัก แล้วเดินเข้ามาพร้อมน้ำและของวางมาเลี้ยงต้อนรับ ไอ้ทิชชูก็ดูจะเป็นสุนัขที่ไม่ค่อยชอบรับแขกเท่าไหร่ มันแสดงอำนาจโดยการเห่ากรรโชกและความเป็นเจ้าถิ่นของมัน จนนายของมันทนไม่ไหวกับเสียง จำต้องกึ่งจูงกึ่งลากมันไว้หน้าบ้านโดยไม่ลืมที่จะเก็บรองเท้าของแขกไว้ในบ้าน เขาและเพื่อนพูดคุยกันหลายเรื่องตามประสาคนไม่ได้พบเจอกันมานาน จนลืมไปว่ายังมีเจ้าหมูปิ้งสุนัขอีกตัวนั่งอยู่บนชั้นที่เป็นตู้โชว์ ซึ่งมันนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เขาจับมันนั่งก่อนลุกไปเปิดประตูนั่นเอง และดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่มีเสียงทักขึ้นมา เออ..ไอ้ซอร์ เซรามิคตัวนี้นายซื้อมาจากไหนว่ะ โคตรเหมือนจริงฉิบ..เลยว่ะ สิ้นเสียงดูเหมือนว่าเขาสงสัย เพราะเขาจำได้ว่าบ้านของเขาไม่มีซรามิคสักชิ้น จนกระทั่งมองตามสายตาของเพื่อนจึงรุ้ว่า เซรามิคที่เพื่อนกล่าวถึงก็คือเจ้าหมูปิ้งนี่เอง นับตั้งแต่นั่นมาเจ้าหมูปิ้งจึงมีฉายาว่าเซรามิคแต่นั้นเป็นต้นมา และอาจเป็นเพราะเจ้าหมูปิ้งเป็นสุนัขที่เรียบร้อยกว่าไอ้ทิชชู จึงไม่แปลกที่จิ๊กซอร์จะลำเอียงชอบหมูปิ้งมากกว่ามัน ทำให้ไอ้ทิชชูนอกจากจะเป็น ไอ้หมาโรคจิต ในสายตานายแล้ว ยังเป็น หมาขี้อิจฉา อีกด้วย
เรื่องราวของไอ้ทิชชู เจ้าหมูปิ้งและจิ๊กซอร์นายของมันจะเป็นยังไงต่อไปน้อ เอาไว้คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ
25 เมษายน 2550 14:59 น.
ศรรกรา
ดาวเป็นเด็กสาววัยสะพรั่ง ก่อนหน้านี้ครอบครัวของดาวจัดว่าอยู่ในฐานะปานกลาง พ่อทำกิจการของตัวเอง และแม่ก็ดูแลดาว ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ดาวจะมีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส เรียนเก่ง และช่างพูดช่างคุย เป็นที่รักของคนทั่วไป
แต่หลังจากที่กิจการพ่อของเธอประสบความสำเร็จ ท่านกลับไม่มีเวลาให้กับดาวเลย เพราะว่าพ่อต้องการกอบโกยโอกาสทองนี้ให้มากที่สุด ส่วนแม่ซึ่งเคยดูแลดาวอย่างใกล้ชิด ก็เริ่มออกงานสังคม สังสรรค์กับเพื่อนโดยเหตุผลว่า การที่แม่ออกงานสังคมมากเท่าไรก็อาจจะช่วยงานด้านกิจการของพ่อมากขึ้นเท่านั้น
หลายครั้งที่ดาวรู้สึกเหงา เธอจะพูดกับแม่ว่า "แม่ขาอยู่บ้านเป็นเพื่อนหนูหน่อย" แต่คำตอบของแม่ก็คือยิ้มและพูดว่า "ลูกโตแล้ว" บ้างครั้งดาวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จึงเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง
หลายเดือนผ่านไปแล้ว ดาวมีความรู้สึกว่าอยู่บ้านแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา นอกจากความเหงาเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เธอเริ่มคบเพื่อนมากขึ้น เที่ยวเตร่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอน พ่อแม่เธอก็ไม่เคยจับได้ บางครั้งเธอค้างบ้านเพื่อน โดยอ้างว่าทำรายงาน แต่น่าแปลกคะแนนสอบที่เธอเคยทำได้ดี กลับตกฮวบฮาบ
วันหนึ่งหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว "ถล่มคลีนิกเถื่อน" ภาพที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้แม่ของดาวใจหาย ภาพของเด็กสาวที่หล่อนรู้จักดีนอนอยู่ที่เตียงในสภาพที่หว่างขาเต็มไปด้วยเลือด แน่นอนหล่อนย่อมรู้ว่าภาพเด็กสาวคนนั้นเป็นใคร แต่จะให้หล่อนทำอย่างไรละ ระหว่าง....
ให้หล่อนเปิดใจยอมรับว่าเด็กสาวที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์คนนั้นคือ ดาวเป็นลูกของตนเอง โดยไม่แคร์สังคมและยอมรับกับความอับอายในภายหลัง และเริ่มต้นที่จะดูแลและรับผิดที่ตนเองไม่ดูแลลูก หรือ....
ขอเก็บเป็นความลับเฉพาะครอบครัวเท่านั้น ไม่บอกใคร เพราะต้องแคร์สังคมบ้าง แต่จะเอาใจใส่ลูกให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ถ้าเป็นคุณเป็นหล่อนล่ะจะทำอย่างไร?
23 เมษายน 2550 10:26 น.
ศรรกรา
กลางปี 37 ฉันทำงานพิเศษวันเสาร์อาทิตย์จากการชักชวนของเพื่อน จุดประสงค์คือความต้องการหารายได้ในการใช้จ่ายในการเรียน เพื่อจะได้ไม่รบกวนพ่อแม่ โดยที่ฉันไม่คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของเรา
ฉันเจอเขาคนนั้นในที่นั่นด้วย เขาเข้ามาทำงานก่อนฉัน เรารู้จักกันเพราะเพื่อนแนะนำให้ แรก ๆ เราก็มีความรู้สึกที่เพื่อนกับเพื่อนทำงานทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความสนิทสนม ทำให้ความรู้สึกนั้นแปรเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
1 ปีหลังจากที่เราพบกัน ความรู้สึกของเราสองคนต่างเก็บซ่อนกันโดยต่างไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย จนกระทั่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 เขาโทรศัพท์มาที่บ้าน ซึ่งมันก็เป็นปรกติที่เราโทรคุยกันประจำ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ก่อนวางสายเขาทิ้งประโยคหนึ่งที่สามารถทำให้ใจเราสั่นได้ นั่นก็คือ "เราชอบเธอนะ" และก็วางสายทันทีโดยที่ไม่รอรับคำตอบจากเรา
นับจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ดำเนินดีขึ้นเรื่อย ๆ เราคบกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงต่างก็รับรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน จนกระทั่ง.......
ต้นปี 45 ความรักของเราก็ล่มสลายลง ด้วยสาเหตุที่เราเองเป็นคนผิด ทั้งที่ไม่อยากคิดจะทำ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราเสียใจทั้งสองฝ่าย คนที่เราสนิทต่างก็ไม่เชื่อว่าเราจะเลิกกันง่าย ๆ ทั้งที่คบกันมา 7 - 8 ปี เรามีความรู้สึกผิด และละอายที่เกินกว่าที่จะติดต่อพูดคุยกับเขา ทั้งที่เราอยากจะทำอย่างยิ่ง เราอาศัยเพื่อนถามไถ่ข่าวคราวเขาว่าเป็นยังไง จนเวลายืดยาวถึง 5 ปี ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังเหมือนเดิม จนกระทั่ง.........
วันที่ 21 เมษายน มีเพื่อนโทรมาบอกข่าวของเขา ซึ่งต่างจากทุกครั้งที่ฉันจะเป็นฝ่ายถามถึง "เขาตายแล้ว" ฉันได้ยินคำนั้นโดยไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง "อะไรนะ" "เขาตายแล้ว" ฉันยังคิดว่าตัวเองฝัน มันใช่ความจริงเหรอ ซึ่งตลอดเวลาที่ฉันถามถึงเขา ก็มีแต่คนบอกว่าเขาสบายดี แต่ทำไมถึงมีข่าวไม่ดีออกมาได้เหรอเพื่อนล้อเล่น มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ในคืนวันที่ 22 ฉันไปงานศพ กรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างโลงศพนั่นคือเขาจริง ๆ เขาเป็นมะเร็งในตับแต่กลับไม่มีใครบอกความจริงให้ฉันรับรู้เลย ฉันอยากบอกเขาว่า "ฉันขอโทษ" ในขณะที่เขามีลมหายใจ ไม่ใช่บอกกับเขาในขณะที่ร่างเขานอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น "ฉันขอโทษนะ ฉันยังรักเธออยู่นะ จงนอนพักผ่อนให้สบาย ฉันจะไม่ลืมเธออย่างแน่นอน"
เพลง เธอไม่เคยตาย (วงทู)
เหมือนฝันร้าย กลายเป็นจริง
เมื่อวันที่เสียเธอ
รักนี้ต้องเจอ การจากลา
ทิ้งไว้แค่ความทรงจำ ไม่มีทางย้อนมา
จำเธอติดตา ไม่อาจจะลืม
ครั้งนั้นที่มีเธออยู่ ต่างคนต่างรู้ใจ
ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ ก้าวไปด้วยกัน
ครั้งนี้ไม่มีเธออยู่ ใจมันทรมาน
ยังคงต้องการเธออยู่เสมอ
* เธอไม่เคยจะตายจากไปในใจ ฉันยังมีเธอ
เหมือนคนละเมอบ้าบอยังรอ แม้สายเกินไป
เคยรักเธอคนเดียว เกิดมาไม่เคยคิดรักใคร
ฟ้าดินทลาย แต่ใจยังคงรักเธอ
อยากจะหมุนวันเวลา ให้กลับคืนไป
อยากจะย้อนไป เป็นเหมือนดังวันวาน
แต่สิ่งที่เป็นจริง เราต้องจากกันไกล
รับรู้ใจนี้เอาไว้ เธอยังไม่ตายไปจากใจฉัน
(ซ้ำ *)