30 เมษายน 2550 09:25 น.
ศรทอง
เด็กๆญี่ปุ่นในช่วงนั้นไม่ว่าจะ หญิงหรือชาย ไม่ว่าจะเด็กเล็ก เด็ก วัยรุ่น ก็ลำบาก โดยเฉพาะวัยรุ่นในช่วงนั้นเหมือนกับถูกบังคับไม่ให้คบเพื่อนผู้หญิง เด็กและเด็กเล็กก็เช่นกัน จนวันหนึ่งเด็กๆเหล่านี้รวมตัวกันพับนกสันติภาพ นกสันติภาพนี้ทำมาจากกระดาษสีขาว สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ก่อนที่เด็กๆเหล่านี้จะมารวมตัวกันพับนกนั้น เขาได้ข่าวเกี่ยวกับสงครามกลางเมือง ว่า "มีเด็กหญิงที่โดนลูกหลง และตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล และเริ่มต้นพับนก เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นว่าง ไม่มีอะไรทำ ก็เลยขอกระดาษจากพยาบาล และเริ่มพับนก ไปเรื่อยจนเธอเป็นข่าว" เมื่อเด็กๆเหล่านี้ ได้ข่าว เด็กๆเหล่านี้จึงเริ่มพับนก พับไปเรื่อยๆ จนได้หลายแสนตัวและส่งไปให้รัฐสภาของญี่ปุ่น เมื่อรัฐสภาได้รับนกสันติภาพหลายแสนตัว และมีจดหมายแนบมาด้วยว่า " เราได้รับข่าวจากโทรทัศน์แล้วว่า" มีเด็กหญิงคนหนึ่งโดนลูกหลงจากสงครามกลางเมือง และได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และเธอก็เริ่มพับนกขาวหรือนกสันติภาพ เริ่มพับเรื่อยๆจนได้หลายแสนตัว เราจึงเริ่มพับเพื่อช่วยเธอ ช่วยนำนกสันติภาพพวกนี้ไปปรอยให้ทั่วเมือง และจงทำความเข้าใจกับทั้งสองฝ่ายด้วย เราไม่อยากเห็นความสูญเสียเกิดขึ้นกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องอีก
และไม่นานสงครามกลางเมืองก็จบลง เพราะ นกสันติภาพของกล่มเด็กๆเหล่านี้
30 เมษายน 2550 08:11 น.
ศรทอง
ปลายทางของคนแต่ละคนไม่เหมือนกันหรืออาจจะเหมือนกันในบางคนแต่ก็หาได้น้อยมาก ปลายทางก็เหมือนกับความสำเร็จทางการศึกษา แล้วพอเริ่มทำงานแล้วก็เริ่มต้นใหม่จนกะทั่งเราคิดว่าเราควรพอแล้วนั้นละคือปลายทางของการทำงาน บางคนเมื่อถึงปลายทางของการศึกษาแล้ว ก็อาจจะค้นหาตัวเองโดยการไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือการไปเที่ยวแบบ Off Road นั้นเอง บางคนก็ค้นหาตัวเองจนเจอแล้วก็เจอจุดมุ่งหมายด้วยว่า สุดท้ายไม่ใช่ที่ปลายทาง ปลายทางของคนเราในการศึกษาไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าคนเราจะมีความพยายามมากน้อยแค่ไหน บางคนที่มีความพยายามมาก ก็อาจจะได้เรียนสูงๆแต่สำหรับบางคนที่ไม่พยายามเรียนให้สูง สุดท้ายก็จบแค่ม.6แล้วก็ไม่เรียนต่อ คนที่อยากเรียนสูงๆกับจน แต่คนที่ไม่อยากจะเรียนสูงๆ หรือขี้เกียจจะเรียนนั้นกับมีเงินล้นฟ้า ต่อไปการเข้าทำงานนั้นเป็นเรื่องที่การศึกษาว่าสูงแค่ไหน การศึกษาสูงมากแค่ไหนก็ได้เงินเดือนดี แต่ถ้าการศึกษาต่ำ เงินเดือนก็ต่ำไปด้วย แล้วส่วนใหญ่คนที่เก่งๆนั้นจะมาจากต่างจังหวัด
เพราะฉะนั้นปลายทางของคนแต่ละคนต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่มีและปลายทางของการศึกษานั้นไม่เหมือนกันแล้วแต่ความพยายามของแต่ละคนนะครับ
27 เมษายน 2550 13:27 น.
ศรทอง
ชายคนนี้เป็นคนกรุงเทพ วันหนึ่งชายคนนี้ก็ไปสมัครงานไปทำงานต่างประเทศ ชายคนนี้ขยันขันแข็ง และเขาก็โชคดีที่ได้งานที่เมืองผู้ดีหรือประเทศอังกฤษนั้นเอง วันแรกที่เขาไปทำงานและวันที่เขาอยู่วันแรก เขาก็คิดถึงบ้านแต่เขาก็บอกกับตัวเองว่า "คึดถึงไปก็เท่านั้นละ เขาบอกกับตัวเองมาตลอด" และเขาก็โชคดีที่ได้ทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอังกฤษวันแรกที่เขาทำงานเขาขยันทำงานจนขนาด นายเขาที่เป็นคนไทยยังชมเลยว่า " ขยันทำงานจริงๆ นายเนี่ย" เวลาเขาคิดถึงบ้าน เขาก็ทำแต่ งาน งาน งานและงาน เขาไม่เคยกับบ้านเลย เขาส่งเงินไปอย่างเดียว จนวันหนึ่งทางบ้านได้รับจดหมายจากชายคนนี้ ทางบ้านสรุปความว่า "เขาได้รับตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาของประธานบริษัทเลย และเขาบอกว่าจะขอลากลับบ้านสักสองอาทิตย์ แล้วไม่นานเขาก็กลับมาจริงๆและเมื่อวันที่เขาลาก็ครบสองอาทิตย์พอดี และเขาก็กลับไปทำงาน
งานพวกนี้เป็นงานวัดดวงและความขยันของคนจริงๆนะครับ บางคนได้งานดีแต่ตัวเองไม่ขยัน แต่บางคนได้งานไม่ดีแต่ขยันสักอย่างใครเห็ใครก็รัก
27 เมษายน 2550 13:06 น.
ศรทอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะประเทศจีนช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวจีนส่วนใหญ่จึงต้องอพยพมาทำงานที่ประเทศไทยโดยนั่งเรือสำเภามาจากประเทศจีน และมาเทียบท่าที่แม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนมากจะตั้งรกรากที่ประเทศไทยเลยหรืออยู่จนชั่วลูกชั่วหลานนั้นละครับ แตก็มีครอบครัวหนึ่งได้พาลูกชายของเขาอพยพมาจากประเทศจีนด้วย และได้เข้าเรียนที่เมืองไทยต่อจากที่เรียนที่เมืองจีน แรกๆเพื่อนก็ล้อเขาว่า "ว้าย! พูดไม่ชัด" แต่หลังๆเขาก็ชินและเพื่อนก็เลิกล้อไปเอง เพื่อนมีเหตุผลที่เลิกล้อว่า "เนี่ยคนจีนเนี่ยขยันและนิสัยดีกว่าคนไทยซะอีกมีอะไรก็ช่วยเหลือตลอด" ส่วนด้านพ่อแม่ของเขา คนจีนขยันขันแข็งแรกก็เช่าบ้านอยู่แต่ไม่นานเขาก็ซื้อบ้านอยู่ เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก จากเด็กชายที่ขยันขันแข็งก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ขยันขันแข็งช่วยเหลือ พ่อและแม่เขาทำงาน อ่อ!ลืมบอกไปหลังจากซื้อบ้านได้ไม่นานพ่อและแม่ของเขาก็สร้างกิจการเป็นของตัวเอง นี้ละลูกของเขาช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เด็กๆ จนตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่นานอีกเช่นกันเขาก็แต่งงานและมีลูก เขามีครอบครัวเล็กๆแต่ครอบครัวเล็กๆนี้ก็เงินไม่ขาดมือ เพราะขยันขันแข็งกันทุกคนและก็ทำแบบนี้ชั่วลูก ชั่วหลานเลยละครับ
26 เมษายน 2550 10:54 น.
ศรทอง
เวลาของในเมืองเดินเร็วกว่าเวลาในต่างจังหวัดหรือในชนบทเพราะในชนบท ชาวบ้านไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานทำให้เกิดความว่างเปล่าของเวลา ลองให้คนในเมืองลองไปอยู่ในชนบทแต่ในชนบทนั้นไม่เจริญเหมือนในเมือง แต่ในชนบทนั้นไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานเหมือนคนในเมืองยกตัวอย่างง่ายๆเลย คนในกรุงเทพเนี่ยวันๆหนึ่งต้องไปทำงานทุกๆวันแล้วต้องเพื่อเวลาเอาไว้อีก แต่ถ้าเป็นในชนบทไม่ต้องเพื่อเวลาไปทำงาน คนในชนบทป่วยนิดๆหน่อยๆ เขาไม่เข้าโรงพยาบาลหรอก แต่ถ้าในกรุงเทพป่วย นิดๆหน่อยๆ ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วเพราะอากาศในกรุงเทพนั้น มีแต่ควันพิษ และ มลพิษ ส่วนในชนบทมีอากาศที่ดีเพราะฉะนั้นในชนบทจึงเกิดช่องว่างแห่งเวลาขึ้นมา
สรุปคือในชนบทนั้นมีเวลามากกว่าในเมืองเพราะฉะนั้นชนบทจึงเกิดช่องว่างแห่งเวลาขึ้นมา