31 มีนาคม 2549 10:21 น.
วิญญาณศิลา
ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีหนองใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งกว้างและลึก สมบูรณ์ไปด้วยผักปลาอาหาร เป็นที่อาศัยของสัตว์ใหญ่น้อย
พระเอกของเรื่อง เป็นสุนัขจิ้งจอก ชื่อ สิงคะ มีบริวารมากมายอาศัยอยู่ด้วย
ในป่าใกล้หนองน้ำเป็นที่อยู่ของช้างสาร เข้าฤดูฝน ฤดูกาลที่สุนัขจิ้งจอกออกไปหาอาหารได้ยาก วันหนึ่ง สิงคะไปเห็นช้างสารเข้า ก็เกิดความคิดอยากจะกินเนื้อช้างสาร กลับไปปรึกษากับบริวาร
ตัวท่านน้อย เท่าปลายเท้าช้างสาร สุนัขจิ้งจอกบริวารทัก ซึ่งจะคิดอ่านกินช้างสารนั้น เห็นจะไม่ได้ดังประสงค์
สิงคะตอบว่า ตัวโตใหญ่นั้นไม่เป็นประมาณ สุดแล้วแต่ปัญญา เมื่อความฉลาดดีมีแล้ว แม้ตัวเล็กก็จะคิดฆ่าสัตว์ใหญ่ได้
ว่าแล้วสิงคะก็แบ่งบริวารเป็นสองพวก พวกแรกให้เฝ้าอยู่ในหนอง พวกที่สองไปหาช้างสาร เมื่อไปถึง สิงคะก็หมอบ กรานซบหัวที่เท้าช้างสาร แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พญาช้าง ผู้มีศักดาเดชานุภาพใหญ่ เชิญท่านไปเป็นนายพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ช้างสารสงสัย...สิงคะก็อธิบาย ในหมู่มนุษย์ก็มีพระเจ้าแผ่นดินครอบครองสั่งสอน จึงได้อยู่เย็นเป็นสุข ในหมู่สุนัขจิ้งจอก ไม่มีนายชี้ขาดตัดสินอรรถคดี ปรานีปรานอม สั่งสอน อยู่ลำพังเช่นนี้
ไหนเลยจะเป็นสุขได้เล่า
ช้างสารฟังคำหวานก็ตกปากรับคำ สิงคะกลับไปจัดเตรียมสถานที่ในหนองน้ำเรียบร้อย เมื่อช้างสารไปถึง สุนัขจิ้งจอกกลุ่มหนึ่ง รวมตัวกันอยู่บนเกาะกลางหนอง...ร้องเห่าหอน เชิญชวน
ช้างสารหลวมตัว เดินลงหนอง ติดอยู่ในหล่มโคลนลึก สุนัขจิ้งจอกได้โอกาส ทำทีเป็นเข้ามาช่วย บางตัวหอนแล้วแหย่หางให้ช้างฉุด แต่หลายตัวถือเป็นโอกาสวิ่งขึ้นไปขี้รดที่ดวงตา
ไม่ช้าช้างก็ตาบอด และตาย
เป็นอันว่าแผนล่อช้างสารบรรลุ สุนัขจิ้งจอกทั้งฝูง ได้อาศัยเนื้อช้างสาร เป็นอาหารตลอดฤดูฝน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าอำนาจแข็งกล้า ใช้ กำลังช่วงชิงหรือวาจาเกรี้ยวกราดอย่างเดียวคงไม่ได้
ในสงคราม...บางครั้งคำหวานก็จำเป็น เอาชนะใจคนใกล้ตัวยังไม่ได้ ป่วยการที่จะคิดหักหาญเอาบ้านเมือง.