30 มีนาคม 2551 16:20 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
เมื่อทั้งโลกยึดค่าราคาของ
ตามราคาแท่งทองของควรค่า
เมื่อทองแพงน้ำมันแพงแซงราคา
ฉุดเอาค่าราคาของประคองชน
ประเทศไทยไม่มีทองเป็นกองเหมือง
เป็นเพียงเมืองเกษตรกรรมตามฟ้าฝน
ก็ยึดแบบต่างชาติประกาศตน
ว่าคือชนทันสมัยไม้แพ้กัน
เมื่อทองขึ้นน้ำมันขึ้นฝืนไม่อยู่
ข้าวของกรูขึ้นราคาช่างน่าขัน
พวกคนรวยไม่กระทบเพราะครบครัน
ชนล่างชั้นกระอักเลือดดั่งเชือดคอ
นโยบายรัฐเองเร่งต่างชาติ
ป่าวประกาศให้ลงทุนหนุนหนักหนอ
ดั่งกับเราเข้าขั้นอันควรพอ
สำหรับต่อเร่งรุดอุตสาหกรรม
ลืมไปว่าทองคำประจำถิ่น
เหนือแผ่นดินถิ่นไทยอันใหญ่ล้ำ
ก็คือข้าวสีทองผ่องอำพรรณ
ที่สำคัญกว่าทองทุกผองชน
ควรจะเร่งหนุนนำทองคำนี้
ให้เป็นที่รู้จักได้ในทุกหน
เพราะชีวิตการเป็นอยู่ทุกผู้คน
ใครจะทนทดลองกินทองแทน
มิใช่มัวเร่งรุดอุตสาหกิจ
มาก่อพิษก่อควันอันสุดแสน
ผืนนามีปลูกข้าวกินทุกดินแดน
กลับถูกแทนด้วยโรงงานประหารตน
อนาคตคนรวยร่ำน่าขำนัก
คงต้องหักเอาทองแท่งมาแกงป่น
เพราะที่ดินปลูกข้าวของเหล่าชน
มีแค่พอปลูกข้าวต้นให้ตนกิน
27 มีนาคม 2551 22:03 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ณ แผ่นดินถิ่นนาในหน้าฝน
มีสองคนช่วยกันหมั่นหว่านไถ
ชื่อตาอินกับตานาบ้านป่าไพร
ยึดอาชีพทำนาไร่อาศัยกัน
เมื่อฝนเริ่มหล่นรินแผ่นดินชุ่ม
ก็เร่งรุมหว่านไถด้วยใจมั่น
เพราะเห็นข่าวข้าวขึ้นยืนหลายพัน
ขายหลายตันคงหลายหมื่นน่าชื่นใจ
หลังหว่านไถปักดำน้ำก็พร้อม
เอาปุ๋ยย้อมหว่านเพิ่มเริ่มสดใส
ต้นข้าวเขียวชูช่อก็แตกใบ
มิทันไรก็ตั้งท้องทั้งท้องนา
แล้วชูช่อก่อรวงอันช่วงโชติ
ตาอินโดดตานาร้องก้องแผ่นฟ้า
ข้าวออกรวงเรืองรองดั่งทองทา
คงขายได้ราคาน่าชื่นใจ
เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวไปขายโรงสี
ร้านตาอยู่ออกมาตีราคาให้
เกวียนแปดพันฉันขายไม่อายใคร
ตาขายไหมถ้าไม่ขายช่วยไปที
ตาอินเอ๋ยแปดพันฉันว่าถูก
ตานาเอ๋ยแล้วจะลุกขายไหนนี่
โรงสีอื่นก็ไกลหมดรถไม่มี
ก็ยังดีขายซะมาเอาลง
หลังตาอินตานาพาเกวียนกลับ
ตาอยู่นับตันข้าวเอาไปส่ง
โรงสีใหญ่ในเมืองรถเครื่องลง
ขายข้าวส่งเกวียนละหมื่นยืนยิ้มใจ
คนทำนาหมดค่าปุ๋ยลุยแรงซ้ำ
แต่ราคากลับต่ำช้ำใจไหม
ไอ้คนกลางมันน่าขำทำอะไร
ได้เงินใช้หลายเท่ากว่าชาวนา
22 มีนาคม 2551 20:44 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
เอาผลิตผลตนเองเร่งผลิต
ด้วยเลือดเนื้อและชีวิตและสังขาร์
ที่ฟูมฟักรักหวงดั่งดวงตา
มาล้างน้ำใส่ตะกร้าพาออกงาน
ประหนึ่งบุตรของตนเป็นผลไม้
ที่ปลูกไว้ในสวนชวนสงสาร
ถึงเวลาออกผลมิยลนาน
ก็เก็บมาจากหลังบ้านขายกันกิน
ผลยังเล็กโตวัยไม่เต็มที่
มีอาจหนีถูกขว้างด้วยทางหิน
ก็หลุดหล่นจากที่ลงตีดิน
พ่อก็เก็บไปขายกินสิ้นเมตตา
ไปขัดสีฉวีวรรณหว่านน้ำหอม
แล้วชุบย้อมลงแป้งแสร้งตีค่า
ว่าสดใสวัยซิงวิ่งราคา
ใส่ตะกร้าเร่ขายใช้ชายชิม
ชาวต่างชาติเรียกซื้อถือไปขาย
ว่าลูกชายขายไหมน้องอยากลองลิ้ม
บอกหนึ่งพันฉันขายให้นายชิม
ฝรั่งยิ้มแปดร้อยหน่อยนะนาย
เจ้าของสวนนิ่งคิดสักนิดหน่อย
ได้แปดร้อยก็ยังดีจึงรี่ขาย
ผลักลูกน้อยเข้าห้องของผู้ชาย
แล้วเดินหายมารอหน้าหอเรือน
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไวยิ่งนัก
เห็นลูกรักเดินออกมาหน้าลอยเลื่อน
ไปจับมือรับเงินเดินกลับเรือน
พรุ่งนี้เพื่อนสั่งไว้ขายอีกที
อนิจจาอนิจจังนั่งอนาถ
ดูความเสื่อมของชาติในบัดนี้
เมืองเจริญไกลลับนับนาที
แต่จิตใจกลับต่ำตีหนีลงดิน
14 มีนาคม 2551 17:52 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ด้วยจำเป็น ต้องเดินทาง กลางคืนค่ำ
ผ่านลำนำ ป่าเขียว เปลี่ยวหนักหนา
ต้องผ่านทาง ร้างคน หม่นอุรา
เพื่อมุ่งหน้า กลับบ้าน ผ่านกลางคืน
จึงหยิบเอา หมวกกันน๊อค ที่ล๊อคไว้
ปลดแล้วใส่ บนหัว กลัวก็ฝืน
รัดคางล๊อค ให้แน่นหนา แล้วคว้าปืน
เดินไปยืน หน้ารถ ปลดประตู
อีซูซุ ดีแม๊กซ์ แลกซื้อใหม่
สี่ประตู คันใหญ่ ข้างในหรู
เข้าไปนั่ง ที่ขับ จับหมวกดู
ว่าแน่นอยู่ เพียงใด เผื่อใช้งาน
เมื่อแน่นหนา ดีอยู่ ประตูปิด
สตาร์ทติด ถอยออก ข้างนอกบ้าน
จอดสักพัก พนมกร วอนบันดาล
ที่หน้าศาล พระภูมิ ให้คุ้มครอง
แล้วออกรถ มุ่งไป ในทางเปลี่ยว
พลางแลเหลียว สองข้างทาง อย่างจดจ้อง
เมื่อเริ่มเปลี่ยว ก็ปิดไฟ ที่ใช้มอง
เอาแสงของ ดวงจันทร์ นั้นส่องทาง
กลัวแสงไฟ ใช้ส่อง จ้องทางแล้ว
เป็นหน่อแนว สู่ภัย ให้เจ็บบ้าง
กลัวคนร้าย แอบสู้ อยู่ข้างทาง
เขาปาขว้าง หินใส่ ให้เจ็บตัว
ปิดไฟแล้ว ถ้ายังปา เข้ามาใส่
หมวกกันน๊อค คงช่วยได้ กันใส่หัว
คงพอผ่อน อันตราย ให้คลายตัว
ที่คนชั่ว โฉดช้า ตามราวี
เมื่อไม่มี มาตรการ ช่วยฉันแล้ว
คงไม่แคล้ว หาทาง อย่างฉันนี่
มาปิดไฟ ใส่หมวกบ้าง อย่างฉันซี
ป้องกันผี ปาหินใส่ ได้เหมือนกัน