18 สิงหาคม 2551 20:06 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
เมื่อผู้ครอง อำนาจ วาดอักษร
เป็นบทกลอน บทวี ที่สื่อสาร
จินตภาพ ลึกล้ำ ดำเนินการ
จึงเกิดงาน เกิดกวี เป็นศรีชน
ด้วยดวงใจ บริสุทธิ์ จึงรุดเลิศ
ก่อกำเนิด บทประพันธ์ อันทรงผล
ประโลมโลก ด้วยภาษา ค่าควรชน
ด้วยมิ่งมนต์ แห่งกวี ศรีแผ่นดิน
เพราะกวี คือกวี ที่ควรค่า
ใช้ภาษา สร้างสรรค์ วรรณศิลป์
มิอวดเก่ง อวดกล้า ตราแผ่นดิน
ว่าตัวข้า ไร้สิ้น คนเทียมทัน
แต่บางคน ตั้งตน เป็นกวี
ว่าวจี ของข้า เลิศกว่าขั้น
แล้วยกตน ข่มชน คนด้วยกัน
ว่าฝีมือ ต่ำชั้น ไม่ทันใจ
ว่าวาจา ของฉัน นั้นชั้นเทพ
แล้วแนมเหน็บ คนอื่น น่าคลื่นไส้
ว่าเขียนกลอน พร้อมฉัน นานแล้วไย
แต่ฝีมือ ยังไร้ ซึ่งความงาม
แล้วนี่หรือ คือกวี ที่ท่านอ้าง
คือหนทาง แห่งกวี จึงชี้ถาม
ว่าคำพูด และภาษา ที่ว่าตาม
ส่อถึงความ เป็นกวี นี่หรือไร
เราเขียนกลอน เพราะใจรัก อยากจะเขียน
อาจไม่เนียน อาจไม่งาม พอทำได้
แม้ไม่หรู เลิศลักษณ์ ประจักษ์ใคร
แต่ออกมา จากหัวใจ ใช่แสร้งทำ
เราไม่ใช่ กวี ที่ดีล้น
เป็นแค่คน เขียนกลอน ขอวอนย้ำ
อาจไม่ดี เท่ากวี ที่จดจำ
แต่ขอทำ หน้าที่ นี้ต่อไป
4 สิงหาคม 2551 19:43 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ฉันมาขอ ทวงคืน สะพานลอย
สู้ไม่ถอย สะพานลอย ของฉันหนา
ฉันส่งคน ไปยึดไว้ หลายเวลา
ใช้เป็นที่ ทำมา และหากิน
มีกระป๋อง กล่องแก้ว และแถวขวด
มานั่งสวด ขอทาน คนผ่านสิ้น
สวมเสื้อผ้า แสนเก่า เอาคลุกดิน
กายเปื้อนกลิ่น โคลนตม บ่มกายา
ฉันยึดครอง จองที่ ตรงนี้แล้ว
จองที่แถว ฝั่งสะพาน บ้านของข้า
ข้างบันได ให้ลูกสาว เข้าตีตรา
ทางข้างหน้า ให้ลูกชาย หมายยึดครอง
เราอาศัย เศษเงิน เชิญบริจาค
ใจบุญมาก เราได้มาก อยากขอร้อง
เงินเก็บมี หลายพัน ฉันจึงจอง
สะพานลอย เป็นห้อง ลองทำงาน
ฉันจะฟ้อง ศาลโลก เอาที่นี่
สะพานลอย ทุกที่ มีทุกย่าน
ฉันถือครอง กรรมสิทธิ์ ติดมานาน
ถึงเวลา ขอทาน จะผลาญเมือง
ทั้งพื้นที่ ทับซ้อน ค่อนทางข้าง
จะหาทาง ยึดครอง ฟ้องเอาเรื่อง
สะพานลอย ทุกหน ชุมชนเมือง
จะเปลี่ยนเครื่อง เอกราช เป็นชาติเรา
ทั้งนานา อารยะ จะเข้าข้าง
สิ่งปลูกสร้าง สะพายลอย คอยฟังเขา
เพราะยึดครอง นานนม จนนมเนา
จึงควรเป็น ของเรา แต่นานมา
เรามาขอ ทวงคืน สะพานลอย
เราชนะ ขาดลอย แล้วสินา
ในเมื่อศึก ในบ้านท่าน ยังผ่านตา
เอาคืนมา เอาคืนมา สะพานลอย
29 กรกฎาคม 2551 20:14 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
เมื่อโลกา อภิวัฒน์ วิบัติหล้า
จนตรีตรา ผ่านไทย ในบัดนี้
เอกลักษณ์ แห่งภาษา ในธานี
ถูกย่ำยี ด้วยหัวใจ ไทยด้วยกัน
เอกลักษณ์ เอกราช ประกาศโลก
นับเป็นโชค เรามีค่า ภาษาสรรค์
แต่คนไทย ไม่เห็นค่า ว่าสำคัญ
คิดว่ามัน เรื่องเล็กน้อย ปล่อยกันไป
ภาษาพูด เอามาใช้ ในการเขียน
ตัวสะกด เริ่มเพี้ยน เปลี่ยนกันใหม่
พจนา นุกรม ไม่สมใจ
ฉันจะคิด คำใหม่ ใช้กันเอง
พยัญชนะ สระ ตัวสะกด
ถามเด็กไทย ไม่รู้หมด ลดความเก่ง
แต่ภาษา คำแสลง แย่งกันเอง
ฉันก็เก่ง ใครก็เก่ง เบ่งไม่อาย
บ้างอาจมอง ว่าปัญหา น่าเล็กนัก
มิได้หนัก จนไทยจม ล่มสลาย
เมื่อเติบโต คงเรียนรู้ อยู่ทุกราย
ถึงความหมาย ของภาษา ว่าใดควร
แต่หากมอง ลงไป ลึกหลายด้าน
ถึงผลการ ใช้ภาษา น่านึกหวน
เมื่อวันนี้ เราใช้ไป ไม่เหมาะควร
แล้วพรุ่งนี้ จะดีล้วน ได้อย่างไร
อนาคต เด็กไทย ใยแยกรู้
คำที่อยู่ ถูกผิด คิดได้ไหม
เมื่อวันนี้ คนขึ้นชื่อ ว่าคือไทย
ก็ยังใช้ ภาษา น่ากังวล
ภาษาไทย แต่คนไทย ยังใช้ผิด
มันน่าคิด อนาคต ปรากฏผล
ว่าภาษา เคยเลิศลักษณ์ ประจักษ์ชน
อาจร่วงหล่น อยู่เคียง เพียงตำนาน
16 กรกฎาคม 2551 20:00 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
อันบุคคล ผู้ถือตรา ดาราเด่น
ผู้ร้องเต้น เล่นแสดง แสร้งสีสัน
มีผลงาน ผ่านทีวี ทุกวี่วัน
ผู้เลอโลม เทียมสวรรค์ ชั้นเทวี
มีหัวโขน เป็นนางฟ้า สง่าสม
คนชื่นชม มอบฉายา ดารานี้
ทุกบทบาท ทุกลีลา ทุกท่าที
จึงดูดี เรียบร้อย ลอยวิมาน
กลบเบื้องหลัง ด่างดำ รอยช้ำไว้
ด้วยท่าที ที่สดใส ให้กล่าวขาน
ด้วยลีลา ท่าที ที่เชี่ยวชาญ
คนทั้งย่าน จึงติดภาพ กับที่เป็น
แต่ความจริง คือคน บนโลกล้วน
ที่ครบถ้วน โลภรัก มักให้เห็น
กองกิเลส ท้นท่วม รวมให้เป็น
ปุถุชน เฉกเช่น เห็นดั่งเรา
เมื่อมิอาจ ปิดกลั้น อันโลภรัก
ความแตกหัก ระหว่างชน จึงปนเข้า
ประกาศศึก สงคราม ข้ามเพียงเงา
ให้สื่อเขา ประโคมข่าว ดาวจิกกัน
เมื่อบุคคล ผู้ได้ชื่อ คือนางฟ้า
สาดคำด่า ผ่านสื่อ ลือสวรรค์
วิมานเทพ สั่นสะท้าน นานหลายวัน
จนเดือนร้อน ถึงชั้น เทวดา
หมู่สาวก นางฟ้า มาร่วมด้วย
ใครมาช่วย ฝ่ายตรงข้าม ห้ามฉันด่า
ทั้งพี่น้อง เผ่าพงศ์ ตรงเข้ามา
ประจันหน้า ด่ากัน ผ่านทีวี
นี่นะหรือ คือสวรรค์ อันงามงด
ที่ปรากฏ ผ่านตาฉัน ทุกวันนี่
ที่แท้แล้ว ภาพสวยงาม ตามทีวี
ตลาดสด ดีดี เท่านี้เอง
3 กรกฎาคม 2551 17:39 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันที่ 3 กรกฎาคม วันเกิดผมครับ อิอิ
หลังเลิกงาน ถึงบ้าน อ่านแมสเซส
จดหมายเหตุ เผื่อมีใคร ให้สุขสันต์
ไม่มีแม้ สักข้อความ ถามถึงกัน
ไม่มีใคร เขาสุขสันต์ วันเกิดเรา
เปิดเครื่องคอมฯ เปิดเมลล์ อย่างเร็วรี่
ไว้แวววี่ คำอวยพร เริ่มนอนเหงา
เปิดออนเอ็ม ทิ้งไว้ ปลอบใจเรา
เผื่อใครเขา ทักอวยพร ตอนเย็น ๆ
โทรศัพท์ เปิดไว้ เผื่อใครตื๊ด
ก็ยิ่งยืด ความเศร้า ให้เราเห็น
เพราะตั้งแต่ เที่ยงคืน ตื่นตอนเย็น
ยังไม่เห็น เบอร์ใคร ให้คำพร
หันมองดู ปฏิทิน เพราะสิ้นหวัง
ปากกายัง เขียนไว้ ให้หลอกหลอน
วันที่สาม กรกฎา ภาษากลอน
ว่าอวยพร วันเกิดตน บนกระดาน
จึงหยิบเอา เทียนไข ในลิ้นชัก
มาตั้งหลัก จุดจนติด อธิษฐาน
อันพรใด ในหล้า ค่าโอฬาร
จงประทาน อยู่ข้า อย่ารอรี
แล้วเป่าเทียน เล่มหนึ่ง จนถึงดับ
พลางขานขับ บทเพลง บรรเลงรี่
แล้วเอนหลัง ยังเตียง ฟังเสียงดี
จากทีวี เสมอเพื่อน มาเยือนใจ
แค่วันเกิด มันสำคัญ กระนั้นหรือ
มันก็คือ วันหนึ่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใหญ่
เราก็ยัง เหมือนเดิม เพิ่มอะไร
จะแคร์เขา ทำไม ไม่จำเป็น
คิดปลอบใจ ตัวเอง เหมือนเก่งกล้า
แต่น้ำตา กลับเอ่อนอง จนมองเห็น
ปากก็ยิ้ม เหมือนทุกวัน ที่ฉันเป็น
แต่ภายใน เยือกเย็น เป็นร้อยพัน