19 มิถุนายน 2548 23:38 น.

สู่ขวัญข้าว

วิจิตรวาทะลักษณ์

ศาลเพียงตา  ตั้งตระหง่าน  ในชานทุ่ง
ริ้วธงตุง  จตุรทิศ  สถิตสถาน
ตอกไม้ไผ่  สานชลอม  พร้อมตั้งพาน
มาลัยมาลย์  ดอกตะแบง  จำแลงลง

ข้าวตอกตวง  พวงดอกไม้  ไว้รอบทิศ
ผ้าฝ้ายขาว  พราววิจิตร  สถิตสรง
พานบายศรี  สู่ขวัญ  อันดำรง
ตระหง่านตรง  กลางพิธี  ศรีขวัญนา

หมอพราหมณ์นำ  พร่ำคาถา  บาลีร่าย
แล้วถวาย  เครื่องบวงสรวง  บ่วงคาถา
พร้อมเหล้าไห  ไก่ตัวตั้ง  วางบูชา
ขอขมา  แม่โพสพ  ภพธรณี

หมู่ลูกหลาน  ขอขมา  พร้อมลาโทษ
ขอพระแม่  อย่าเคืองโกรธ  โทษลูกนี้
ที่เหยียบย่ำ  ดำหว่าน  นานนับปี
ให้แม่นี้  ระเคืองคาย  กายกายา

แต่บัดนี้  เขาลืมแล้ว  แววคุณข้าว
กินทิ้งขว้าง  อย่างกับราว  ข้าวไร้ค่า
ตำนานแห่ง  แม่โพสพ  กับลบลา
เทพธิดา  แห่งข้าว  เขาไม่จำ

ศาลเพียงตา  ตั้งตระหง่าน  ในชานทุ่ง
จะพังวัน  พังพรุ่ง  ในรุ่งค่ำ
วิมานสมมุติ  แม่โพสพ  จะลบลำ
คงหล่นนำ  ฝังวิมาน  ในชั้นดิน
				
7 มิถุนายน 2548 21:42 น.

ปริญญาโสเภณี

วิจิตรวาทะลักษณ์

ในค่ำคืน  แห่งแสงสี  ที่แสร้งสรรค์
ใต้เงาจันทร์  ที่ส่องแสง  แห่งความหมอง
มีหญิงหนึ่ง  นั่งก้มหน้า  น้ำตานอง
ใต้เงาของ  ร่มไม้ใหญ่  ใกล้ริมทาง

เธอจากบ้าน  ฐานถิ่นตน  ชนบท
หวังกำหนด  ชีวิตตน  พ้นหมองหมาง
หวังส่งเงิน  ให้แม่ใช้  อยู่ปลายทาง
หวังปล่อยวาง  ให้ความจน  พ้นจากใจ

ความรู้น้อย  ด้อยปัญญา  จึงกล้าสู้
จึงทนอยู่  แม้เหนื่อยหนัก  สักปานไหน
เป็นกรรมกร  ก่อสร้าง  อย่างจนใจ
มาแบกไม้  แม้ท้อ  ก็ต้องทน

แต่เคราะห์ซ้ำ  หรือกรรมเก่า  เข้าถาโถม
ถูกลุกโลม  ขืนใจ  หนีไม่พ้น
ไอ้พวกสัตว์  จัญไร  ไอ้เดนคน
มันรุมโทรม  สุดจะทน  จนเจียนตาย

อายจะอยู่  สู้หนีหน้า  ออกมาก่อน
เป็นเด็กเสริฟ  อยู่ในบ่อน  ก่อนจะสาย
อนิจจา  ความสามานย์  สันดานชาย
มันขืนกาย  สังเวยหื่น  แล้วขืนใจ

ต้องซัดเซ  พเนจร  จากบ่อนเก่า
มีคนเขา  ขออาสา  มาแก้ไข
ในที่สุด  พ่อคนดี  ที่จริงใจ
ก็เผยให้  เห็นความต่ำ  ตามกามา

ในค่ำคืน  แห่งแสงสี  ที่แสร้งสรรค์
หญิงหนึ่งนั้น  ยืนยั่วยวน  ชวนใฝ่หา
เข้ามาเถิด  มาหาฉัน  ร่านกามา
จบแล้วล่ะ  ปริญญา  โสเภณี				
6 มิถุนายน 2548 19:20 น.

น้ำตาควายไทย

วิจิตรวาทะลักษณ์

เอาไถคราด  พาดบนหลัง  หวังไถที่
ให้ชาวนา  เขาได้มี  ที่ดำหว่าน
แม้ดินแข็ง  จนแรงท้อ  ทรมาน
ยังคลุกคลาน  ทนไถ  ให้ทำกิน

สักกี่ไร่  ที่ทนไถ  ให้จนทั่ว
เมื่อเหนื่อยตัว  ยังทนไถ  ไม่หยุดสิ้น
ซ้ำถูกเฆี่ยน  จนหลังลาย  เลือดไหลริน
ยังทนลาก  ไถปักดิน  ถิ่นท้องนา

แล้วทำไม  เมื่อสังคม  ก้มเปลี่ยนร่าง
สู่หนทาง  เทคโนโลยี  ที่ก้าวหน้า
เมื่อควายเหล็ก  มาแทนที่  วิถีนา
จึงลืมค่า  ของควายทุย  ผู้ลุยลาน

แล้วขายข้า  ให้นายทุน  ไปขุนเลี้ยง
เพราะหวังเพียง  แค่เงินตรา  น่าสงสาร
ให้เขาฆ่า  เอาเลือดเนื้อ  มาเจือจาร
เอาหัวข้า  แขวนประจาน  ในบ้านคน

ฉันกินหญ้า  กับฟางข้าว  เอ้า  เปลืองไหม
ขี้ยังใช้  ทำปุ๋ยหมัก  จักเป็นผล
ไอ้ควายเหล็ก  กินน้ำมัน  นั่นเกินทน
ขี้ออกมา  เป็นควันพ่น  อันตราย

ควรแล้วหรือ  ข้าต้องเป็น  เช่นวันนี้
ถูกย่ำยี  คุณเคยทำ  ซ้ำเลือนหาย
ควรแล้วหรือ  คือจุดจบ  ของเหล่าควาย
อุทิศกาย  ทนไถนา  มาเลี้ยงคน
				
6 มิถุนายน 2548 19:17 น.

กำสรวลเพลงเกี่ยวข้าว

วิจิตรวาทะลักษณ์

เมื่อถึงคราว  ข้าวออกรวง  เป็นพวงก้ม
ถูกแรงลม  ล้มลงลู่  คู่แผ่นหล้า
จนสุกเหลือง  เรืองรอง  ดั่งทองทา
แต่งท้องนา  เป็นแผ่นทอง  ผ่องอำไพ

ถึงฤดู  เก็บเกี่ยว  เรียวรวงข้าว
เมื่อลมหนาว  พราวพร่างพัด  สะบัดไสว
คือสัญญาณ  แห่งวิถี  ที่เป็นไป 
หลอมรวมใจ  ของชาวบ้าน  ผ่านคมเคียว

หมู่ชาวบ้าน  ในชานทุ่ง  จึงมุ่งหน้า
สู่พื้นนา  หนแห่งนี้  ที่แลเหลียว
ร่วมลงแขก  เกี่ยวข้าว  ที่ยาวเรียว
ให้คมเคียว  เกี่ยวประสาน  ปันน้ำใจ

เพลงเกี่ยวข้าว  ของสาวหนุ่ม  จึงรุมเริ่ม
มาต่อเติม  ชนวิถี  ที่มอดไหม้
ถึงแดดร้อน  แม้เหนื่อยหนัก  สักปานใด
แต่น้ำใจ  ไหลท่วมนา  น่าร่มเย็น

นาข่อยแล้ว  ไปนาเจ้า  เฮาซ่อยเกี่ยว
นาเจ้าแล้ว  ไปนาเซี่ยว  เฮาเกี่ยวเห็น
อาหารเลี้ยง  เพียงส้มตำ  ทำแจ่วเป็น
ก็อิ่มเช่น  ด้วยน้ำใจ  ไทคนนา

แต่วันนี้  ไร้บรรเลง  เพลงเกี่ยวข้าว
เมื่อถึงคราว  เขาสรรเสริญ  เงินมีค่า
ไม่มีแล้ว  การลงแขก  เพราะแปลกตา
ต้องตีค่า  เป็นค่าจ้าง  วางเดิมพัน

จะเรียกใคร  ไปเกี่ยวข้าว  เอาเงินจ้าง
เพราะหนทาง  แห่งเงิน  มันเกินกั้น
วิถีแห่ง  การพึ่งพา  ต้องจาบัลย์
เงินสำคัญ  กว่าน้ำใจ  ใช่แล้ว  ฤา
				
1 มิถุนายน 2548 00:42 น.

แปลงร่างหนังกลางแปลง

วิจิตรวาทะลักษณ์

มหรสพ  ของชาวบ้าน  ในลานทุ่ง
ที่ผดุง  ปรุงวิถี  ที่เคยเห็น
คือจอหนัง  ตั้งกลางแปลง  แหล่งเคยเป็น
ดั่งเฉกเช่น  ลานชุมชน  ให้คนดิน

ก่อนหนังฉาย  ในตอนค่ำ  รถตามวิ่ง
ประกาศกริ่ง  ให้คนรู้  ทุกผู้สิ้น
ฮัลโหลเทส  หนึ่งสองสาม  ยามได้ยิน
เด็กโดดดิ้น  แล้วเริงร่า  หนังมาลง

แม่หุงข้าว  เข้าครัว  แต่หัวค่ำ
แล้วรีบจ้ำ  จองที่ไหว้  ไม่ลืมหลง
หอบเสื่อผืน  หมอนใบ  ไปวางลง
นังล้อมวง  ซื้อลูกชิ้น  มากินกัน

หนังเริ่มฉาย  พากันดู  อยู่เป็นกลุ่ม
เสียงประชุม  วิพากษ์หนัง  ดังน่าขัน
ถ้าหนังผี  ซุกผ้าห่ม  ก้มบังกัน
ถ้าหนังขัน  ก็หัวเราะ  เพราะชอบใจ

แต่เด๊ยวนี้  หนังกลางแปลง  เริ่มแปลงร่าง
ไปอยู่ห้าง  มีค่าบัตร  คนจัดให้
ติดแอร์เย็น  มีที่นั่ง  อย่างสุขใจ
ไม่มีแล้ว  แววอุ่นไอ  ในชาวดิน

มหรสพ  ของชาวบ้าน  ในชานทุ่ง
หนังกลางแปลง  เคยเรื่องรุ่ง  กับสูญสิ้น
ลานชุมชน  หน้าจอหนัง  ต้องร้างริน
ไปสู่ถิ่น  ห้างสุดหรู  อยู่ในเมือง
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิจิตรวาทะลักษณ์