2 พฤษภาคม 2547 11:05 น.
วสุนทรา
...สัตยาอธิษฐานจารวันนี้
เลือดหลั่งโลมปฐพีมิมีหวั่น
สัจจะข้าฯ แลกได้แม้ชีวัน
ชาตินักรบฤา..จักพลั่นเรื่องความตาย
ขอเจดีย์ยอดหัก ณ เบื้องหน้า
เป็นสักขีแทนวาจา ข้าฯมากหลาย
มอบแด่เจ้าพิลาสพรรณดาราราย
ก่อนนิราศจากกายเพื่อเมืองตน
ราตรีกาลนี้มืดมิด..บุหลันเลือนลอยหลบลี้หนีหายมิกรายกล้ำฟ้า บรรยากาศวังเวงราวกับอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของบุรุษชาตินักรบผู้หนึ่ง..พระพายพัดแผ่วพลิ้วแว่วหวิว คล้ายรำพึงรำพันพิลาปร่ำอาดูรต่อดรุณีน้อยผู้สูงศักดิ์นางหนึ่ง
...บุรุษหนุ่มผิวเนียนสีทองแดง นอนสงบแน่นิ่ง มิไหวติงอยู่บนแท่นศิลาอันเย็นชืด ภายใต้ต้นลีลาวดี ซึ่งยามนี้ส่งกลิ่นหอมหวานคลอเคล้าไอโศก เฉกเช่นในความรู้สึกของผู้ที่คงมีชีวิตอยู่เพียงกาย จากคบไฟที่ปักเรียงราย สะท้อนให้เห็นเค้าหน้าอันคมคาย จมูกโด่งเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากอิ่มได้รูป บนลำตัวที่ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อสีทองแดงอันแสดงถึงความแข็งแกร่งแห่งบุรุษเพศบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตแห้งเกรอะกรัง
....ไม่มีแล้วลมหายใจให้ขาดสิ้น
ไม่มีแล้วรอยแย้มยิ้มถวิลหา
ไม่มีแล้วถ้อยห่วงใยใฝ่เจรจา
ไม่มีแล้วสองหัตถามากุมกร
..ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นบอบบาง ยืนอย่างสงบท่ามกลางพระพายยะเยือกเย็น ภายใต้นภาไร้เดือนเด่นฉาย แวดล้อมด้วยลีลาวดีร่วงกระจัดกระจาย ดาราพรรณพิลาสเฉกนายิกาพรรณรายไยมิใช่เดียวดายแต่บัดนี้
.พระรูปพระโฉมแห่งขัตติยนารีน้อย งดงามโสภิตพ่างเพี้ยงดั่งอัปสรสวรรค์จรจรัลลัดลงมาจากสรวง ดั่งภาพลวงปรากฏยามรัตติกาลอันมืดมนแห่งคืนนี้ มาตรแม้นเวลานี้พระพักตร์จะซีดขาวไร้สีพระโลหิต พระเนตรที่เคยวาววับดุจดาเรศเยือนอันธิกาบัดนี้ฉายแวววิปโยคเทวษเกินพร่ำพรรณนา รอยแย้มโอษฐ์ที่เคยแต้มปรางอยู่เนืองนิจ ยามนี้อันตรธานไปเสียสิ้น..
..ดาราพรรณพิลาสไร้แล้วซึ่งลำแสงแห่งชีวิต...เหลือเพียงซากทรงอันต้องกระทำหน้าที่ต่อไปในฐานะที่ถือกำเนิดเป็นกษัตริยนารีแห่ง หิรัณย์เมทินีนาคร
ฤา....จักมีผู้ใดยินดีเมื่อภัสดาผู้เป็นที่รักจากไป
ฤา.....จักมีผู้ใดแย้มสรวลเมื่อภัสดามาล่วงลับ
เจ้าหญิงดาราพรรณพิลาส ทอดพระเนตรมองร่างแน่นิ่งแห่งภัสดา ไม่มีน้ำพระเนตรไหลหลั่ง ความทุกข์โทมนัสที่ทรงได้รับเกินกว่าที่อัสสุชลจะหลั่งภายนอก หากหลั่งลงสู่ห้วงหทัยอันแหลกลาญ
ลูกหญิงต้องเข้มแข็ง น้ำตาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ความอ่อนแอไม่ได้ช่วยให้มนุษย์พ้นทุกข์ พ่อรู้ว่าลูกเสียใจเพียงใด วันที่แม่ของลูกเสียชีวิตกลางสมรภูมิ ต่อหน้าพ่อ วันนั้นเป็นวันที่พ่อไม่มีวันลืม ...บำราบอรินทร์ตายอย่างสมศักดิ์ศรี เช่นเดียวกับแม่ของลูก ลูกจงภูมิใจที่ภัสดาแห่งลูกเป็นนักรบผู้พลีชีพเพื่อเอกราชแห่งเมืองเรา จนสามารถขับไล่พวกมอญหริภุญชัยไปเสียสิ้นจากแผ่นดินหิรัณย์เมทินีนาคร เขาไม่เสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นบุรุษชาตินักรบ และลูกจงภูมิใจที่ภัสดาแห่งลูกเป็นนักรัก...รักสัตย์...รักชาติ และรักลูกสาวของพ่อยิ่งกว่าชีวิต ดาราลูกอย่าอ่อนแอ แม้ต่อไปลูกอาจไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อรักบุคคลผู้เป็นที่รักเช่นภัสดาแห่งลูก แต่ลูกจงมีชีวิตอยู่เพื่อรักราษฎร์แห่งหิรัณย์เมทินีนาคร..ระหว่างหน้าที่และเรื่องส่วนตัว เราจำต้องเลือกหน้าที่มาเป็นอันดับแรก นี่เป็นชะตาของผู้ที่เกิดมาเป็นกษัตริย์
พระเจ้าพรหมมินทร์มหาราช ตรัสกับพระราชธิดา ก่อนปล่อยให้พระนางอยู่ตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบสงัดของนิศากาล
เจ้าหญิงดาราพรรณพิลาส ทรงรำพึงแผ่วเบาด้วยพระสุรเสียงสั่นสะท้าน
วันนี้หญิงขออ่อนแอสักครั้งได้ไหมจ๊ะ ภัสดา พรุ่งนี้หญิงจะเข้มแข็ง เป็นดาราพรรณพิลาสดวงเดียวที่ฉายแสงกลางฟากฟ้า แม้จะเดียวดาย
ในที่สุด ความอดทนอดกลั้นต่อทุกข์เทวษก็พังภินท์สิ้น ทรงกอดร่างที่แน่นิ่งนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์สนิทเสน่หา หากทรงตายแทนได้ ฤ..จะมิกระทำทันที ยามนี้ทุกอณูแห่งหฤทัยได้ย้อนเยือนเลื่อนไหลสู่วันวาน ..ในวันที่ภัสดาใกล้ออกรบในศึกครั้งใหญ่นี้ มิได้ทรงสังหรณ์พระทัยว่า นั่นเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ก่อนพรากจากนิรันดร์
....................................................................................................
ศาลาหลังน้อยกะทัดรัด ทำจากไม้สักสีทอง ยอดคล้ายมณฑปส่องประกายสีทองแวววาวอันมาจากสุวรรณแท้ ชาวหิรัณย์เมทินีนาคร ขึ้นชื่อเรื่องการร่อนทอง หาแหล่งทองคำ รวมทั้ง การนำแร่มาแปลงเป็นทองคำ โดยเฉพาะสายแร่ทองคำที่มีอยู่มากมายใต้ผืนแผ่นดินแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่หมายปองของบรรดาเมืองรอบข้าง มาตรว่าจะนับถือพระพุทธศาสนาเฉกเช่นเดียวกัน ผู้ใดเลยจะคิดว่า อดีตกาลโพ้นดินแดนที่ไม่เคยมีสงคราม บรรดาเมืองล้อมรอบ ต่างมีกฎบ้านกฎเมือง ไม่ก้าวก่าวซึ่งกันและกัน ปกครองด้วยทศพิศราชธรรม จวบจนกระทั่งเจ้าเหนือหัวพระองค์ก่อน ผู้เป็นพระราชบิดาแห่ง พระเจ้าพรหมมินทร์มหาราช เพลานั้น พวกมอญหริภุญชัยกลับยกกำลังมาโจมตีจนเมืองแตก ด้วยเหตุมิได้มีการป้องกัน ซ้อมรบ เพราะที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบสันติ แลเมื่อถึงวันที่ต้อง***้เอกราชคืนมา ก่อนถึงวันนั้นเพียงไม่กี่วัน ณ ศาลาหลังน้อยแห่งนี้ ที่รายล้อมรอบไปด้วยต้นลีลาวดี อันเป็น ที่รโหฐานระหว่างเจ้าหญิงดาราพรรณพิลาสและภัสดา ผู้หลงมนต์เสน่ห์แห่งบุบผาหอมกลีบสีขาวพิสุทธิ์นามลีลาวดี
บุรุษหนุ่มรูปงาม ยืนชื่นชมบรรยากาศยามราตรี กลิ่นหอมเย็นรวยระรินมาจากดอกไม้ที่เขาชื่นชอบ คคนานต์ ณ..เบื้องบนประดับด้วยบุหลันเต็มดวงเด่นกระจ่างถูกห้อมล้อมด้วยหมู่พฤกษ์สวรรค์ส่องประกายระยิบระยับจับตา
ผู้ใดเลยจะคาดคิดว่า บำราบอรินทร์นักรบผู้ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ผู้ที่ฆ่าศัตรูอย่างมิได้ละเว้นปราณี ผู้ที่สองมือถือดาบ ผู้ที่บัญชาการรบเยี่ยงแม่ทัพ กลับมีอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากเจ้าหญิงดาราพรรณพิลาสผู้เป็นชายา
..ความรักฤา...จะถูกขีดคั่นด้วยฐานันดร
...บุรุษผู้นี้มีความอ่อนโยนในหัวใจนัก
..บุรุษผู้นี้ถือสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต
มีเพียงบุรุษผู้เดียวที่ครอบครองหัวใจแห่งดารา ณ หิรัณย์เมทินีนาคร...นาม บำราบอรินทร์
ภัสดาท่านมีเหตุใดให้กังวลใจรึ สุรเสียงพิเราะเสนาะกรรณปันความห่วงใย ดังขึ้นเบา ๆ
บำราบอรินทร์ ทอดสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเทิดทูนมองดูนางผู้เป็นที่รักยิ่ง ราวกับเขาทราบว่าอีกไม่นานอาจจะจากเธอไปตลอดกาล ทว่าเขาไม่อยากให้เจ้าหญิงทรงกังวล จึงได้ตอบว่า
ไม่มีอันใดน้องหญิง คืนนี้พระจันทร์งาม ดาราก็พร่างพราว พี่ยืนคิดอะไรเพลินไปเท่านั้น ดึกแล้วน้องหญิงควรไปพักผ่อน ตากน้ำค้างๆดึกๆ แบบนี้ จะได้ไข้ น้ำเสียงเขาอ่อนโยนนักยามเอ่ยกับชายา
หญิงอยากจะอยู่กับภัสดานานๆ อีกไม่กี่วันท่านจักออกรบแล้ว หญิงคงเหงา ที่ต้องรออยู่อย่างนี้ ถ้ามิใช่เพราะหญิงร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็กแต่น้อย หญิงจะจับดาบสู้รบขับไล่อริราชศัตรูเคียงคู่กับท่าน ถ้าเราตายก็จักตายพร้อมกัน
บำราบอรินทร์ดึงวรองค์บอบบางเข้ามาสู่อ้อมกอดด้วยความนุ่มนวลทะนุถนอม เขาถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเจ้าหญิงดาราพรรณพิลาสผ่านอ้อมแขนอันแข็งแกร่งนี้
ไม่รู้ว่าเป็นบุญแต่ชาติปางใด ถึงทำให้เราได้อยู่ร่วมกัน พี่ขอบใจน้องหญิงในทุกสิ่งที่มอบให้พี่ พี่มีรึจะยอมให้น้องตาย ถ้าพี่ยังมีลมหายใด ผู้ใดก็จักมากระทบน้องสักเล็บมือหนึ่งมิได้
น้องหญิงคงจำได้ วันที่เราไปยังเจดีย์แห่งปฐมกษัตริย์ พี่ได้ตั้งสัตยาธิษฐานต่อหน้าพระวิญญาณแห่งวงศ์อธิราราชาแต่ปางบรรพ์ ว่า จักดูแลคุ้มครองน้องหญิงของพี่จนกว่าชีวีจักสิ้น ดินจักถมกายไปทุกๆชาติตราบกระทั่งสิ้นสุดถึงพระนิพพาน
หญิงจำได้ไม่เคยลืม ไม่ว่าชาติภพใด หทัยแห่งหญิงก็จักเป็นเพียงของภัสดา หากว่าภพใดเราจักมิอาจพบกัน หญิงก็จะรอ หญิงให้สัญญา
พี่มีอะไรจะให้น้องหญิง
บำราบอรินทร์คลายวงแขนจากร่างงามช้า ๆ ก่อนเขาจะถอดสร้อยที่คล้องคอออกมา สร้อยทองถักประดับด้วยมณีสีแดงรูปหัวใจขลิบด้วยทองรอบล้อม ประกายของมณีสีแดง ดูงดงามสะท้อนเล่นแสงโสมที่โลมหล้า เขาบรรจงสวมไปบนพระศองามระหง
มณีสัตยา พี่ทำไว้สองชิ้น ชิ้นหนึ่งพี่เก็บไว้กับตัว อีกชิ้นให้น้องหญิงสวมไว้ พี่ตั้งใจทำให้เสร็จก่อนไปออกรบ
มณีสัตยาเป็นตัวแทนแห่งความรักความภักดีที่พี่มีให้น้องหญิง ยามใดที่น้องหญิงคิดถึงพี่ มณีสัตยาจะเป็นตัวแทนระหว่างใจของเรา ไม่ว่าพี่หรือน้องหญิงไปที่ใดก็ตาม ตราบใดที่มีสร้อยเส้นนี้คงอยู่ เราจักอยู่เคียงกันเสมอ พี่เองจะรักษาไว้ด้วยชีวิตของพี่
..................................................................................................
บัดนี้มณีสัตยาเหลือเพียงหนึ่งเดียว เจ้าหญิงดาราพรรณพิลาสซบพระพักตร์นิ่งกับร่างแห่งภัสดาที่ปราศจากวิญญาณ ในอุ้งพระหัตถ์กำมณีสัตยาแนบแน่น ราวกับจะจารึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้
หญิงพี่เสียใจที่เข้าไปช่วยภัสดาน้องไม่ทัน หลังจากที่พี่สังหารอุปราชแห่งมอญหริภุชชัย พี่รีบเข้าไปช่วยบำราบฯความจริงตอนนั้นเขาหลบดาบของเจ้ามอญหริภุญชัยได้ แต่เหตุใดอยู่ ๆถึงกับหยุดชะงัก ราวกับจะคว้าบางสิ่งบางอย่างไว้ เลยถูกเจ้ามอญแทงทะลุร่าง แต่เขาก็ใช้ดาบที่อยู่ในมือตัดศีรษะเจ้ามอญในขณะนั้น ..จึงล้มทั้งคู่ พี่เพียงแต่ทันไปรับร่างบำราบอรินทร์ ทว่าบาดแผลของเขาฉกรรจ์เกินไป ไม่นานจึงสิ้นลมเพราะเสียเลือดมาก เขาฝากสร้อยเส้นนี้มาให้น้อง
พระเชษฐาร่วมอุทรตรัส ด้วยแววพระเนตรโศกเศร้าและเห็นใจ
เจ้าหญิงดาราพรรณพิลาสแทบล้มทั้งยืน เมื่อทอดพระเนตรเห็นเพียงสายสร้อยสุวรรณอันปราศจากมณีสัตยา ทรงยื่นพระกรสั่นน้อยๆรับจากหัตถ์พระเชษฐา ก่อนเปล่งพระสุรเสียงโศกสลดอย่างสุดซึ้ง
หญิงเกลียดสงคราม การสู้รบและการศึกทำให้ผู้คนต้องพลัดพราก แม้แต่หญิงต้องสูญเสียทั้งแม่และภัสดา ผู้เป็นที่รักในดวงใจของหญิง แต่หญิงทราบว่าเราไม่มีทางหลีกเลี่ยงการศึกได้ เมื่อเราต้องสู้เพื่อเอกราช เพื่อลูกหลานสืบต่อไป เพื่อให้พวกเขาได้มีดินแดนอาศัยอยู่ ไม่ต้องตกเป็นขี้ข้าเฉกเช่นกาลเวลานับสามสิบปีเยี่ยงนี้
บางครั้งหญิงอดคิดไม่ได้ว่า ยามใดที่ราษฎร์ไม่ว่าหญิงหรือชาย คนแก่คนชรา ต่างออกรบ ต้องเสียเลือดเสียเนื้อพลีชีวิตเพื่อชาติ ลูกหลานของเราต่อไปภายหน้าจะรู้ซึ้งถึงแผ่นดินที่พวกเราแลกมาด้วยเลือดแลน้ำตาหรือไม่ ทุกอย่างอาจจะสูญเปล่า หากว่า พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าที่พวกเราสูญเสียออกไป
เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนหยัดต่อสู้ และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทั้งต่อตนเองและทวยราษฎร์ เพราะฟ้าได้กำหนดให้พวกเราเป็นเผ่าวงศ์แห่งกษัตริย์ ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่เพื่อชาวประชามากกว่าเพื่อตนเอง หญิงรู้หน้าที่ของตัวเองดีเพคะ
พระเนตรงามคลอวับด้วยพระอัสสุชล พระสุรเสียงนั้นแผ่วเศร้า ยามมองสบเนตรกับพระเชษฐา
พระองค์ทรงถอนพระราชหฤทัยด้วยความหดหู่และเศร้าสร้อย ต่อบุคคลที่พระองค์ทรงให้ความรัก คนหนึ่งนั้นเป็นพระกนิษฐาที่ทรงเอ็นดูนัก อีกคนหนึ่งนั้นเป็นพระสหายที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ก่อนทอดพระเนตรมองร่างพระสหายที่ไร้วิญญาณ พระองค์มีหน้าที่มากหลาย เกินกว่าจะมีเวลาพอที่จะปลอบพระขนิษฐา ทรงตะหนักถึงหน้าที่เสมอและเพราะ หน้าที่ จึงทำให้ทรงยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเลยทราบความเศร้าโศกในพระหฤทัยแห่งพระองค์ก็ตาม
...บุรุษชาติอาชาไนย ฤ...จักหลั่งน้ำตาโดยง่าย
หากน้ำตาแห่งเราจักหลั่ง เราจักหลั่งเพื่อแผ่นดินและบ้านเมือง
หากน้ำตาเราจักหลั่ง เราจักหลั่งในวันที่กำชัยชยะจากหมู่อริราชศัตรู
..................................................................................................
หญิงจะรอ ไม่ว่านานเพียงใด หญิงสัญญาจ้ะภัสดา วันนี้เมื่อหญิงหลั่งน้ำตา พรุ่งนี้หญิงจะไม่มีน้ำตาให้หลั่ง
รอหญิงนะจ๊ะ รอให้หญิงเสร็จภาระให้พึงทำในฐานะขัตติยนารี เสร็จสิ้นภาระทุกประการแก่ราษฎร์ หญิงจะไปพบภัสดานะจ๊ะ
เจ้าหญิงดาราพรรณพิลาศจูบเบาๆที่หน้าผากผู้เป็นภัสดา ก่อนหยัดพระวรกายตั้งตรง ทอดพระเนตรผู้เป็นที่รักครู่หนึ่งแล้วเสด็จฯ ออกมาช้า ๆ
ยามรุ่งอรุณเบิกฟ้า พรุ่งนี้แล้วจะมีพิธีเผาศพ..ต่อไปจะมิได้ทอดพระเนตรเห็นร่างที่คุ้นเคย อ้อมกอดอันอบอุ่น คำพูดที่แสนหวาน ..บำราบอรินทร์จากไปนิรันดร์...
วาโยหอบใหญ่พัดมาวูบหนึ่ง ส่งผลให้ดวงดอกสีขาวพิสุทธิ์จากต้นร่วงหล่นลงมาช้า ๆ ดอกสีขาวเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ..ปลิวสยายก่อนทิ้งตัวอ้อยสร้อยลงบนร่างแน่นิ่งมิไหวติงแห่งบุรุษผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
พี่ชอบดอกลีลาวดีเพราะ มีความอ่อนหวานในตัวเอง ทว่าในความอ่อนหวานแฝงความแข็งแกร่ง...อ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ ทุกครั้งที่พี่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ พี่มักจะนึกถึงน้องหญิง ...น้องหญิงของพี่นั้นอ่อนหวานยิ่งนัก..แต่น้องหญิงไม่อ่อนแอ นั่นเป็นคุณสมบัติแห่งขัตติยนารีโดยแท้
....รวยระรินชื่นกลิ่นปาริชาติ
จะขอวาดมติห้วงแห่งรวงฝัน
กาลจักรหมุนเวียนเปลี่ยนวัน
พุทธศกสองพันล่วงผ่านมา
..โสมสะอาดสาดแสงแจรงแจ่ม
อัจกลับแก้วแย้มกลางเวหา
น้ำค้างหยาดหยดย้อยคอยสนธยา
หลังตะวันนิทรามีตำนาน....
.............จบ.............
................ดื่มตะวันจิบจันทรา