3 พฤษภาคม 2547 13:18 น.
วสุนทรา
กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง นานนับกว่าพุทธันดร...
จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...
ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน
ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้ เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....
..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร ปานพญาหงส์แห่งพงไพร
.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..
...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง
..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี
..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ
..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา
เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย
..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ
.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์ ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา
เราไยต้องรบ เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว
บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้ หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม หากหม่อมฉันต้องตาย ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท
พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต
..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว...
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง
....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้ เราจักเปิดตำนานที่มี จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...
.............................โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง ในโอกาสหน้า.........
3 พฤษภาคม 2547 13:16 น.
วสุนทรา
กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง นานนับกว่าพุทธันดร...
จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...
ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน
ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้ เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....
..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร ปานพญาหงส์แห่งพงไพร
.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..
...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง
..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี
..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ
..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา
เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย
..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ
.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์ ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา
เราไยต้องรบ เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว
บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้ หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม หากหม่อมฉันต้องตาย ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท
พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต
..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว...
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง
....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้ เราจักเปิดตำนานที่มี จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...
...................โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง ในโอกาสหน้า.........
3 พฤษภาคม 2547 13:15 น.
วสุนทรา
กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง นานนับกว่าพุทธันดร...
จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...
ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน
ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้ เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....
..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร ปานพญาหงส์แห่งพงไพร
.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..
...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง
..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี
..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ
..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา
เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย
..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ
.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์ ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา
เราไยต้องรบ เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว
บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้ หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม หากหม่อมฉันต้องตาย ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท
พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต
..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว...
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง
....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้ เราจักเปิดตำนานที่มี จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...
...................โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง ในโอกาสหน้า.........
3 พฤษภาคม 2547 13:15 น.
วสุนทรา
กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง นานนับกว่าพุทธันดร...
จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...
ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน
ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้ เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....
..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร ปานพญาหงส์แห่งพงไพร
.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..
...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง
..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี
..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ
..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา
เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย
..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ
.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์ ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา
เราไยต้องรบ เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว
บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้ หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม หากหม่อมฉันต้องตาย ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท
พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต
..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว...
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง
....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้ เราจักเปิดตำนานที่มี จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...
...................โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง ในโอกาสหน้า.........
3 พฤษภาคม 2547 13:15 น.
วสุนทรา
กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง นานนับกว่าพุทธันดร...
จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...
ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน
ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้ เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....
..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร ปานพญาหงส์แห่งพงไพร
.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..
...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง
..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี
..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ
..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา
เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย
..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ
.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์ ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา
เราไยต้องรบ เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว
บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้ หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม หากหม่อมฉันต้องตาย ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท
พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต
..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว...
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง
....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้ เราจักเปิดตำนานที่มี จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...
...................โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง ในโอกาสหน้า.........