12 ธันวาคม 2544 01:26 น.
วฤก
๏ เก็บร้อนรอนรวดร้าว.........................รานทรวง
จำเก็บเจ็บเสี้ยนทะลวง.........................ทะลุเนื้อ
เก็บใจไม่คิดหวง..................................คอยห่วง....หานอ
ขมขื่นฝืนยิ้มเอื้อ...................................อุ่นไว้ใจสลาย ฯ
๏ เก็บฝนหล่นท่วมท้น...........................ถั่งมา
ไหลหลั่งขังนัยนา..................................แน่นน้ำ
นองกมลป่นอุรา....................................ลอกเปื่อย
จมหม่นชลชอกช้ำ.................................เช็ดล้างจางไฉน ฯ
๏ เก็บหนาวหนาวเยือกย้อน....................ย่ำฤดี
อยากดับกลับทวี....................................เทวษไห้
หักจิตคิดผันหนี.....................................หนาวห่าง
หนาวยิ่งสิงใจไว้.....................................วูบล้มจมหนาว ๚
9 ธันวาคม 2544 23:16 น.
วฤก
๏ กลกลอนกานท์หวานวัจน์สะบัดสะบิ้ง
ท้ายวรรคทิ้งจังหวะสละสลวย
สดับความงามงดระทดระทวย
เพราะเสียงสวยสุดซึ้งตะลึงตะลาน
ในอารมณ์ตรมลึกสะอึกสะอื้น
หรือสดชื่นซ่านสุขสนุกสนาน
หรือเกรงภัยไขว่หนีตะลีตะลาน
ลองขับขานสะบัดสะบิ้ง...สิพริ้งสิพราย ๚
9 ธันวาคม 2544 17:02 น.
วฤก
๏ เสียงสวดมนต์บ่นคำพระธรรมขาน
ก้องกังวานแว่วดังทั้งสองหู
ถามพ่อแก่แม่เฒ่าว่าเจ้ากู
ชี้ให้รู้ธรรมใดไม่ชัดความ
ท่านบอกว่าพระสวดเพื่อศักดิ์สิทธิ์
ทรงซึ่งฤทธิ์มิรู้ถ้วนมิควรหยาม
เป็นเช่นนี้นานเก่าเฝ้าติดตาม
แต่ครั้งข้ามเขตสมัยไม่เปลี่ยนแปลง
ฟังบาลีวาทีที่ท่านกล่าว
คือเรื่องราวคติธรรมนำแถลง
ถ้ารู้ความตามไปไขชี้แจง
ก็จะแจ้งจริงพระธรรมนำจิตใจ
เสียงสวดมนต์บ่นคำพระธรรมก้อง
ใช่เพื่อป้องเสนียดร่นพ้นไฉน
ปากถือธรรมแต่ต่ำจิตคิดจัญไร
พระมาลัยมาโปรดก็โฉดชิน ๚
9 ธันวาคม 2544 16:19 น.
วฤก
โคลงสี่สุภาพ
๑ ๏ มีไฉนใครเกิดแล้ว.................เก่งเลย
เรียน ฝึก ก็บ่เคย..........................สักครั้ง
พรสวรรค์ ฤ ใช่เผย......................ใช่แผ่.....เองพ่อ
อย่าย่อท้อหยุดยั้ง..........................หย่อนร้างฝึกฝน ฯ
๒ ๏ กลโคลงโคลงท่านนั้น.............กำหนด
คำเอกโทตามบท..........................แบบไว้
จารขานอ่านเอื้อนพจน์...................เพลงเสนาะ
เสียงสนั่นสนานได้.........................สดับถ้อยโคลงสาร ฯ
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๓ ๏ คำฉันทฉันทา........................วจนาวจีขาน
กรองวัจน์และจัดกานท์..................คณะนั้นมิฟั่นเฟือน
๏ เสียงเบาและเสียงหนัก...............เสนาะลักษณ์เสมอเหมือน
คีตามิราเลือน...............................ประลุโสตประโมทย์ทรวง ฯ
กาพย์ฉบัง ๑๖
๔ ๏ เสียงกาพย์ซาบซ่านกานท์สรวง.............เทพทำบำบวง
บำเรอเปรอโสตเสนาะกรรณ
๏ ควรอยู่คู่ห้วงสรวงสวรรค์..........................ชื่นจิตติดพัน
มิเพลาเสาวรสพจนา ฯ
กลอนดอกสร้อย
๕ ๏ คำเอ๋ยคำกลอน..................................คืออาภรณ์พิจิตรพรายลายเลขา
คือสังคีตดีดสีที่นภา...................................โปรยจากฟ้าเพื่อกล่อมถนอมดิน
คล้ายคำกลอนคือแก้วฉายแววก่อง..............กระจ่างส่องสีสันวรรณศิลป์
งามพิลาสพิไลค่าคู่ธานินทร์........................มิรู้สิ้นเสื่อมสูญวิบูลย์เอย ๚
8 ธันวาคม 2544 15:07 น.
วฤก
๑ ๏ โกมุทผุดโผล่พ้น...................ผิวผืนชลล้นหลากสี
ขาวเหลือบเคลือบม่วงมี................งามต่างกันเทพสรรค์ฤๅ ฯ
๏ โกมุทผุดโผล่พ้น.......................ผืนนที
บานแผกแตกพรรณสี...................เสกไว้
ขาวเหลือบเคลือบม่วงมี.................มากหลาก หลายนอ
งามต่างเทพสร้างให้......................ห่มหล้าฤๅไฉน ฯ
๒ ๏ สัตตบุษย์พิสุทธิ์สี....................เรืองรูจีฉวีขาว
ปานแก้วแวววับวาว......................วางประดับกับแหวนทอง ฯ
๏ สัตตบุษย์พิสุทธิ์ล้ำ......................แลขาว
ผุดผ่องมองผาดพราว.....................เพริศแพร้ว
เพียงมณีที่วับวาว..........................วางประดับ
งามรับกับแหวนแก้ว......................ก่องพื้นสุพรรณฉาย ฯ
๓ ๏ สัตตบงกชก้ำ..........................ชมพูคล้ำเคลือบแดงแสง
ปานประดับทับทิมแปลง..................แต่งสวนสวรรค์อันเลิศเลอ ฯ
๏ สัตตบงกชก้ำ...........................กึ่งแดง
สีสดงดงามแสง.............................ส่องพริ้ง
ปานประดับทับทิมแปลง.................ปัทม์เปลี่ยน
เป็นยิ่งสิ่งสิงคลิ้ง............................ค่าล้ำเลอสรวง ฯ
๔ ๏ สัตตบรรณพรรณม่วงคล้ำ.........เคลือบแดงก่ำนำใจหา
เห็นชื่นรื่นนัยนา............................พาภิรมย์ชมชื่นบัว ฯ
๏ สัตตบรรณพรรณม่วงคล้ำ.............เคลือบทา
แดงก่ำจำติดตา...............................แต่นั้น
ยวนใจใคร่หวนหา..........................เห็นอีก
อกชื่นตื่นตาครั้น.............................แค่ใกล้ใจโหย ๚