15 ธันวาคม 2544 14:52 น.
วฤก
๏ ฟังถ้อยหวาน หวานถ้อยฟัง ดังเสนาะ
คำแสนเพราะ เพราะแสนคำ พร่ำเฉลย
จับจิตแน่น แน่นจิตจับ มิดับเลย
ถ้วนถ้อยเอ่ย เอ่ยถ้อยถ้วน ล้วนชื่นใจ
แม้กาลผ่าน ผ่านกาลแม้ จะแปรผัน
จิตคงมั่น มั่นคงจิตไม่คิดไหว
ถ้อยที่หวาน หวานที่ถ้อย รสร้อยใจ
ซาบซึ้งได้ ได้ซึ้งทราบ อาบอบทรวง
ฟังคำหวาน หวานคำฟัง ยังฉ่ำชื่น
แสนรมย์รื่น รื่นรมย์แสน อยู่แมนสรวง
หลงใจผิด ผิดใจหลง ลงลมลวง
แล้วหลุดร่วง ร่วงหลุดแล้ว หรือแก้วใจ
ควรฟังคำ คำฟังควร ทบทวนถ้อย
อย่าปลงปล่อย ปล่อยปลงอย่า คาสงสัย
แม้ผิดแผก แผกผิดแม้ แค่เสี้ยวนัย
ควรรู้ไข ไขรู้ควร กระสวนความ ๚
15 ธันวาคม 2544 14:09 น.
วฤก
๑ ๏ สิ้น...หวังพลังเสื่อมสิ้น...............สูญไป
ปี..............หนึ่งจึงหยุดใจ.................เจ็บไว้
หนี...........สุดฝึกยุทธไกร.................กล้าแกร่ง
เพื่อน.......เหล่าชาวยุทธไซร้............สืบหน้าจะมาผลาญ ฯ
๒ ๏ ลืม....รึที่ลึกแค้น........................ขุ่นคา
แล้ว...........ปล่อยร่อยโรยรา..............ร่วงเร้น
หรือ..........แค้นไป่แค้นหา................หนตอบ....แค้นนอ
ไร..............เล่าเราไม่เค้น................เข่นขย้ำคืนสนอง ฯ
๓ ๏ โอ้.....อกอกอัดอั้น.......................อ่วมเอย
ใจ.............เจ็บเจ็บสุดเผย.................เพื่อนรู้
เจ้า............ปล่อยปล่อยหินเกย...........กลบก่าย
กรรม........หนักหนักจักกู้...................เกลี่ยหนี้นี้เสีย ฯ
๔ ๏ ไป...ไหนใช่ว่าพ้น.....................ผิดความ
กับ............ปล่อยลอยชายทราม...........ชั่วนั้น
สาย..........ไปใช่ไม่ตาม.......................ติดต่อ
ลม............คั่งแค้นข้ากลั้น...................เก็บไว้กรากผลาญ ๚
15 ธันวาคม 2544 12:57 น.
วฤก
๏ ปลูกต้นรักปักไว้ในดินชื้น
ทุกวันคืนคอยดูอยู่เสมอ
ปรุงปุ๋ยน้ำนำใส่ใฝ่บำเรอ
เพื่อชื่นเฌอชมดอกออกผลิบาน
ปลูกต้นรักปักไว้กลางใจเจ้า
วันคืนเฝ้ารดน้ำชื่นฉ่ำหวาน
ไยรักหายตายไปในดินดาน
มีใครผลาญพร่ารักให้หักจม
ต้นรักกลายคล้ายเห็นเป็นต้นร้าง
ต้นระคางเคล้าโศกวิโยคขม
ต้นจำปาพร่าเลือนเหมือนลั่นทม
ต้นมะยมมิยินเหมือนชินชา
เห็นต้นรักปักไว้ในดินชื้น
เต็มตนตื่นเติบใหญ่ไกรพฤกษา
แต่ต้นรักปักไว้ในอุรา
ยังอ่อนล้าร่วงลงเป็นผงคลี ๚
14 ธันวาคม 2544 19:55 น.
วฤก
๏ คราววฤกคึกคะนองนึกท่องเที่ยว
ในป่าเปลี่ยวแปลกใจไพรอักษร
อันสวยล้ำคำหวานวาดกานท์กลอน
เป็นช่อซ้อนสุวลักษณ์อักขรา
เอื้อนขับดังกังวานซาบซ่านรส
กวีพจน์เพียงมณีศรีภาษา
ปู่สืบหลานสานส่งตรงต่อมา
เป็นคุณค่าคู่ไว้ในแผ่นดิน
คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน สุนทรเสียง
คุณค่าเพียงสุพรรณวรรณศิลป์
วรรณสารสานอยู่คู่ธานินทร์
มิสุดสิ้นเสื่อมทรามไปตามกาล
ณ ที่นี่มีคนอยู่ล้นหลาก
เขียนคำพากย์พันถ้อยร้อยคำขาน
แต่ละพจน์บทคำนำมาจาร
ล้วนแล้วผ่านความคิดและจิตใจ
เขาคัดสรรสรรค์คำคำวิจิตร
จากความคิดคิดกลอนกลอนขานไข
ผจงจัดจัดถ้อยถ้อยความนัย
ร้อยเรื่องได้ได้งามงามงดความ
คราววฤกคึกคะนองมาท่องป่า
เพลินพนาศุภักษรกลอนสยาม (ขอแปล ThaiPoem ว่างี้นะครับ)
ซาบซึ้งรสบทกวีที่งดงาม
สมนิยาม ...นิคม...คนเขียนกลอน ๚
13 ธันวาคม 2544 23:45 น.
วฤก
๏ วายวางอย่างถ่านเถ้า.........................เหลือร่างเปล่าคราวป่นสิ้น
ชั่ว ดี ที่ยังยิน.....................................อย่างธรรมพจน์บทสอนใจ ฯ
๏ วายวางอย่างถ่านเถ้า.........................ถมดิน
ชีวิตปลิดปลงภินท์................................ผละแล้ว
เหลือระบือชื่อถวิล................................ว่าชั่ว ....ดีนอ
ดังสดับจับเจื้อยแจ้ว..............................จ่างแท้ธรรมกถา ๚