29 มีนาคม 2551 17:39 น.
วชรกานท์
ขอหยุดรัก พักใจ ไว้คราหนึ่ง
ด้วยน้ำผึ้ง ซึ่งหวาน กลับพาลขม
แรกเริ่มรัก ผักต้มเอย เจ้าเชยชม
เลิกแล้วลม ลิ้นคน ไม่สนใจ
ขอหยุดรัก พักเหนื่อยล้า เมษานี้
เพราะพอดี ปิดเทอม เริ่มสดใส
กลับเรือนรัง ฝังร่าง มิห่างไกล
ฝากดวงใจ ให้นวลแม่ ไว้แลดู
ด้วยจำจาก พรากไป ในหน้าที่
ทุกวันวี่ ที่ไป มิใช่หรู
จำจรจาก เจ้าไป ใกล้โฉมตรู
พี่รู้อยู่ ว่าสิ่งใด ไม่บังควร
ขอหยุดรัก พักใจ ให้นวลแม่
จะดูแล ว่าสิ่งใด ใคร่สงวน
ขออยู่เหย้า เฝ้าบ้าน ตามกาลควร
มิเรรวน แรมร้าง คิดห่างไกล
29 มีนาคม 2551 16:18 น.
วชรกานท์
..................
อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก
แต่ลมปาก หวานหู ไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่น หมื่นแสน จะแคลนคลาย
เจ็บจนตาย ก็เพราะเหน็บ ให้เจ็บใจ
.....สุนทรภู่.... บรมครูกลอนhttp://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/proverb/index30.htm
๏ ฉันต้องใช้ใจวางแนวทางเขียน
ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมปั้นคำหวาน
ต้องกล่าวย้ำบางคำสร้างตำนาน
บางคนอ่านเผลอตลกแอบฉกไป....
.....อัลมิตรา... http://www.thaipoem.com/forever/my_home.php?mid=2189
สองบทกลอน บรมครู ผู้รู้แจ้ง
จัดแจกแจง สัมผัส ชัดสดใส
สัมผัสนอก บอกชัด สัมผัสใน
วชรกานท์ นั้นไม่ อาจเทียมทัน
แค่เล่าเรียน เขียนอ่าน ทางด้านนี้
พบเว็บมี แนวทาง ที่สร้างสรรค์
เขียนบทกลอน ตอนว่าง บ้างเว้นวัน
แจกจำนรรจ์ ตามผู้ ที่รู้วิทย์
สมาชิก ผู้น้อย ที่ด้อยค่า
ลงบทกลอน พรรณา หามีสิทธิ
ความจริงนั้น เรียนมา วิชาคณิต
บังอาจบิด เบือนรัก ทางนักกลอน
ขอฝากกลอน อ่อนสัมผัส วัจนา
ไว้ในเว็บ ขอครูบา อาจารย์สอน
หากผิดพลั้ง มิตั้งใจ ได้อาทร
ฝากบทกลอน มิสอนใคร ใคร่เอ็นดู
28 มีนาคม 2551 10:29 น.
วชรกานท์
อินทรีกางปีกกว้าง เหนือฟ้า
โฉบเฉี่ยวบินคละคลา หมู่แร้ง
มองสู่พสุธา แตกต่าง
อินทรีมองชีพยั้ง ส่วนแร้ง ซากตาย
......................................................................
อินทรีกางปีกกว้าง ร่อนอยู่กลาง นภาลัย
สอดส่าย สายตาไป สุดแสนไกล ในทุ่งนา
มองเห็น ทุกแห่งหน อยู่เบื้องบน เหนือเวหา
ผู้นำ ที่ปัญญา ส่องสายตา ดังอินทรี
แร้งเป็น นกพันธุ์หนึ่ง กางปีกผึ่ง เหนือเกศี
มุมมอง ดั่งอินทรี ต่างกันที่ วิสัยทัศน์
ร่อนหา ซากสัตว์ตาย ชีพวอดวาย ได้ฉีกกัด
ผู้นำ ควรแจ่มชัด ข้อจำกัด ในมุมมอง
เห็นต่าง ตามที่คิด แตกต่างจิต ของทั้งสอง
เป้าหมาย ที่ได้มอง ผู้นำลอง พิจารณา
22 มีนาคม 2551 12:39 น.
วชรกานท์
ความกว้างใหญ่ ไหนกว้างเท่า มหาสมุทร
ความสูงสุด ไหนสูงเท่า เทียมชั้นฟ้า
เราเป็นแค่ สามัญชน คนธรรมดา
มิอาจเท่า เทียมฟ้า มหานที
จะร่ำรวย มากมาย หลายร้อยล้าน
ยังต้องการ อากาศ มิอาจหนี
อีกอาหาร ทานพออิ่ม เลี้ยงชีวี
เครื่องนุ่งห่ม พอมี ห่อหุ้มกาย
ที่อาศัย พอได้ หลบแดดฝน
ยาบำบัด ทุกข์ทน เจ็บป่วยไข้
มีคู่ครอง สืบพันธุ์ มิเดียวดาย
ทั้งบุตรชาย ธิดา มาสืบวงศ์
แต่มนุษย์ มิหยุด เพียงพื้นฐาน
ยังต้องการ สูงขึ้นไป ให้ใหลหลง
ความปลอดภัย ในชีวิต จิตบรรจง
ความมั่นคง เศรษฐกิจ คิดยั่งยืน
อันมนุษย์ เป็นชาติ สัตว์สังคม
การสร้างเกียรติ ความนิยม ยากจะฝืน
คบเพื่อนพ้อง น้องพี่ มีวันคืน
เริงระรื่น ดื่นดึก มิตรึกตรอง
วัยเลยล่วง เริ่มเบื่อหน่าย พากายห่าง
ยิ่งปล่าวเปลี่ยว อ้างว้าง คลายหม่นหมอง
ความสุนทรีย์ อิ่มใจ ได้เรืองรอง
มีมุมมอง ต่างไป ในสังคม
หาวิเวก ปรัชญา มาเคียงเปรียบ
ความรู้เทียบ ประสบการณ์ ที่สั่งสม
เอกัตตา หาที่สุด ไว้ชื่นชม
วันสิ้นลม เหลือสิ่งใด ให้อนุชน
จากสามัญ ผันไป ได้สูงสุด
เหนือมนุษย์ ทั่วไป ในแห่งหน
วันสุดท้าย ไม้ใกล้ฝั่ง ริมวังวน
เหลือแค่คน ธรรมดา เยี่ยงสามัญ
10 มีนาคม 2551 07:49 น.
วชรกานท์
สรรพสิ่ง กำเนิดมา มีหน้าที่
จะร้ายดี สูงต่ำ ทำตามหวัง
จะใหญ่เล็ก เลี้ยงชีพ เสริมกำลัง
ให้อยู่ยั้ง ยืนยง ดำรงตน
พืชน้อยใหญ่ ชอนไช รากไปหา
มวลธาตุใน พสุธา ทุกแห่งหน
สร้างลำต้น กิ่งใบ ผลิดอกตน
ผลิตผล เพื่อสืบพันธุ์ สรรสร้างมา
ผีเสื้อสวย สอดส่าย สายตามอง
ละลิ่วล่อง วางไข่ ใบพฤกษา
หลังจากเธอ ปล่อยไข่ ไร้ชีวา
จุลปักษา หาละอ่อน หนอนมากิน
กระรอกน้อย คอยรอ เร่งผลห่าม
ตะวันส่อง ถึงยาม ดังถวิล
กระแทะเปลือก เล็มเนื้อ เยื่อมากิน
เลี้ยงชีวิน ทิ้งเมล็ด เกล็ดเรียงราย
ชะนีสาว พราวเสน่ห์ เธอเร่ร้อง
เสียงกึกก้อง พนา ยามฟ้าสาย
เก็บผลสุก โหนร่าง นั่งสบาย
พักผ่อนกาย เอมอิ่ม พริ้มหลับไป
มนุสา หาพันธุ์ นั้นมาปลูก
หวังได้ลูก ผลพันธุ์ อันสดใส
ฉีดพ่นยา ฆ่าแมลง ปุ๋ยทางใบ
หวังผลิต ผลไม้ ได้ราคา
วงจรชีพ หายไป เพราะไร้คิด
เศรษฐกิจ ชี้นำให้ ใฝ่ตัณหา
ปุ๋ยเคมี เครื่องจักร ขึ้นราคา
ยังมุ่งหน้า ทำกัน ดันทุรัง
ความพอเพียง คืออะไร ต่างใคร่รู้
พอประมาณ เท่ามีอยู่ แต่ภายหลัง
มีเหตุผล คิดใคร่ครวญ ตามกำลัง
ภูมิคุ้มกัน นั้นพลัง เกราะคุ้มกาย
แสวงหา คุณธรรม มานำจิต
เสริมความรู้ ทีละนิด ยังไม่สาย
จงน้อมนำ ปรัชญา มาใส่กาย
เพื่อถวาย แด่องค์ จักรินทร์