21 กุมภาพันธ์ 2550 01:54 น.
ลุ่มน้ำ ณ เทือกเขาดงรัก
ใบไม้ต้องลมปลิวว่อน...
ฤดูร้อนเร่งเร้าเข้ามาใกล้
ลมหนาวถูกพรากจำจากไกล
บอกมวลหมู่ดอกไม้ให้ผลิบาน
จักจั่นเรไรร่ำร้อง...
กึกก้องสะเทือนป่าดังซ่าซ่าน
ใบไม้ร่วงห่มคลุมลุ่มลำธาร
ฉีกทึ้งเมื่อวันวานให้ผ่านเลย
ผ่านเลยคล้ายสายน้ำ...
ล่วงล้ำเวลารุดมิหยุดเฉย
ฟ้าเปลี่ยนสี ปีเปลี่ยนผัน ฉันดั่งเคย
ยังคงอยู่อย่างเยาะเย้ย ชะตากรรม...
ยังคงฝันและยังใฝ่...
หลงเข้าไปในห้วงนึกลึกถลำ
ฝันว่ากลีบไม้ดอกที่ชอกช้ำ
ที่เก็บกำในมือเรามิเปล่าดาย
ย่อมจะผ่านจนดอกผลิ...
ก้านจะปริตูมดอกเต่งจะเร่งส่าย
ล้อลมแรงอันเร่งร้อนผ่อนระบาย
ส่งกลิ่นหอมขจรจาย ในสายลม
ใบไม้ต้องลมปลิวว่อน...
ฤดูร้อนเร่งเร้าแฝงเข้าห่ม
ฝันยังคว้างลู่ลอยคล้อยตามลม
ใบไม้ยังร่วงพรมลงห่มดิน
23 พฤศจิกายน 2549 02:11 น.
ลุ่มน้ำ ณ เทือกเขาดงรัก
ดึกดื่นคืนนี้...ช่างหนาวนัก
หยิบความรักสุมก่อไฟเพื่อไล่หนาว
หนาวในใจเกินถ่ายถอนผ่อนเรื่องราว
เพราะในความรวดร้าว---นั้นซึมลึก
คิดถึงใครบางคน...เมื่อคราวนั้น
คล้ายภาพฝัน ลมพา คราดื่นดึก
สงบนิ่งอ่อนไหวในสำนึก
ห้วงคำนึงยังตรึงตรึก---ลึกแหละร้าว
เธอคือภาพฝันของวันก่อน
ซึ่งซุกซ่อนในคืนวันอันเหน็บหนาว
ฉันนั่งก่อกองไฟ ผิงให้ดาว
ตาเหม่อมองทอดยาวราวฟ้าไกล...
กลางทุ่งหญ้าป่ากว้างบนทางก้าว
ฉันพบดาวดวงนั้นพรั่นไสว
เช่นดวงตา ดวงดาว เจ้าดวงใจ
จุดดวงไฟฉายฉานบนลานดิน
สนทนากับสหาย---ท่ามสายหมอก
ที่เย้าหยอก ยอดหญ้าพื้นนาถิ่น
เล่าถึงความเจ็บร้าวของชาวดิน
แต่ใจจินต์กลับเจ็บร้าว--เศร้ากว่านั้น
เป็นความเศร้า...แอบซุกซ่อน
ดังไฟฟอนไหม้ฟางบนทางฝัน
หรีดล้าแรงเสียงอ่อย ถ้อยจำนรรจ์
คล้ายหรีดนั้น เห็นน้ำตา ข้าหรือไร...
อุตส่าห์ซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
อกลำเค็ญพอหลบกลบเกลื่อนได้
ด้วยรอยแย้มฉาบหน้ายิ้มร่าไป
แต่ดวงใจกลับพลันเศร้า...เจ้าหรีดเอย....
17 สิงหาคม 2549 17:01 น.
ลุ่มน้ำ ณ เทือกเขาดงรัก
ไม่มีสิ่งใดจะให้แม่
มีเพียงแต่ซากร่างที่ยังเห็น
ไม่มีเงินทองของจำเป็น
มีเพียงความลำเค็ญ...ขื่นเข็ญใจ
กลับมาบ้านเราคราคราวนี้
หอบซากชีวีที่ผอมผ่าย
มาซบแผ่นดินถิ่นเกิดกาย
ซบตักอุ่นอายแห่งวัยเยาว์
สัมผัสมืองานอันกร้านหยาบ
ที่เคยกำหราบยามลูกเขลา
ที่เคยลูบไล้แผ่วเบา
เมื่อครั้งวัยเยาว์...นานมา
บัดนี้ลูกแพ้แล้วแม่เอ๋ย
ก่อนเคยใฝ่ฝันนั้นหนา
ผ่านเลยล่วงหลายเวลา
ดังคนไร้ค่าคว้าลม...
เขามองคนที่ภายนอก
เอาความลวงหลอกเข้าห่ม
ใส่หน้ากากเข้าหาสังคม
นิยมวัตถุเงินทอง
เขาไม่เห็นใจเราบ้างเลยแม่
มีแต่เหยียบหัวขึ้นจองหอง
จิตใจช่างดำดั่งลำคลอง
หยิ่งผยองเหยียดด่าว่าเราจน
ฝ่าม่านน้ำตากลับมาบ้าน
ใจดวงร้าวรานอันสับสน
รอยแผลระกำเกี่ยว-นั้นเคี่ยวคน
ให้กล้าแกร่งทุกแห่งหน บนทางธาร
ขอหลับสนิทนิดหนึ่งเถิด
เพื่อก่อเกิดพลังที่สร้างสาน
ห่างบ้านห่างเรือนมาแสนนาน
ขอพักเนาว์บ้าน....ที่ชานใจ
บนรถไฟขบวน ที่แพ้พ่าย.....
29 กรกฎาคม 2549 15:39 น.
ลุ่มน้ำ ณ เทือกเขาดงรัก
ตาข่ายถูกปล่อยวาง....
ปล่อยลำเรือเร่คว้างกลางม่านฝน
ทรุดกายนั่งปวดปร่าน้ำตาปน
ชำระล้างร่วงหล่นกับฝนริน
ไหวสะเทือนในอก-สะทกสั่น
เสียงเกรียวคลื่นกระชั้นดันโขดหิน
คูณ...เหลืองพราว กราวร่วงลงหน่วงดิน
คล้ายจะยินเสียงครวญอันหวนคราง
วูบไหวในชั่วขณะ...
คูณละ กลีบสวยตอนรุ่งสาง
ลอยลำมูน จุณเจือ มิจืดจาง
จะเร่คว้างไปอย่างไร ตามสายมูน
แม่มูนเศร้าสาย มิสุดสิ้น
ลูกหลานขายแผ่นดินจนสิ้นสูญ
เอาเขื่อนกั้นปักขวากบนปากมูน
เหลืองดอกคูณจึงเศร้าสร้อยบนรอยทาง
ว่าบันไดปลา 'โจร'.....
จะเผ่นโผนโจนทะยานผ่านน้ำกว้าง
ขึ้นวางไข่เหนือเขื่อนช่างเลือนลาง
ดังหลุมพรางตกตายเสร็จไอ้ โจร
ตาข่ายถูกปล่อยวาง...
ปล่อยลำเรือเร่คว้างกลางคลื่นโผน
มองดอกคูณร่วงหล่น-ต้นกระโดน
เรากระโจนติดตาข่าย-ของนายทุนฯลฯ
15 กรกฎาคม 2549 02:01 น.
ลุ่มน้ำ ณ เทือกเขาดงรัก
เราไม่เคยรู้จักกัน......
ท่ามคืนและวันอันเปลี่ยวเหงา
ฉันอาจเป็นเสี้ยวแสงแห่งดวงดาว
หรืออาจเป็นปุยเมฆขาวอันเปล่าดาย
เธอไม่เคยรู้จักฉัน.......
เพียงเสี้ยวคืนแสนสั้นไร้ความหมาย
ฉันยังถามเสมอเธอเป็นใคร
มาจุติ ณ กลางใจอยู่ในนี้
เธอบอกเธอคล้ายดังฟองคลื่น....
ยินไหมเสียงสะอื้นในคืนที่-
ฤดูกาลเหน็บหนาวคราวราตรี
มืด ดับ ลบ ทบทวีใต้แสงจันทร์
เธอก็ไม่รู้หรอก......
เพราะฉันไม่เคยบอกถึงตัวฉัน
เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าระหว่างกัน
ที่บังเอิญร้อยสัมพันธ์เกินบั่นลง
ฉันอาจคล้ายสายน้ำ....
ที่ระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำลำไหลส่ง
หรืออาจเป็นปีศาจร้ายในพฤกษ์พง
หรือเป็นเทพสูงส่ง...ไม่อาจรู้
ฉันรู้เพียงแค่นี้.....
ว่าตัวฉันนั้นยังมีชีวิตอยู่
เพียงไกลเกินใฝ่ฝัน-ฉันก็รู้
ดวงตาเศร้ายังเฝ้าดูไม่รู้วาย
เป็นดวงตาฉันเอง....
ที่พลันกล่อมบทเพลงไร้ความหมาย
บทเพลงเศร้าร้าวรอนร้อนระบาย
ที่ฉานฉายในกระจก - สะทกเงา