30 พฤษภาคม 2551 08:29 น.
ลุงแทน
หนุ่มวัย 19 เรียนดีแต่ยากจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย รัฐได้ 2 แห่งทั้งคณะวิศวะ ม.มหาสารคาม กับคณะวิทยา ศาสตร์ ม.นเรศวร แต่จำใจต้องสละสิทธิ์
ติด2มหา'ลัย ต้องสละสิทธิเรื่อง ราวอันสะเทือนใจของวงการศึกษาเมืองไทยที่เด็กเรียนดีสามารถสอบได้ถึง 2 มหาวิทยาลัยแต่ต้องพลาดหวังไม่มีโอกาสได้เรียนเพราะฐานะยากจนรายนี้เปิดเผย เมื่อตอนสายวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับหนังสือขอความอนุเคราะห์ทุนการศึกษา จากนายประดิษฐ์ ขุมเงิน ผอ. โรงเรียนบ้านคำพระ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เพื่อมอบให้กับนักเรียนคนหนึ่งที่เรียนดีแต่ฐานะยากจน โดยในหนังสือแจ้งว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่ง เรียนเก่งแต่ไม่มีโอกาสได้ เรียนปริญญา เพราะฐานะยากจนทั้งที่สามารถสอบได้ถึง 2 มหาวิทยาลัย โดยนักเรียนรายนี้ ชื่อ นายสมบูรณ์ นามสุข อายุ 19 ปี อยู่บ้านหัวช้าง ต.หัวช้าง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพิ่งจบชั้น ม.6 จากโรงเรียนช้างเผือกวิทยา ต.หัวช้าง
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริงที่บ้านหัวช้าง สอบถามชาวบ้านทราบว่า นายสมบูรณ์ นักเรียนผู้พลาดโอกาสรายนี้ไปรับจ้างไถนาพร้อมกับนายชัยพร และนางสมพร นามสุข บิดามารดาที่กลางทุ่ง หลังหมู่บ้าน จึงตามไปหาที่ทุ่งนา พบนายสมบูรณ์ กำลังรับจ้างไถนาด้วยรถไถนาเดินตาม ส่วนนายชัยพร และนางสมพร พ่อกับแม่รับจ้างถอนหญ้าออกจากแปลงนา
สอบถามนายสมบูรณ์ ถึงเบื้องหลังที่เกิดขึ้น ได้รับการเปิดเผยว่า เรียนจบ ม.6 สายวิทย์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนช้างเผือกวิทยา ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.29 เคยได้รับรางวัลเหรียญทอง ในการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 เมื่อปี 2550 หลังจากจบจาก ม.6 ก็ได้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นการสอบแบบโอเน็ต-เอเน็ต ปรากฏว่าข้อเขียนผ่านเพราะคะแนนค่อนข้างสูง แต่ไม่มีเงินเดินทางไปสอบสัมภาษณ์เลยต้องสละสิทธิ์ไป
ต่อมาสอบระบบ แอดมิชชั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก คณะวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าสอบได้อีก ทางมหาวิทยาลัยนัดตรวจร่างกายวันที่ 15 พ.ค.และสอบสัมภาษณ์ วันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่จำต้องสละสิทธิ์ไปอีก เพราะพ่อกับแม่ ไม่มีเงินค่ารถให้เดินทางไปสอบ เลยต้องพลาดโอกาสไปถึง 2 ครั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรสำหรับอนาคต นายสมบูรณ์ตอบว่า ตอนนี้ออกรับจ้างไถนาหรือทำงานทั่วไปหาเงินช่วยพ่อแม่และจุนเจือครอบครัวไป พลางๆก่อน เพราะยังมีน้องสาวที่กำลังเรียนชั้น ป.6 อีกคน สงสารพ่อกับแม่ต้องทำงานหนักแถมต้องเลี้ยงน้องอีก เลยคิดว่าจะช่วยพ่อแม่รับจ้างหาเงินไปก่อน สำหรับค่าแรงไถนาได้วันละ 100 บาท
“หากเป็นไปได้ผมจะพยายามเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเป็นค่ารถ เดินทางไปกรุงเทพฯเพื่อไปหางานทำส่งเงินให้พ่อแม่และน้อง ถ้ามีโอกาสอาจจะลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนการเรียนจะพยายามเรียนด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ทิ้งการเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะการศึกษาสำคัญต่ออนาคตของเรามาก” นายสมบูรณ์กล่าว
ทางด้านนางสมพร เปิดเผยว่า มีลูก 2 คน คือ นายสมบูรณ์กับลูกสาวคนเล็กที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 ลูกชายเป็นคนขยัน ไม่เกเรและตั้งใจเรียนมาก เมื่อลูกเรียนจบ ม.6 อยากให้ลูกเรียนต่อปริญญาแต่ติดขัดที่ไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียนเพราะรับจ้าง หาเช้ากินค่ำ “สงสารลูกเหมือนกันแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอยากขอความเมตตาจากท่านผู้ใจบุญ ช่วยเหลือลูกชายด้วยเพื่อให้เขาได้มีโอกาสเรียนต่อเพราะเขารักการเรียนมาก” หัวอกผู้เป็นแม่กล่าว สำหรับผู้ใจบุญที่ต้องการจะอุปการะด้านการศึกษาของนายสมบูรณ์ สามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ที่นายจันทร์ที จัดสนาม กำนัน ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โทร.08-1579-9789
23 พฤษภาคม 2551 16:29 น.
ลุงแทน
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก . "พ่อครับ, พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ . "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก . "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ . "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ"
พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก . "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่" ลูกพูดร้องขอ
พ่อ . "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก . "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก
พูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
"นี่เป็นเหตุผลที่แกถามเพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ
รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่าแกน่ะเห็นแก่ตัวมาก
ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู
ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย
เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้นเพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย
บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก
ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ . "หลับหรือยังลูก"
ลูก . "ยังครับ"
พ่อ. "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป" ,
"นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง "ขอบคุณครับพ่อ"
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง . "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก . "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว"
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงิน ครบ 20 เหรียญแล้ว
" ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง"
............พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ
ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ................
............. อย่าละเลยกับสิ่งที่คุณคิดว่าไม่สำคัญ ...............
23 พฤษภาคม 2551 15:54 น.
ลุงแทน
คนใข้ I.C.U. = คนใข้เตียงที่ 1 Car accident (บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์) คนไข้ชื่อ นางสาวสายหยุด อายุ 39 ปี ป้ายหน้าเตียงเขียนว่า..... Car accident (บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์) ชีวิตนางสาวสายหยุดทำให้ฉันถามตนเองเสมอว่า "ทำไมชีวิตคนบางคนจึงถูกชะตากรรมโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า" 20 ปีก่อน...ในงานวันสงกรานต์ นางสาวสายหยุด ยิ้มหวานให้กับช่างภาพ มือประคองขันน้ำพานรองที่ได้รับ ในฐานะเทพีสงกรานต์ของหมู่บ้าน ก็สมแล้ว...ด้วยเธอเป็นคนหน้าตาสะสวย ร่างระหง งดงาม และนิสัยดี เธอยังทำให้สาวๆในหมู่บ้านอิจฉาตาร้อน เมื่อเธอเป็นคู่หมั้นปลัดหนุ่มรูปงาม ฐานะร่ำรวย นางสาวสายหยุดเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ซึ่งต่างก็ปลื้มปีติ...ชื่นชมอนาคตของลูกสาว คืนเดือนมืดวันหนึ่ง มีโจรใจชั่ว ขื้นปล้นพรหมจารีของเธอ เธอดิ้นรนต่อสู้จนสุดฤทธิ์ เรียกพ่อแม่ให้ช่วย เสียงปืนของไอ้โจรดังสองนัด นัดแรกปลิดชีวิตพ่อของเธอ อีกนัดหนึ่งยิงเข้าท้ายทอยของเธอ นอกจากนางสาวสายหยุดจะเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาทันที ตาทั้งสองข้างของเธอยังบอดสนิท ด้วยลูกปืนแล่นเข้าสมองส่วนควบคุมการมองเห็น นางสาวสายหยุดนอนโรงพยาบาลถึงหกเดือน แม้หมอจะเยียวยาเต็มที่ ตามด้วยการกายภาพบำบัดเป็นแรมปี อนาคตอันสวยงามของเธอต้องดับวูบ วิมานพังทลาย เธอกลายเป็นหญิงตาบอด แขน ขาพิการ เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก!!! ออกจากโรงพยาบาล นางสาวสายหยุดกลับไปอยู่กับแม่ แม้จะอ่อนแรงลงซีกหนึ่ง เธอก็ช่วยตนเอง และช่วยแม่ทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ แม่ต้องหาเลี้ยงเธอ โดยการปลูกผักขาย ไม่น่าเชื่อว่า จะเกิดเวรกรรมซ้ำสองอีกยี่สิบปีต่อมา มีคนร้ายปีนขื้นบ้าน หวังข่มขืน นางสาวสายหยุด คนตาบอด พิการ และอายุ 39 ปี เธอไม่ยอม...หวีดร้องให้แม่ช่วย ผู้ร้ายใจโหด ใช้ขวานทุบ ทำร้าย แม่ที่ชราของเธอ และทุบขาเธอหัก ชาวบ้านต่างใด้ยินเสียงหวีดร้อง ขอความช่วยเหลือ ต่างวิ่งมาช่วย ผู้ร้ายจึงวิ่งหนีไป ชาวบ้านเหมารถสองแถว พาเธอและแม่มาส่งโรงพยาบาล อนิจจา! รถสองแถว มาไม่ถึงโรงพยาบาล... คนขับสิบล้อเมายาบ้า แซงสวนทางมาอย่างคึกคะนอง เบียดรถสองแถวที่เธอกับแม่นั่งมา กลิ้งคว่ำหลายทอดลงข้างทางที่เป็นร่องลึก แม่ที่บาดเจ็บสาหัสตายคาที่ นางสาวสายหยุดสลบเหมือด รถตำรวจรีบช่วยเหลือส่งเธอเข้าโรงพยาบาล ที่ห้องฉุกเฉินในคืนวันนั้น... "ทำไมถึงดวงซวยอย่างนี้นะ" หมอพัลลภอดเอ่ยปากเช่นนี้ไม่ใด้ เมื่อทราบประวัตินางสาวสายหยุด ผลการตรวจพบว่านางสาวสายหยุดรู้ตัวดี แม้จะอ่อนเพลียมาก เปลือกตาซีดมาก ความดันโลหิตต่ำ เหงื่อซึมเต็มหน้า กระสับกระส่าย เธอ อยู่ในภาวะ ช๊อก! หน้าท้องของเธออืดตึง หมอวินิจฉัยว่า...สงสัยอวัยวะภายในฉีกขาด หมอรีบเข็นนางสาวสายหยุด เข้าห้องผ่าตัดในทันที เพื่อทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง วิสัญญีแพทย์ดมยาสลบ หมอพัลลภผ่าตัดเข้าไปในช่องท้องของนางสาวสายหยุด พบว่า... ตับแตกเป็นแฉกๆ ม้ามแตกเละ หมอพัลลภตัดม้ามใด้โดยง่าย ไม่มีปัญหาอะใร แต่การเย็บตับ ไม่สามารถห้ามเลือดใด้ หมอเย็บหลายครั้งเลือดก็ยังไม่หยุด ให้เลือดไปทั้งหมดยี่สิบถุงแล้ว ความดันโลหิตยังไม่ดีขื้น หมอจึงตัดสินใจใช้ผ้ากอซขนาดใหญ่ยัดห้ามเลือดที่ตับใว้แล้วปิดหน้าท้อง อีก 48 ชั่วโมง ต้องผ่าตัดเอาผ้ากอซออก ถ้าทิ้งใว้จะเน่าและคนใข้เกิดการติดเชื้อทางกระแสเลือดใด้ สำหรับขาที่หักจากการถูกทำร้าย หมอกระดูกใด้มาใส่เฝือกใว้ก่อน ในไอซียู... หลังการผ่าตัดเพียง 6 ชั่วโมง นางสาวสายหยุดก็รู้สึกตัว ถึงแม้จะเจ็บแผล และระบมร่างกายเพียงใด เธอก็ไม่ใส่ใจ สิ่งที่เธอทำสิ่งแรกคือร้องเรียกหาแม่ "แม่จ๋า แม่อยู่ไหน แม่อยู่ไหน" "แม่เจ็บนิดหน่อย อยู่ที่ตึกข้างนอกจ้ะ" พยาบาลโกหก "ไม่จริง แม่ถูกค้อนทุบ ถูกค้อนทุบ แม่อยู่ไหน ฉันจะไปหาแม่" เธอเร่งเร้า ตาบอด ตาใส ส่ายกลิ้งไปมา "แม่เจ็บนิดหน่อยจริงจ้ะ ถ้าคุณสายหยุดหายดีกว่านี้ พี่จะพาไปหาแม่" พยาบาลบอก กลืนก้อนสะอื้นที่จุกที่คอลงไป "จริงๆนะ" เธอยกมือข้างที่ไม่เป็นอัมพาต จับมือพยาบาลใว้ พยาบาลห้องผ่าตัด ที่ช่วยหมอผ่าตัดนางสาวสายหยุด เล่าให้กันฟังถึงความน่าสงสารของเธอ ต่างเรี่ยไร บริจาคเงินใด้เงินพันกว่าบาท กะจะมามอบให้เธอ แต่ยังไม่ทันมามอบ 12 ชั่วโมงหลังผ่าตัด นางสาวสายหยุดร้องอย่างดีใจ...เธอบอกว่า "พี่ แม่มาหาฉันแล้ว แม่มาแล้ว" เธอยิ้ม ดวงตาใส จ้องมองด้านบน พยาบาลใจหายวาบ! ไม่ใด้ใจหายเพราะเธอพูดถึงแม่ แต่ใจหายเพราะเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดสัญญาณชีพ (เครื่องวัดความดันโลหิต และออกซิเจนในเลือด) พากันร้องรัวเสียงแหลม "ปรี้ด ปรี้ด" เสียงนั้นกระชากหัวใจของหมอพยาบาล ต่างวิ่งมาที่เตียงของเธอ ความดันโลหิตของเธอตกจนวัดไม่ใด้ หายใจช้าลงช้าลง ท้องเธออืดขื้นมาอีกครั้ง "พุชเลือด" มองดูอาการแสดงว่า เลือดออกใหม่จากตับที่แตก หมอพัลลภสั่งดันเลือดเข้าร่างนางสาวสายหยุด พยาบาลใช้กระบอกสูบ ดันเลือดเข้าร่างแล้ว หมอรีบใส่ท่อหายใจบีบออกซิเจนเข้าสู่ปอด "อะเรส (Arrest)" เสียงหมอร้อง นั่นคือ หัวใจคนใข้หยุดเต้น พยาบาลโถมร่างขื้นปั้มหัวใจ หวังช่วยชีวิตนางสาวสายหยุดผู้น่าสงสาร ยิ่งให้เลือด แขนขายิ่งขื้นจ้ำเลือด ยิ่งให้เลือด ท้องก็ยิ่งอืดหลาม อาการเช่นนี้ ทุกคนรู้ว่า ความแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ตับที่แตกคงปริแตกอีก ผ้ากอซที่ยัดใว้ จึงไม่สามารถห้ามเลือดใด้ การช่วยชีวิตขั้นสูงดำเนินไปจนสองชั่วโมงผ่านไป... เหงื่อแตกเต็มร่างหมอพยาบาล ม่านที่เตียง นางสาวสายหยุด ถูกรูดปิด... เธอใร้ญาติขาดมิตร แม่คนเดียวที่เหลือก็จากไปก่อน จึงไม่มีแม้เสียงร่ำไห้ของญาติ มีแต่น้ำตาที่คลอตาของหมอและพยาบาล ห้องไอซียู และพยาบาลห้องผ่าตัด ที่กำเงินมาพันบาทเศษหวังมามอบให้...แต่ไม่ทัน "สงสารคุณสายหยุดจังเลย ชีวิตอาภัพเหลือเกิน ขนาดพวกเรารวมเงินมาให้ ก็ยังไม่มีโอกาสใด้รับ" พยาบาลห้องผ่าตัดพรรณนา นางสาวสายหยุดจากไป ขณะที่หลายคนคิดว่า "ชีวิตที่เหลืออยู่ถ้ารังแต่เกิดความทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ การจากไป มิใช่หนทางที่ดีกว่าหรือ" แต่หลายคนก็ค้านว่า "ถึงจะลำบากยากแค้นเพียงใด การมีชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญและอดทนเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของมนุษย์ เป็นตัวอย่างที่ดี ให้ผู้คนที่ลำบากเห็น และเอาเยี่ยงอย่างของการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ไม่ว่าความคิดเห็นข้อไหนถูก...
"สัพเพ เภทปริยนต เอว มจจาน ชิวิต = ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความเสื่อมสลายในที่สุด" คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ในขณะนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านโชคดี กว่าคนอีกไม่รู้กี่คน...มากเท่าใด
22 พฤษภาคม 2551 09:17 น.
ลุงแทน
คงไม่มีคำจำกัดความใด ๆ สามารถบรรยายความเป็น “แม่” ได้หมดสิ้น ความรักทั้งหมดทั้งปวงในโลกนี้รวมกันก็ไม่เท่าความรักของแม่คนหนึ่งที่มีต่อ ลูก ความรักของแม่งดงามเหมือนดอกไม้ ยิ่งใหญ่ดุจศิลปะที่จรรโลงมนุษยชาติได้ด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้าอย่างที่เคยว่าไว้ตอนเด็ก ๆ คุณเองก็รู้ดี
หากดอกมะลิจะทดแทนความหมายความรักของแม่ได้ นั่นก็เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้ของความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และอ่อนโยน แทนความหมายว่า “เธอคือผู้ที่ฉันสุดรักสุดบูชา” หรือ “เธอคือดอกฟ้าผู้สง่างามและสูงส่ง” และคุณก็อาจไม่เคยรู้ว่าข้างในหัวอกของผู้เป็นแม่นั้น นอกจากบรรจุแน่นด้วยความรัก ความปรารถนาดีแล้ว ยังมีความรู้สึกที่มีต่อลูกอีกมากมายเหลือคณานับ ลำดับมาพอเป็นสังเขปจากเศษเสี้ยวของหัวใจแม่ได้ 8 ข้อต่อไปนี้
1. แม่อยากให้ลูกมีสุขภาพดี
ย้อน ความกลับไปตั้งแต่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในท้องแม่ ท่านเฝ้าดูแล ทะนุถนอมลูกน้อยในครรภ์ แม้ท่านต้องลำบากและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลายอย่างในชีวิต ทั้งหมดเพียงเพื่อลูก ต่อมาวินาทีแรกที่ลูกลืมตา ถามแม่ร้อยคน ประโยคแรกที่อยากได้ยินจากปากหมอคือ ลูกมีอวัยวะครบถ้วนทุกประการ ยามเป็นทารก เมื่อลูกไอ แม่ก็อยากไอแทน ลูกร้องไห้ก็แสนจะทรมานไปกับลูก
2. แม่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี
การ ศึกษาคือรากฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิต นับตั้งแต่เริ่มหัดอ่าน หัดเขียน ท่านตรากตรำพร่ำสอนคุณอย่างไม่ลดละ (คุณอาจไม่รู้ว่า การสอนเด็กเล็กคนหนึ่งให้อ่านออกเขียนได้นั้นยากเย็นเพียงใด) แม่ร้อยคนก็ล้วนมีล้านวิธีต่างกันออกไป หากแต่มีเพียงจุดประสงค์เดียวกัน คืออยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดของกำลังคนเป็นแม่จะทำได้ หากทำงานเหนื่อยหนักเพื่อมาจ่ายค่าการศึกษาของลูกได้วิธีไหน แม่ก็จะทำทุกวิถีทาง เพื่อลงทุนด้านการศึกษาให้ลูกซึ่งคุ้มค่ากว่าการลงทุนอะไรทั้งหมด
3. แม่อยากให้ลูกเข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง และเข้าใจแม่ (บ้าง)
แม้ โลกจะเลวร้าย หากชีวิตยืดหยุ่นได้และปรับสภาพด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสงบสุข เข้าใจสภาพแวดล้อมแล้วก็อย่าลืมหันกลับมาเข้าใจภายในของตัวเอง และสิ่งสุดท้ายที่หัวอกคนเป็นแม่อยากบอกให้ลูกฟัง คือ เข้าใจท่านบ้าง ที่พร่ำบ่นพร่ำสอน เพียงเพราะคำว่ารักคำเดียว บริสุทธิ์ไร้สารพิษ ไม่มีสิ่งใดเจือปน
4. แม่อยากให้ลูกประหยัดและพอเพียง
ความ พอดีจะทำให้ลูกของแม่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่โหยหาได้มาเพียงวัตถุ แล้วจิตใจต้องตกเป็นทาสของเงินตรา เชื่อเถิดว่าแม่ของคุณ อยากให้คุณพอมีพอกิน สมตัว สมฐานะ เพียงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ท่านอยากให้คุณ ร่ำรวยความสุขแทนตัวเลข เรียนรู้ที่จะประหยัด สมถะ และพอเพียงอย่างสร้างสรรค์
5. แม่อยากให้ลูกมีระเบียบและใช้ชีวิตให้เป็น
ลูก ๆ ทั้งหลายคงเคยถูกแม่จ้ำจี้จ้ำไชในความไร้ระเบียบ ท่านไม่ได้แค่เหนื่อยที่ต้องตามเก็บกวาดสมบัติประดามีของคุณ (เพราะการสอน เหนื่อยกว่าทำเองมาก) แต่แม่มองการณ์ไกลไปกว่านั้น หากวันใดไม่มีแม่อยู่ เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกนำพาไป วันนั้นเองที่คุณจะต้องจัดการอะไรในชีวิตด้วยตัวเอง หากเริ่มต้นตอนนั้นคงสายเกินไปและยากเกินแกงที่จะเริ่มต้น แม่สอนให้คุณรู้จักแบ่งเวลาในชีวิต หน้าที่ส่วนตัว หน้าที่ส่วนรวมให้แยกแยะ ไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะที่ต้องไม่ลืมทำตามหัวใจ และสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกมีความสุขในชีวิตได้
6. แม่รักลูกมากพอที่จะปล่อยให้ลูกมีอิสระและตัดสินใจด้วยตัวเอง
แม่ หวง แม่ห่วง เพราะแม่รัก เมื่อคุณยังเด็กและไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่านึกตะขวงใจที่แม่ไม่ยอมปล่อยให้คุณทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะสักวันหนึ่งก็จะถึงเวลาของคุณ ในทางกลับกัน หากแม่ของคุณสอนให้คุณรู้จักช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก นั่นก็เพราะท่านอยากให้คุณรู้จักการใช้ชีวิต คิดตัดสินใจด้วยตัวเอง ท่านมอบยานพาหนะคันงามที่ชื่อว่าอิสระให้คุณแล้ว หมายความว่า คุณจะต้องบังคับทิศทางไว้ในที่ที่ควรอยู่ โดยจะมีแม่คอยมองคุณอยู่ข้างหลัง
7. แม่อยากให้ลูกเชื่อฟังคำ แม่สอน
ไม่มีแม่ในโลก คนไหนหวังร้ายกับลูก บางเวลาคำพูดของแม่ออกมาอย่างมีอารมณ์แต่ไม่เคลือบแฝง เพียงเชื่อคำแม่สอน ชีวิตคุณก็จะเป็น-อยู่-คือ อย่างที่ควรจะเป็น และคำแม่สอนจะติดตัวเป็นสมบัติล้ำค่าไปตลอดชีวิต หาซื้อไม่ได้ เวลาก็ย้อนคืนมาไม่ได้ เช่นกัน ทว่าสามารถเก็บไว้ได้เป็นคอลเลกชั่นในใจได้
8. แม่อยากให้ลูกกตัญญู รู้คุณคน
ไม่เพียงรู้บุญ คุณของน้ำนมแม่ หากแต่ความกตัญญูกตเวทีจะนำพาให้ชีวิตคุณอยู่รอดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับ หากเราซื่อสัตย์และจริงใจต่อใครก็ตามที่ดีกับเรา และถึงแม้เขาจะไม่ดีด้วย ก็ให้เอาชนะใจคนด้วยความดี
ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นอะไร เป็นใครที่เลวร้ายหรือน่ารังเกียจสำหรับคนอื่นมากแค่ไหน แต่สำหรับแม่แล้ว คุณคือแก้วตาดวงใจของท่านเสมอ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดจนวันสุดท้าย
22 พฤษภาคม 2551 09:09 น.
ลุงแทน
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด... เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ
แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร" ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539
“มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
“ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้
วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม
คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
“ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”
มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น
“ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”
คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด ..ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
“นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”
“กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า
“นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
“วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา”
“จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
“มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”
มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
“ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?
เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง
“วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
“ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”
รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...