23 ธันวาคม 2550 22:04 น.
ลุงแทน
การสอนที่ทรงอำนาจ
ท่านผู้หนึ่งที่เชียงใหม่ แกสูบบุหรี่จัดมาก ได้ลูก ๒ คน ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง ลูกชายนั้นมันเดินตามพ่อ พ่อสูบยี่ห้อไหน มันสูบยี่ห้อนั้นพ่อสูบเวลาไหน มันก็สูบเวลานั้น
พ่อนั่งดูลูกสูบบุหรี่ ก็นึกในใจว่า “แย่ ติ๊กมันจะแย่ (ชื่อเล่นชื่อติ๊ก)ถ้ากูทำอยู่อย่างนี้ มันจะแย่...เลยคิดว่าต้องให้ลูกเลิกสูบบุหรี่ พ่อต้องเลิกก่อนเลยเลิก ตัดสินใจเลิก ไม่สูบเลยหลายวัน
ลูกสังเกตเห็นว่า พ่อนี่ผิดปกติมาหลายวันแล้ว วันหนึ่งเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ถามพ่อว่า “พ่อ หมู่นี้ดูพ่อผิดปกติ”
พ่อถามว่า “ผิดปกติอะไรลูก” “ผมไม่เห็นพ่อสูบบุหรี่เลยหลายวันแล้ว เพราะอะไร?”
พ่อบอกว่า “นั่งลง...พ่อจะเล่าให้ฟัง พ่อนี่มีลูก ๒ คน พ่อรักลูกอยากเห็นความเจริญเติบโตของลูก พ่อเมื่อก่อนนี้สูบบุหรี่จัด มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะได้เห็นความเจริญของลูกได้อย่างไร พ่อรักลูก ก็อยากอยู่กับลูกนานๆ พ่อเลยตัดสินใจเลิกตั้งแต่วันนั้น วันที่พ่อคิดถึงลูกมาก พ่อเลิกไม่สูบเลย ในชีวิตตั้งแต่นั้นมา จนบัดนี้แล้ว จะไม่สูบอีกต่อไป ลูกจำไว้เถอะ”
พ่อไม่ได้พูดว่า “ลูกควรจะเลิกเหมือนพ่อ” ไม่ได้ขอลูกเลยสักคำเดียว เพียงแต่บอกว่า “พ่อรักลูก อยากจะอยู่กับลูกนานๆ พ่อจึงเลิกสูบบุหรี่”
แล้วต่อมา ลูกมันก็เลิกเหมือนกัน มันเห็นพ่อไม่สูบบุหรี่ มันก็นึกได้ว่า “กูก็เลิกเหมือนกัน” เลิกเลย เลิกหมดทั้ง ๒ คน ในบ้านนั้นก็เลยไม่มีใครสูบบุหรี่ต่อไป
พ่อเลิก ลูกเลิก! นี่คือการสอนที่เรียกว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างมีอำนาจมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้เกิดการคิดขึ้นในใจของผู้นั้นได้ เลิกได้
23 ธันวาคม 2550 22:00 น.
ลุงแทน
ประทีปนี้ไม่มีวันดับ
เมื่อครั้งพุทธกาล มีหญิงขอทานชรานางหนึ่ง นางมักจะเฝ้าดูกษัตริย์ ราชบุตร และประชาชน นำของมาถวายแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก ไม่มีสิ่งใดที่นางปรารถนายิ่งไปกว่าจะได้กระทำดุจเดียวกันนี้ แต่นางทำได้เพียงไปขอได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่งเพื่อเติมประทีปได้ดวงเดียวเท่านั้น นางนำประทีปนั้นไปจุดถวายเบื้องพระพักตร์ พลางตั้งจิตอธิษฐานว่า
“ข้าพเจ้าหามีสิ่งใดอื่นจะถวาย นอกจากประทีปดวงน้อย ด้วยทานครั้งนี้ในอนาคตกาลขอให้ข้าพเจ้าได้รับแสงสว่างจากประทีปแห่งปัญญาและขอให้สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความมืดมน ให้สามารถช่วยชำระล้างบาปโทษทั้งมวลของส่ำสัตว์ และนำพาเขาเหล่านั้นไปสู่พระนิพพานด้วยเทอญ”
ยามดึกคืนนั้น น้ำมันในประทีปทุกดวงต่างแห้งเหือดลงสิ้น แต่ประทีปของหญิงขอทานยังคงส่องสว่างอยู่จนรุ่งสาง เมื่อพระโมคคัลล์มาเก็บประทีป ก็ไม่เห็นเหตุว่า ทำไมประทีปน้อยดวงนี้จึงยังลุกโพลงอยู่ จึงพยายามเป่าให้ดับ แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรประทีปดวงนี้ก็หาดับลงไม่
พระพุทธองค์ได้ทัศนาอยู่ จึงดำรัสว่า “โมคคัลลาน์...เธอปรารถนาจะดับประทีปดวงนั้นหรือ เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่สามารถดับมันได้ แม้แต่เคลื่อนย้ายก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าเธอจะตักน้ำทั้งมหาสมุทรมารดราดก็ไม่มีทางจะดับมันลง น้ำในสายธารและทะเลสาบทั่วทั้งโลกก็ไม่อาจดับมันได้ ด้วยเหตุว่าประทีปนี้ได้ถวายด้วยแรงแห่งศรัทธาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เจตนานี้ย่อมเป็นผลบุญอันไพศาล”
23 ธันวาคม 2550 21:54 น.
ลุงแทน
รู้เรา รู้เขา ...ไม่เศร้า ไม่หมอง
รศ.บุญนำ ทานสัมฤทธิ์
“ปีหนึ่งผ่านไปไวจริงๆ” คนที่รู้สึกเช่นนี้ เขาว่ากันว่าเป็นคนมีความสุข
ส่วนคนที่มีความทุกข์จะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปช้าน่ารำคาญ...ไม่ว่าจะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปเร็ว หรือ ช้า
ไม่ว่าปุถุชนหรือกัลยาณชนหรือชนใดๆ ก็คงต้องเป็นไปตามธรรมดาของโลก
ตามที่พ่อพราหมณ์สอนศรีสุวรรณในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีว่า
“อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย”
เรามักคิดกันว่า ที่รู้สึก สุข หรือโศก เพราะมีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม จากสังคมที่มีปัญหา
ความยากจน ความฉ้อฉลทุจริต ยาเสพติดทุกชนิด... มลพิษในสิ่งแวดล้อม สมยอมต่อความไม่ถูกต้อง
จ้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ขาดการปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี
ความเป็นมิตรไมตรีหายไป ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกละเลย เมินเฉยต่อคำสอนในศาสนา เกิดปัญหา สุขยาก ทุกข์ง่าย กันถ้วนหน้า
สภาพแวดล้อมที่เป็นปัญหา ทำให้มีความทุกข์ คงจะเป็นจริงอยู่บ้างแต่ไม่ใช่จริงไปเสียทั้งหมด
เราคงไม่อาจพึ่งพาใคร ให้ปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่เราต้องการได้ทุกเรื่อง
เราจะยอมแบกทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือ ...เราจะยอมให้ความเศร้าหมอง ครองใจเราอยู่อย่างนั้นหรือ
เราจะไม่หาทางสร้างสุข ปลดทุกข์ให้เบาบางลงด้วยตัวเราเองบ้างหรือ
พุทธศาสนาสอนว่า สุข หรือ ทุกข์ ผ่องใส หรือเศร้าหมองขึ้นอยู่กับใจหรือจิตของเราเองทั้งสิ้น
พระท่านสอนว่า “สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ใจ มิใช่หรือ
ถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ
เราอยากได้ ความทุกข์ หรือสุขนา”
คงไม่มีใครสักคน ที่ตอบว่า อยากได้ความทุกข์ ใจถือ คือใจที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปจนได้ทุกข์ ถ้าฝึกจิตหรือใจ ไม่ปรุงแต่ง ก็จะไม่ทุกข์มาก
โชคดีที่มนุษย์ถูกฝึกได้ และฝึกตนเองได้
ที่ปรึกษาของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ปฐมนิเทศสมาชิกพรรคเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า
“การรณรงค์เลือกตั้ง ก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ต้องรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด”
“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง”
รู้เขา เอาชนะศึกภายนอกได้ แต่ชนะศึกภายในต้องรู้เราเสียก่อน
รู้เรา คือ รู้อาการ ที่ทำให้จิตของเราไม่ผ่องใส
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสรผ่องใสแต่เศร้าหมองไป เพราะมีอุปกิเลสจรมา”
อุปกิเลส เป็นอาการของจิต แจกแจงรายละเอียดกว่ากิเลส 3 กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง
รู้เรา ใครๆ ก็อยากทำได้ แต่ไม่ง่าย
รู้เรา มักรู้แต่เรื่องดีๆ ของเรา เรื่องเราที่ไม่ดีมักไม่รู้
รู้เขา มักรู้แต่เรื่องไม่ดีของเขา เรื่องเขาที่ดีๆ มักไม่รู้ ถึงรู้ก็มักไม่พูดวงสนทนาในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในที่ทำงาน ในสังคม ไม่เว้นแม้แต่ในวัดมักพูดถึงคนนั้นคนนี้
- พ่อคนนั้น แม่คนนี้ เป็นคนโลภ โมโหร้ายกาจ โกรธง่าย
- อิจฉาริษยา ตระหนี่ขี้เหนียว มารยาสาไถย คุยโม้โอ้อวดดื้อรั้น ดึงดัน แข่งเด่นแข่งดี
- มานะถือตน ดูหมิ่นเหยียดหยาม มัวเมาในลาภยศและประมาท เลินเล่อมักง่ายโทษสมบัติเหล่านี้มีทั้งหมด ๑๖ ประการ เรียกว่า อุปกิเลส
- มีมากเท่าไร จิตก็ไม่ประภัสสรส่องสว่างมากเท่านั้น สว่างก็จะ
- มองเห็นอะไรได้ มืดเกินไป จะมองอะไรเห็นมีแต่คนพูดถึงอาการคนอื่น ใครเคยได้ยินใครพูดอย่างนี้ บ้างไหม
ฉันเป็นคนขี้โลภ ฉันเป็นคนขี้โกรธ
ฉันเป็นคนขี้ตระหนี่ ฉันเป็นคนขี้อิจฉา
ฉันเป็นคนขี้โม้ ฉันเป็นคนขี้เมา
อุปกิเลส ต้องเป็นอาการที่ไม่ดีแน่นอน เพราะเติม “ขี้” ไว้ข้างหน้าได้อย่างเหมาะเจาะ
รู้ว่าอะไรไม่ดี ไปทู่ซี้ทำอยู่ทำไม
รู้โลกภายนอกมามากมาย รู้โลกภายในกันบ้างหรือยัง
พระท่านสอนว่า โลกภายนอก กว้างไกล ใครๆรู้
โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
อยากรู้โลก ภายนอก มองออกไป
อยากรู้โลก ภายใน มองใจตน
พระท่านไม่ได้สอนให้ท่องเท่านั้น แต่สอนให้ทำด้วยไม่ว่าปีหนึ่งจะผ่านไปไวหรือช้า ฝึกสติ ตั้งสมาธิ สร้างปัญญาใช้เมตตา ให้อภัย ใจบริสุทธิ์ หยุดคิดปรุงแต่ง
เอาใจเขา มาใส่ใจเรา
รู้เรา รู้เขา
จักไม่เศร้า ไม่หมอง
23 ธันวาคม 2550 09:26 น.
ลุงแทน
งบประมาณเลือกตั้ง 50
การเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอของบประมาณการจัดเลือกตั้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ทั้งสิ้น 1,900 ล้านบาท
นอกจากนี้ กกต.ได้เสนอของบประ มาณเฉพาะส่วนการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อีก 500 ล้านบาท เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากรูปแบบภายใต้การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 คาดว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้งบประมาณสูงถึง 2.4 พันล้านบาท ซึ่งการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2544 มีการใช้งบประมาณไป 2.2 พันล้านบาท.
.......นี้คือเงินภาษีของพวกเราทุกคน จงรักษา(ลประโยชน์ โดยออกไปใช้สิทธิ์เลือกคนที่ชั่วน้อยที่สุด และมองห่คนที่คิดว่าดี เข้าสภา
20 ธันวาคม 2550 21:14 น.
ลุงแทน
มีพ่อจนๆนี่มันน่าอายมากเลยหรือ?
มีพ่อจนๆนี่มันน่าอายมากเลยหรือ ?
วันนี้เลิกงานเร็วเลยพาพี่นุ่มไปซื้อของใช้ที่ห้างแห่งหนึ่ง รอต่อแถวจ่ายตังค์นานเลย เจ้านุ่มก็เริ่มงอแงๆ ง่วงนอน สังเกตุว่าคิวด้านหน้าเรามากันเป็นครอบครัว มีพ่อแม่ลูกสาววัยประมาณเจ้านุ่ม แล้วก็ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ที่หนูน้อยเรียกว่า"ปู่" คุยกันยิ้มแย้มแจ่มใสดี ซื้อของใช้ล้นตระกร้าเชียวค่ะ
พอแคชเชียร์คิดเงินของครอบครัวนี้จนเสร็จได้ยินคร่าวๆว่า "ทั้งหมดพัน(กว่าๆ)บาทค่ะ...." ผู้เป็น"ปู่" เป็นคนเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเก่าๆ จะจ่ายเงิน พร้อมทำท่าอ้ำอึ้ง มีลูกชายลูกสะใภ้จ้องตาเขม็ง หุบยิ้มทันที
" ว่าไงพ่อ จ่ายเค้าไปสิ" ลูกชายบอก คุณปู่ยังทำท่าอ้ำอึ้ง
"ไหน ดูหน่อย มีตังค์เท่าไหร่" คุณปู่ยื่นกระเป๋าตังค์ให้ดูข้างใน
" อ้าว ไหนว่ามีตังค์เยอะไง แล้วแบบนี้จะชวนมาซื้อของทำไม ไม่มีตังค์จ่ายก็ไม่บอก อายเค้าจริงๆ " ลูกชายลูกสะใภ้พากันมองคุณปู่ด้วยสายตาที่เหมือนดูถูก...รำคาญ
ในที่สุดเค้าก็พากันทำสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อสายตา คืออุ้มลูกเดินหนีไปเลย พร้อมกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่สนใจลูกสาวที่ร้องว่า "ปู่ๆๆๆ ปู่มาด้วย"
คุณปู่ยืนคอตก หน้าเศร้าอยู่หน้าแคชเชียร์ พอเด็กถามว่าจะเอายังไง คุณปู่เปิดกระเป๋าตังค์ให้เด็กดู แล้วบอกว่าให้คิดเงินตามนี้ ได้ของเท่าไหร่เท่านั้น (เด็กนับแล้วมีแปดร้อยบาทค่ะ)
ระหว่างรอแคชเชียร์คิดเงินใหม่ ได้ยินคุณปู่เล่าว่า แกบ้านอยู่ต่างอำเภอห่างไปเป็นร้อยกิโล ลูกหลานไม่ไปหานานแล้ว แกจึงตัดสินใจรวบรวมเงินทั้งหมดที่มีนั่งรถเข้ามาเยี่ยมลูกหลานในเมือง แล้วชวนออกมาซื้อของ ลูกแกก็ไม่ถามสักคำว่าเงินมีเท่าไหร่ หยิบของเอาๆ แกก็ไม่เคยรู้ราคาของ เพราะอยู่บ้านนอกก็ซื้อร้านของชำทีห้าบาทสิบบาท ใครจะจะรู้ว่าของในห้างใหญ่เค้าซื้อกันทีละเป็นพัน
เราจ่ายเสร็จเห็นคุณปู่ยังเดินเคว้งอยู่แถวๆนั้น ก็เลยถามแกว่าจะกลับยังไง แกบอกว่าพอขึ้นรถกลับเป็น ( อ้าว แล้วตังค์ล่ะ เมื่อกี้เห็นจ่ายไปหมดแล้วนี่นา ) แต่ก็ยังลังเลอยู่ กลัวลูกกลับมาตามหาแล้วไม่เจอ มือถือก็ไม่รู้เบอร์
เลยตัดสินใจพาคุณปู่ไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ประกาศหาลูกค่ะ จากนั้นเราบอกให้รอสักพัก ถ้าลูกไม่มาจริงๆ ให้ไปขึ้นรถที่คิวรถ( ฝากเด็กที่ปชส.ค่ะ ว่าให้ย้ำคุณปู่อีกที) พร้อมกับให้เงินแกเป็นค่ารถไว้ค่ะ จริงๆอยากรอดูสักพัก แต่เจ้านุ่มไม่ไหวแล้วค่ะ งอแงเหลือเกิน
คุณปู่น้ำตาคลอบอกเราว่า "มันคงไม่ทิ้งปู่จริงๆหรอกนะ นี่ก็ได้ของไปเยอะเหมือนกันถึงจะซื้อได้ไม่หมดก็เถอะ นี่มันไม่เคยกลับไปหาปูเลย ก็เพราะปู่มันจน ไม่มีสมบัติอะไรให้" เราปลอบใจแกไปบอกว่าเดี๋ยวเค้าคงกลับมาน่ะ คงเดินไปดูอย่างอื่นก่อน
เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยค่ะ หันหลังกลับไปมองเห็นคุณปู่ยังยืนคอตกที่เดิม ในใจคิดวนเวียนตลอดเวลา
.... นี่เค้าทำแบบนี้กับพ่อตัวเองได้ยังไงนะ ...
... พ่อไม่มีตังค์พอเนี่ย มันผิดด้วยหรือ? เค้าไม่รู้หรือไงว่า เงินเท่านี้อาจจะเป็นเงินที่คุณปู่เก็บมาทั้งชีวิตก็ได้ (คนชนบทจะไปหาเงินจากไหนล่ะ?) ...
...แล้วเค้าจะสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างไร ก็ทำพฤติกรรมแบบนี้กับพ่อตัวเองให้ลูกเห็น....
จริงอยู่ พื้นฐานครอบครัวนี้อาจจะมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้ แต่เป็นเรา เราคงไม่มีวันทอดทิ้งพ่อให้ได้รับความเจ็บปวดอับอายจากการที่ไม่มีเงินซื้อของให้ลูกหลานได้พอแบบนี้หรอก เป็นเรา เราคงบอกพ่อว่า " ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ กลับบ้านเราเถอะ"
......ลุงแทนเห็นว่ามีสาระบ้างไม่มากก็น้อย เลยเอามาฝากเพื่อนๆ ทุกท่าน