13 มีนาคม 2552 22:38 น.
ลุงแทน
ที่มาของวันช้างไทย
เกิดจากการริเริ่มของคณะอนุกรรมการประสานงานการอนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงาน องค์การภาครัฐและเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ช้างไทยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเล็งเห็นว่าหากมีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น ก็จะช่วยให้ประชาชนคนไทย หันมาสนใจช้าง รักช้าง หวงแหนช้าง ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออนุรักษ์ช้างมากขึ้น
คณะอนุกรรมการฯ จึงได้พิจารณาหาวันที่เหมาะสม ซึ่งครั้งแรกได้พิจารณาเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา แต่วันดังกล่าวถูกใช้เป็นวันกองทัพไทยไปแล้ว จึงได้พิจารณาวันอื่น และเห็นว่าวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการคัดเลือกสัตว์ประจำชาติ มีมติให้ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยนั้นมีความเหมาะสม จึงได้นำเสนอมติตามลำดับขั้นเข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกทางหนึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เห็นชอบให้ วันที่ 13 มีนาคม เป็นวันช้างไทย และได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2541
ผลจากการที่ประเทศไทยมีวันช้างไทยเกิดขึ้น นับเป็นการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอีกครั้ง นอกเหนือจากเกียรติที่ช้างเคยได้รับในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกในธงชาติ หรือช้างเผือกที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หรือสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์...
7 มีนาคม 2552 09:47 น.
ลุงแทน
***** ก่อนจะถึง ชม.บรรยาย ขอแปว๊บมาแป๊ปนึง *****
เรื่องเล่าจากแนวรบชายแดนใต้ วิถีราชการใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดย รุ่ง แก้วแดง ประธานมูลนิธิ-สุขแก้ว แก้วแดง
ในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลและประชาชนได้ตั้งความหวังไว้กับการทำงานของทุกส่วนราชการ พื้นที่นี้จึงมีตำแหน่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย งบประมาณก็ทุ่มเทลงไปอย่างมหาศาล แต่ปัญหาความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นเป็นประจำไม่ได้ลดน้อยลงแต่ประการใด เป็นปัญหาข้องใจของคนทั้งประเทศในปัจจุบันว่า ข้าราชการกำลังทำอะไรกันอยู่
จากการที่ได้เข้ามาสัมผัสและทำงานร่วมกับข้าราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่าความล้มเหลวของการแก้ปัญหาความไม่สงบน่าจะอยู่ที่แนวคิดและวิธีการทำ งานของราชการทั้งในส่วนกลางและในส่วนพื้นที่ 3 จังหวัด เป็นปัญหาเสียเอง
คือ
1.การจัดประชุมสัมมนาของหน่วยราชการส่วนกลาง นิยมจัดประชุมสัมมนาที่กรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ห่างไกล ส่วนกลางจึงใช้วิธีเชิญข้าราชการในพื้นที่ไปประชุมที่ศูนย์ราชการของประเทศ ทำให้ข้าราชการในพื้นที่ไม่มีเวลาทำงาน ไม่มีเวลาออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่ และมักใช้เป็นข้ออ้างว่า ไปราชการที่กรุงเทพฯ
ถ้าใครไปติดต่อราชการน้อยครั้งที่จะพบผู้บริหารระดับหัวหน้า เมื่อถามว่าหัวหน้าไปไหนก็จะได้รับคำตอบอย่างเดียวกันว่า ไปราชการ บางคนไปราชการจนกระทั่งเดือนหนึ่งมาทำงานในพื้นที่เพียง 2-3 วัน หลายคนมาดำรงตำแหน่งในนามอย่างเดียวแต่ตัวจริงไม่ได้มาทำงาน
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ในสำนักงานนั้นเมื่อหัวหน้าไม่อยู่ก็ไม่มีใครควบคุม ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำมาก และไม่เน้นการให้บริการประชาชน
นอกจากนี้ หน่วยราชการส่วนกลางยังเรียกไปประชุมและสัมมนาที่ หาดใหญ่ หรือ สงขลา เป็นประจำ เพราะคนจากส่วนกลางไม่กล้าลงมาประชุมสัมมนาที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แม้แต่ ก.พ.ร.ที่มาประเมินผลงานของผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ยังเรียกผู้ว่าฯไปชี้แจงที่หาดใหญ่ โดยไม่ดูสภาพจริงในพื้นที่
จึงขอเสนอว่าการประชุมข้าราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ควรให้มีบ่อยเกินไป เพราะเป็นการรบกวนการทำงานของข้าราชการในพื้นที่และทำให้ประสิทธิภาพของข้า ราชการตกต่ำลงไปอีก
แต่ควรจะรวมประเด็นเอาไว้และผู้บริหารระดับสูงทุกแขนง ระดับกระทรวง ระดับกรม มาประชุมในพื้นที่พร้อมๆ กันจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
2.การจัดประชุมสัมมนาของหน่วยราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมไปจัดประชุมสัมมนาที่หาดใหญ่ สงขลา และจังหวัดอื่นๆ เป็นจำนวนมากเป็นเหตุให้โรงแรมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบจะเป็นโรงแรมร้าง ไม่ค่อยมีคนไปใช้บริการทั้งๆ ที่กำหนดราคาไว้ถูกมากแล้ว
ดังนั้น ในการประชุมสัมมนาของมูลนิธิ-สุขแก้ว แก้วแดง ทุกครั้งเราจึงเลือกจัดที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อช่วยเศรษฐกิจในพื้นที่ให้มีเงินหมุนเวียน ซื้อข้าวของและอาหารการกินจากคนในพื้นที่ และเราก็สามารถดำเนินงานได้โดยไม่มีปัญหาและอุปสรรคแต่อย่างใด
จึงขอเสนอว่า ครม.ควรมีมติให้หน่วยราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ศอ.บต. ช่วยจัดประชุมสัมมนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่ ดีกว่าไปรณรงค์ให้คนนอกพื้นที่มาท่องเที่ยวอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปได้ยาก
ข้าราชการทุกท่านได้เงินเดือนมาจากภาษีอากรของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยเหมือนกัน ขอร้องว่าอย่าซ้ำเติมคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ทุกข์หนักไปกว่านี้อีกเลย
3.การเดินทางไปศึกษาดูงาน ที่น่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่งก็คือ งบประมาณจำนวนมหาศาลที่รัฐจัดให้นั้น หลายหน่วยงานนำไปใช้เพื่อการทัศนศึกษาและดูงานเป็นจำนวนมาก
โดยในการจัดทัศนศึกษาและดูงานนั้นไม่ค่อยเน้นการวางแผน ไม่มีวัตถุประสงค์เรื่องการส่งเสริมมิตรภาพเพื่อให้คนเป็นเพื่อนกันและอยู่ ร่วมกันอย่างสันติสุข ส่วนใหญ่จะมอบให้บริษัททัวร์เป็นผู้จัดโปรแกรมให้
ซึ่งบริษัททัวร์ก็ต้องการรายได้และผลกำไรจึงนิยมจัดเดินทางไปที่ไกลๆ และเน้นกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมากโดยไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร
คงไม่กล่าวเกินความจริงที่จะบอกว่า การทัศนศึกษาของมูลนิธิ-สุขแก้ว แก้วแดง เน้นเชิงคุณภาพ มีการวางแผนเดินทางเฉพาะเท่าที่จำเป็น ไปดูงานใกล้ๆ แต่จุดเน้นก็คือ การให้คนต่างศาสนา วัฒนธรรม ได้มาพูดคุยกัน ปรึกษาหารือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ฟื้นฟูความสัมพันธ์และความเป็นเพื่อนที่เคยมีในอดีตให้กลับมาเหมือนเดิม
จึงเป็นการลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก เราเรียกผู้เข้าร่วมโครงการว่าเป็น ผู้นำชุมชน ซึ่งกลายมาเป็นผู้ช่วยกันสร้างสันติสุขในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน
มูลนิธิ-สุขแก้ว แก้วแดง จึงขอเสนอว่า รัฐควรสร้างศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากๆ เพื่อเป็นสถานที่ให้เยาวชนและประชาชนได้มีโอกาสมาพบปะเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้ โดยไม่ต้องเดินทางไกลทุกครั้ง เพื่อไปดูงานที่อื่นๆ แต่นำกลับมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เพราะสภาพภูมิประเทศอาชีพ และวัฒนธรรมแตกต่างกัน
หากรัฐบาลใช้งบประมาณจำนวนหลายพันล้านนี้ให้ข้าราชการและพี่น้องประชาชนได้ เรียนรู้ร่วมกันตามยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่อให้คนในพื้นที่เป็นเพื่อนกันเหมือนในอดีต ก็สามารถที่จะทำได้ปีละหลายแสนคน
การสร้างสันติสุขเพื่อการอยู่ร่วมกันซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของชาติที่จะแก้ ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายนิดเดียว และทำได้ในยุคสมัยที่พวกเรายังดูแลบ้านเมืองนี้อยู่
5 มีนาคม 2552 10:39 น.
ลุงแทน
40 เครื่องสำอางปนสารอันตราย
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยรายชื่อเครื่องสำอาง มีสารอันตรายเพิ่มเติมอีก 40 รายชื่อ ดังต่อไปนี้
1. EED’S ครีมแก้ฝ้า จุดด่างดำ พบ สารประกอบของปรอท 2. EED’S ครีมไข่มุกหน้าสวย พบสารไฮโดรควิโนน 3.MADAME Organic โปรตีนสาหร่าย พบสารประกอบของปรอท 4.MADAME Organic โปรตีนสาหร่าย พบสารประกอบของปรอท 5.MADAME ORGANIG เซรั่มชาเขียว พบกรดเรทิโนอิก 6.ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า พบไฮโดรควิโนน 7.ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ ครีมลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำ-ฝ้า พบไฮโดรควิโนน 8.ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า พบไฮโดรควิโนน 9. ครีมบัวหิมะ หลิงหลิง ครีมทาสิวฝ้าพบสารประกอบของปรอท 10.พอลลา ครีมทาฝ้า สูตรสำหรับตอนกลางคืน พบ ไฮโดรควิโนน
11.ไวท์โรส นาโนโซมส์ พบสารประกอบของปรอท 12.ไวท์โรส ครีมรกแกะ หน้าขาวใส ลดจุดด่างดำ พบสารประกอบของปรอท 13.ML ครีมสมุนไพรสด ตราดอกทานตะวัน พบสารประกอบของปรอท 14. Baby Charm ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้ พบสารประกอบของปรอท 15. KARME ครีมกลางคืนพบสารประกอบของปรอท 16.ชามอง ครีมสมุนไพร พบสารประกอบของปรอท 17.U Nice ไวท์เทนนิ่ง ครีมสิว-ฝ้า ไข่ไก่ผสมน้ำผึ้ง พบสารประกอบของปรอท 18.สมุนไพรฐิติมา ขมิ้นสด พบสารประกอบของปรอท 19.U Nice ครีมฝ้า น้ำนมข้าวผสม โยเกิร์ต พบสารประกอบของปรอท 20.สมุนไพรฐิติมา ครีมลดจุดด่างดำ กระ พบสารประกอบของปรอท
21.คลินิกแคร์ ลดรอยดำ พบกรดเรทิโนอิก 22.คลินิกแคร์ ครีมประทินผิว สูตรขมิ้น พบสารประกอบของปรอท 23.คลินิกแคร์ ครีมประทินผิว ลดรอยดำ พบสารไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก 24.สมุนไพรฐิติมา ครีมลดจุดด่างดำ กระ พบสารประกอบของปรอท 25.คลินิกแคร์ ลดรอยดำ (ครีมสีเขียวเหลือง) พบกรดเรทิโนอิก 26.ครีมสมุนไพรว่านนางสาว พบสารประกอบของปรอท 27. OEISHI GREEN TEA CREAM & HONEI MEAL พบสารประกอบของปรอท 28. ครีมชาเขียว DR.JAPAN พบสารประกอบของปรอท 29.พี-แคร์ครีม สมุนไพรขิง พบสารประกอบของปรอท 30. Dr.SUCHART ครีมรักษาผิวขาว ลบรอยฝ้าพบสารประกอบของปรอท
31.P.S Fruit Cream ทรีสเม้นท์บำรุงผิวขาว-ใส ครีม P.S.พบสารประกอบของปรอท 32. NEW FACE Whitening Night Cream พบสารประกอบของปรอท 33.ทรีย์เดย์ เนเชอรัล โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า พบไฮโดรควิโนน 34.มิสเดย์ ครีมแก้ฝ้า พบไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก 35.อองรี ครีมรกแกะ ลดริ้วรอย-ฝ้า พบไฮโดรควิโนน 36.โลชั่นวินเซิร์ฟ ลดฝ้า-กันแดด พบไฮโดรควิโนน 37.ครีมฝ้า เมลาแคร์ พบไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก 38.โลชั่นกันแดด-กันฝ้า เมลาแคร์ พบไฮโดรควิโนน 39.มิสย์เดย์ ครีมแก้ฝ้า พบไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก และ 40.ไวท์โรส ครีมรกแกะหน้าขาวใส ลดจุดด่างดำพบสารประกอบของปรอท
ทั้งนี้ ภญ.วีรวรรณ ระบุว่า อย.ขอย้ำว่าผู้บริโภคอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ทั้ง 40 รายการดังกล่าวมาใช้ เพราะอาจได้รับอันตรายจากสารต้องห้าม อาทิ ไฮโดรควิโนน จะทำให้ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย กรดเรทิโนอิก ทำให้แสบร้อนรุนแรงผิวหน้าลอก และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือจะเป็นสารประกอบของปรอท มีอันตรายร้ายแรงมาก ทำให้ผิวหน้าดำ ผิวบางลง และเมื่อสารปรอทสะสมในร่างกาย ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ
ด้วย
ขณะที่ผู้ขาย ห้ามนำเครื่องสำอางทั้ง 40 รายการมาวางขาย ถ้าตรวจพบ อย.จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดให้ถึงที่สุด โดยจะมีโทษเหมือนกับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัย คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับผู้บริโภคและผู้ขายสามารถตรวจสอบรายชื่อเครื่องสำอางต้องห้ามได้ที่ www.fda.moph.go.th
5 มีนาคม 2552 09:44 น.
ลุงแทน
เมื่อไหร่ ตำรวจไทยจะยอมรับความจริง
การใช้อำนาจหน้าที่ของตำรวจไทย เขาทำหน้าที่ของเขาแบบใดกันแน่ เขารู้ไหมว่าขอบข่ายหน้าที่ในเครื่องแบบตำรวจนั้นทำอะไรได้บ้าง เขาทำอะไรลงไปแล้วเขาทำถูกต้องทุกอย่างหรือไม่ สำหรับประชาชนที่ถูกตำรวจกระทำ จะเรียกร้องอะไรได้หรือไม่ ถ้าตำรวจทำผิดต่อประชาชน แค่คำขอขมาพอไหม
ตำรวจไทยจะเหมือนตำรวจ ประเทศอื่นไหม ที่เห็นว่าเมื่อเขาเป็นตำรวจ ประชาชนทั่วไปจะต้องกลัวเขา หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบจะต้องยอมตำรวจอยู่ตลอดไป หรือว่ามีแต่ตำรวจไทยแห่งเดียวเท่านั้นที่จะทำอะไรก็ได้ หรือใครเป็นพวกเดียวกันจะไม่ถูกดำเนินคดี
ไม่ว่าอะไรที่ตำรวจเข้าไป เกี่ยวข้องตำรวจเขาจะออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ ถ้าเขาเป็นฝ่ายผิด อย่าง กรณีล่าสุดที่ตำรวจไปทำลายรถของผู้หญิงที่ป็นพนักงานขายยาของบริษัทดัง ถ้าวันนั้นผู้หญิงคนนั้นโดนอุ้มไปฆ่า หรือนำไปทำในสิ่งไม่ดีผู้หญิงคนนี้จะได้รับความเป็นธรรมไหม และในระหว่างเป็นข่าวอยู่นี้ ได้ข่าวว่ามีโทรทํศน์บางช่อง ให้ตำรวจกลุ่มนี้มาออกอากาศแก้ตัว ว่าตำรวจไม่ได้ตบผู้หญิง ตำรวจและผู้สื่อข่าวสามารถทำแบบนั้นได้หรือ
ตอนนี้ตำรวจเขาสามารถที่ จะยัดเยียดความผิดให้คนไทยได้อย่างนั้นนะหรือ แล้วผู้บริสุทธิ์ในอดีตที่ผ่านมาที่โดนตำรวจยัดเยียดความผิดให้เขาจะเรียก ร้องอย่างไร ตำรวจทำไมไม่ไปทำคดีที่มีความสำคัญ เช่น ส่งคนตามจับทักษิณ กำนันชื่อดังแห่งภาคตะวันออก หรือตามจับคนที่มีเงินบ้างละ ส่วนผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ ถ้าตำรวจยังเป็นแบบนี้ ยุบตำรวจไปเลยดีไหม
ถ้าจะปรับโครงสร้างตำรวจจะปรับยังไงดี อย่างอื่นไม่ต้องไปปรับมากขออย่าให้ใช้เครื่องแบบมาทำร้ายประชาชนก็พอ สำหรับตำรวจที่เปิดโต๊ะพนันบอล ก็ต้องเลิก หรือออกกฏหมายมาว่า ถ้าคนที่เป็นตำรวจไม่ว่าจะทำผิดอะไร ให้ไล่ออกจากราชการทันที ในเมื่อตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติตามกฏหมายไม่ได้ อย่ามาให้เป็นผู้รักษากฏหมายเลย ตำรวจถ้าทำอะไรที่ผิดลงไปกรุณายอมรับผิดเสียทีเถอะ
5 มีนาคม 2552 09:38 น.
ลุงแทน
ครูสาวสยบไอ้หื่น ถูกปล้ำ-กัดลิ้นขาด
ครูสาวใจเด็ด กัดลิ้นไอ้หื่นที่หมายข่มขืนหวิดขาด รักษาตัวรอด เหตุเกิดระหว่างครูสาวขี่รถจยย.กลับบ้านตอนค่ำ เมื่อขับมาถึงที่เปลี่ยวใกล้ทุ่งนา ก็มีคนร้ายขี่รถเข้ามาประกบ ถีบรถจนล้มลง แล้วฉุดกระชากลากตัวเข้าไปในทุ่งนา ปลุกปล้ำหมายข่มขืน เหยื่อสาวอาศัยจังหวะคนร้ายควานลิ้นเข้ามาในปากกัดลิ้นเต็มแรง จนไอ้หื่นเลือดกบปากวิ่งหนีด้วยความเจ็บปวด
ร้อยเวรสภ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รับแจ้งมีหญิงถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ พลเมืองดีนำส่งร.พ.หล่มสัก จึงรุดไปสอบสวน ไปถึงพบ น.ส.อโนชา ได้รับบาดเจ็บแข้งขาถลอกเป็นแผล จากการสอบสวน ได้ความว่า เป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่ กศน.หล่มสัก ในวันนี้เมื่อเลิกจากงานแล้วก็ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหารในตัวอำเภอหล่มสัก จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น. จึงขอตัวกลับบ้าน โดยขี่รถจักรยานยนต์ มาเพียงคนเดียว ใช้เส้นทางหล่มสัก-หล่มเก่า สายเก่า ขณะที่ขับรถมาข้างทางเป็นทุ่งนาและค่อนข้างมืด ก็มีคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อมาประกบ แล้วใช้เท้าถีบรถของตนจนล้มลง พร้อมกับฉุดกระชากลากตนไปกลางทุ่งนา ลงมือปลุกปล้ำหวังข่มขืน ตนก็ดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มที่ ระหว่างที่คนร้ายกำลังซุกไซ้และใช้ปากมาจูบพร้อมกับใช้ลิ้นควานเข้ามาในปาก จึงกัดลิ้นเข้าอย่างเต็มแรง จนคนร้ายร้องโอดครวญเลือดกลบปากวิ่งหลบหนีไปจึงโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ มูลนิธิกกไทรมาช่วยเหลือ นำตัวส่งร.พ.หล่มสัก
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ กำลังสอบสวนน.ส.อโนชาอยู่ในห้องฉุกเฉินนั่นเอง ปรากฏว่าที่เตียงใกล้ๆ กันพยาบาลกำลังทำแผลให้กับชายคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บถูกกัดที่ลิ้นเป็นแผลฉกรรจ์หวิดขาด ซึ่งเมื่อ น.ส. อโนชา เห็นเข้าก็จำหน้าได้ว่าเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงให้พยาบาลทำแผลจนเสร็จและนำตัวไปสอบสวนที่สภ.หล่มสัก ทราบชื่อว่านายถนอม ศิริ อายุ 32 ปี เป็นลูกจ้างร้านทำประตูเหล็กในเขตเทศบาลเมืองหล่มสัก แต่ให้การปฏิเสธว่าตนไม่ได้ไปก่อเหตุแต่อย่างใด ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจนลิ้นเกือบขาด เพราะขับรถล้มปากกระแทกกับพื้น