5 มีนาคม 2552 10:29 น.
ลุงแทน
หมอกควันเชียงราย-ลำพูนยังวิกฤติ ยอดคนป่วยพุ่ง
เชียงราย, ลำพูน 5 มี.ค. - หมอกควันที่ปกคลุม จ.เชียงราย และลำพูน นานกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้ชาวบ้านป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก
สถานการณ์หมอกควันที่ปกคลุม จ.เชียงราย เข้าสู่จุดวิกฤติอีกครั้ง ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กยังคงสูงกว่าค่ามาตรฐานอย่างมาก และชาวบ้านป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เข้ารักษาตัวกระจายตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั่ว จ.เชียงราย โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นวันละกว่า 800 คน
ด้าน นพ.สุระ คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สาย เปิดเผยว่า มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเข้ารักษาตัวสูงถึงวันละ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็ก
เช่นเดียวกับที่ จ.ลำพูน หมอกควันยังคงปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน และยังมีผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเข้ารักษาตัววันละกว่า 300 คน ขณะที่ทางจังหวัดสั่งการให้นายอำเภอ และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุมการลักลอบเผาป่า. - สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2009-03-05 05:18:32
13 กุมภาพันธ์ 2552 15:09 น.
ลุงแทน
.ได้กล่าวมาแล้วว่าเทวีอโฟร์ไดที่ให้ประสูติบุตรธิดา ดับเทพเอเรส 3 องค์ ธิดาคือ นางเฮอร์โมไอนีนั้น ได้อภิเษกกับแคดมัสเจ้ากรุงธีบส์ ส่วนบุตรคือ คิวพิด กับแอนทีรอส คิวพิดนั้นคือกามเทพของโรมัน ชาวกรีกเรียกว่า อีรอส อีรอสหรือคิวพิดซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดที่กับเอเรสนี้ เป็นคนละองค์กับอีรอสหรือคิวพิดที่อุบัติขึ้นแต่ครั้งสร้างโลก และการกล่าวขวัญถึงโดยทั่ว ๆไป ก็มักจะหมายถึงอีรอสซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดที่กับเอเรสองค์นี้
นอก จากเทพอพอลโลแล้ว อีรอสเป็นที่ถือกันว่าประกอบด้วยรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย ปรัชญาเมธีเพลโตกล่าวความอุปอุปไมยเกี่ยวกับเทพองค์นี้ไว้ว่า "กามเทพ-คือ อีรอส-ย่อมเข้าสิงหัวใจคนก็จริง แต่ก็ไม่ทุกหัวใจไป ด้วยว่าที่ใดมีความแข็งกระด้างเธอก็ผละหนี เกียรติคุณอันล้ำเลิศของเธอนั้นอยู่ที่ว่า เธอหา อาจที่จะทำผิด หรือยอมให้ผู้ใดทำผิดไม่ แม้กำลังบังคับก็ไม่สามารถจะหักเธอได้ลง" ว่ากันว่า ตำนานของเทพอีรอสผู้นี้ นักกวีชาวกรีกรุ่นก่อนมิได้แต่งขึ้น ต่อมากวีฮีสิออดได้แต่งให้มีเทพองค์นี้ เกิดขึ้น แต่มิใช่โอรสของเทวีอโฟร์ไดที่เลย เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นตำนานของเทพผู้นี้จึงเป็นนักกวี ชาวโรมันเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น และจะมีเฉพาะตำนานของโรมันเท่านั้นที่มีเรื่องราวของเทพองค์นี้ปรากฏอยู่ ตามตำนานที่ยอมรับทั่วไปกล่าวว่า อีรอสเป็นเทพ"ติดแม่" เป็นที่สุด เมื่อมีเทวีอโฟร์ไดที่อยู่ณ ที่ใดอีรอสก็ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย อันเป็นข้อเปรียบถึงธรรมดาแห่ง ความงามและกามวิสัยนั่นเอง อีรอสถือลูกศรแห่ง กามฉันท์กับคันธนูน้อยเป็นอาวุธ สำหรับยิงเสียบหัวใจของเทพและมนุษย์ให้เกิดความปรารถนาเร่าร้อนไปด้วยความ พิศวาส โดยที่ในชั้นเดิมเธอเป็นเด็กเยาว์อยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีเทพน้อยอีกองค์ หนึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและบริวารของเธอ เรียกว่า แอนทีรอส กำเนิดของแอนทีรอสนั้นมีตำนานเล่าไว้ดังนี้
14 มกราคม 2551 21:27 น.
ลุงแทน
พระราชประวัติ พระพี่นางฯ
พระราชประวัติ พระพี่นางฯ
ข่าวพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระพี่นาง
สมเด็จพระพี่นางฯสิ้นพระชนม์ ประชาชนรํ่าไห้ โศกเศร้าทั่วไทย
พระราชพิธีพระศพ สมเด็จพระพี่นางฯ
ไทยอาดูร พระพี่นางฯ สิ้นพระชนม์
เปิดถวายสักการะพระศพ 9.00-17.00 น.
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ส่งสาส์นไว้อาลัย แด่พระพี่นางฯ
เปิดสักการะพระพี่นางฯ เริ่ม 10 ม.ค.วันแรก
"เจ้าชายจิกมี" ร่วมส่งพระราชสาส์นไว้อาลัย แด่พระพี่นางฯ
พระเทพฯเสด็จพระราชทานฉันเช้า
ทูตหลายประเทศร่วมลงนามฯถวายสักการะพระพี่นางฯ
พระราชประวัติ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นพระธิดาพระองค์แรกใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ณ สถานพยาบาล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระนามในพระสูติบัตรเมื่อแรกประสูติ คือ เมย์ ตามเดือนที่ประสูติ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงมีพระอนุชา ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา และ ในพ.ศ. ๒๔๗๘ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเฉลิมพระเกียรติเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ครั้นเมื่อทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖ รอบ ใน พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในตามธรรมเนียมราชประเพณีเป็นพระองค์แรก
ในรัชกาลทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
หลังจากที่ประสูติได้ไม่นานนัก สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงย้ายจากกรุงลอนดอนไปประทับอยู่ที่เมืองเซาท์บอน ทางฝั่งตะวันออก และหลังจากนั้นไปประทับที่เมืองบอสคัม ทางชายฝั่งทะเลด้านใต้ของประเทศอังกฤษ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ จนถึงเดือน ต.ค. พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จกลับประเทศไทย
เมื่อเสด็จถึงประเทศไทย สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้พระราชทานพระตำหนักใหญ่ของวังสระปทุมเป็นที่ประทับ พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุล ซึ่งเป็นพระสหายสนิทของสมเด็จพระบรมราชชนนี ระหว่างที่ทรงศึกษาวิชาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้ถวายการอภิบาล
ต่อมาพ.ศ. ๒๔๖๘ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีไปประเทศเยอรมนีและประเทศฝรั่งเศส
เมื่อแรกประสูติ ดำรงพระอิสริยยศเป็นหม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา มหิดล (พระนามพระราชทานโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา โดยคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
การศึกษา
ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จกลับประเทศไทย เพื่อทรงร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนี ได้ทรงนำพระธิดาและพระโอรสพระองค์ แรกไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และทรงฝากให้อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กโซเลย์ (Champ Soleil) หลายเดือน สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงทรงเริ่มรับสั่งภาษาฝรั่งเศส
ในปลาย พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงนำครอบครัวไปประทับที่เมืองบอสตัน (Boston) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเริ่มศึกษาในระดับอนุบาลที่โรงเรียนพาร์ค (Park School) ใน พ.ศ. ๒๔๗๑
เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาด (Harvard) จึงได้ทรงนำครอบครัวเสด็จกลับประเทศไทย และประทับ ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนราชินี และทรงศึกษาอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๖ ภายหลังที่สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จทิวงคตใน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๖
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงได้รับพระบรมราชานุญาตให้นำพระโอรส-พระธิดาทั้ง ๓ พระองค์ไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เข้าศึกษาในโซเลย์อีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลา ๒ เดือน แล้วจึงเข้าศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาชื่อเมียร์มองต์ (Miremont) การศึกษาที่เมียร์มองต์นั้นครูมีการอ่านเรื่องสั้น ๆ ให้ฟัง นักเรียนจะต้องเขียนเรื่องที่ได้ฟังส่งให้ครูตรวจ ในระยะแรกทรงเขียนได้เพียง ๑ บรรทัด จากเรื่องยาวประมาณครึ่งหน้ากระดาษที่ครูอ่าน ครั้งหนึ่งครูให้เขียนประโยคเกี่ยวกับ TAON (ตัวเหลือบ) ทรงเข้าพระทัยคิดว่าเป็น PAON (นกยูง) เพราะเสียงคล้ายกัน จึงทรงเขียนว่า “TAON เป็นนกที่สวยงาม” แต่อีกต่อมาประมาณ ๒ ปี ก็ทรงเขียนร่วมกับนักเรียนชาวสวิตได้อย่างดี จนจบชั้นประถมศึกษา
พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศสละราชสมบัติ และรัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์สมบัติ หลังจากนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงนำพระโอรส-พระธิดา ไปประทับที่บ้านซึ่งพระราชทานนามว่า วิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) เมืองปุยยี ใกล้กับโลซาน
พ.ศ. ๒๔๗๘ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเข้าศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรี ชื่อ ?cole Sup?rieure de Jeunes Filles de la Ville de Lausanne ชั้นมัธยมศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นับจาก ชั้น ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ทรงสามารถสอบเข้าชั้น ๕ ในระดับมัธยมศึกษาได้ ทรงเรียนภาษาเยอรมันและภาษาละตินด้วย พ.ศ. ๒๔๘๑ ทรงย้ายไปศึกษาต่อที่เจนีวา ในลักษณะของนักเรียนประจำที่ International School of Geneva ทรงสอบผ่านชั้นสูงสุดของระดับมัธยมศึกษาได้เยี่ยมเป็นที่ ๑ ของโรงเรียน และที่ ๓ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เสด็จเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี และได้รับ Dipl?me de Chimiste A เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ ในระหว่างที่ทรงศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซานน์ ได้ทรงเข้าศึกษาหลักสูตรของสังคมศาสตร์ - ครุศาสตร์ Diplime de Sciences Sociales Podagogiques อันประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ ในสาขาวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยา แม้เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาวิชาเคมีแล้ว ก็ยังทรงศึกษาวิชาวรรณคดีและปรัชญาต่อไปอีกด้วยความสนพระหฤทัย
การทรงงาน
เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จนิวัติประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงทราบดีว่าพระธิดาโปรดการเป็นครูมาแต่ทรงพระเยาว์ ได้รับสั่งแนะนำให้ทรงงานเป็นอาจารย์ จึงทรงรับงานเป็นอาจารย์พิเศษสอนภาฝรั่งเศสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศส วิชาอารยธรรมฝรั่งเศส และวิชาวรรณคดีฝรั่งเศส นิสิตที่ได้มีโอกาสเป็นศิษย์ด้วยล้วนปีติยินดีในพระกรุณาธิคุณยิ่งนัก หลายคนรำลึกได้ว่าในวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสทรงสอนผลงานของ Victor Hugo นักประพันธ์เอกของโลก สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๑ ใน พ.ศ.๒๕๑๒ คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขอรับพระราชทานพระกรุณาให้ทรงเป็นอาจารย
์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงรับงานสอนและงานบริหารโดยทรงเป็นหัวหน้าสาขาสอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส และผู้อำนวยการภาษาต่างประเทศ อันประกอบด้วยภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และรัสเซีย สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงสอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสแก่นักศึกษาชั้นปีต่าง ๆ และทรงดูแลการสอนของอาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
นอกจากนี้ได้ทรงจัดทำหลักสูตรระดับปริญญาตรีภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสจนสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นหลักสูตรที่ผสมผสานความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม
ในระหว่างที่ทรงปฏิบัติงานสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบทูลเชิญเป็นองค์บรรยายพิเศษตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อพระราชกิจด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จึงทรงลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก็ยังเสด็จเป็นองค์บรรยายพิเศษต่อไปอีก นอกจากนั้น ยังทรงรับเป็นองค์บรรยายพิเศษวิชาภาษาฝรั่งเศสในคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกด้วย
ต่อมาเมื่อทรงทราบปัญหาการขาดแคลนอาจารย์ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในจังหวัดห่างไกลและมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ก็ได้พระราชทานพระเมตตา เสด็จไปทรงสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสโดยประทับอยู่ในวิทยาเขตปัตตานี ดังเช่นอาจารย์อื่น ๆ ระหว่างที่ทรงงานสอน ได้ทรงร่วมกิจกรรมทางวิชาการหลายด้าน เช่น ทรงเป็นกรรมการสอบชิงทุน ก.พ. ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทรงเป็นประธานออกข้อสอบภาษาฝรั่งเศสในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ หลังจากที่ปฏิบัติงานด้านการสอนมาจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่ง ศาสตราจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ด้วยพระปรีชาญาณจากประสบการณ์ที่ทรงงานสอนภาษาฝรั่งเศสมาเป็นระยะเวลานาน จึงทรงตระหนักถึงปัญหาความต่อเนื่องในการเรียนภาษาฝรั่งเศสระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ทรงริเริ่มก่อตั้งสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การปรับปรุงวิธีการสอนทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ทรงดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๐ จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ จากนั้นก็ทรงดำรงตำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์สมาคมฯ มาจน
ถึงปัจจุบัน สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้พระราชทานพระอนุเคราะห์แก่สมาคมฯ ในทุกทาง อาทิ ทรงสนับสนุนการพิมพ์วารสารของสมาคม เพื่อเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ พระราชทานพระนิพนธ์บทความลงวารสาร ทรงส่งเสริมให้สมาชิกครูได้เข้ารับการสัมมนา ดูงานและศึกษาต่อ เป็นต้น การเรียนการสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและการวิจัยด้านภาษาฝรั่งเศส
ในประเทศไทยทั้งระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษาจึงเจริญรุดหน้าเป็นลำดับ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายพระราชทานความช่วยเหลือให้แก่ประเทศชาติ แบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีโครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้อยโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ นอกจากนี้ยังทรงพระอัจฉริยภาพในด้านการประพันธ์ พระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น เวลาเป็นของมีค่า แม่เล่าให้ฟัง จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ และ มหามงกุฎราชสันตติวงศ์
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงสำเร็จการศึกษา วิทยาศาสตร์ด้านวิชาเคมี ควบคู่กับวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และ จิตวิทยา เมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทย ได้ทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญจากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เพื่อให้ทรงบรรยายและเป็นพระอาจารย์ประจำสถาบันต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี
ระหว่างพุทธศักราช 2493-2501 เป็นพระอาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศส และวรรณคดีฝรั่งเศส
พุทธศักราช 2512 ทรงรับเป็นอาจารย์ประจำที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงสอนและทรงงานด้านการบริหารในหน้าที่หัวหน้าสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ป่น จีน และ รัสเซีย ทรงเป็นผู้ดูแลและจัดทำหลักสูตร ดูแลการสอนของอาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
พุทธศักราช 2516 ทรงจัดทำหลักสูตรปริญญาตรีสาขาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสสำเร็จ ด้วยการผสมผสานความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีให้เข้ากันอย่างเหมาะสม ทรงเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8 ปี จากนั้นจึงทรงขอเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเดียวด้วยต้องทรงติดตามพระราชภารกิจ
ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
อย่างไรก็ตาม น้ำพระหฤทัยในความเป็นครูนั้นเปี่ยมล้นมิเหือดหาย ทรงรับเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ขอมาตลอด ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หลายรุ่น ด้วยประสบการณ์และพระปรีชาญาณในการสอนภาษาฝรั่งเศสเป็นเวลาอันยาวนาน
พุทธศักราช ๒๕๐๒ ทรงก่อตั้ง "สมาคมครูสอนภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย" เพื่อเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ในการแก้ไขการสอนให้กับบรรดาครูทั้งหลาย
ทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากรัฐบาลฝรั่งเศส ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญตราชั้นสูงสุด ด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๒ สนพระทัยการศึกษาของเยาวชน ได้อุปถัมภ์โครงการ "โอลิมปิควิชาการ" เพื่อการแข่งขันและพัฒนาวิชาการวิทยาศาสตร์ในประเทศให้ก้าวทันสากล
ทรงสร้างสื่อการเรียนให้แก่เด็กเล็กในโรงเรียนชายแดน ที่มิได้มีโอกาสเรียนชั้นอนุบาล เพื่อสามารถอ่านเขียนทันเด็กที่เรียนล่วงหน้าไปก่อนเกณฑ์ และร่วมสร้างโรงเรียนในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน ส่วนเด็กในกรุงเทพมหานครนั้น ทรงให้ความอนุเคราะห์เด็กเล็กในสลัมต่างๆ
แม้ว่าจะทรงงานการสอนมากมาย หากแต่พระกรณียกิจสำคัญที่ทรงปฏิบัติสืบเนื่องมาตั้งแต่แรก คือ การสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยตามเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ นอกจากการพระราชทานสิ่งอำนวยความสะดวกเครื่องใช้ประจำวัน และยารักษาโรคจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ตามเสด็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ยังโปรดส่งเสริมการเรียนการสอนของโรงเรียนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เสด็จถึงอีกด้วย
เมื่อทรงหยุดการสอน พระกรณียกิจส่วนใหญ่ จึงเป็นงานสังคมสงเคราะห์ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม นอกจากช่วยโครงการแพทย์อาสาในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พอ.สว. แล้ว มีมูลนิธิ กองทุน สมาคม ศูนย์สงเคราะห์ อีกจำนวนมากกว่า 30 รายการ ที่พระองค์ทรงมีภาระในการบริหาร เช่น มูลนิธิโรคไต มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มูลนิธิขาเทียม มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิโลกสีเขียว กองทุน "หมอเจ้าฟ้า" กองทุนการกุศล กว. กองทุนการกุศล "สมเด็จย่า" สมาคมปราบวัณโรคเชียงใหม่ สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทย ศูนย์เด็กอ่อนวัยก่อนเรียน ณ ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นต้น
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงได้รับการอภิบาลให้มีพระจริยวัตรโปรดการอ่าน การศึกษามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สั่งสมประสบการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี สิ่งแวดล้อม และทรงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองตลอดเวลา
ทรงเป็นกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่ทรงกรมเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียวในรัชกาล และเป็นพระราชวงศ์ทรงกรมพระองค์เดียวในปัจจุบัน) เมื่อพระชนมายุครบ 72 พรรษา เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อทรงเสกสมรสกับ พันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ มีพระธิดาหนึ่งพระองค์ คือท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (สมรสกับนายสินธู ศรสงคราม มีบุตร คือคุณจิทัศ ศรสงคราม)
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ให้กลับคืนดำรงพระอิสริยศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ทุกประการ
ต่อมา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเสกสมรสอีกครั้งกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธารดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และหม่อมระวี ไกยานนท์)
ด้วยความสนพระทัยในศาสตร์ทั้งหลาย จึงทรงเป็นทั้งเจ้าฟ้านักประพันธ์ และเจ้าฟ้านักวิชาการ มีหนังสือพระนิพนธ์จำนวนมาก ที่จัดพิมพ์ขึ้นให้ได้ศึกษาหาความรู้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่อง แม่เล่าให้ฟัง หรือ ยุวกษัตริย์ มิใช่เป็นเรื่องประวัติบุคคลด้านเดียว หากแต่ให้ความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ ประเพณี การเมือง อันเป็นวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งมีความสนุกสนานสอดแทรกไว้อย่างกลมกลืน หรือสารคดีข่าวเกี่ยวกับการเสด็จไปทัศนศึกษาในต่างถิ่น เป็นสิ่งที่ชาวไทยโชคดีที่ได้มีโอกาสเห็น เสมือนร่วมเดินทางไปกับพระองค์ด้วย โดยจะทรงพิถีพิถันให้จัดทำเป็นสารคดีท่องเที่ยวสั้นๆ ที่มากด้วยความรู้ นำเผยแพร่เกือบทุกครั้งทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไปถึง หูกว้างตากว้างไปด้วย
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๕๐ แม้ว่าคณะแพทย์ฯ ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา ๐๒.๕๔ น. วันที่ ๒ ม.ค. ๒๕๕๑ รวมพระชันษา ๘๔ ปี
25 พฤศจิกายน 2550 14:49 น.
ลุงแทน
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อเร็วๆนี่เอง มีฤาษีองค์หนึ่ง บำเพ็ญตบะ เพื่อให้คนและสัตว์พูดกันรู้เรื่อง และวันนี้ เป็นวันที่ตบะของท่านบรรลุผล สัตว์และคนทั้งโลก จึงสามารถคุยกันรู้เรื่อง ท่านได้ใช้อิทธิฤทธิ์ของท่าน เรียกประชุมทั้งคนและสัตว์ทั่วโลก!!!!.....อา....มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุด จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อสัตว์สามารถพูดกับคนรู้เรื่องเช่นนี้!!!.....
พระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ นั่งอยู่เหนือแท่นศิลา มีคนชาติต่างๆ เผ่าต่างๆนั่งห้อมล้อมอยู่ทางด้านซ้ายมือ และด้านหลัง ส่วนทางด้านขวามือ มีสัตว์บกและแมลงทุกชนิด มาชุมนุมกันอยู่ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสัตว์น้ำและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ โผล่หน้าสลอนคอยฟังอยู่ด้วยความเคารพ.....
ท่านฤาษีกล่าวเปิดประชุมว่า.....
"เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่ทุกคนต้องเสียสละเพื่อโลก เพราะโลกของเราเดี๋ยวนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำให้โลกแตก ดังนั้น ทั้งคนและสัตว์ จะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เพราะถ้าปล่อยให้โลกแตกแล้ว ทุกคนทุกชีวิต ก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เราควรสำนึกอย่างพร้อมเพรียงกัน ยอมสละเพียงเล็กน้อย เพื่อโลกคงอยู่.....
....อาตมาภาพได้เพียรบำเพ็ญตบะทรมานตนมาตั้ง 700 ปี และบัดนี้ คนและสัตว์สามารถพูดกันรู้เรื่องแล้ว ขอให้เรามาปรึกษาหารือกันด้วยดีเถิด.....
คนและสัตว์ ในสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนโน้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน คนกับสัตว์อยู่เหมือนกันในป่า คนกินเนื้อดิบ ผักดิบเหมือนสัตว์ ใช้ใบไม้นุ่งห่มปกปิดนิดเดียว หลับนอนตามถ้ำ ตามต้นไม้เหมือนกับสัตว์ และเวลามีภัยทางธรรมชาติขึ้น คนก็หนีภัยเหมือนสัตว์ ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยเหมือนสัตว์ เวลาเจ็บป่วย ก็กินรากไม้รากยาตามดินตามป่านั่นเอง....
สรุปแล้ว คนและสัตว์เหมือนกันทุกอย่าง แต่ในเวลาต่อมา คนได้พัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง สัตว์นั้นคงอยู่ตามสภาพเดิม เราจึงห่างเหินจากความเป็นพี่น้องกัน ดังนั้น วันนี้อาตมาภาพขอให้การประชุมระหว่างพี่น้อง ที่เกิดจากฝีมือปั้นขึ้นของ"พระผู้เป็นเจ้า"ด้วยกัน จงเลือกตัวแทนมาฝ่ายละหนึ่งท่าน เพื่ออภิปรายโต้วาทีกัน หาข้อยุติที่ดีที่สุด"....
คนทั้งโลก มีใจตรงกันเลือก ศาสตราจารย์ แมน ซึ่งเป็นนักการเมืองระดับผู้นำของโลก ทั้งเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ขึ้นสู่เวทีอภิปรายก่อน
ท่านศาสตราจารย์ ผู้มีอายุประมาณ 63 ปี แต่งชุดสากลสีน้ำตาลอ่อน ไว้หนวดเครา สวมแว่นตา เสริมให้เห็นบุคลิกที่สุขุม เฉียบแหลมอย่างน่ายำเกรง ได้น้อมนมัสการท่านผู้เป็นประธาน แล้วลุกขึ้นยืน ขยับปากพูดใส่ไมโครโฟน ที่มีมากมายหลายอัน ต่างขนาดต่างชนิด....
"พี่น้องที่รักทั้งหลาย.....วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกตั้งจากคนทั้งโลกให้เป็นตัวแทน ในการประชุมปัญหาอันมีความสำคัญต่อโลกนี้ ผมเห็นด้วยที่เราจะต้องรับผิดชอบต่อการอยู่ หรือการแตกพินาศของโลกที่เราได้อยู่อาศัยอยู่นี้ เพราะถ้าโลกแตกแล้ว เราก็ต้องพินาศไปด้วยกัน....
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างสูงสุด ที่คนและสัตว์ สามารถพูดกันรู้เรื่องอีกวาระหนึ่ง และได้มาพบปะกันอย่างพร้อมหน้าในที่นี้ โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆเลย พิเศษสุดยิ่งกว่าพิเศษสุดจริงๆ ดังนั้น ในโอกาสอันพิเศษสุดนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นพี่น้องกับสัตว์ทั้งหลาย อยากจะเสนอโครงการเพื่อพัฒนาพี่น้องสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เจริญเหมือนคน สังคมของสัตว์ จะได้พ้นจากสภาพด้อยพัฒนา นี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เรามอบให้แก่พี่น้องของเรา เพราะแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกัน แต่เราก็ห่างเหินกันโดยความเจริญที่คนพัฒนาตนเอง หวังว่าพี่น้องสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย คงยินดีในโครงการนี้นะครับ ขอเชิญส่งตัวแทนมาอภิปรายได้แล้วครับ"
ท่านศาสตราจารย์พูดจบ เสียงปรบมือจากคนทั้งโลก ก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง สะเทือนสะท้านไปทั้งโลก แต่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ยังมีสีหน้าวิตกอยู่มาก เพราะเขาไม่รู้จะเลือกใครเป็นตัวแทนดี เขาคิดวิตกว่า สัตว์ที่ไร้การศึกษาอย่างพวกเรา จะมีใครพอที่จะไปโต้วาทะกับคนระดับศาสตราจารย์ได้.....
ในที่สุด ก็ลงมติเลือกเจ้าแมลงวันสูงอายุตัวหนึ่ง เป็นตัวแทน เพราะแมลงวัน แม้จะไม่มีปริญญาบัตร แต่มันเป็นสัตว์ที่มีโอกาสได้ซอกแซก บินไปคลุกคลีทุกหนทุกแห่ง ทั้งในวงการของสัตว์ และวงการของคน มีความรอบรู้ โดยมีประสบการณ์อย่างยอดเยี่ยมกว่าสัตว์อื่น!!!.....
เจ้าแมลงวันกราบคารวะประธาน และที่ประชุมอย่างถ่อมตัว แล้วจึงบินปร๋อขึ้นไปเกาะที่ไมโครโฟนเล็กอันหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า....
"พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย....ข้าพเจ้าได้รับเกียรติจากสัตว์ทั้งโลก ให้มาอภิปรายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสัตว์ทั้งมวลและประโยชน์ของโลกด้วย!!!...
พวกเราสัตว์ทั้งหลาย ขอขอบคุณในเจตนาดีที่ศาสตราจารย์ แมน ได้เสนอโครงการที่จะช่วยพัฒนา
พวกเราให้เจริญเหมือนคน แต่โครงการนี้ พวกเราเห็นว่า....."
แมลงวันเว้นระยะนิดหนึ่ง ทั้งคนและสัตว์ ต่างจ้องตาเป๋งด้วยความสนใจ ที่ประชุมเงียบกริบ....แล้วแลงวัน ก็กล่าวต่ออย่างน่าฟังว่า...
"ความเจริญอย่างคนสมัยนี้ พวกเราไม่ต้องการ เพราะยิ่งเจริญยิ่งทุกข์ทรมาน!!!".....
ศาสตราจารย์-"ทุกข์ทรมานอย่างไร?"
แมลงวัน-"ตัวอย่างเช่น ความเจริญด้านเครื่องประดับ พวกเพชรพลอย แก้ว แหวน สร้อย ตุ้มหู เครื่องสำอาง ทรงผมแบบแปลกๆ ทรงเสื้อ ทรงกางเกง ทรงกระโปรงที่มีชุดเช้า ชุดสาย ชุดบ่าย ชุดเย็น ชุดวันเกิด ชุดแต่งงาน ชุดกลางคืน ทรงรองเท้า เนคไท ล้วนเป็นความเจริญที่ติดตามด้วยปัญหาทั้งสิ้น!!!...มันทำให้เกิดความลุ่มหลง หวงแหน และโอ้อวด ความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว....ความโอ้อวดเหล่านี้ มันทรมานใจ ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ จะเห็นได้ว่า คนที่เจริญไปทางนี้ ต่างเสียเวลากับการส่องกระจก แต่งหน้าทาปากอวดกัน ดูหมิ่นผู้ที่มีน้อยกว่า ทั้งเป็นที่มาของคดีอาญาด้วย ต้องขัดแย้งกัน ถึงเข่นฆ่าทำลายล้างกัน ด้วยเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่การยังชีพ นี้จะเห็นว่าพวกเรา เช่น มดดำ มดแดงทั้งหลาย แม้ไม่มีเพชรพลอย หรือเครื่องสำอาง เราก็อยู่ได้ เราไม่เคยต้องสร้างกฎหมาย สร้างศาล สร้างคุกขึ้นมา เพื่อเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตนี้เลย พวกเราจะถูกจับไปขังบ้าง ก็ไม่ใช่ความผิดเพราะคอรัปชั่น!! หรือปลอมเอกสาร ลักขโมย ปล้นจี้เนื่องด้วยเรื่องนี้ เราถูกคนจับไปกักขัง เพียงเพื่อสนองความสนุกทางอายตนะของคน ที่อ้างว่าตนเจริญแล้วเท่านั้น !!....เราจึงไม่ต้องการที่จะพัฒนาไปสู่ความเจริญที่ทรมานอย่างนั้น !! ขออยู่อย่างด้อยพัฒนาแบบนี้ สุขสบายดีแล้ว!!!...และด้วยความปรารถนาดีจากสัตว์ทั้งโลก ข้าพเจ้าว่า คนนั่นเอง ควรพัฒนาตามสัตว์บ้าง คือ เลิกหลงใหลเพชรพลอย และเครื่องสำอางกันเสียเถิด จะได้สบายใจกว่านี้ !!..จะได้ไม่ต้องเหนื่อยยากเพื่อแสวงหา หวงแหนสิ่งเหล่านี้ !!! อย่าฉลาดออกกฎหมาย และสร้างคุกตะรางขึ้นขังคนด้วยกันเองอีกเลย นี้จึงว่า ความเจริญที่ทุกข์ทรมาน พวกข้าพเจ้าไม่ต้องการความเจริญ!!!"
แมลงวันพูดจบ สัตว์ทั้งโลกก็สาธุการกึกก้องพร้อมกัน ศาสตราจารย์หน้าชาด้วยความละอาย.....
ศาสตราจารย์-"ตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินเดี๋ยวนี้เองว่า เอาความเจริญมาให้แล้วไม่เอา ด้อยพัฒนาจริงๆ ไม่ชอบความทันสมัย ข้าพเจ้าอยากถามว่า ท่านไม่อยากได้เงินใช้หรือ?
แมลงวัน-"พวกเราไม่ต้องการให้สังคมของสัตว์ มีความรู้ในทางสมมติมาก เพราะสมมติมาก ก็ทุกข์ทรมานมาก อย่างเรื่องเงินเป็นต้น เป็นสิ่งที่สมมติขึ้น แล้วเวลาไม่มีเงิน ก็ทุกข์อย่างหนึ่ง เวลามีแล้วก็ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ทุกข์เรื่องกำไร ขาดทุน ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ดอกเบี้ย ธนาคาร และโรงจำนำ เรื่องรวย เรื่องจน แต่พวกเราสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทุกข์เรื่องนี้เลย เราจึงภูมืใจในความโง่ของพวกเรา อย่าพัฒนาให้เราฉลาดในเรื่องนี้เลย"
ศาสตราจารย์-"แปลกพิลึก มีแต่เขาอยากพัฒนาไปสู่ความฉลาด ทำไมพี่น้องทั้งหลายจึงยินดีในความโง่?".....
แมลงวัน-"เพราะความโง่ ทำให้พวกเรามีสันติสุข ความฉลาดเราก็ต้องการในบางกรณี แต่ในการฉลาดแล้วนำทุกข์มาให้ พวกเราไม่เอา!!!"
ศาสตราจารย์-"ฉลาดยังไงนำทุกข์มาให้??"
แมลงวัน-อ้าว...คิดไม่ออกอีกเหรอ เช่น ฉลาดในการสมมติการพนันขึ้นมาเล่นกันนะซี ชนะก็ใจฟูๆ แพ้ก็ใจแฟบๆ บางคนฆ่าตัวตายก็เพราะการพนัน ต้องสะดุ้งผวา เศร้าโศกก็เพราะการพนัน บางคนไปนั่งไหว้ตอไม้ ขอเลข นั่นก็เพราะฉลาดสมมติ ไม่ใช่หรือ? หรืออย่างความฉลาดในการบัญญัติกฎหมาย สร้างคุกตะรางขังคนด้วยกัน จับใส่คุกทรมานเฉพาะผู้ที่ต่ำต้อยน้อยพวก แต่เวลาผู้มีอำนาจผิดเอง มีแต่ให้อภัยเรื่อย พวกเราไม่ต้องการความฉลาดในเรื่องนี้ เพราะฉลาดเพื่อเอาเปรียบกัน ยิ่งฉลาดยิ่งทุกข์ทรมาน ไม่รู้เลยดีกว่า เพราะมันไม่วุ่นวาย"
ศาสตราจารย์-"พวกแกช่างด้อยพัฒนาจริงๆ พวกเราหวังดี อยากจะพัฒนาให้เจริญ ไม่ชอบเจริญ"
ท่านศาสตราจารย์ เผลอคำว่า"แก"ออกมาตามนิสัยป่าเถื่อนที่ชอบดูหมิ่นผู้ที่ตนคิดว่าด้อยกว่า.....
แมลงวัน-"คำว่าด้อยพัฒนา กับคำว่าพัฒนาแล้ว หรือที่เรียกว่าความเจริญ เราเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำหนด ว่าถ้ามีสิ่งนี้แล้ว เป็นผู้เจริญ?"
ศาสตราจารย์-"ความเฉลียวฉลาด ทันสมัยซิ เป็นมาตรฐานของความเจริญ มีกินมีใช้ เรียกว่า เจริญ"
ท่านศาสตรจารย์เริ่มอารมณ์เสีย เพราะรู้สึกว่า แมลงวันมีเหตุผลเหนือตน ทั้งๆที่มันไม่ได้เรียนผ่านมหาวิทยาลัย.........
แมลงวัน-"แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับว่า ความเฉลียวฉลาดทั้งหมดเป็นความเจริญ ความเฉลียวฉลาดในทางวัฒนธรรมเท่านั้น เป็นความเจริญ แต่ความเฉลียวฉลาดในทางหายนธรรม เป็นความด้อยพัฒนา ความมีกินมีใช้เท่าที่จำเป็น เป็นวัฒนธรรม.......
แต่การมีกินมีใช้ เกินจำเป็น เป็นความด้อยพัฒนา เป็นความโง่!!!"......
ศาสตราจารย์-"เอ๊ะ !! มีกินมีใช้อย่างไรด้อยพัฒนา?"
แมลงวัน-"ก็เช่น คนรู้จักต้มกลั่นสุราขึ้นมากิน เพื่อประทุษร้ายสติปัญญาของตนเอง รู้จักนำฝิ่น กัญชา ยาเสพติดต่างๆมาสูบ ติดหมาก บุหรี่กันทั้งโลก ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องการด้อยพัฒนาอย่างนั้น หรือเช่นพวกข้าพเจ้า ไม่ทุกข์เรื่องแหล่งเที่ยวเตร่ อยากดูหนัง ลิเก หรืออยากรำวง อาบอบนวด ดูฟลอร์โชว์ กินๆดื่มๆ สาดทิ้ง เททิ้ง สำมะเลเทเมาอย่างคน ตัวข้าพเจ้าเอง เคยเห็นพวกดาราหนังเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ มีชื่อเสียง และเคยเห็นคนบ้านนอก คนในกรุง ทุกข์เรื่องไม่มีเงินไปรำวง ไม่มีเงินไปดูหนัง แต่สัตว์สบายมากในเรื่องนี้ หรืออย่างการเฉลียวฉลาดในการสมมติเรื่องโชคชะตาราศี หรือการทำพิธีรีตอง ไหว้ผี ไหว้เทวดา ทำด้วยความขี้ขลาดตาขาวอย่างนั้น พวกเราไม่อยากฉลาดเลย ท่านจะเห็นว่าสัตว์ ไม่ต้องดูโชคชะตาราศี ไม่ต้องบวงสรวงภูตผี ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง ข้าวของในเรื่องนี้ คนเท่านั้นที่ฉลาดสมมติขึ้นมา แล้วก็กลัวสิ่งอันไม่มีตัวตนนี้ ฉลาดแบบนี้เรียกว่า ฉลาดด้อยพัฒนา"......
ศาตราจารย์-"แม้สัตว์จะเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เป็นสุขตามธรรมชาติ ก็ยังเจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีเกียรติ"
แมลงวัน-"เรื่องเกียรติ ก็เป็นเรื่องสมมติ มันไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตเลย อย่างพวกข้าพเจ้าทั้งหมด ไม่เคยเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ อยากมียศ ผิดกับคน ที่อยากมีเกียรติ เป็นวีรบุรุษ แล้วก็ก่อสงครามขึ้น ฆ่าคนด้วยกัน ฆ่าสัตว์นับร้อย นับหมื่น เพื่อเกียรติยศที่เป็นสิ่งสมมติ คนทุกข์ระทมเพราะเรื่องสอบได้สอบตก เรื่องปริญญา เรื่องชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ เรื่องแสวงหาตำแหน่งงาน และเสื่อมจากตำแหน่ง แต่สัตว์สบายใจมากในเรื่องสมมติเหล่านี้ คนยังด้อยพัฒนามากในเรื่องนี้ ควรดูแบบสัตว์บ้าง"
ศาสตราจารย์-"บ้ามาก!!พวกแกยังบ้ามากเหลือเกิน เห็นว่าเกียรติยศเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต"
แมลงวัน-"ครับ พวกเราบ้าจริง แต่ไม่บ้ามากเหมือนคน"
มีเสียงปรบมือให้อย่างกึกก้องจากที่ประชุม ศาสตราจารย์หน้าแดงก่ำ ด้วยความอับอายขายหน้า ที่ถูกแมลงวันตอบอย่างชาญฉลาด แมลงวันได้โอกาส จึงพูดชี้ให้เห็นความด้อยพัฒนาของคนอีกว่า.....
"พวกคน ยังมีความด้อยพัฒนากว่าสัตว์ ตรงเรื่องพิธีรีตอง เช่น เวลาตายก็เศร้าโศกมากกว่าสัตว์ แล้วทำพิธีศพอย่างฟุ่มเฟือย การแต่งงาน บวชนาค ขึ้นบ้านใหม่ ผ้าป่า กฐิน งานเลี้ยงส่ง งานปาร์ตี้ งานบอลล์ งานอีกสารพัด ล้วนยุ่งยากเกินจำเป็น แต่สัตว์ เกิดก็สบายตามธรรมชาติ ตายก็ตามธรรมชาติ แต่งงานก็ตามธรรมชาติ คนเท่านั้นที่ฉลาดแบบความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ฉลาดมากทุกข์มาก!!!".....
ศาสตราจารย์-"ข้าพเจ้าว่า แม้สัตว์จะอ้างเหตุผลอย่างไร ก็เจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีการศึกษา ไม่รู้หนังสือ"
แมลงวัน-"ข้าพเจ้ายอมรับในเรื่องนี้ ส่วนที่ไม่รู้หนังสือ อันเป็นลวดลายที่สมมติขึ้น แต่ด้านการศึกษา สัตว์ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น แม่สอนลูกให้หาอาหารกิน สอนให้หนีภัย แม่นกสอนให้ลูกนกให้บิน และแม้การทำรัง ทำรูอาศัย ตลอดจนการกินใบไม้ รากไม้เพื่อบำบัดโรค สัตว์มีการศึกษา สอนกันด้วยตัวอย่างดังนี้ เรียนรู้เฉพาะการดำรงชีพที่ง่ายๆตามธรรมชาติเท่านั้น"
ศาสตราจารย์-"การศึกษาระดับนั้น ยังไม่นับว่าเจริญ คนซิสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ เหาะเหินด้วยเครื่องยนต์ได้"
แมลงวัน-"การฉลาดมากอย่างนั้น เป็นฉลาดที่อันตราย เช่น ความฉลาดกินมาก ใช้มากของคนนั้น จะทำลายทรัพยากรธรรมชาติหมด อนาคตต่อไปจะขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนแร่ธาตุต่างๆ ขาดแคลนป่าไม้ ขาดแคลนน้ำมัน โลกจะแห้งแล้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง อดอาหารตายบ้าง เป็นโรคระบาดตายบ้าง อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ตายกันเป็นจำนวนมากๆ ตลอดจนการฉลาดในการสร้างปืน สร้างระเบิด รถถัง เรือรบ นี้เอง จะนำมหาภัยมาสู่โลก โลกต้องแตกเพราะคนฉลาดอย่างนี้ มันฉลาดมากจึงมีภัยมาก อย่าฉลาดดีกว่า ฉลาดเพียงการดำรงชีวิตง่ายๆแบบสัตว์ โลกจะพบสันติสุขมากกว่า ปลอดภัยมากกว่า"
เสียงปรบมือให้เกียรติแก่แมลงวัน ดังกึกก้องอีกครั้งหนึ่ง ท่านฤาษียกมือให้สัญญาณว่า หมดเวลาแล้ว ท่านได้กล่าวสรุปท้ายว่า......
ฤาษี-"เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย......การประชุมวันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ หวังว่าพวกเราคงได้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า ความเจริญ ว่าอะไรคือความเจริญที่แท้ ความเจริญที่แท้วัดด้วยสันติสุข สงบสุขทั้งตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นี้เรียกว่า ความเจริญ
โลกทุกวันนี้ กำลังพัฒนาไปสู่ความหายนะ โลกเดือดร้อนด้วยภัยต่างๆนานา และจะต้องแตกทำลายในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน ลูกหลานของคนและสัตว์จะต้องสูญพันธุ์ไปหมด ดังนั้น ก่อนที่จะสายเกิน
ไป เราควรปิดการศึกษาด้านที่ทำให้คนมีความรู้ด้านผลิตอาวุธ และรู้จักการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้หมด เพราะมันเป็นการศึกษาที่เป็นภัยแก่ทุกชีวิต เลิกการศึกษาชนิดที่ทำให้คิดแต่ในทางที่จะเอาเปรียบเสีย แล้วขนระเบิด ขนปืน ขนกระสุนไปทิ้งทะเลเสีย เอายาพิษฝังทำลายเสียให้หมด
พวกสุรา ยาฝิ่น การพนัน และเครื่องสำอางค์ สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เอาไปทิ้งให้หมด ควรมีควรใช้ ควรให้การศึกษาเฉพาะอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และยานพาหนะอีกเล็กน้อยเท่านั้น หันกลับไปใช้ชีวิตเชิงง่ายเถิด เพื่อจะได้มีทรัพยากรไว้ให้แก่ลูกหลานของเราในกาลภายหน้า อย่าให้มันขาดแคลน.......
เรื่องโชคชะตาราศี เรื่องพิธีรีตอง ที่งมงายควรเลิกให้หมด นี้คือการพัฒนาขั้นแรกที่คนต้องตั้งจุดหมายแห่งการพัฒนาใหม่ ว่าพัฒนาเพื่อให้เกิดมนุษยธรรม ให้เกิดสันติสุขที่แท้อย่างนี้
ความเจริญของคนมีส่วนหนึ่งที่สัตว์ต้องพัฒนาตามคนคือ วัฒนธรรม เช่น สัตว์ไม่นับถือญาติ ไม่เคารพพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูกไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่คนรู้จักสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูกตเวที ข้อนี้เป็นความเจริญที่นำสันติสุขมาให้........
อีกอย่างหนึ่ง เช่น สัตว์เบียดเบียนกัน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สัตว์ใหญ่รังแกสัตว์เล็ก แต่คนที่มีมนุษยธรรม เขาจะดำรงอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งพาอาศัยแก่ผู้อ่อนแอกว่า หาอาหารได้มาก ก็แบ่งปันให้เด็ก ให้คนชรา ให้คนป่วย ให้คนพิการ มีความรัก ความเสียสละ ความสามัคคี โอบอ้อมอารี ความซื่อตรงเหล่านี้ การพัฒนาในทางนี้ จะนำสันติสุขมาโดยแน่นอน.........
ทั้งการรู้จักให้อภัย การรู้จักรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย มีใจผ่องแผ้ว สะอาดหมดจด ไร้กิเลสนี้ ล้วนเป็นความเจริญที่พัฒนาไปสู่ความสงบสุขที่แท้.........
ท่านทั้งหลาย อย่าคิดท้อแท้ว่า จะพัฒนาด้านมนุษยธรรม วัฒนธรรมนี้เป็นสิ่งยากเลย การพัฒนาแนวนี้ ถ้าเราเอาจริงเอาจัง ทุ่มเท คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเท่ากับทำสงคราม เท่ากับการใช้เล่ห์ทางการค้า การโกงต่างๆ เงินทอง แรงงาน เวลาจำนวนมหาศาลที่เราใช้พัฒนาในทางฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ และทารุณ ทุกวันนี้ ถ้าเราใช้ไปในทางพัฒนามนุษยธรรม โลกคงสันติสุขมากกว่านี้
ท่านทั้งหลาย ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันหามิได้ ถ้าเราดื้อพัฒนาไปอย่างที่ทำมาแล้วนี้ มหาภัยจะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น จึงมีทางเดียวที่เราจะต้องตั้งต้นใหม่ ต้องเปลี่ยนแปลงการศึกษา การพัฒนาใหม่ เพื่อช่วยให้โลกได้อยู่ต่อไปอีกนาน ลูกหลานของเราจะได้สืบต่อสกุลคนสัตว์ต่อไป เรามาสร้างนักบุญ แทนสร้างวีรบุรุษอาชญากรกันเถิด เราวางอาวุธกันเถิด จงกลับมาหาวัฒนธรรมเถิด ท่านทั้งหลาย....."
ทั้งคนและสัตว์ ต่างเปล่งสาธุการพร้อมกัน สาธุ สาธุ สาธุ !!!!.......