7 พฤศจิกายน 2551 14:04 น.
ลิลิต
ผู้หมวดหนุ่มกำลังเดินตรวจที่พักนอนและหลุมบังเกอร์รอบ ๆ ฐานปฏิบัติการเมื่อตอนเช้ามืด เห็นลูกน้องหลายคนตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา บ้างกำลังทำความสะอาดปืนประจำกายกันอย่างขะมักเขม้น บ้างกำลังดื่มกาแฟร้อน ๆ และนั่งพูดคุยกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ความอ่อนเพลีย ความเหนื่อยหล้า ปรากฏให้เห็นในแววตาของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน สภาพชีวิตที่ต้องมาทุกข์ทน นอนกลางดินกินกลางป่า เนื่องเพราะเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ทำให้คนเหล่านั้นมีแต่ความเคร่งเครียด แต่พวกเขาก็ไม่เคยปริปากบ่นออกมาให้ได้ยิน อากาศยามเช้ามันเย็นยะเยือก ขนาดใส่เสื้อแจกเก็ตตัวหนาห่อหุ้มร่างกาย แต่ความหนาวมันก็แหวกเข้าไปกระทบเนื้อให้หนาวสั่นระรัวได้ ด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด แลสูงตระหง่าน ถ้าไม่มีเรื่องราวเหตุการณ์การก่อการร้ายที่น่าสะพึงกลัวในพื้นที่ ภูเขาและป่าผืนนั้นมันจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงามทีเดียว
ตอนเจ็ดโมงเช้า เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ เขาซึ่งเป็นผู้บังคับหมวดได้เรียกกำลังพลมาเข้าแถวเพื่อชี้แจงภารกิจ แบ่งสายลูกน้องออกไปปฏิบัติการตามที่ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนได้มอบหมายไว้ให้ นั้นคือภารกิจการรักษาความปลอดภัยคุ้มครองครูตามเส้นทางจากบ้านพักเพื่อไปสอนนักเรียนยังโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่สีแดงในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
เขากับลูกน้องนั่งรถยนต์กระบะโฟวิลสี่ประตู ออกจากฐานปฏิบัติการไปในตัวอำเภอซึ่งเป็นบ้านพักครู เพื่อไปรับครูไปยังโรงเรียนต่าง ๆ โดยจะทำหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติการคุ้มกันอยู่ที่โรงเรียนจนกว่าจะเสร็จภารกิจ ตอนเย็นเมื่อเลิกเรียนแล้วก็มีหน้าที่คุ้มกันครูมาส่งที่บ้านพัก เป็นประจำทุกวัน เขากับพวกต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในภารกิจนี้ เพราะถ้าไม่ระมัดระวัง มีการประมาทเลินเล่อ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ชีวิตของครูแม่พิมพ์ของชาติก็จะต้องมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ ครั้ง ระหว่างทางซึ่งเป็นถนนลาดยางริมถนนเป็นป่ารกทึบ สลับกับสวนยางพารา,สวนลองกอง และสวนเงาะ ปกคลุมอยู่สองข้างทาง มีบ้านชาวบ้านอยู่ห่างกันเป็นระยะ ๆ เมื่อคราใดที่ขับผ่านตลาดซึ่งเป็นเขตชุมชนใจของเขาก็ชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะที่ชุมชนมีชาวบ้านอาศัยอยู่มาก คนร้ายน่าจะไม่มาลอบทำร้ายพวกเขา แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะที่ที่ปลอดภัยที่สุด อาจจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด เพราะเมื่อพวกมันทำอันตรายในเส้นทางเปลี่ยวไม่ได้ เพราะมีการตรวจตราอย่างเส้นทางอย่างละเอียด พวกมันอาจจะกลับมาซุ่มในเขตชุมชน ถึงแม้ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบโดนลูกหลง พวกมันก็คงจะไม่สนใจ เพียงแค่ให้ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐก็เพียงพอแล้ว เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ โดยส่วนมากจะถูกผู้ก่อความไม่สงบซุ่มยิง หรือวางกับระเบิด ขณะเดินทางไปส่งครูที่โรงเรียน แต่แม้ว่าครูทุกคนจะมีความหวาดกลัว แต่ครูก็ไม่ได้ย่อท้อ เพราะความจำเป็น และหน้าที่มันบังคับ นึกถึงภาพนักเรียนตัวน้อย ๆ กำลังคอยครูไปสอนอยู่ที่หน้าโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อทุกเช้าแล้ว ความหวาดกลัวนั้นก็ไม่อาจมาขวางกั้นคุณครูไม่ให้ทำหน้าที่ได้
เมื่อเคารพธงชาติเสร็จแล้ว เขากับพวกอีก ๒-๓ คน ก็จะออกลาดตระเวนหาข่าวในหมู่บ้านใกล้ ๆ โรงเรียน เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนักเรียนจะพักกินอาหารกลางวันตามโครงการอาหารกลางวันที่โรงเรียนจัดให้ เขากับพวกก็จะมาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกับครูที่ห้องประชุม ครูใหญ่ดูเป็นคนใจดี เป็นคนในพื้นที่ เขาเป็นคนพุทธซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในหมู่บ้านนี้ อีกปีเดียวครูใหญ่ก็จะเกษียณแล้ว ส่วนครูที่เหลือทั้งหมดเป็นคนนอกพื้นที่ บางคนมาจากจังหวัดอื่น ๆ ของภาคใต้ มีครูเพ็ญ คนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคนภาคกลาง และเป็นครูคนใหม่ล่าสุดของโรงเรียนในอำเภอนี้ ครูทุกคนอยู่กันแบบไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในพื้นที่มีเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูอยู่เป็นประจำ ครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกทำร้ายถูกลอบฆ่าจากผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งในแต่ละปีมีมากมายจริง ๆ ช่วงหลังมานี้แม้แต่พระภิกษุ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม มันก็ไม่เคยละเว้น
ชุดคุ้มครองครู ซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวนนั้น หลายคนเป็นคนในพื้นที่ เว้นแต่ผู้หมวดหนุ่มหัวหน้าชุด เขาจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่นล่าสุด ได้รับการบรรจุเป็น ตำรวจตระเวนชายแดน ( ตชด.) สังกัดตำรวจพลร่ม ชุดรบพิเศษ ค่ายนเรศวร อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งส่งเขามาเป็นผู้บังคับหมวดเพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่นี่ ได้สักประมาณ ๕ เดือน ตั้งแต่ฟังข่าวเรื่องราวของครูจูหลิง และสองนาวิกโยธินที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตแล้ว เขาตัดสินใจเลือกที่จะลงบรรจุเป็น ตชด. เพื่อจะสมัครใจมาที่นี่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของครอบครัวทางบ้าน แต่ก็ไม่อาจทัดทานความตั้งใจอันแน่วแน่ของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่เขามีสิทธิเลือกที่จะลงในเขตนครบาล หรือเมืองศิวิไลซ์ นั่งทำงานในห้องแอร์สบาย ๆ แต่เขาคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตวัยหนุ่ม มันสมควรจะทำงานทดแทนคุณแผ่นดิน ไปรับใช้ชาติ และจะได้ไปศึกษาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่
พวกเขาทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีแต่ความสนิทสนม มีความห่วงหาอาทร ห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ผู้ปกครองนักเรียนทุกคนก็มีความเป็นกันเอง ช่วยเหลือทางโรงเรียนมาตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองอยู่กันแบบฉันท์พี่น้อง ไม่เคยมีปัญหากันแต่อย่างใด แต่ระยะหลัง ๆ ก็มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นมา สังเกตเห็นได้ว่ามีผู้ปกครองนักเรียนบางคน มักไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเหมือนแต่ก่อน โดยบางคนแสดงอาการเฉยชากับพวกครู และเจ้าหน้าที่ของรัฐออกมาให้เห็นโดยไม่ทราบสาเหตุ
ผู้หมวดกับพวกทานข้าวมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เขากำลังนั่งคุยกับครูใหญ่ และครูเพ็ญ ที่ม้าหินอ่อนข้างอาคารเรียน ครูใหญ่ได้พูดแซวเขากับครูเพ็ญว่า คนหนึ่งเป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง อีกคนเป็นครูสาวสวยมีความรู้ความสามารถ มาบรรจุในเวลาใกล้เคียงกันที่อำเภอนี้ ดู ๆ แล้วเหมาะสมกันดี และพูดเป็นนัย ๆว่าอาจจะเป็นเนื้อคู่มาพบเจอกันก็ได้ เพราะทั้งคู่มีพื้นเพเดิมเป็นคนภาคเดียวกันอีกต่างหาก คำพูดแซวของครูใหญ่ทำให้เขาและเธอเขินอาย ฝ่ายหญิงหน้าแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก ดู ๆ น่ารักยิ่งนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ลูกน้องของเขาก็เคย แซวแบบเดียวกันมาก่อน และคอยเชียร์ให้ทั้งคู่มีอะไรกันจริง ๆ ส่วนฝ่ายครูเพ็ญก็ใช่น้อยหน้า พี่ ๆ เพื่อน ๆ ครูก็คอยส่งเสียงเชียร์กันอย่างออกหน้าออกตา จนทั้งคู่ต้องอึดอัดวางตัวไม่ถูก จากที่เคยพูดคุยกันอย่างปกติ หยอกล้อเล่นกันเหมือนกับพี่น้อง ต้องมาทำตัวเหนียม ๆ ในบางครั้ง แต่ในใจของทั้งเขาและเธอ กลับเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เจ้าตัวน้อยจอมซน ชื่ออะหมัด อยู่ชั้นประถม ๔ ชั้นเรียนของครูเพ็ญ แกเป็นเด็กน่ารักช่างพูดช่างจา ชอบเข้ามาพูดเล่นกับเขาอยู่เป็นประจำ
“ น้าหมวดครับ …ปืนของน้าหมวดสวยจัง เขาเรียกว่าปืนอะไรครับ “ อะหมัด ถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา คำพูดของเด็กน้อย เป็นสำเนียงภาคกลางปนภาษายาวี ดังกระท่อนกระแท่น ทำให้เขานึกยิ้ม
“ ทำไมหนูชอบหรือครับ “
“ ครับ ผมชอบ ผมเคยเห็นปืนมีแต่สีดำ ๆ แต่ของน้าหมวดทำไมสีขาวแวววาว แปลกดีครับ “
เขาหัวเราะ ไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่ได้ถามด้วยว่า หนูเคยเห็นปืนสีดำที่ไหน เพราะในพื้นที่นี้ เด็กทุกคนได้ยิน ได้เห็นในสิ่งเลวร้ายมาเกือบทุกวัน ไหนจะเป็นกลิ่นเลือด ควันระเบิด เสียงปืน คนตาย และคนบาดเจ็บ จิปาถะ นึก ๆ แล้วสงสารพวกเด็ก ๆ พวกนี้ ที่ต้องมาอยู่ มาเรียนหนังสือในสภาพที่เหมือนอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง ไหนโรงเรียนจะเคยถูกเผาจนต้องหยุดเรียน ก็เคยเห็น เคยประสบมาแล้ว
“ เขาเรียกว่า ปืนแมกกาซีน ขนาด ๑๑ มม. แบบแสตนเลส “ เขาบอกอะหมัด ไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใจที่เขาบอกหรือไม่ เพราะดู ๆ แกก็ยังเด็กมากนักที่จะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้
สำหรับเด็กชายอะหมัด เป็นนักเรียนที่เป็นที่รักของครูทุกคน โดยเฉพาะเป็นคนโปรดของครูเพ็ญ มะแอพ่อของอะหมัดก็เคยมาช่วยครูใหญ่ทำงานที่โรงเรียน และเคยพูดคุยกับครูเพ็ญ และผู้หมวดอย่างสนิทสนม โดยได้ฝากอะหมัด กับครูเพ็ญ ช่วยดูแลด้วย เพราะมันเป็นเด็กกำพร้าแม่ มาตั้งแต่เล็ก ตอนพักเที่ยง และเวลาว่าง อะหมัดแกจะมาช่วยครูเพ็ญ ทำงาน เก็บข้าวของอยู่เป็นประจำ แล้วแกมักจะสอนภาษายาวีให้ครูเพ็ญ พูดตาม จนครูเพ็ญพูดภาษายาวีได้และสามารถสื่อสารกับคนในพื้นที่ได้บ้างแล้ว
เพราะอะหมัดเป็น เด็กตัวเล็ก รูปร่างแบบมะขามข้อเดียว ผิวดำ จมูกโด่ง ตาคมขำ เหมือนเด็กมุสลิมทั่ว ๆ ไป ครูเพ็ญ จะเรียกแกว่า “ ไอ้ตัวเล็ก “
แม้ไอ้ตัวเล็ก อะหมัด จะเป็นบุคคลสำคัญสำหรับคนหลายคน แต่แกก็กลายเป็นคนสำคัญสำหรับผู้หมวดหนุ่ม อย่างมาก ๆ เพราะแกเป็นคน ที่ทำให้เขาได้สนิมสนมกับครู ชาวบ้าน และครูเพ็ญ ได้มาก และเร็วยิ่งขึ้น
“ มาแก นาซิ ….แปลว่า กินข้าว..” อะหมัด สอนให้เขาพูด โดยครูเพ็ญ นั่งยิ้ม อยู่ข้าง ๆ ทำไม่นะตอนนี้ เมื่อครูคนสวย ได้อยู่ข้าง ๆ ผู้หมวดหนุ่ม ความหวาดกลัวทีครูเคยมีมาก่อน กลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ สดาดู แปลว่า ตำรวจ “ อะหมัดเอ่ยขึ้น เขาก็พูดตามอะหมัด ไปทีละคำ โดยหันไปถามครูเพ็ญ ว่า เข้าใจภาษายาวีที่อะหมัด บอกหรือไม่ ครูเพ็ญ พยักหน้าหงึก ๆ
“ ก็พอจะพูดได้หลายประโยค ค่ะ ถ้าพูดเร็ว ๆ และมีคำยาก ๆ ก็จะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก “
30 ตุลาคม 2551 15:18 น.
ลิลิต
ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มันมืดมิดจนสายตาของเขาไม่อาจจะแลเห็นสิ่งใดได้ถนัด คงได้ยินแต่เสียงซัดสาดของน้ำทะเล ที่มากระทบกับร่าง หัวสมองมันมึนตื้อสลึมสลืออยู่ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นระลอก ความหนาวเย็นปกคลุมไปทั่วร่างกาย ลำตัวที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อชูชีพ เอนนอนพิงกับโขดหิน โดยส่วนล่างตั้งแต่เอวลงไปจนถึงปลายเท้า หย่อนอยู่ในน้ำที่เคลื่อนไหวรับกับการกระเพื่อมของกระฉอกคลื่น หัวใจของเขาหวั่นไหวเต้นแรงไปตามจังหวะ อาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ เริ่มก่อความรู้สึกขึ้นทีละน้อย …เขากำลังครุ่นคิดนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น
จำได้ว่าเขากับเพื่อน ๆ นักศึกษารามคำแหงหลายคน ได้เดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ลงเรือท่องเที่ยว พร้อมกับลูกเรือซึ่งเป็นชาวต่างชาติอีกจำนวนหนึ่ง นั่งเรือออกจากท่าที่อ่าวฉลอง เพื่อเดินทางไปออกค่ายอาสาพัฒนาที่เกาะรายาใหญ่ แต่หลังจากนั้นเขาจำเหตุการณ์ไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนั้น เขายังคงมีชีวิตอยู่ ส่วนเพื่อน ๆ พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ดวงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงเรือง ๆ จับขอบฟ้า มันกำลังโคจรพ้นขึ้นมาจากขอบน้ำที่ไกลลิบ นี่ถ้าเป็นการมาท่องเที่ยวตามปกติ เขากับเพื่อน ๆ ก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว คงได้ชักภาพถ่ายรูปวิวทิวทัศน์อันสวยงาม นำไปฝากญาติมิตรและเพื่อนฝูงให้ได้เชยชมกัน… แต่สภาพเช่นนี้ เขาคงจะไม่มีกะจิตกะใจที่จะคิดถึงความมีสุนทรียภาพเหล่านั้น
“ …เรือคงประสบกับพายุและอาจจะจมลงในทะเล…ในขณะที่ผู้โดยสารกำลังหลับใหลอยู่ ” เขาคิดในใจ
และคิดว่าทุกคนมีเสื้อชูชีพ คงจะไม่มีใครได้รับอันตรายแน่ ๆ …เขาอาจถูกคลื่นพัดพาลอยเข้าฝั่งมาติดเกาะใดเกาะหนึ่งในกลางทะเล อาจจะเป็นเกาะรายาใหญ่ หรือเกาะเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน เขาภาวนาในใจขอให้เป็นเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ และขออย่าให้เป็นเกาะเล็กเกาะน้อย ที่เป็นเกาะร้างไม่มีคนอาศัยก็พอ
แสงแดดตอนสาย เริ่มส่องสว่างไปทั่วบริเวณ เขาตะกายด้วยแรงที่อ่อนระโหย ยันตัวขึ้นเพื่อให้พ้นจากแอ่งน้ำระหว่างโขดหิน หันไปมองรอบ ๆ บริเวณ มีแต่ป่าไม้รกทึบเป็นฉากหลัง ส่วนข้างหน้าเป็นท้องทะเลกว้าง เวิ้งว้าง แสนไกล ไม่เห็นเรือ หรือสิ่งอื่นใด ล่องลอยในท้องน้ำแห่งนั้น
เขาได้ลุกขึ้นเดินลัดเลาะแหวกต้นไม้ไปตามป่าเขา ขึ้นไปบนทางที่ลาดเนินชันด้วยความยากลำบาก บางทีก็ย่างเดินตามก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางต่อกันอยู่เรียงราย เพื่อเดินออกลัดเลาะไปตามชายหาด
“ ..น่าจะมีชายหาดอยู่ไม่ไกลนัก และน่าจะมีหมู่บ้านแถวบริเวณใกล้ ๆ นี่ “ เขาคิด พร้อมกับยิ้มสู้ อย่างมีความหวัง
เมื่อเดินออกมาพ้นป่าทึบนั้น ก็มองเห็นชายหาดทรายสีขาวทอดยาวออกไป คิดว่าเขาน่าจะมีชีวิตรอดกลับไปบ้าน และบนเกาะนี้น่าจะมีบ้านผู้คนอาศัยอยู่ ซึ่งเขาพอจะขอความช่วยเหลือได้ อย่างน้อยก่อนอื่น ก็ให้ได้กินอาหารพอประทังความหิวโหย เขาเดินออกไปตามชายหาดที่ทอดแนวยาวไกล และด้านหลังเป็นทิวเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนา แดดยังไม่ร้อนมากนัก สักประเดี๋ยวคงจะได้เจอหมู่บ้าน แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อเดินมาตั้งไกล ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบหมู่บ้าน เห็นก็แต่ชายหาดที่ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยที่พอจะบอกว่ามีผู้คนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ ..เขาเริ่มมีอาการวิตก
แต่ทันใดนั้น เขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น เสียงมันดังคล้ายกับการตีกระทบกันของวัตถุบางอย่าง เสียงนั้น ดังออกมาจากป่าทึบที่ติดกับภูเขาที่สูงตระหง่าน เป็นระยะ ๆ
“ ..หรือว่าหมู่บ้านของเกาะแห่งนี้ จะอยู่ในหุบเขา แทนที่จะอยู่บิรเวณริมทะเล เหมือนหมู่บ้านชาวประมงอื่น ๆ “ เขาคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจ เดินเข้าไปในป่า ตามที่เสียงดังออกมา คงจะพบหมู่บ้านแฝงอยู่ในหุบเขานั้นเป็นแน่แท้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ใจเขาก็เต้นระทึก ได้ยินเสียงเหมือนมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ด้านใน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงก็ยิ่งดังมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เป็นเสียงผู้คนกำลังร้องอะไรบางอย่าง เสียงที่ร้องมันดังโหยหวน และวังเวงยิ่งนัก
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้จะถึงบริเวณจุดกำเนิดเสียง ซึ่งมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่จำนวนมาก เสียงผู้คนกำลังตะโกนร้องพร้อม ๆกัน คล้ายกับการทำพิธีสวดอะไรบางอย่าง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงมันก็ดังชัดเจนมากยิ่งขึ้น กลุ่มคนเหล่านั้นน่าจะอยู่ไม่ไกลจุดที่เขายืนอยู่ เขาเดินอย่างช้า ๆ ก้มตัวลงต่ำ และพยายามฟังเสียงที่ได้ยิน เขาเห็นที่พุ่มไม้ด้านหน้าเหมือนกับมีกลุ่มคนกำลังเคลื่อนไหว เขาแอบมองลอดตามช่อง ผ่านกิ่งไม้ไป โดยไปนั่งยอง ๆ แอบบังกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ทันใดนั้น เขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นคน ประมาณ ๓๐ คน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ลักษณะการแต่งตัวที่แปลกประหลาด ไม่สวมเสื้อผ้า มีแต่ใบไม้ปกปิดส่วนล่างของร่างกาย บนใบหน้าของทุกคนทาสีแดงสด เวลาพวกเขาแยกเขี้ยวยิงฟันเห็นเป็นสีขาวตัดกับผิวหน้าที่แดงเถือก ดูน่ากลัวยิ่งนัก บางคนถือไม้ยาวๆ คล้าย ๆหอก บางคนถือมีด ดาบ พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อเขามองลอดกวาดสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นว่าด้านหลังของกองไฟ มีเสาไม้ปักพาดเป็นรูปกางเขน จำนวน ๕ ต้น และบนเสาทุกต้น มีคนถูกตรึงพาดไม้กางเขนอยู่บนนั้น เขาพยายามเพ่งมองอย่างพินิจแล้ว เห็นหน้าคนที่ถูกตรึงชัดเจน คนพวกนั้น ดูเหมือนกับคนที่สลบไสล ไม่รู้สึกตัว หรืออาจจะเสียชีวิตไปแล้ว เพราะทุกคนคอพับไปข้างใดข้างหนึ่ง ร่างกายของพวกเขานั้นเปลือยเปล่า ปราศจากเสื้อผ้า มีเลือดสีแดงสด ๆ ไหลออกจากลำตัวของคนที่ถูกตรึง ทุกคนมีรอยบาดแผลถูกแทงทั่วบริเวณร่างกาย เลือดไหลลงมาสู่ภาชนะเป็นถังขนาดย่อม ตั้งรองรับเลือดจากร่างกายของพวกเขาเหล่านั้น …ท่ามกลางการโห่ร้องสะใจของพวกคนหน้าแดง
เขาต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเพื่อสงบสติอารมณ์ ใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว และเมื่อเขามองพวกที่ถูกตรึงอย่างช้า ๆ อีกครั้ง พบว่าสามคนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ และถัดไปอีกสองเสาติดกัน…. เอ๊ะนั่นมันไอ้ไส กับไอ้แป๊ะ เพื่อนที่มาด้วยกันนี่หว่า..เขาแทบจะช๊อกล้มทั้งยืน.. และพวกที่ถูกสังหารตรึงไม้กางเขนทั้งหมดนั้นเขานึกออกแล้วว่าเป็นพวกที่โดยสารมาในเรือลำเดียวกันกับเขานั่นเอง…
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องวิ่งหนีออกจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด เลือด……” เสียงพวกมันพร้อมใจกันตะโกนดังขึ้น พร้อมกับต่างคนต่างใช้แก้วตักของเหลวสีแดงสดที่อยู่ในถัง ที่วางอยู่ใต้ซากศพของพวกที่ถูกตรึง พวกมันเอามาดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางคนเอาเลือดราดไปทั่วตัวจนแดงเถือก กระโดดโลดเต้น มันทำเหมือนกับการทำพิธีบูชายัญ …เอ๊ะ นี่มันเป็นพวกผีดิบดูดเลือดชัด ๆ
“ ขอให้สมาชิกยกสองมือไปข้างหน้า คว่ำฝามือลง “
คนที่เป็นหัวหน้า ซึ่งร่างกายแดงเถือกด้วยเลือดที่โชลมไว้ พูดสั่งการ
“ เราจะทำพิธีบูชายัญพวกทรยศ เอาเลือดของพวกมันเซ่นบวงสรวงให้กับเจ้านายของเราที่อยู่บนสรวงสวรรค์แดนไกล และให้พวกเราร้องสวดว่าตามข้า ฯ พร้อม ๆ กัน “
หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงพวกมันร้องพร้อมกันดังสนั่น
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด เลือด ……” เสียงตะโกนดังก้อง น่าสยดสยองยิ่งนัก
“ โครม “ เขาตกใจสุดขีด เมื่อร่างของเขาเสียหลักพลาดตกลงไปตามทางเนินข้างล่าง เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นสายตาของพวกมันจ้องเขม็งมาทางเขาเป็นจุดเดียว
“ จับมัน “ เสียงหัวหน้ามันบอก และพวกมันทุกคนได้วิ่งเข้ามาหาตัวเขาอย่างกระเหี้..ยนกระหือรือ เขาจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปตามเส้นทางอย่างไม่คิดชีวิต..เสียงเหยียบใบไม้และแหวกกิ่งไม้ขณะวิ่งดังขึ้นเป็นระยะ และเสียงฝีเท้าของพวกมันวิ่ง ตามหลังเขามาติด ๆ พร้อมกับได้ยินเสียงตะโกนตามมาว่า
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด………… “
เขาวิ่งจนเหนื่อยหอบ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้พวกผีดิบนั่นไล่ทัน เขายังไม่อยากตาย…แต่ยิ่งวิ่งเร็ว เท่าไหร่ พวกมันก็คงวิ่งไล่ตามจี้ก้นเขามาติด ๆ เขาวิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง ไปข้างหน้า อย่างไม่คิดชีวิต ยิ่งวิ่ง ก็ยิ่งไกล ทำไมหนอ ชายหาดที่เขาเดินเข้ามาในตอนแรกจึงอยู่ไกลขนาดนี้
ทันใดนั้น เขาก็ได้สะดุดขอนไม้ล้มกลิ้งลงไปหลายตลบ นอนหมอบคว่ำหน้า เมื่อเขาจะลุกขึ้นวิ่งหนีต่อไป ก็มีมือที่เย็นชืดมาจับข้อเท้าทั้งสองของเขาไว้ แล้วดึง พอเขาพลิกตัว เงยหน้าขึ้น ก็เห็นพวกผีดิบหน้าตาน่ากลังจ้องเขม็งห่างกันแค่เอื้อม และมันเอาหอกที่ถือ เงื้อจะแทงที่ตรงหน้าอกของเขา…เขาหลับตาตกใจสุดขีด…
“ โอ๊ย โอ๊ย …ช่วยด้วยยยยย…. “
“ เฮ้ย ไอ้บ้านี่ เป็นอะไรไปว่ะ นอนฟุบบนโต๊ะ แล้วฝันร้ายกลางวันรึพวก” เพื่อนเดินเข้ามาตบหัวไหล่ เขางัวเงียลุกขึ้น เหงื่อแตกพลั่กเต็มเสื้อ ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ในห้องแอร์
“ เสียงใครโห่ อะไรว่ะ ดังกระหึ่มเลย “ เขาถามเพื่อนพร้อมกับหันหน้าออกไปดูทางหน้าต่างกระจก เห็นแต่สีแดงเต็มพรึดไปหมด ทั้งนอกและในสนามกีฬาราชมังคลา ฯ
เพื่อนมันพูดกับเขาว่า “ ไม่รู้รึงัย วันนี้ ๑ พฤศจิกา พวกเสื้อแดง มันมาชุมนุมกัน พวกมันกระหายเลือดว่ะ หุหุ “ เพื่อนมันหัวเราะแล้วก็เดินจากไป
…เขาพูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก …..ได้แต่นึกในใจว่า วันนี้ อย่าให้มันมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลย..
...ขอให้เป็นแค่ฝันร้ายของเขาก็พอแล้ว