21 สิงหาคม 2548 23:41 น.
ลำน้ำน่าน
แผ่นดินปฐมรัตนโกสินทร์
ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์จักรีบัลลังก์
(๑) อยุธยาคืนยศแล้ว..........วิมานสอง บุรีฤา
กระจ่างทิพย์โพยมทอง............ทวิพร้อย
ลายกุดั่นพรรณลำยอง...............ระยับเมฆ เมลืองแล
กระหนกเปลวระย้าย้อย.............หยาดฟ้าอุษาไสวฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๒) คืน..บดินทร์ถิ่นกมุทแก้ว..กชกร สยามนอ
คืน..หวดอุ่นหุงขจร..................กลิ่นข้าว
คืน..สะพรั่งหลั่งอัมพร..............พิรุณพยับ
คืน..สู่ฟ้าจักรีเจ้า.....................จรัสเพี้ยงพิมานสมานฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๓) หอม..รำเพยพ่างพื้น......พะยอมสยาม
หอม..กรุ่นบุญอาราม................รจิตเนื้อ
หอม..ปรุงอบกำยานยาม...........ย่ำรุ่ง หอมแม่
หอม..ร่ำตาดจันทน์อะเคื้อ.........คลี่หล้ามาหอมฯ
(๔) รอนแรมล่าอริคุ้ง............แควใด สยามฤา
นกป่าร้องระงมไพร....................เพรียกเช้า
หากห่วงแม่แลไฉน....................นะพ่อ
บาปลูกแท้ห่อนเฝ้า....................ฝากไข้คุณสนองฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๕) ฝาก..ธรณีมิ่งไม้...........คุ้มครอง นะแม่
ฝาก..พระพายครรลอง.............ลูบอ้อน
ฝาก..แม่โพสพสนอง................หลับตื่น หิวฤา
ฝาก..แต่ราชการร้อน...............ลิ่วล้างอรินทร์ผลาญฯ
(๖) ปราบม่านพกพ่ายแพ้.......ภายลาญ
แตกทัพเก้ากองการย์.................กลาดข้า
บุญเมืองศึกบ่นาน......................นัยว่า นะแม่
คลอค่ำขลุ่ยกล่อมฟ้า...................วิหคเฝ้าคืนขอนฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๗) ประสบ..โสมส่องฟ้า........เฟือนทาง แลแม่
ประสบ..ศึกณรงค์คราง...............คลาดเจ้า
ประสบ..ทัพพม่าหมาง................หมองหมิ่น เมืองแล
ประสบ..สุขบ่คลายเศร้า..............สร่างเนื้อคะนึงหอมฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๘) ระลึก..ระรื่นหน้า............นางทอง
ระลึก..คืนบุหลันครอง................ดื่มผึ้ง
ระลึก..รักสมัครปอง...................เพียงแม่ อรเอย
ระลึก..จิตนิมิตซึ้ง......................แต่น้องนรีสยามฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๙) ไตร..บุญหนุนเกิดใต้.....ไผทกรุง
ไตร...รัตน์เรืองเรืองจรุง.............แจร่มแล้ว
ไตร...ปิฎกดั่งสายซุง..................ส่งสู่ สวรรค์นอ
ไตร...ชาติไป่คลาดแคล้ว............ทาสเบี้ยเรือนสยามฯ
(๑๐) ปฐมพระพุทธยอดฟ้า......จุฬาโลกฯ
การณรงค์พิชัยโชค......................ชิดชั้น
พุทธะอุษาโยค.............................ยกย่อง ยิ่งแฮ
กษัตริย์ศึกพลปั้น........................ปกป้องมไหศวรรย์ฯ
(๑๑) มโหรีร่ายฟ้อน.............เฟื่องละคร
โขนพาทย์นาฏอาภรณ์...............ปลั่งพื้น
นางในสไบกำจร.......................จีบร่าย รำแม่
ศึกละพระพุทธฟื้น.....................ฟ่องฟ้อนอัปสรศิลป์ฯ
(๑๒) พระนราธิปไท้..........ทอดทาง
ยอดเอกพิหารปรางค์.............พุ่มแก้ว
รัตนวังนภางค์.......................พยับเมฆ โพยมแล
สดับพาทย์ประโคมแจ้ว........จิบเจื้อยการเวกสวรรค์ฯ
(๑๓) ทรงอัญเชิญพระแก้ว....มรกต
ประดิษฐานประณต....................นอบไหว้
ปราบศึกอนุวงศ์คด....................เกียรติล่ม ลงแล
รัตนศาสดารามไซร้...................พ่างพื้นแพนสรวงฯ
(๑๔) ชำระชำรุดต้น..............ไตรปิฎก
ศาสนูปถัมภก............................ไพร่พร้อง
มณเฑียรหากทรงยก..................ยศใหญ่ หอนา
อรรถกถาข้อง............................ขัดแก้วประชุมสงฆ์ฯ
(๑๕) สังคายนาแบบต้น..........ไตร่ตรอง
จารึกใบลานรอง..........................รักษ์ไว้
พระไตรปิฎกฉบับทอง.................ทาบทึบ ทองแล
ปกแผ่นหน้าหลังไล้......................ลูบล้วนกนกสรรค์ฯ
(๑๖) พระทรงออกกฎเข้ม.......ข่ายสงฆ์
กฎกวดพุทธพงศ์.........................พัสตร์ผ้า
พัสตร์พันพาสน์ธุดงค์...................ฤดูหลั่ง วสันต์นอ
โดมร่มกาสาว์ฟ้า..........................ฝึกฟื้นธรรมขลังฯ
(๑๗) สมเด็จทรงโปรดให้........อัญเชิญ
พระพุทธรูปเจริญ........................ร่มแคว้น
จากฝั่งสุโขทัยเทิน.......................เทียวท่อง ลงนา
ศรีศากยะมุณีแม้น.......................มิ่งแก้วสุทธาวิหารฯ
(๑๘) เก็บกฏหมายเก่าคล้ำ......กรุงปลาย
อยุธยายศคลอนคลาย....................คลาดคล้อง
อาลักษณ์พระคลังหมาย.................หมวดหมู่ สามนา
ผนึกกฎสามดวงพร้อง...................พ่วงถ้วนตราสถานฯ
(๑๙) พระองค์ทรงพลิกฟื้น........อักษร สยามนอ
วรรณคดีลาญรอน.........................ร่อยร้าง
พระยาพระคลังกลอน....................กาพย์เก่ง
อีกพระนิพนธ์สล้าง........................สืบสร้อยลายสือฯ
(๒๐) พืชมงคลทรงปลุกฟื้น-......ฟูพิธี
ไถหว่านสะคราญเทพี....................หาบข้าว
พระราชภิเษกศรี...........................ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งนอ
อาพาธพินาศด้าว..........................ดักดิ้นโรคสยองฯ
(๒๑) พิพัฒน์สัตยารับน้ำ.........บุราณเนา
แรกก่อนบังคมเคา-.....................รพเกล้า
ไหว้พระพุทธก่อนเกลา.................แก้เปลี่ยน แปรแฮ
ออกดื่มน้ำพยานเฝ้า.....................ฝ่ายเบื้องภูมิสูงฯ
(๒๒) สมเด็จทรงโปรดสร้าง......สุพรรณหงส์
เรือพระที่นั่งทรง...........................ท่องน้ำ
ผ้าพระกฐินดำรง...........................ราชเก่า พิธีแฮ
พยุหยาตราข้าม............................ท่องพื้นธารไหลฯ
(๒๓) เสียงร่ำเสียงโศกห้วง....เทวินทร์
สิ้นพระชนกบดินทร์....................ดับแล้ว
มหาพิชัยราชรถริน.....................เห่อัฐิ พระศพนา
พระโปรดสรรค์รถแก้ว................กษัตริย์เชื้อส่งสวรรค์ฯ
(กลบทบัวบานขยายกลีบ)
(๒๔) เห่..อเนกนานัปกิจเจ้า.......เจรียงชน พ่อนา
เห่..กล่อมทศมณฑล.......................ทั่วแคว้น
เห่..ทัพสะกดมนตร์.........................มลายม่าน
เห่..พาทย์นาฏผุดแป้น....................ผ่องผ้าพุทธถวิลฯ
(๒๕) ทาสกวีกรีดเลือดไล้........เชลงโคลง
ร้อยแผ่นดินศิลป์ระโยง.................ระยับหล้า
ก่องบุญก่อนนอนโลง....................ลับร่าง ราพ่อ
แม้นนิราศสี่ภพข้า........................ขนาบเนื้อกนกสมัยฯ
---------------------------
ข้าพเจ้าเปิดเพลง "นางครวญ" เดี่ยวขิมเงียบงาม
บรรเลงประโลมใจในวันพระจันทร์ข้างแรม
จิตประหวัดไปในสมัยอยุธยาตอนแตกดับ
ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่สองเมื่อปี ๒๓๑๐
เป็นการเสียกรุงอย่างย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์
หากพม่าได้เผาผลาญทำลายทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
บ้านเมืองวัดวาอาราม ปราสาทราชวัง ถูกทำลายลงสิ้น
ผู้คนที่อพยพหนีพม่ามาอยู่ในเมืองประมาณหนึ่งแสน
ถูกพม่าฆ่าตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือก็ถูกกวาดต้อน
นำไปเมืองพม่าอย่างทารุณ..
ได้รับยากแค้นแสนสาหัส ทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ
ถูกขนกองนำกลับไปพม่านับประมาณค่ามิได้
กรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
หมดสภาพที่จะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ได้
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกรุงศรีที่ว่างศึกสงคราม
มานานนับศตวรรษ ผู้คนมีความเป็นอยู่รื่นเริง
ดังปรากฎในเพลงยาวรบพม่า พระราชนิพนธ์
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่า
ทั้งพิธีปีเดือนคืนวัน
สารพันจะมีอยู่อัตรา
ฤดูใดได้เล่นเกษมสุข
แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
และบัดนี้ก็ถึงการแตกดับอย่างไม่คาดฝัน
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นถึงเพียงนี้
มายับเยินอับปรีย์ศรีศักดิ์หลาย
สารพัดย่อยยับกลับกลาย
อันตรายไปทั่วพื้นปฐพี
และสุนทรภู่ได้บรรยายสภาพกรุงร้าง
ไว้อย่างน่าสังเวชว่า
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา
ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์
เหงาสงัดเงียบไปดั่งไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
การล่มสลายแห่งกรุงศรีอยุธยาคงเป็นอุทาหรณ์
ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินนั้น
มันเจ็บปวดเกินกว่าเทวดาองค์ใดจะรับรู้
หากด้วยบุญเพรงแห่งกษัตริย์สยาม
พระเจ้าตากจึงกอบกู้อิสรภาพคืนมา
นับเป็นการเริ่มต้นปฐมบรมจักรี
อาณาจักรรัตนโกสินทร์แต่นั้นสืบมา
---------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
13 สิงหาคม 2548 18:02 น.
ลำน้ำน่าน
สิ้นสุดอโยธยาศรีรามเทพนคร
สู่ยุคทองแห่งรัตนโกสินทร์
โคลงในชุดนิราศแผ่นดินทอง
๑) รัตนโกสินทร์ล่วงแล้ว.......นิราศหลัง
โทนทับกรับระฆัง.......................แว่วคล้อย
โพ้นปี่เป่าเพลงสังข์.....................สมโภช กรุงแฮ
ผกผ่านสุขทุกข์สร้อย....................ลิ่วร้อยสองสมัยฯ
(๒) รัตนโกสินทร์ศกซ้อง........สกาวปี
กรุงเทพจวบธนบุรี......................รุ่งหล้า
หอมราชวงศ์จักรี.........................กรุ่นแผ่น ดินนา
บุญบ่าวนายไพร่ฟ้า.....................ฟ่องท้นสุขเกษมฯ
(๓) รัชกาลลับล่วงแล้ว...........หลายสมัย
จิตประหวัดพรรคพลไกร.............โห่ก้อง
ภาพโบถส์คร่ำรำไร.....................แหลกพ่าย
สะอึกสะอื้นร้าวร้อง......................รักษ์ร้างรอยสลายฯ
(๔) ภาพอดีตปราสาทแก้ว.......กรุงไกร
ปรางค์รัตน์หอพระไตร................ช่อฟ้า
เวียงประวัติซัดนางใน..................นาฏร่าย นวลแม่
ไหวประหวัดรัดจิตข้า...................ขับน้ำตาไหลฯ
(๕) การณรงค์ลาญพระไหม้.....ไฟครอง
เพลิงผ่าวลาญรังรอง.....................ร่างร้าว
ร้าวรอยพระธาตุทอง.....................ทุกข์เทวษ นะแม่
จักสฤษฏ์ปิดทองเก้า.....................เกศฟื้นกาลไหนฯ
(๖) หาญโห่เหิมแห่ห้าว............หอกราญ
ศึกม่านเผาประจาน......................เจ็บช้ำ
เวียงวังหากสำราญ.......................ร้องร่าย รำแม่
วิบัติยับอัปรีย์ซ้ำ............................บัดนี้กรุงสลายฯ
(๗) หอบใจร้าวออกพ้น...........เพรงนคร
มองบ่าวไพร่อาวรณ์.....................วิเวกคว้าง
น้ำตาพรากจากจำจร...................จากมิ่ง เมืองแม่
ลาซากกรุงศรีร้าง........................รวดร้าวรอยถวิลฯ
(๘) พรรคพลแตกแหลกแล้ว.....ร้างนคร
พหุพลแสนยากร...........................กิจรู้
กอบเกียรติทิฆัมพร......................พังพ่าย คืนแม่
เสาะหน่อวีรชนชาติกู้....................กอบฟื้นปรางค์สรวงฯ
(๙) พระเจ้าตากกอบกู้.............กรุงศรีฯ
กรุงบ่ให้ไพรี................................รกเรื้อ
ร้างหน่อมนัสวี..............................ว้าเหว่ นะแม่
คืนยศอยุธยาเคื้อ..........................ค่าแคว้นขรมขานฯ
(๑๐) ธนบุรีบูชิตสร้าง...............เสสรวง พ่อนา
สรวงเสกสวรรค์ดาวดวง................ดาษฟ้า
เถลิงศกวังหลวง...........................ริมฝั่ง พระยาแฮ
พระเบิกบุหลันหล้า........................หล่อเลี้ยงเกษมสันต์ฯ
(๑๑) ปางพระพุทธยอดฟ้าฯ.......กาลปฐม
พงศ์พิพัฒน์พระบรม.....................มิ่งแก้ว
ไหวปราสาทช่อชม........................ชัยพฤกษ์
นิวาสกษัตริย์แพร้ว........................เพรียบพร้อมนามสรรค์ฯ
(๑๒) ปราบดาภิเษกแล้ว..........รณรงค์
ปรางค์ปรากอปรพงศ์....................พุทธเจ้า
ศรีสมโภชจักรีวงศ์........................เวียงใหม่ นะแม่
เอิกเกริกค่ำจดเช้า.......................ช่อฟ้าเฉลิมฉลองฯ
(๑๓) เสร็จสรรพการศึกสิ้น......จักคืน
บุญร่วมคลองเสื่อผืน.....................ผูกผ้า
แรมนิราศคลาดเรียมครืน............คู่ยาก แลแม่
การทัพเร่งรุดหน้า........................เหนี่ยวรั้งพลณรงค์ฯ
(๑๔) ธนบุรีทรงก่อตั้ง.............แทนเมือง
เจ้าพระยามลังเมลือง...................ล่องกั้น
บูรพทิศประเทือง........................ทองเทพฯ กรุงนา
สองฝั่งสองกรุงหั้น........................หับฟ้าหงส์ศรีฯ
(๑๕) สืบสมัยพระผู้...............แผ้วสยาม
พลรบ*ถนอม* นาม.....................เหนี่ยวพ้อง
พระพ่อผูกศรีคาม.......................ควบหนึ่ง เดียวนา
กรุงเทพฯ ธนบุรีข้อง-..................เกี่ยวแก้วศักดิ์เสมอฯ
(๑๖) ปางพระจอมเกล้าพระ.....จอมขวัญ ไผทเอย
นิพนธ์ชื่อเมืองพรรณ....................ผ่องแผ้ว
*บวร*รัตนโกสินทร์บรร -..............ทัดหนึ่ง นามนา
ลิขิตแก้ *อมร*แพร้ว....................เพราะพริ้งยิ่งขานฯ
(๑๗) กรุงเทพฯจึ่งซ่านซ้อง.......สรวงนคร
นิเวศน์อินทร์อำมร........................มิ่งฟ้า
กริ่งแก้วเหล่าอริจร.......................จ่อมพ่าย เกียรตินา
ห่อนแตกสาแหรกอ้า.....................เอกอ้างพรหมสวรรค์ฯ
(กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพ)
(๑๘) สิริระดะด้าว.....................ดิฐรัตน์
ไอศุริยสมบัติ................................วับแพร้ว
นริศจิตวิวรรธน์.............................วาวเทียบ เทียมแฮ
ประกอบโกฏิเพชรแก้ว..................เก็จเก้าไอศวรรย์ฯ
(นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน)
(๑๙) ศรีนามกรุงเทพฯแท้.........ทิพย์พิมาน ลอยฤา
อินทรเทพอวตาร...........................ตั่งไต้
วิษณุกรรมบันดาล..........................ดลบุตร ลงนา
สักกะท้าวเทพไซร้.........................เสร็จสิ้นวิเศษสรรค์ฯ
(อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์)
(๒๐) รัตนโกสินทร์ศกนี้.............ปิ่นพิบาล
สุขล่องคลองตระการ.......................เกล็ดน้ำ
สองฟากฝั่งทวาร............................ตกออก เมืองแม่
ฤาสร่างอาคันตุกะข้าม....................โขดฟ้าชมขวัญฯ
(๒๑) ตะวันรอนลับเหลี่ยมฟ้า......รอจันทร์
เทียนอาบปรางค์ผุดพรรณ.............ผ่องเนื้อ
แสงโศกพ่างภาพผัน......................ผินผ่าน วิหคนอ
บรรพบุรุษจุดเทียนเอื้อ.................ทิพย์ไต้ส่องสยามฯ
(๒๒) อยุธยานับจากนี้..............อนันตกาล
โอบซากวังโบราณ..........................รักษ์ไว้
ครวญเพลงขลุ่ยขับขาน..................ขนบขจ่าง สยามนอ
บอกเล่าเรื่องราวไซร้......................ซ่านซ้องโกสินทร์ฯ
(๒๓) แผ่นดินใดใคร่ค้น..........ครวญหา
ไปเกี่ยวเก็บแก้วโลกา...................ลิขิตขึ้น
ปาริชาตทิพย์วนา.........................การเวก สวรรค์ฤา
ไป่แจร่มแจ่มใจชื้น......................จรัสแพ้สยามเฉลยฯ
------------------------------------------
วันหยุดวันงามกลางสายวสันต์ลีลา
เพลงบรรเลง เพลงขลุ่ยเหนือทุ่งข้าว กำลังกล่อมกรุงเงียบงาม
ข้าพเจ้าหยิบจักรยานคันงาม พุ่งทะยานสู่ถนนสู่ชนบท
ทะยานใจไปกับคูคลอง ทุ่งข้าว ตาลเดี่ยวและบึงบัว
บนหนทางสายงาม รัตนโกสินทร์ อยุธยา
บนหนทางร่วม ๑๐๐ กิโลเมตร
กลิ่นหอมยอดข้าวแตกใหม่หอมหวานมาเป็นระยะๆ
จวบถึงจุดหมายปลายทาง อยุธยาซากโบราณ
ภาพเจดีย์ระดะที่ปรากฎเหนือซุ้มยอดลีลาวดีขาวงาม
ของวัดไชยวัฒนาราม คือความยิ่งใหญ่ในใจดวงนี้
และความเหน็ดเหนื่อยก็อันตรธานหายไปในบัดดล
ตะวันรอนลับเหลี่ยมยอดเจดีย์ศิลปะประยุกต์แบบเขมร
และวิหคนาพากันบินผกไปทางตะวันตกร่อนสู่ทุ่งข้าว
ข้าพเจ้าก้มลงกราบหลุมฝังพระศพของเจ้าฟ้านักกวี
ชวนให้ประหวัดถึง บทกวีในดวงใจ
เรื่อยเรื่อยมารอนรอน
ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ
คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง
นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่
เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
(เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ)
และบทกวีงามล้ำในต้นแผ่นดินรัตนโกสินทร์
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า
ดาวเดือนก็เลื่อนลับ
แสงทองระยับโพยมหน
จวบจวนพระสุริยน
จะเยี่ยมยอดยุคันธร
ข้าพเจ้าปั่นจักรยานคู่ชีพชมซากความยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ในบรรพกาล จวบจนฟ้าเบื้องตะวันตกเริ่มยอแสง....
วัวควายเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานคุมฝูงเดินกลับบ้าน
วัดวาอารามยามนี้งามล้ำสงบสงัด เมื่อแสงสุดท้ายแห่งวัน
ส่องกระทบอิฐแดงโบราณ.....
ราวกับภาพฝันเมื่อจิตประหวัดไปในสมัยกรุงเก่า
เสียงเสภาโทนทับกรับระฆังยังดังแว่วมาไม่ขาดสาย
ภาพความแตกสลายพินาศแห่งกรุงศรีสมัย รศ. ๒๓๑๐
แปลกราวกับภาพนิมิตนี้ปรากฎอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
กลิ่นหอมลั่นทมปรุงฟ้ามาประโปรย
ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาเงียบๆ อีกคราว
ฟ้ารัตนโกสินทร์และอยุธยาคือความยิ่งใหญ่
ในฐานะที่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเป็นชาวสยาม
มีเลือดแห่งบรรพบุรุษผู้เสียสละทั้งปวง
จักรยานคันนั้นถูกนำขึ้นรถไฟชั้น ๓ ที่สถานีบางปะอิน
ใกล้ๆ จักรยาน คือเด็กหนุ่มผู้มีไฟฝันอันรุ่งโรจน์
เกาะจักรยานไว้อย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
แปลกแต่ฉายแววเศร้าสร้อยในแววตาอยู่นิรันดร์
ราวกับอาลัยในซากอยุธยา....
เสียดายนักเวียงวังแต่ครั้งก่อน
มลายรอนด้วยเพลิงเสน่หา
เมื่อศึกม่านยกทัพขยับมา
ทหารหาญอาสาหาไม่มี
หากจักทิ้งเมืองแก้วไปแผ้วทาง
ก็ห่วงนางห่วงแม่แลกรุงศรี
ห่วงมณฑปปรางค์ทองผองบุรี
คงวิบัติอัปรีย์สิ้นศรีชัย
จักเป็นตายร้ายดีถึงที่แล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วเด็กแดงแข่งร้องใหญ่
ประตูแตกแหกออกเป็นดอกไฟ
โจงกระเบนตาดสไบล้มไล่แทง
ทวนฟันดาบอาบเลือดเชือดข้าศึก
ดาบดื่มลึกเนื้อนามสยามแสยง
หาไม่แล้วชาตินี้บุรีแรง
จักแห้งแล้งผู้กล้าพากันตาย
ทะยานดาบฟาดไปใส่ข้าศึก
คมดื่มลึกตะพายแล่งสิ้นจุดหมาย
ตะแบงมานชุ่มเลือดเดือดจากกาย
ตะแลงแกงหรือแตกพ่ายไม่รู้แล้ว
พอไฟลุกกระพือโหมโดมพระธาตุ
แน่แล้วชาติแตกทัพอับหัวแถว
เจดีย์ปรางค์ปรารัตน์หักยับแนว
สูญสิ้นแก้วเลือดนายไพร่ใหลอาบกรุงฯ
(ลำน้ำน่าน)
----------------------------
เสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง
พระที่นั่งทั้งสามงามไสว
ตั้งเรียบระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป
อำไพวิจิตรรจนา
มุขโถงมุขเด็ดมุขกระสัน
เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา
เพดานในไว้ดวงดารา
ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน
(กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๘
10 สิงหาคม 2548 23:24 น.
ลำน้ำน่าน
แผ่นดินทองอู่ข้าวอู่น้ำแห่งอยุธยา พุทธานุภาพ
ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาญผู้คนมาตราบปัจจุบันสมัย
(๑) อยุธยายศล่มแล้ว..............ลอยสวรรค์ ลงฤา*
โคลงสะอื้นรำพัน..........................ศึกแพ้
แรมนิราศจาบัลย์.........................บุณย์รักษ์ เวียงแล
อินนรินทร์ธิเบศร์แล้.....................ร่ำร้าวโคลงหวนฯ
(*นิราศนรินทร์)
(๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า...............วงศ์สวรรค์
เก้ารัชกาลบรร-...........................จบแล้ว
รัตนวงศ์วรรณ.............................วัฏแผ่น ดินแฮ
สันตติวงศ์แพร้ว..........................ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ
(๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว......ดำเกิง สุรีย์แล
แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง...............ศึกเชื้อ
แดง...มารมอดมารเพลิง...............พ่ายพุทธ
แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ..............เลือดแก้วละเลงสยามฯ
(๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า.......เครือกษัตริย์
กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.....................วรทล้ำ
ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ.........................บรมราช- วงศ์แล
ราชธรรมเพียบพร้ำ.......................พุทธพร้อมพรสยามฯ
(๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง....ธารทอง
เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง.....................ระบัดกล้า
เขียว...ผักคละครองคลอง................เครียวยอด
เขียว...พระมรกตหลักหล้า..............เหล่านี้มณีสยามฯ
(๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.........แซมทรวง
ขาว...หยดน้ำค้างยวง.....................หยาดน้ำ
ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง....................หุงใหม่
ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ.........................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ
(๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว.........โพสพสรม
เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.................รุ่งคุ้ง
เหลือง...อรุณแรกขานขรม................ขมิ้นเพรียก
เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง.........................เรื่อแล้วลานสยามฯ
(๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...............เพลบุญ
โพ้นวรรษาราพิกุล............................เกี่ยวข้าว
ปรางค์สางสว่างอรุณ...........................ระดะยอด อวดแฮ
บุญสยามค่ำเช้า...............................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ
(๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้.....................วิสาขา
เทียนรุ่งร่ำเรียมตา............................ตาดเคื้อ
นวลเดือนอาบปฏิมา...........................มณฑป
อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ.....................นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ
(๑๐) ไขประทีปประดับต้น..............รัตติธรรม
สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ..............................นพน้อม
เพลาพร่าจันทรารำ-...........................ไรยอด โพธิ์แล
โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม.....................พร่างพื้นแขไขฯ
(๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว...............ละลานตา
ไหวว่ายตะเพียนปลา...........................ผุดปลื้ม
พลบค่ำเพรียกวิหคนา.........................นางเพรียก ละเมอฤา
แรมล่าอริราชครึ้ม..............................ศกคล้อยเรือนหายฯ
(๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน............เพลา เสมอนอ
เรียมหยาดหวานหยาดตา....................ขยิบซึ้ง
เรียมหยอดรักหยอดยา........................หยดพิษ
แรมรักร้าวรักทึ้ง.................................หยิบแย้มแซมขมฯ
(๑๓) รอนตะวันลับเศร้า..................บึงอุบล
จันทร์แจ่มแย้มนวลยล........................เยี่ยมฟ้า
ขิมครวญดั่งครางคน............................ครวญพี่ นะแม่
นิราศเรียมห่างหน้า............................ห่อนได้แลเห็นฯ
(๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ...............ละเลงบุญ
เกล็ดทิพย์ลิบละมุน.............................ม่านน้ำ
อารยธรรมค้ำจุน.................................จวบค่ำ
เจ้าพระยาพาข้าม...............................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ
(๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..............แขนงชล
ระยับหมอกดอกอุบล...........................เบ่งใต้
บัวเรียมระเมียรยล.............................หยั่งย่าน ชเลแล
บัวสี่เหล่าเนาไซร้................................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ
(๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง.........บุราณกาล
สืบแผ่นดินระรินมาลย์.........................อะคร้าว
ข้าวจวักตักถวายทาน..........................ทรวงบาตร อรุณแล
พบพุทธบุญเพรงข้าว...........................กนกเนื้อนาถสยามฯ
(๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ................รวีอรุณ
พุทธุปบาทกาลบุญ...............................เบิกฟ้า
พุทธศาสนิกละมุน................................พุทธชาด สยามนอ
พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.........................สว่างเพี้ยงพันแสงฯ
(๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง........พะไลทราย
พันพร่างธรรมทองพราย.....................พิจิตรฟ้า
มะลิหล่นร่วงโรยวาย...........................วัฏจักร
เบิกรุ่งบุญระบายหล้า..........................โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ
(๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม.............บัญจรงค์
บังอุบลจตุวงศ์..................................เวี่ยน้ำ
เบญจภูตโพชฌงค์............................ฌาปนกิจ บังฤา
เบญจขันธ์กิเลสล้ำ............................ยากยั้งบังไฉนฯ
(๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง................ยามโยค ญาณเอย
ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก....................สร่างสิ้น
วิปัสสนาวิโมกข์.................................วิมุตติ
เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น............................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ
(๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.............ธรรมา
แสวงสว่างศาสนา...............................เสน่ห์น้อม
ฤาประลาตพันธนา..............................เนืองยศ
กิเลสรัดมายาย้อม..............................ขุ่นข้นใจถลำฯ
(๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ.......กวีนิพนธ์
เพาะบ่มอักษรมนตร์............................มิ่งแก้ว
ค่าคำรดเหล่าอุบล...............................บริพัตร ทวีปนา
สงฆ์สะแบงกลดแล้ว............................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ
(๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง..................ไพหาร
พุทธะหลั่งวิญญาณ..............................หยาดไว้
ชะรอยพุทธเพรงกาล..........................มาล่ม ลงแล
ธารพระธรรมผากไร้...........................ร่อยร้างมลายขวัญฯ
(๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ.................นองพระยา
เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา...........................ลิ่วลื้น
ไหลลอยล่องชีวิตมา.............................มาดมุ่ง เมืองแล
จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...........................ฝากน้ำซากสลายฯ
(๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า.....................กวีไพร
พลีหลั่งเลือดละไม...............................มุ่งฟื้น
ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ............................ชนชาติ กวีนอ
กราบแผ่นดินน้ำตารื้น..........................รักษ์ร้อยชาติสยามฯ
..............................
อรุณเบิกฟ้าสยามอีกครั้งกับวสันตฤดูที่ข้าพเจ้าหลงใหล
บทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยายังบรรเลงอยู่นิรันดร์
ชีวิตผู้คนเริ่มต้นที่ริมสายน้ำนี้ และดำรงอยู่ในห้วงเอกภพ
และฝังความทรงจำไว้ริมฝั่งแม่น้ำสายโบราณสายนี้
ทุ่งนาข้าวกล้ากำลังระบัดใบเขียวไสวรับสายวสันต์
ไหวว่ายตะเพียนปลา คือความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดิน
กับอารยธรรมที่สืบต่อหล่อหลอมมาจากอดีตกาล
จนกลายเป็นเอกลักษณ์แห่งสยาม
บุญเพรงอยุธยาจวบรัตนโกสินทร์ได้พบพุทธศาสนา
อันหล่อหลอมจิตใจดวงดีของผู้คนมาหลายทศวรรษแล้ว
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จะหาแผ่นดินไหนเทียมเทียบได้อีก
กาลเวลาเดินทางอย่างเงียบๆ สรรพสิ่งกำลังรอการแตกดับ
แตกดับไปพร้อมๆ กับจิตสำนึกผู้คนท่ามกลางกระแสวัฒนา
ข้าพเจ้าได้แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ เมื่อประหวัดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์
และฉากภาพอันเกรียงไกรแห่งอยุธยา.....
จักงดงามอะไรในโลกนี้
เมื่อสายธารนทีไม่รี่ใหล
สรรพสิ่งรอแตกดับอับครรไล
แม้นเวียงชัยช่อฟ้าวัดอาราม
ตะวันรอนลับปรางค์อย่างเงียบเหงา
สิ่งใดเล่าจักเชิดชูชาวสยาม
เมื่อวันพรุ่งรุ่งฟ้ามาอีกยาม
ฤาปล่อยข้ามเปลี่ยวคืนล้มครืนไป
ใบไม้ร่วงชีวิตร้างอย่างบรรพบุรุษ
แห่เผ่าพันธุ์มนุษย์ผุดเกิดใหม่
มาอับจนหนทางระวางวัย
ถมความโลภเอาไว้พูนแผ่นดิน
หลงกระแสอันใดในโลกเล่า
เมื่อต้องเฝ้าวิญญาณสุสานหิน
ใยมิหว่านแก่นมนุษย์พุทธชีวิน
ตราบสุดสิ้นยุคศรีอาริยเมตไตรยฯ
-----------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
พลีปณิธานบูชาบรรพบุรุษแห่งสยามและผองผู้กล้า
ชาติเชื้อหน่อนักสู้ ด้วยน้ำตาและจิตวิญญาณ
เยี่ยงทาสฟ้าข้าแผ่นดินแห่งเศวตฉัตรจักรี
จากต้นธาตุอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์ไว้ดังนี้แล้ว