25 เมษายน 2548 01:47 น.
ลำน้ำน่าน
คีตกะขานรับสรรพเสียง
เปล่งสำเนียงลมใจไพรบุปผา
เรงเร้าแสงสีทองให้ส่องมา
ปลุกดุเหว่าวัยชราสาธุชน
รับอรุณพุทธะดฤถี
ดุษณีไตรรัตน์นิพัทธกุศล
ธรรมธรศีลมัยไร้จินต์จล
พุทธมณฑลสงบงามยามรุ่งนี้
ดอกมะลิข้าวจ้าวหนาวค่อนคืน
สุคนธ์อื่นบ่เทียมเรียมรวงศรี
หอมข้าวใหม่ไอนึ่งซึ่งฤดี
อุ่นไมตรีอรุณฤกษ์แย้มเบิกฟ้า
อุโบสถโพ้นพรรษาจันทราล่วง
กลางไตรวัฏบาศบ่วงเสน่หา
เวไนยชาติดาษดื่นผืนพารา
ยึดเอกธรรมปฏิมาคุณากร
โหม่งตะโพนกังสดาลจากย่านวัด
ยังสงัดให้คลายคล้ายเสียงสอน
ฝูงวิหคแตกพรูสู่ดงดอน
จากคบขอนเดียวดายปลายทิวตาล
จัดสำรับเตรียมข้าวก่อนดาวเลื่อน
เด็ดบัวเผื่อนพับจีบกลีบผสาน
ถวายสงฆ์เอกบุรุษพุทธทาน
อภิบาลศาสนาสรณตรัย
พลีศรัทธาสืบทอดยอดพระธรรม
ด้วยเสียงสวดมนต์ร่ำเจิมสมัย
กำแพงแก้วคุ้มเหตุปวงเภทภัย
แว่วรำไรโชยคว้างพร่างธูปควัน
พุทธสาวกเดินผินบิณฑบาต
น้ำค้างทรงหยดหยาดดาษสวรรค์
ทั้งไตรทิพย์เทวาอภิวันท์
พรหมจรรย์ผืนผ้ากาสาวาพัสตร์
จบขันข้าวตั้งจิตอธิษฐาน
ไตรทวารน้อมนพสงบสงัด
รัศมีธรรมภพนพรัตน์
ดั่งมนต์ขลังธรรมสัจทรรศนีย์
ฤาแสงไต้ฤกษ์ฟ้าวนาสวรรค์
ร่วมเสกสรรค์จาตุรนต์รัศมี
สว่างวาบอาบสัตว์ทั้งภพตรี
ดุษฏีศรีไตรสรณคมน์
จวักแรกข้าวตักพักลงบาตร
จิตสะอาดศรัทธาถาถั่งถม
ดั่งบัวบานเหนือนทีหนีหล่มตม
ตื่นจากหลงโง่งมอวิชชา
จวักสองครองจิตพิศพระธรรม
ประกาศย้ำพระธาตุศาสนา
รู้พระไตรฯ ชินสีห์อภิญญา
เอกธาดาอริยะพุทธเจ้า
จวักสามนิยามนามมรรคผล
เบิกบานตนบนทางพร่างสีขาว
เดินทางไกลในวัฏฏะอันยืดยาว
สุขอะคร้าวเหนือใจธไนศวรรย์
คีตกะบรรเลงเพลงสันโดษ
กล่อมอุโฆษกล่อมแคว้นแถนรังสรรค์
สัตว์ไตรจักรนฤทุกข์สุขวัยวัน
เพราะยึดมั่นในไตรสรณคมน์
------------------------------
คืนนี้พระจันทร์กำลังทอแสงอวดนวลระยิบเต็มดวง
ชวนให้นึกถึงคืนวันพระจันทร์งามในอดีต
และเงางามแห่งการเวียนเทียนในวัดเก่าโบสถ์คร่ำ
รุ่งเช้าที่ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาใส่บาตรพร้อมกับลำนำน้ำค้างทรงหยด
ชวนนึกไปถึงฉากภาพหนึ่งของนักเขียนในดวงใจ *ทมยันตี*
บรรยายตอนแม่มณีจันทร์ตื่นขึ้นมาในเรือนไทยโบราณ
ของท่านเจ้าคุณอัครเทพวรากร ไว้อย่างจับใจว่า
ดาวเลื่อนเดือนลอยคล้อยเคลื่อน
ไก่แก้วขันเตือนแซร่ศัพท์
ดุเหว่าแว่วหวานขานรับ
น้ำค้างหยัดหยดย้อยพร้อยพราย
(ทวิภพ)
ข้าพเจ้าคิดว่าเวลาที่เรามีความทุกข์ที่สุด
สิ่งเดียวที่จะอธิบายและแก้วิกฤตภายใจได้คือพระธรรม
และอายตนะอันสะอาดบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ
จึงเพียรพยายามโน้มใจเข้าหาพระไตรสรณคมน์
หากภาระบนบ่ายังหนักอึ้งท่ามกลางกระแสสังคม
ลองยึดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ไตรสรณคมน์ อาจเป็นคำตอบสุดท้ายกับครรลองชีวิตที่ทุกข์ทน
ในสังสารวัฏอันยาวยึดนี้........
คืนนี้แหงนหน้ามองพระจันทร์บนฟ้าซิ
แล้วเจอกันที่บนนั้น แสงจันทร์พรรณรายนวลธรรม
ที่ข้าพเจ้ากำลังจ้องมองอย่างดุษณีสิโรราบ
20 เมษายน 2548 02:33 น.
ลำน้ำน่าน
แปรธาตุหินดินดานสมานพิภพ
จากสงบสู่อุโฆษโกฏิสมัย
สู่อนันตสภาวะของวันวัย
ตราบอันตรธานอายุขัยสากล
อสุภซากอินทรีย์แตกสลาย
สำรวมกายสังวรซ้อนเหตุผล
แหลกละเอียดเสียดสีสุรีย์ลน
เกิดตัวตนลมหายใจปฐวี
มาจากไหนสายน้ำปรารถนา
จากนภสินธุ์คงคานภาวิถี
มาจุนเจือเอื้อมิตรชีวิตินทรีย์
จบมิ่งเมืองบุรีสิเนรุราช
สายวสันต์พฤกษ์พงพรมดงดอน
ทั่งไร่ข้าววนาดรดกดื่นดาษ
เพื่อสันติอโศกโลกธาตุ
ทุกหยดหยาดวรุณช่วยหมุนวัย
เสียงกระซิบแผ่วลอยอ้อยอิ่งมา
กระซิบค่าปวงสุคันธ์อันอ่อนไหว
คือสารัตถะอุรุวายุไพร
คือลมใจสรรพสัตว์นับอนันต์
นั่นพรายแสงสุริโยอักโขคุณ
ยามอโณทัยมิ่งหมุนสมดุลสรรค์
ปลุกไตรโลกโตรกฟ้าวนาวัลย์
ลบโศกศัลย์หม่นเศร้าร้าวราตรี
ทั้งดินน้ำลมไพรในจักรวาล
สุริยกาลลากรถม้าสารถี
ต่างรังสรรค์ปั้นแต่งแหล่งความดี
สู่อายตนะทรรศนีย์ศรีแผ่นดิน
มหรสพปัจเจกโลกเสกสร้าง
ห่อนเลยร้างเร่งสรรค์สุวรรณศิลป์
ปฐมมิติเรียบง่ายได้ยลยิน
ปลาสนาการมลทินอวิชชา
บางมิติซ่อนเร้นและเป็นไป
ในแรงสั่นหวั่นไหวเพิงภูผา
เพ่งสายน้ำสงบพบภาวนา
อนัตตาอนิจจังพรั่งแซมซ้อน
ทินกรร่อนลับกับเหลี่ยมโลก
วายุโบกเมฆสลายคลายจิตถอน
ฝูงมัจฉาแตกพรายสายน้ำจร
ต่างกอปรอมตะธรรมอันล้ำลึก
กลางมิติธรรมทัศน์สัทธินทรีย์
ธรรมจารีตระหนักภักดิ์ตรองตรึก
ทุกประณีตธรรมคุณหนุนสำนึก
ผลผลึกตกสังขารการปล่อยวาง
ผีพุ่งไต้อุกกาบาตพาดโค้งฟ้า
ดาวเคราะห์ล่วงดาวเหนือลาอุษาสาง
พระจันทร์เคียวเกี่ยวฟ้านานภางค์
ต่างเดินทางอายุขัยหลายพันปี
มิอาจเทียบชีวิตกระจิดกระจ้อย
มนุษย์น้อยสำคัญผิดคิดบัดสี
ความยิ่งใหญ่สูงส่งแค่ผงคลี
แท้ธุลีลอยคว้างกลางจักรวาล
ธรรมสัจธรรมชาติจริยธรรม
ต่างลึกล้ำพร่ำสอนก่อนอวสาน
เทือกขุนเขาแดดบ่มลมพัดพาล
ยังตระหง่านฤาหวาดหวั่นสั่นตามลม
เพราะมนุษย์มั่นคงดำรงจิต
โลกธรรมนิมิตคิดทับถม
อย่าหวั่นไหวอย่าไกวใหลสู่ตม
เพียรเพาะบ่มความสดใสให้ชีวิต
เมื่อสิ้นยุคพระมณีศรีโคดม
เกียรติยศคำชมใดไม่ยึดติด
โลกุตรธรรมนำวิญญาสารทิศ
สู่แดนดิฐพระศรีอาริยเมตไตรย
ด้วยอายตนะพรหมจรรย์ธรรมชาติ
มิติทัศน์อากาศธาตุไศล
ด้วยพรายรุ้งเรืองรองผ่องอำไพ
ด้วยดินบรรพ์ดวงไฟจักรวาล
มิติธรรมชาติปราชญ์มนุษย์
บริสุทธิ์เหนือหล้าอัครสถาน
เพื่อปรมัตถ์พุทธินทรีย์อภิญญาณ
ตราบสิ้นโลกอวสานนิพพานเทอญฯ
--------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำ
วันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๘
11 เมษายน 2548 02:46 น.
ลำน้ำน่าน
ลานเวิ้งว้างสนธยานกกากลับ
ตาลลิบลิ่วทิวลับกับโศกแสง
ตะวันคล้อยลอยเลื่อนเหมือนหมดแรง
ทอเรื่อแดงอ่อนโยนโพยมาน
ทุ่งสาลีข้าวหลวงธัญบุตร
ระวางแสงวิสุทธิ์พุทธศานต์
โอบลูกรวงหน่วงใบอยู่ในลาน
สอดซ้อนสานแซมภักดิ์ด้วยรักนั้น
อาณาจักรรากเหง้าชาวเกษตร
สุขอยู่ในคามเขตนิเวศน์ขวัญ
แดนแหลมทองสยามพิรามวรรณ
ธัญพันธุ์ครัวโลกโศกอันตรธาน
เดินมาหลายอสงไขยในวัฏฏะ
ก่อนพุทธะพระไตรฯ อวสาน
ท่ามกลางเหตุเภทภัยพญามาร
นายนิรยบาลปรากฏพบมลทิน
เถิดรวงเรียวข้าวเหนียวใบอย่าไหวตื่น
หยุดสะอื้นร่ำไห้ใยถวิล
อย่าเติมสายน้ำตาธาราแผ่นดิน
แม้นมณฑลธานินทร์ผินปีกมา
ถังข้าวสารเก่าคร่ำเมื่อค่ำพลบ
ยังสงบหอมร่ำพันธุ์บุปผา
ทิพย์ข้าวเจ้าดอกมะลิผลิวิญญาญ์
กรอกหม้อเลี้ยงชาวนาอย่างสามัญ
อัฐไม่เหลือเกลือแกงพอแบ่งกิน
ตราบโลกสิ้นอายุขัยไม่เสียขวัญ
ยามแสงทองส่องทางพร่างฟืนควัน
เจื้อยไก่ขันฟ้าสางพร่างผืนนา
ออกไปแปรผืนดินสูดกลิ่นหมอก
ไปเย้าหยอกอาบอุ่นกรุ่นอุษา
กสิกรรมดลใจร่ายมนตรา
เสกทรายทองระยิบตาอุษาโยค
โพ้นไกลนั่นมวลมนุษยชาติ
ไถแผ่นดินสิ้นหยาดน้ำตาโศก
อีกมุมเมืองแห้งแล้งแดงเลือดโลกย์
ธงสงครามโบกไกวใกล้อดตาย
สิ้นสมัยทิ้งทิพย์เกษตรกรรม
จะชอกช้ำตราบเกลือทะเลสลาย
ปลาสนาการขวัญข้าวหนาวใจกาย
พบจุดหมายหิวเร่วเนจร
อัญมณีสาลีล่วงสวรรค์
ปลูกในไร่เทวารัณย์ธรรพ์อัปสร
หว่านเม็ดพันธุ์ตกไถไพรดงดอน
ของเมืองฟ้าอมรแต่บุราณ
เกิดต้นธาตุข้าวหลวงรวงหลากหลาย
เหลืองเรียงรายเจิมดิถีศรีวิศาล
วาณิชแลกแยกขายหลายทะนาน
สานวิญญาณตะวันตกสู่เอเชีย
พัฒนาการชาวโลกน่าโศกเศร้า
ไม่เหลือเงากสิกรรมซ้ำเสื่อมเสีย
ไฟวัตถุเผาไร่นาป่าลามเลีย
อีกครึ่งโลกง่อยเปลี้ยเขี่ยข้าวกิน
สยามสมัยนี้ฤามีโชค
รวงยังโบกพุทธะกระแสสินธุ์
อยู่พอเพียงเลี้ยงสัตว์ทรัพย์ในดิน
ห่างมลทินสงครามตามล่าทาส
นั่นเหลื่อมเขียวผลหมากรากผัก
โบกเถาเครือเจือรักน้ำค้างหยาด
เหลืองฟักทองผ้าผ่องผุดพุทธวิลาส
ธรรมชาตินิวาสเหล่าเวไนย์
ลานเวิ้งกว้างสนธยานกกากู่
ทุกฤดูเก็บเกี่ยวรวงเรียวไสว
ธรรมเกษตรสาลีนิรันดร์ไทย
ตราบสุดสิ้นอสงไขยในสังสารวัฏฯ
----------------------------------
หลายพันปีแล้วที่รวงข้าวออกรวงเลี้ยงชาวโลก
ประเทศในแถบลุ่มน้ำโขงของเอเชียส่งออกข้าวขุนชาวโลกผู้หิวโหย
เป็นครัวโลกอันยิ่งใหญ่ ผลิตภัณฑ์การเกษตรส่งออกแปรเป็นเงินอักโข
สยามแปรทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิพันธุ์พิเศษสุด
ฝรั่งมังค่าถือดีแอบขโมยพันธุ์ข้าวหอมมะลิของไทยไปจดลิขสิทธิ์
ควรเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับชาวสยามที่มีข้าวดอกมะลิพันธุ์ดี
แต่กลับโดนแย่งไปครอบครอง.......
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของการเกษตร
สองสามปีมานี้ประเทศไทยเริ่มนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
นี้คือสัญญาณการเสื่อมสลายไปของเกษตรกรรมนิรันดร์ของไทย
สยามในอดีตในยามกาลียุค ข้าวยากหมากแพง คนสยามไม่ร้อนใจ
ด้วยมีข้าวในถังข้าวสารที่จะกรอกหม้อ เก็บผักปลากินไปตามยถากรรม
ในขณะที่คนอีกครึ่งโลกทางแอฟริกากำลังหิวโหยขาดอาหาร....
เป็นสัจจริงที่มนุษย์ขาดธัญญาหารไม่ได้
พ่อเคยบอกเสมอว่า ถึงจะยากจนอย่างไรขอให้มีข้าวสารไว้ในถัง
ถึงเวลาก็หุงนึ่งกินกับผักปลาน้ำพริกได้..อย่างไรก็ไม่อดตาย
เรามีผืนดิน มีน้ำ การเกษตรจึงเอื้อประโยชน์ต่อชีวิตมหาศาล
กลับสู่ความหมายแห่งชีวิตที่ต้องพึ่งข้าวพึ่งปลาเสียบ้าง
ชีวิตในวิถีพุทธจึงจะสงบอย่างแท้จริง.....
ว่าแต่ว่าวันนี้คุณทานข้าวหมดจานหรือยัง?
10 เมษายน 2548 00:23 น.
ลำน้ำน่าน
สร้อยวรรษาหยาดรินลงถิ่นแล้ง
ศิลาแลงร้อนรุ่มก็กรุ่นหอม
ฟ้าอรหันต์พระสุรินทร์ทินกร
ทออาทรกล่อมโลกลบโศกเศร้า
วาโยธาตุโบยอ่อนขจรฟ้า
เกลี่ยปุยฝ้ายเมฆาเวหาหาว
ถักทอม่านระบายบานวิมานดาว
งามอะคร้าวสุนทรียะแห่งแผ่นดิน
ขุนคีรีทวารวดีทศทิศ
สูงสถิตทิพยธารสถานศิลป์
โรยละอองฟ่อนไหวไอฝนริน
ปลุกท้องถิ่นไร่นาสาลีรวง
แดนแหลมทองสยามในยามนี้
พระบารมีธาราดลหยาดฝนหลวง
มิ่งขวัญทองดิ้นทองลำยองยวง
ด้วยดอกดวงราชหงส์วงศ์วรรณ
นั่นสายน้ำโบราณเจ้าพระยา
จากนิมมานวนาสุธาสวรรค์
นำสายธารน้ำตาจากคนธรรพ์
มาล้างคราบจาบัลย์มหานคร
เขียวมรกตพฤกษ์พรมที่ห่มหล้า
รุกขเทวาล้วนถวัลย์บรรจถรณ์
หมู่แมกไม้เถาวัลย์พนันดร
ต่างกอปรสุนทรีย์ศรีแผ่นดิน
โบสถ์สถานธรรมะพระชินสีห์
ปรางค์ปราเจดีย์รัตนโกสินทร์
กาสาวพัสตร์ชินบุตรหยุดมลทิน
โบกรินรินประกาศธาตุพุทธะ
มรดกศิลปาชีพอารยธรรม
ล้วนบ่มร่ำด้วยปัจเจกเอกทักษะ
คือทิพยพรรณเริงแรงแห่งกาละ
สู่อายตนะแห่งไทมิใช่ทาส
สถาปัตย์นำสมัยร่วมสมัย
เรือนทรงไทยสันโดษประโยชน์ดาษ
อุ่นไมตรีอุ่นเหย้าเผ่าวิลาส
เพลงพิณพาทย์นาฏศิลป์รินละไม
ภักษาหารเกลื่อนเขตทวีปมณฑล
รุ้งรวงหล่นรองเรืองเหลืองไสว
ธัญญาหารเต็มท้นตำบลไกล
ผลิตผลส่งไซร้ขุนจักรวาล
เอนกอนันต์ขวัญค่ามหาสมุทร
เอกมนุษย์เผ่าไทยแสนไพศาล
จะจมดินสิ้นวัยไร้ตำนาน
สิ้นทายาทบริบาลวิญญาณลึก
หยาดน้ำตาเทพีนางสงกรานต์
หลั่งเป็นเลือดมานานสานผลึก
อนารยชนสังคมอึกทึก
จิตสำนึกพ่ายแพ้กระแสอวิชชา
รอผู้กล้าอรหัตนิวัตน์นคร
มาไถ่ถอนโซ่ตรวนบ่วงตัณหา
ปราบหมู่มารจัญไรไพร่พันธนา
คืนมิ่งค่าอารยชนบนแผ่นดิน
เพื่อดำรงอยู่ในห้วงเอกภพ
แผ่นดินสงบลึกล้ำธรรมศิลป์
สุนทรียทิพย์ระยิบธรณิน
ตราบสิ้นยุคศรีอาริยเมตไตรยฯ
---------------------------------
ในวาระศรีมงคลสงกรานต์นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าลึกๆ
ประสบการณ์เทศกาลของมิ่งมหาสงกรานต์นี้ในอดีต
คือความทรงจำที่แตกต่างเสียแล้ว
สยามโบราณคือแผ่นดินทองมีมนต์ขลังที่ลุ่มลึก
สงบและมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลกหล้า
หากแต่กำลังถูกกระแสโลกาภิวัฒน์แทรกซึม
แม้นมาตรการของรัฐจะรณรงค์กันอย่างยิ่งยวด
หากแต่ลูกหลานไทยเองกลับไม่แยแสที่จะอนุรักษ์
ฝรั่งกังไสเต็มนคร
เสื้อผ้าอาภรณ์หลุดรุ่ยสู่สายตาสาธารณชน
น่าเสียดายประเพณีรดน้ำดำหัวบรรยากาศไทยๆ
จะมีสักกี่คนที่ตื่นแต่อรุณรุ่ง ไปทำบุญตามประเพณี
อบอวลน้ำหอมน้ำปรุงรวยริน
บ่งบรรยากาศและวิญญูชนของไทย
สุนทรียแห่งแผ่นดินจักมีเสน่ห์หากไม่บิดเบือด
ความงดงามแห่งต้นธาตุเผ่าไทยจักขจรไปสู่สากล
เป็นหนึ่งเดียว หากจิตสำนึกลูกหลานไทยไม่ตายจาก
ประเพณี ธรรมชาติ และอารยธรรมทั้งปวงนั้น
จึงอุปมาเหมือนสุนทรียภาพสยาม
ที่เราทุกควรจะหวงห่วงและทำนุบำรุงให้เกริกไกร
สมค่าราชวงศ์ สมค่าแผ่นดินแหลมทองนิรันดร์
ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้กับทุกผู้ทุกนามที่มิย่อท้อ
นำความสงบสันติ นำความดีกลับคืนแผ่นดิน...
7 เมษายน 2548 02:41 น.
ลำน้ำน่าน
ฉันหลับใหลอยู่ในความเงียบงัน
อยู่กลางความโศกศัลย์ร่วมสมัย
อยู่กับรสขื่นขมลมหายใจ
อยู่กับความศิวิไลซ์อนัญสาธารณ์
ขอฉันเขียนเรื่องราวแห่งความรัก
อันจำหลักปักใจแสนอ่อนหวาน
เขียนถึงอารยธรรมและตำนาน
อนันตกาลขอรำพึงถึงความรัก
หาใช่รักอย่างมนุษยชาติ
อันดื่นดาษแสวงหาค่าประจักษ์
รักของฉันละมุนกรุ่นความภักดิ์
สัญลักษณ์ความหมายอันนิรันดร์
ฉันรักวทัญญุตาแห่งป่าไม้
เอื้อน้ำใจสู่มนุษย์ทุกภพฝัน
ปรุงอากาศธาตุชีวิตนิมิตชีวัน
เพื่อกำนัลชาวโลกผู้โชคดี
สุนทรียภาพรักใดในแคว้นหล้า
มิอาจเทียบรักป่าอรัญวาสี
ผู้รังสรรค์ทิพยธาตุหยาดชีวี
ผู้นิมิตสุนทรีย์ศรีแผ่นดิน
รักฉันอยู่ในอณูลมหายใจ
บนเรียวหญ้าไม้ใบนกไพรผิน
ในกระแสลมล่องธาราริน
อยู่ในอกธรณินอันจาบัลย์
ธรณินเปล่งลมใจให้สรรพชีพ
ให้ดอกไม้กลายกลีบสยายฝัน
เก็บตำนานครรลองของคืนวัน
เจียระไนเพชรสุวรรณประเพณี
ฉันรักมหาสมุทรรัตนากร
เกลียวคลื่นสีทันดรคีรีศรี
ผู้การุณย์จุนเจือเอื้ออารีย์
หยาดปฐวีวารีวรุณ
ฉันรักแสงตะวันเช้าวันใหม่
รักละมุนอุ่นไอเมื่อโลกหมุน
รักแสงจันทร์ผันค่ำบอกวันบุญ
รักธรรมคุณธรรมชาติวาดมรรคา
ฉันขอมอบกลิ่นหอมแห่งรักนี้
พร้อมไมตรีอบอวลหวนลมป่า
เป็นสื่อใจใยบางกาลเวลา
ตราบฟากฟ้าอวสานนิพพานไป
ความรักฉันรำฟ้อนอ้อนทุ่งข้าว
ยามหน้าหนาวลมริ้วพลิวไสว
ข้าวขุนโลกด้วยชีวินสิ้นวันวัย
เกิดแล้วดับทับรอยไถทุกฤดู
ฉันมิอาจรักมนุษยชาติ
ผู้ผงาดเหนือกฎน่าอดสู
หลงบทบาทขาดธาตุกตัญญู
เติบตนอยู่หาเลี้ยงเพียงแค่กาย
ฉันเฝ้ามองอยู่กลางความเงียบงัน
เห็นมนุษย์เห็นฝันอันหลากหลาย
เห็นผู้คนทดท้อรอความตาย
เห็นจุดหมายวัฒนาป่าเทคโนฯ
ฉันเดินมาบนทางสร้างขนาน
กับผู้คนหลายล้านบ้านอักโข
ความรักฉันงามอะคร้าวราวมโน
จิตภิญโญระลึกรู้อยู่ภายใน
ความฝันใดในแคว้นแดนมนุษย์
จักโชนจุดอารยธรรมนำสมัย
ปราศจากธาตุบ่มลมหายใจ
ความสำเร็จนั้นไซร้ได้เท่านั้น
ดุษณีเถิดหนอต่อธรรมชาติ
เพื่อดินน้ำอากาศธาตุรังสรรค์
เป็นรักแท้หมุนโลกอยู่นิรันดร์
เป็นอากาศไฟฝันก่อนอันตรธาน
-----------------------------
ท่ามกลางความเป็นไปแห่งความวัฒนาของมนุษยชาติ เราอาจหลงลืมไปว่าวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมนั้นกำลังรุนแรง ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุกำลังป่วยหนัก เราอาจลืมไปว่าดิน น้ำ ลม ไฟ และธรรมชาติเหล่านี้ คือต้นธาตุแห่งการมีชีวิตอยู่ของโลกและมนุษย์
น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิง น้ำบาดาล ออกซิเจน ที่ขับเคลื่อนโลกมนุษย์ก็ล้วนเกิดจากธรรมชาติ เพราะอัศจรรย์แห่งการสร้างของธรรมชาติมิใช่หรือที่เอื้ออำนวยในการพัฒนาทุกๆ ด้านของมนุษย์ จะมีประโยชน์อันใดหากปราศจากต้นไม้ผู้กลั่นอากาศให้ลมหายใจ ปราศจากสายน้ำไหลไร้สารเคมีให้ผลิตน้ำประปา ปราศจากฝนรินให้เกษตรธัญพืชงอกงามไสว และหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ก็คงจะปราศจากชีวิตเมื่อวันดอกฝันผลิบาน
ความรักในมิติของข้าพเจ้าจึงอยู่ที่การรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่กับเรานานนิรันดร์ เป็นความรักที่ขับเคลื่อนชีวิตและพลโลกให้ผาสุก หาใช่รักในการที่พัฒนาแต่ด้านวัตถุแต่เพียงฝ่ายเดียว
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘