9 สิงหาคม 2547 01:38 น.
ลำน้ำน่าน
ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกครั้ง
ประหนึ่งดังไม้หนุ่มในพุ่มศิลป์
ที่เคยผลิเบ่งบานนานอาจิณ
กลับทวนกลิ่นหวลลมมาพรมใจ
จากเต้าตูมในครรภ์เมื่อวันก่อน
ค่อยแตกตอนเติบงามตามลมไหว
เรื่อยเรียงล่องแรมทางกลางบ่วงใบ
มาละไมงามอยู่คู่ยอดกลอน
เกสรยวนแหย่หยอกดอกไม้เมือง
ทุกราวเรื่องบันทึกตรึกอักษร
แท้กล่อมเกลาเงาไพรให้อาวรณ์
ราวดอกมิตรใต้หมอนตอนราตรี
เป็นดอกรักเล่ห์ไม้มาลัยลอย
ที่ถูกร้อยด้วยแรงแห่งหญิงศรี
จากมืองามนามเทพแห่งนารี
บุพการีก่อเกื้อเชื้อชาติมา
ยี่สิบเก้าเช้าค่ำของพันธุ์ไม้
โกสุมใดจะเท่าเหล่าแสงษา
ของดอกแรงแสงอาทิตย์วิจิตรา
หกชายคาทุกทิศสนิทเรือน
ทิศหนึ่งเพื่อนทิศหนึ่งพี่วจีรส
งามหมดจดดอกใดเปรียบได้เหมือน
ทิศหนึ่งน้องทิศหนึ่งครูผู้มาเยือน
ไม่เคยเบือนเคยบิดผิดจรรยา
หนึ่งในเจ้าลึกล้ำจดจำไว้
กลางพงไพรคุ้งกลอนซ้อนนัยหนา
หนึ่งยอดเจ้าแทงพ้นบนเมฆา
ผ่านบ่วงม่านอักษรามาซึ้งความ
ขอให้ดอกดาวแดงแสงอาทิตย์
จงสถิตย์เรือนกวีศรีสยาม
เป็นโกสุมเหนือย่านภิบาลนาม
แตกดอกสามดอกสี่ไม่มีเว้น
สู่มงคลดาวฤกษ์คอยเบิกฟ้า
ส่องแสงมากระทบสบตาเห็น
แต่งคืนหม่นร้างฝันไร้จันทร์เพ็ญ
กลางลำเค็ญมิตรมิ่งได้อิงพัก
ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกคราว
ยี่สิบเก้าฤกษ์ใจได้รู้จัก
ขออวยพรอักษรสะท้อนภักดิ์
แด่มิตรรักมิตรกวีที่บรรจง
ด้วยน้ำคำอมฤทธิ์เมื่อจิตนิ่ง
ด้วยความจริง..ใจชมสมประสงค์
ด้วยรวงกลอนอ่อนหวานปานผึ้งดง
มาแต่งองค์ทรงป่า..วนาดร
ให้ฤกษ์ฤทธิ์นิมิตรนี้มีแต่สุข
อันความทุกข์ยากใดอย่าได้หลอน
เป็นดอกไม้หกทิศจิตอาทร
หอมกำจรกลอนกำจายห่อนคลายมนต์
--------------------------------
ให้มิ่งมิตรกวี นาม ฤกษ์ ที่ข้าพเจ้าบรรจงให้เป็นดอกแสงอาทิตย์
ที่ไม่บกพร่องในวิถี กับจรรยาอันดีงามต่อทิศทั้งหกที่ได้เห็นมา
มิตรกลอนผู้งดงามในความรู้สึกทุกๆ ครั้งที่ได้อ่านความ
เป็นไม้หนุ่มนำแสงแห่งอาทร มาสู่ร่มบ้านเรือนไทยแห่งนี้
เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเองเบิกฟ้าในคืนหม่น...
เป็นมาลัยดอกรักเล่ห์ที่หอมกำจรจายในหมู่ดอกไม้เมือง
กับในวาระครบรอบยี่สิบเก้าปี...
หวังให้บทกวีสำแดงความเอื้ออาทรในมิตรตราบนานเท่านาน
จะมีสิ่งไหนที่หวานหอมไปกว่ามิตรภาพ
และธรรมชาติรายล้อมที่เป็นมิตร
6 สิงหาคม 2547 23:43 น.
ลำน้ำน่าน
เสียงพิณเซนไหวครวญหวนตามลม
จากลึกหล่มหมื่นเขาเทาท้องฟ้า
หิมาลัยไกลขาวใกล้ราวตา
บ่มมรรคาซ่อนเซาะเราะภูดิน
พลิ้วพลิ้วไปลมเหลืองทะเลแล้ง
ทุกหนแห้งฝุ่นฝ้ายสลายหิน
พุทธอุบัติเหนือเหวเปลวมลทิน
มนต์ยังยิลยังงามท่ามลึกลับ
จากเส้นทางสายไหมไกลลึกเร้น
สู่เนินเย็นหนาวเยือกเทือกเขาหลับ
โอเอซิสพักแรงแอ่งน้ำซับ
เมื่อพุทธะจรจับผืนดินตาย
ตามทางทองเหมยไหมทบอดีต
ขึงพิณกรีดเสียงสะท้อนก้องความหมาย
ไหมจากฟ้าพลิ้วไสวใยเรียงราย
แม้นย่างกลายผ่านทางเวิ้งว้างคน
จากดินแดนแห่งสายน้ำภาวนา
สายคงคาจากสรวงร่วงสายฝน
ชาติกำเนิดชมพูคู่สกล
ไหลมาสู่มณฑลโพ้นอัลไต
เป็นหิมะดะไลในโลกลึก
ตกผลึกความว่างกลางสงไขย
เหมือนหยาดหยกบริสุทธ์พุทธละไม
เหมือนกลิ่นไอฟากฟ้าสุขาวดี
ขจรขจายสู่แหล่งแห่งความตาย
แหล่งความพ่ายสยบหลบเร้นหนี
ก้าวสู่กลางกาฬมืดของโกบี
เพียงศากยมุณีที่ศรัทธา
เพื่อพุทธะยึดไว้ใจลามะ
โลกุตระสว่างแหล่งแสวงหา
เพื่อนิพพานสูงสุดพุทธาดา
กลางลำเค็ญลาสาขังวิญญาณ
คือดอกพลัมบานไหวในปลายหนาว
แล้วโรยกราวพบพื้นคืนสังขาร
กลีบเหลืองหม่นดลจิตมหายาน
ยามเบ่งบานพรมผลิหิมะโปรย
เซนดนดรีบรรเลงเพลงความว่าง
อยู่ท่ามกลางเพลงทิวอันหิวโหย
คือมนต์สวดแว่วบอกดอกไม้โรย
กลิ่นอวลโชยพัดกลบซบแนวเนิน
แตรภูเขาเป่าก้องร้องมนต์ร่ำ
สื่อเสียงเพลงลำนำคำสรรเสริญ
พุทธทิเบตเผยกว้างพลางเชื้อเชิญ
ให้มนุษย์ก้าวเดินเพลินนิพพาน
จิตวิญญาณพลิ้วไหวดุจหิมะ
โลกายะกฎธรรมนำสังขาร
คือกฎจริงอิงโลกมหายาน
ทอดทางฌานไหมวิสุทธิ์วิมุติพ้น
-----------------------------------------
เทียนหอมสีฝาดหม่นๆ ถูกจุดขึ้นกลางค่ำคืนนี้ วันมงคลของชาวจีน
เปิดเพลงบรรเลง มนตราแห่งอวโลกิเตศวร บทสวดทิเบต
พาหัวใจให้พลิ้วไหวไปสู่ดินแห่งแห่งพุทธมหายานนิกาย
ที่ดวงใจดวงนี้เคยได้ไปเยือนขุนเขาหิมะมังกรหยกมาแล้วในอดีต
ดินแดนแห่งเนินผา ขุนเขา สายน้ำภาวนา ทะเลทราย และจิตวิญญาณ
พุทธนิกายมหายานเดินทางผ่านเส้นทางอันทุรกันดารอย่างยิ่งยวด
นาม เส้นทางสายไหม เส้นทางสายจิตวิญญาณเชื่อมโรมันสู่จีน
เส้นทางที่เชื่อมแผ่นดินตะวันตกกับดินแดนตะวันออกเป็นหนึ่งเดียว
จากใจกลางทวีปผ่านที่ราบสูง ทะเลทราย เทือกเขาหิมะ และสายน้ำ
อิทธิของพุทธศาสนานิกายมหายานได้แผ่เข้าปกคลุมดินแดนแถบนี้
ที่ได้ชื่อว่า หลังคาโลก ในทิเบต จีน มองโกเลีย เวียดนาม ญี่ปุ่น
ลามะ เป็นผลิตผลหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดของพุทธศาสนา
พระผู้มุ่งแสวงหานิพพานและความหลุดพ้นท่ามภูมิประเทศแร้นแค้น
ทำให้ประหวัดถึง เณรน้อยซุงไซจากหนังสือเล่มงามของ *จอร์จ เครน*
นาม อัฐิอาจารย์ ปาฏิหาริย์แห่งความกตัญญู พระที่ต้องดิ้นรนหลบรี้
ออกจากมองโกเลียในช่วงจีนปฏิวัติวัฒนธรรม...
และ นักเขียนท่านหนึ่งกล่าวกว่า นิยายเรื่อง กามนิต วาสิฏฐี
จุดที่สองคู่รักนัดไปพบกันหลังความตาย
คือดินแดนสุขาวดี ก็อยู่ในความเชื่อนิกายมหายาน...
หมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาหิมะมังกรหยกที่ได้ไปเยือนสะท้อนปรัชญาเซน
ยามเช้าที่อากาศเย็นแห้งๆ และลมเหลืองจากทะเลทรายโกบียังพัดอู้
แต่กระนั้นดอกพลัมและแอ็ปเปิ้ลก็ยังคงผลิดอก ทิ้งกลีบดอกโปรยไป
สู่ความว่างเปล่าเดียวดายในสายลม...เป็นความงดงามนิรันดร์
ในดินแดนมหายาน.....
หยุดพักความเหนื่อยล้า เอนกายลงฟังเสียงหัวใจเต้น จิตนภาพลึกล้ำ
รำลึกถึงคราวแบกเป้เดียวดายบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ นาม *ยู่หลง*
แหละสายหมอกไหมสวยสดราวสวรรค์บนดินในยามได้ดื่มด่ำกับ
*แชงกรีล่า* สวรรค์บนดิน อีกสายน้ำที่กระโจนลงอย่างเกรี้ยวกราด
ณ หุบเขาโตรกเสือกระโจน
แหละอีกหลายความทรงจำ
ในยามได้เดินอยู่เหนือคันนาข้าวสาลีในอินเดีย
ประหวัดถึงวัจนภาษาทองจาก **กามนิตวาสิฏฐี** กล่าวไว้สงบงาม
ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร.ว่า...
**ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์
เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล
ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศ
สุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี
เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว
ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทอง
ไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า
ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ
เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว
ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง
อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถ
ทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้ง
ดั่งว่านิรมิตไว้มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด
ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้
เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน
แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น
พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้
พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน
มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์
ในภูมิภาพที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อน เช่นเขากาฬกูฏไวบูลยบรรพต
อิสิคิลิและคิชฌกูฏ ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น
ยิ่งกว่านี้ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระอันมีกระแสธารน้ำร้อน
ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้น
ว่าเมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่แต่โดยเดียว
แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถ
อยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏ
เข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน**
แม่น้ำไหลริน
มาจากหิมาลัย
ส่งเสียงพึมพำ
มาจากเนินเขาหมื่นแห่ง
จากทางช้างเผือก
ชื่นชมฟากฟ้า
จำกัดวิสัยทัศน์ไว้
ไม่สนใจ
ความอัปลักษณ์ของผู้ใด
กระทั่งแม่น้ำ
ฝั่งที่เป็นเนินทราย
ทับถม.....
ยึดพุทธะไว้ในใจ
ละวางความโศกและมายาภาพ
(ซุงไซ)
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันตรุษจีนที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๑๕๕๓