30 มกราคม 2547 12:44 น.

สู่ฝันอันสูงสุด

ลำน้ำน่าน

เหมือนทุกอย่างร้างไกลแต่ใกล้ชิด
เหมือนม่านฟ้าคลี่ปิดแต่จันทร์เผย
ไม่สนิทแต่จิตกลับคุ้นเคย
เหมือนห่างหายคำเปรยแต่แว่วยิน

เหมือนหนังสือปิดวางอย่างสงบ
แต่อ่านจบถ้วนตอนอักษรศิลป์
เหมือนนานครั้งแต่ยังเป็นอาจินต์
เหมือนเหยียบดินกลับสร่างอยู่กลางดาว

เหมือนเนิ่นนานผ่านผันไม่ทันนึก
แต่ตราตรึกด้วยรอยให้คอยหนาว
เหมือนดอกไม้รอน้ำค้างพรมพร่างพราว
รอยามเช้าแล้วจะบานขานอรุณ

ขานอรุณแดดอุ่นกรุ่นทรวงอก
เมื่อหมู่นกพลัดถิ่นได้บินหมุน
ประดับโลกโตรกฟ้าว่าเจือจุน
สมดุลอาทรก่อนวันพลบ

เมื่อวันพลบคลี่ม่านผ่านอีกครั้ง
บ่มพลังไฟฝันเพื่อวันจบ
จุดหมายคอยร้อยฝันจักพลันพบ
จึงสงบทอดกายหมายซึ้งแล้ว

เมื่อซึ้งแล้วจรไปไม่ใกล้ชิด
ให้ชีวิตเติบงามตามทางแถว
ได้เกี่ยวเก็บความฝันอันเพริศแพรว
เป็นดวงแก้วส่องใจให้หวนคืน

ให้หวนคืนครืนพัดระบัดไหว
เป็นลมใจลดร้อนผ่อนทุกข์ฝืน
เป็นสายน้ำไหลท้นบนจุดยืน
เป็นเกรียวคลื่นโถมถั่งพลังก่อ

พลังก่อพอเพียง..เพี้ยงบั้นปลาย
แล้วสละความหมายไร้คำขอ
ทุกทุกอย่างเอมอิ่มปริ่มเพียงพอ
รอกล้าฝันพันกอแตกต่อแทน

---------------------------------
ในระหว่างเส้นทาง การพบ  พราก เป็นเรื่องปกติวิสัยที่เกิดขึ้นได้
ถึงอย่างไรก็ตาม  เรามีความฝันที่รอท่าที่จะเก็บเกี่ยวและทำให้สำเร็จ  
ในวันข้างหน้า  ตามแต่ใครจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยกว่ากัน
ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า ตราบใดที่เรายังซื่อสัตย์ต่อจิตวิญญาณของตัวเอง
ไม่ว่าเราจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลไหน ความรู้สึกอันนี้จักยังคงสว่างวาบ
และเป็นแรงให้เราได้นึกคิด และคร่ำครวญอยู่เสมอๆ
บางครั้งเราอธิบายไม่ได้ แต่เราสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณ

เดินไปด้วยกันเถอะ แม้นจะห่างหายไปจากเรือนหลังนี้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสิ้นฝัน
เพราะข้าพเจ้ามี  ความฝันอันสูงสุด รอวันให้เก็บเกี่ยวในบั้นปลาย
แล้วเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง  ก็พร้อมที่จะสละได้อย่างไม่ยินดียินร้าย
ตามแนวทางสงบเงียบงามและวีถีแห่ง ชีวิต

เขียนบทนี้สดสดวินาทีนี้ ที่สาวบ้านนาให้เกียรติตามหาลำน้ำน่าน 
และฝากเป็นความคิดถึง ถึงหมู่มิตรในบ้านเรือนไทยหลังนี้เฉกเช่นกัน  
ซึ้งใจอย่างสูงสุดในวินาทีนี้

				
1 มกราคม 2547 02:58 น.

ริมฝั่งน้ำนิรันดร์กาล

ลำน้ำน่าน

เสียงเหงาแว่วแผ่วมาจากฟ้ากว้าง
ดอกเลือนร้างบานพราวคราวศกใหม่
หนาวน้ำค้างพร่างพรมตรมภายใน
ร่วงจากใจหยดร้าวลงเคล้าดิน

เสียงขลุ่ยครวญหวลมาว่าสิ้นแล้ว
กลีบดอกแก้วโรยร้างกลางลานหิน
ความเดียวดายทายทักจักคุ้นชิน
ลมหายใจเคยระรินค่อยสิ้นไป

ความคิดถึงซึ้งใดในครั้งก่อน
หมดอาวรณ์ถอนรากจากสมัย
ฝากรอยร้าวคราวพรากจากอุ่นไอ
แม้นเยื้อใยก็สลายกลายเป็นลม

เมื่อศกใหม่ขอโศกในโลกเงียบ
แผ่เข้าเหยียบย่ำใจ...ไร้สุขสม
เจ็บหัวอกฟกช้ำ...ร่ำระบม
สิ่งชื่นชม..ขมเศร้าราวสมมุติ

ซบลงหมอนก่อนเก่าเนาเคยนอน
ให้ลุ่มร้อนเล็งเล้าราวเทียนจุด
ทรุดลงนั่งต่อหน้าพระพักต์พุทธ
ไม่อาจหยุดน้ำตา....มาวิงวอน

คือสายน้ำไหลไปไม่ไหลกลับ
จักระงับดับไฟในจิตถอน
ดวงวิญญาณนานวันคงสั่นคลอน
ร้างเร่ร่อนดับไป..ในกลางกาล

แม้นสายน้ำสายใดให้เมตตา
จงหลั่งมารดใจให้เผยสาส์น
ให้ศกใหม่บานแจ่มแย้มตระกาน
อยู่เนิ่นนานเคียงเคล้ากับเหล่าชน

หากเสียงเพรียกยังร้าวมาจากฟ้ากว้าง
ให้ศกร้างหมุนเวียนเปลี่ยนอีกหน
ความทรงจำจักกลบฝังลงฝั่งชล
เขียนกวีอีกหน..ณ ริมฝั่งน้ำนิรันดร์กาล
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน