22 สิงหาคม 2546 13:50 น.
ลำน้ำน่าน
รักกันฉันพี่น้อง......ชัยชนะ
ดอกรักนี้พี่เก็บกำนำมาปลูก
เพื่อพันธ์ผูกมนต์รักสมัครสมาน
ชุ่มแช่มชื่นซ่านเซ็นเย็นสราญ
ผลิโผล่บานก้านผ่องผุดสะดุดหทัย
ชูช่อพวงแพรวพราววาววิสุทธิ์
เปรียบประดุจรัตนะค่ามิได้
สายโซ่ทองคล้องเกี่ยวเกาะเกี้ยวใจ
เกิดสัมพันธไมตรีฉันพี่น้อง
ถ้าเอาพันธุ์ ฉันท์ชู้สาว มาเพียรเพาะ
เกรงไม่เหมาะน้องจ๋าพี่ขัดข้อง
ดำฤษณาชักพาเหตุน้ำเนตรนอง
รักทั้งสองมิราบรื่นไม่ยืนยง
จึงนำพันธุ์ เพื่อนพี่น้องมาลองกล้า
ด้วยศรัทธาปณิธานอันสูงส่ง
หวังดวงดอกดื่มด่ำอยู่ดำรง
ฉันตกลงส่งดอกไม้ริมรายทาง
กระจองหง่องกระจองหง่องน้องพี่ข้า
นำตระกร้าอ่างกระบุงปี๊บกระถาง
มาตั้งไว้หน้าบ้านเรียงรายวาง
วงล้อยางหมุนส่งสุขเพื่อทุกคน
ดอกรักงามบานบนกิ่งมิตร.......ลำน้ำน่าน
พันธุ์ดอกรักฉันพี่น้องที่ลองหว่าน
จากวันวานจนวันนี้คลี่กลีบฝัน
เพียงลงดินรดน้ำคำทันข้ามวัน
ดอกพริ้งพรรณระบัดชัดในใจ
คือเกียรติและความดีที่ได้รับ
ตราบเนิ่นนับรักจะงามสว่างไสว
หวังสัมพันธ์พี่น้องรักชักนำไป
เป็นน้ำใจไหลจมถมฐานันดร
ไม่แรมร้างโรยราใฝ่หาศักดิ์
ผูกสมัครความหวังดีพี่เพียรสอน
เทียบเทียบทันด้วยวลีมีกานท์กลอน
เอื้ออาทรห่มด้วยรักและภักดี
ความอ้างว้างบางเบาที่เฝ้าแฝง
จะอ่อนแรงแทนด้วยคำกวีศรี
กรุ่นละอองล่องทิวาตราบราตรี
จากธุลีไปประดับประทับใจ
เผยความหมายแห่งการให้และได้พบ
งามเจนจบทุกแดนดินแม้ถิ่นไหน
ดั่งดอกรักระคนกลิ่นปริ่มละมัย
เพียงใครใครอิ่มเอมก็เปรมปรีด์
-------------
เขียนสดสดให้ในวินาทีนี้ กำนัลทุกดวงใจในบ้านเรือนไทย และเฉพาะพี่ชัยชนะที่นำบทกวี รักกันฉันพี่น้อง มาประโลมความงามแห่งมวลมิตร และความงดงามฉันพี่น้อง และกับบทกวีบทนี้ตอบให้พี่พุดพัดชาภาคหัวใจไม่หยุดรัก อีกหนึ่งกับบท น้ำพระทัยสู่รวงข้าวราวรวงเพชร ที่น้ำใจงามมอบกลอนให้ลำน้ำน่าน ด้วยเฉกเช่นเดี่ยวกัน รู้สึกซาบซึ้งและเป็นเกียรติอย่างมากครับ
21 สิงหาคม 2546 01:08 น.
ลำน้ำน่าน
ซากไม้ตายกลางไพรได้ฝนหยด
หล่นพรมรดกิ่งแห้งแล้งหนักหนา
พิรุณฝันสายงามยามโปรยมา
อาบพสุธาสู่รากฝากหน่อใจ
มหัศจรรย์พลันมีที่กลางพฤกษ์
ในห้วงดึกไม้งามเริ่มหวามไหว
ผลิดอกดกเกิดกอต่อบ่วงใบ
กลางดวงใจเห็นชีวิตติดตามมา
ความชุ่มฉ่ำจากฟ้ามาปรากฎ
หว่านจรดโปรยละอองของเวหา
หวังชุบชื้นต้นไม้แกร็นแห้งคาตา
เป็นไม้ป่าเขียวพร่างหว่างหัวใจ
รอเพียงวันกล้าฝันได้เติบต่อ
ออกผลพอเต็มต้นจนเอนไหว
ผลจะร่วงเป็นบุญทานให้พรานไพร
สัตว์น้อยใหญ่เหล่านางไม้ได้พักพิง
ผลิงดงามตามธรรมชาติหยาดกุศล
อยู่ท้าทนให้สัตว์ป่าได้สู่สิง
เผยคุณค่าพรรณป่าอย่างแท้จริง
จับจิตนิ่งงามเพริศพราวทั้งราวไพร
.................
ในปวงป่าบางครั้งก็เหมือนจิตใจคนเรา มีทั้งชุ่มชื่น และเหี่ยวแห้ง ตามกาลเวลาและวัฏจักรแห่งฤดูกาล คงจะดีไม่น้อยหากจะมีเมตตาวสันต์หลงฤดูตกต้องรดน้ำฝนให้ต้นไม้แห้งในราวไพรในราวใจได้แตกหน่อต่อตาอีกครั้ง บทกวีที่อ่านแล้วชวนให้วิ่งร้อยเมตรฝ่าดงตึก ไปซุกตัวในอ้อมไพรอ้อมใจในค่ำคืนนี้ ที่หยาดฝนกำลังจะตกต้อง...พลิกหัวใจไปที่ไหนสักแห่ง...วอนเมตตาพระพิรุณ
18 สิงหาคม 2546 01:05 น.
ลำน้ำน่าน
มะลิซ้อนขาวพร่างวางตรงหน้า
กราบมารดาพระคุณล้นพ้นห้วงน้ำ
จากลูกชายที่ห่างหายไปนับนาน
อยู่ไกลบ้านยิ่งไม่เคยได้เชยชม
เลือดในอกหอบดอกไม้มาให้แม่
พระคุณแท้หยดไหลหลั่งดั่งบุญถม
รดหัวลูกจนเติบโตโผล่จากตม
แม้นขื่นขมสุดตรอมยอมกัดฟัน
สารภาพผิดทั้งผองของลูกชาย
ทุกเรื่องร้ายแม่ยังมอบปลุกปลอบฝัน
แม้นทิ้งไปเสวยสุขทุกคืนวัน
ลูกจาบัลย์เมื่อข่าวคราวร้าวกลายมา
มารดาเจ้าป่วยหนักจักต้องพึ่ง
คิดคะนึงก่อนล่วงลบดินกลบหน้า
เพ้อพะวงหลงเรียกลูกทั้งน้ำตา
แต่ชะตาพาเลือดชั่วไม่กลัวกรรม
โอ้ลูกรักคืนย้อนมาครวญหาแม่
โธ่! อีแก่ยังไม่ตายหรอกหรือนั่น
สมบัติพ่อที่เหลือไว้อยู่ไหนกัน
ลูกจะเอาต้อนรับขวัญศรีภรรยา
แม่ได้ฟังดั่งดวงใจเปลวไฟเผา
จิตบางเบาเริ่มหน่วงหนักรักตรงหน้า
ใจสลายเหลวเหลกแล้วเจ้าแก้วตา
สิ้นอุราเพราะน้ำคำของลูกชาย
ดอกมะลิที่วางเรียงเพียงหน้าตัก
คือกลรักหลอกใจแม่ให้แพ้พ่าย
หวังลายเซ็นยกสินทรัพย์ก่อนดับตาย
แล้วทำลายขยี้ทิ้งไม่ยินดี
คือความจริงในสังคมถมตกต่ำ
จิตใจดำของมนุษย์ในยุคนี้
หลงงมงายกระแสโลกโฉดโลกีย์
ชังความดีเมินศักดิ์ศรีความเป็นคน
พระคุณแม่ยิ่งสิ่งใดในผืนหล้า
ยิ่งกว่าฟ้ามากกว่าทรายรายถนน
จดแผ่นดินสิ้นสมุทรสุดหยั่งยล
ลูกไม่พ้นต้องชดใช้ในรอยกรรม
บทเรียนร้ายด้วยตัวแม่แค่คนจน
พร่ำส่งลูกเป็นนายคนจนถลำ
หลงอำนาจขาดเจือจุนมาหนุนนำ
ใจระยำอกตัญญูผู้มีคุณ
จิตวิญญาณความยิ่งใหญ่ในใจแม่
ดุจเพชรแท้บูชาค่าอย่าให้สูญ
แม้นไม่ตายพรากจากไปให้อาดูร
ควรเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเจ้าจงจำ
ณ วันนี้แม่คงอยู่คู่เรือนร่าง
แต่หนทางพร้อมจะหยุดทรุดซบซ้ำ
เลือดในอกหลงซึ้งซาบในอธรรม
เหยียบแม่ต่ำชูเมียขวัญขึ้นทันคุณ
เพียงส่วนน้อยแม่กลั่นกลอนมาสอนจิต
เพียรพินิจก่อนกายาลาดับสูญ
หวังเห็นลูกชูสูงส่งวงศ์ตระกูล
สืบสานบุญคุณยิ่งใหญ่...ผู้ให้ชีวี
หลายครั้งที่ลำน้ำน่านเห็นผู้หญิงเพศแม่ที่ต้องทุนทุกข์ทรมาน
ที่เลือดในอกกล้ากระทำได้ถึงเพียงนี้.......
เขียนบทกวีนี้แทนใจแม่ที่รานร้าวในวันนี้ ฝากคำไปให้ลูกได้รับรู้
ด้วยสำนึกและอยากจะกอดปลอบฝัน มอบอุ่นไอมนุษย์ให้ ด้วยหัวใจที่รักแม่
รักเพศผู้ให้อย่างที่สุดหาประมาณไม่พบไม่เจออีกแล้วในชีวิตหนึ่งนี้
แรงบันดาลใจอย่างยิ่งยวด ที่ได้อ่านหนังสือถึงเรื่องราวของหญิงผู้อุทิศตน
นักบวชในคริตศาสนาผู้หนึ่ง ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย
ที่วันหนึ่งเธอเดินไปตามทางถนนสายเดียวดายในประเทศอินเดีย
ระหว่างเส้นทางอันเปลี่ยวเหงานี้ เธอพบกับหญิงชราขอทาน คนหนึ่ง ..
นั่งสั่นเทาอยู่ริมทาง เธอเข้าไปไต่ถามด้วยแววตาที่อ่อนโยนและอาทรว่า
นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าไม่ได้รับไออุ่นจากร่างมนุษย์ หญิงชราผู้นั้นตอบว่า
นานมาก นานจนข้าจำไม่ได้ ตั้งแต่ลูกทิ้งไป หญิงนักบวชหลั่งน้ำตาสังเวย
โอบมืออันบริสุทธิ์ประคองกอดหญิงขอทานผู้นั้นไว้ในอ้อมอก.....
นานแสนนาน ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบายใดใด นอกจากใบหน้าที่ชื่นไหว
และดวงตาที่ถั่งท้นด้วยธารน้ำตา ของหญิงชราผู้นั้น ราวกับไออุ่นบันดาล.......
ข้างๆ ทางรายลอบด้วยนักบุญผู้แผ่เมตตาประทานพร.....สรรเสริญคุณมารดา
ด้วยรักและบูชาแม่ ผู้ให้ชีวิต ที่แม้ชีวีก็ยอมมอบให้ด้วยใจภักดิ์ อย่างที่สุดหัวใจ
และคงไม่สายไปที่จะกำนัลทุกดวงใจ ที่ปรารถนาให้ทุกทุกวันเป็นวันแม่...
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2865
สองมือที่ดูนิ่มนวลอ่อนโยน
สองมือที่ดูช่างบอบบางอย่างนั้น
สองมือที่ดูไม่มีความสำคัญ
คือสองมือที่ทำ ให้โลกหมุนไป
แม้เพียงร่างกายนั้นเกิดเป็นหญิง
แท้จริงหัวใจนั้นแกร่งยิ่งกว่าชาย
ขอเพียงให้เป็นได้ดังที่ตั้งใจ
จะทุกข์ทนเดียวดายไม่มีความสำคัญ
บันดาลโลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา
ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล
บันดาล
โลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา
ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล...
14 สิงหาคม 2546 01:50 น.
ลำน้ำน่าน
พิรุณโรยโปรยพราวทั่วราวป่า
ใต้ฟากฟ้าค่ำคืนเหงาเงาเมฆร้าย
ตกกระหน่ำซ้ำซัดให้ดับตาย
นอนซบกายรอฝนฟ้ายื่นปราณี
ใบไม้เหลืองเดียวดายร่วงรายรอบ
ทั้งเขตขอบฟ้าร้าวรอยก้าวหนี
ซอนซ่อนซุกฝนนรกอเวจี
ที่ตกตีความภักดิ์แตกหักลง
ทิ้งบ่วงใบหนีลมตรมหัวอก
ดั่งปีกนกอ่อนแรงลมแล้งหลง
ไม่อาจเกี่ยวเรียวรังฝันดั่งจำนงค์
รอร่วงลงคลุกธุลีพลีชะตา
และคือฉันเปรียบต้นไม้ที่ตายจาก
ทั้งเหง้ารากกิ่งก้านตระหง่านฟ้า
เหลือเพียงเศษผุพังรั้งคาตา
สิ้นเรี่ยวแรงไต่ขึ้นฟ้าระบัดใบ
วันพรุ่งนี้ริ้วลมหนาวจากราวป่า
จะพัดพาดอกขมขื่นมายื่นให้
ถอนใจรับดับความฝันกลางหัวใจ
ขอเป็นไม้ที่เหลือซากฝากคำเคลือ
ว่าเคยงามสล้างป่าพนาทิศ
ชุบชีวิตคนจนเศร้าสุดร้าวเหลือ
ละมุนละไมแผ่บุญอาบจุนเจือ
มีฝันเผื่อมีแรงร้อยถ้อยรจนา
พรุ่งนี้แล้วจะทรุดลงเป็นผงดิน
ซากหายสิ้นเหลือเพียงคำรำพันหา
จดจำไว้ว่าวันหนึ่งซึ่งผ่านมา
โลกอิ่มงามเต็มคุณค่าลดาวัลย์
นี่คือฉันเปรียบต้นไม้ที่ตายแล้ว
ไร้วี่แววจะแตกตาตามหาฝัน
ภาวนาหากชาติหน้าเกิดมาทัน
อย่าได้มีพระพรหมกั้นจัดสรรใคร
.......................
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนของค่ำคืนนี้...
ฉันนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่คืนนี้ฝนปลายฤดูกำลังพิโรธตกพรูพราวข้างนอก
บรรยากาศชวนให้นอนซุกกายใต้ผ้าห่มลายใบไม้ร่วง...พาให้หัวใจรานร้าว
ปีศาจวสันต์หลอนหลอกดวงใจ..กระหน่ำให้พังยับลงกับตาในทันทีทันใดนั้น...
พายุในหัวใจโหมซัดซ้ำ..จนแหลกสลายลง..เหลือเพียงความเมินชัง
น้ำฝนหนาวราวกับน้ำคำที่ได้ยิน..หัวใจพังครืนเหลกเหลวหมดชิ้นดี
ในค่ำคืนเดียวดายนี้นี่เอง...เจ็บ เจ็บ และเจ็บ เหลือประมาณ
และนี้ก็คือความจริงที่ต้องจำนนท์...
ฉันดั่งต้นไม้ที่ตายแล้ว ตายทั้งยืน เพียงรอวันเวลาทิ้งกิ่งก้านลง
อย่างหมดคุณค่า หมดความหมายในทุกๆ อณูใจ.....
จะโทษใครหากไม่ใช่พระพรหม...
13 สิงหาคม 2546 00:06 น.
ลำน้ำน่าน
ริ้วแสงจันทร์พลันระวีที่ทรวงอก
หนาวสะทกจิตสะท้านพานเลือนหาย
กลิ่นราตรีอาบห่มฝันพรรณราย
ความในกายเริ่มแจ่มชัดลมพัดมา
เสียงขลุ่ยครวญอวลรักมากับลม
น้ำค้างพรมลมริ้วทิวยอดหญ้า
บ่มดอกรักประจักษ์ชัดกาลต่อมา
ก่อนอุษาจะรุ่งรางร้างจันทร์เลือน
เกสรบัวลอยล่องคลอคล้องใจ
กรุ่นกลิ่นใดจะเปรียบเทียบได้เหมือน
หอมสไบหอมน้ำปรุงคลุ้งทั่วเรือน
หากแชเชือนเห็นทีท่าจะลาเลย
ปรารถนาบัวปริ่มรักมาปักจิต
เพ่งพินิจพร่ำดอมดมชมเฉลย
เจ้าเอียงกลีบกลัวช้ำชอกดอกทรามเชย
ด้วยไม่เคยถูกเด็ดดวงจากบ่วงใด
กลีบสยายซ่อนใบบัวกลัวจันทร์เห็น
กลางเดือนเพ็ญอร่ามอ้าดอกพร่าไหว
เอื้อมมือกอดก้านยาวหนาวทรวงใน
ปลิดพรากไปใช่จะปล่อยให้ลอยลา...
จะเคียงกอดพรอดพร่ำลำนำรัก
กลีบใช่หักดอกใช่ช้ำดังปรารถนา
ตราบจนสิ้นแสงทองของจันทรา
แล้วอัญเชิญบุษบาขึ้นหิ้งใจ
........................
ดอกบัวเป็นสื่อแทนสัญลักษณ์มากมายในโลกใบนี้ แล้วแต่ดวงใจและหัวใจดวงไหนจะเด็ดดวงนำมาบันดาลหัวใจ สำหรับลำน้ำน่าน ปรารถนานักที่จะมองดอกบัวกลางแสงจันทร์แรม...อวลหอมเกสรพรายพร่า กลางเงาไม้สายชล...