30 สิงหาคม 2551 09:07 น.
ลานดิน
ซับแสงนวลใสนุ่มแห่งลุ่มน้ำ
ซับแสงฉ่ำงามลึกดึกสงัด
อันสายลมไม้นิ่งยิ่งแจ่มชัด
แสงจรัสส่องใสให้เยี่ยมยล
ห่างไกลโลกนี้ กี่ปีแสง
กร้านแกร่งเคลื่อนคล้อยกี่ร้อยฝน
เก่าแก่กี่เท่าของเผ่าคน
หมองหม่นบ้างไหมในราตรี
ใสพราวขาวพร่างอยู่อย่างนั้น
ดั่งเติมแสงฉันไว้ล้นปรี่
ไม่เคยอ่อนล้าแม้นาที
ริบหรี่ก็รุ่งสางพร่างตะวัน
ดินนั้นเล่าขาวนวลช่างชวนพิศ
ซับแสงใสไพจิตรทุกสีสัน
ทั้งพร่างพราวล้ำเลิศแห่งเจิดจันทร์
ไม่เคยร้าวหนาวสั่นสะท้านกาย
รับนวลแสงแห่งดาวสกาวฟ้า
เสน่หาแม้ดวงที่ร่วงหาย
รองรับดาวร่วงตก แตกกระจาย
ใช่ เพียงพรายแสงพราวแห่งดาวดวง
ทอดตนทอดกายทุกสายซับ
เสมือนหับ กว้างใหญ่ ไม่หลุดร่วง
สรรพชีพ ใหญ่น้อย ร้อยเป็นพวง
ในทั้งปวง ยามขาดวิ่น ดินฝังกาย
ฉันรักผืนแผ่นดิน....
รักฐานถิ่น รักเลือดเนื้อ รักเชื้อสาย
หากไร้ดินก็สิ้นก้าวมองดาวพราย
หากสิ้นดินก็อย่าหมายจะหยัดยืน
3 เมษายน 2551 17:01 น.
ลานดิน
ในร่องแล้งหล่มทรายสายน้ำเซาะ
พาดผ่านป่าละเมาะเลาะนาข้าว
แห้งขอดตลอดย่านมานานยาว
ล้อแดดผ่าวอายร้อนปลิวว่อนลม
ในแปลงนาแถวต่อตอซังข้าว
รับน้ำค้างเยือกหนาวแสงดาวห่ม
รับเพลิงแดดแผดผลาญมานานนม
ก่อนจ่อมจมล้มลงกลางผงทราย
ในฟ้ากว้าง เมฆลอย จันทร์คล้อยเคลื่อน
แล้วค่อยเลือนแสงพร่างก่อนจางหาย
ทิวาวารเปลี่ยนผันแทนจันทร์พราย
ว่าวสีแดงสะบัดส่ายแทรกสายลม
ในฤดูกาลเปลี่ยนวนเวียนทัก
ในแหล่งดินแหล่งหลักแหล่งสะสม
เปลี่ยนสีน้ำสีฟ้าแรงอารมณ์
เปลี่ยนทั้งคมไหน่หนามตามริมทาง
เมื่อหล่มทรายชุ่มชื้นดังตื่นตา
น้ำจากฟ้าหยาดเยือนมาเตือนร่าง
น้ำจากไพรไหลบ่ามาคาค้าง
ขังในอ่างในแอ่งเคยแล้งร้อน
พฤษภาเลือนลับฟ้าซับฝน
มิถุนาต่อตนวนกลับย้อน
กรกฏาเขียวชอุ่มน้ำชุ่มดอน
สิหาคม เมฆว่อน ว่ายฟ้าไกล
แสงสายหนึ่งร่วงพรูลงสู่ดิน
กลางคืนมืดว่ายินเสียงร้องไห้
กลางทรายฝนพร่างพรำแสงรำไร
ส่องเรือนไม้สีหม่นบนเนินดิน
เพลงฝนพรำกลางดึก ผลึกชีวิต
ได้แต้มติดแตกหน่อแตกกอกลิ่น
คลุกไอแดดหยาดฝนเปื้อนมลทิน
เป็นเด็กดื้อเป็นก้อนดินเติบวันวัย
ฉัน............เกิดที่นี่
กลางทุ่งเขียวขจีสว่างไสว
มวลต้นข้าวล้อลมจากพงไพร
ขับกล่อมใจวัยเยาว์ทุกเช้าเย็น
เกิดท่ามกลางโคลนตมคนข่มก้าว
กลางเรื่องราวล้นหลากความยากเข็ญ
ในอ้อมกอดเลือดเนื้อเหงื่อกระเซ็น
กลางเลือดตากระเด็นของคนจน