14 กันยายน 2550 20:06 น.
ลัม มนา
ผมไปทำบุญที่วัดแห่งนึงมา วัดนี้ค่อนข้างจะกันดาร โบสถ์ กุฎิของพระก็มีสภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ผมกลัวว่าถ้ามีลมพายุพัดมาสักหน่อย กุฎิคงจะปลิวไปแน่ๆ เจ้าอาวาสเล่าว่าที่วัดนี้ค่อนข้างจะขาดแคลนเครื่องใช้ สิ่งของจำเป็นต่าง ๆ เพราะว่าที่วัดรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และคนชรา ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควร
ผมเดินสำรวจดูที่วัด เห็นยายคนนึง น่าจะอายุประมาณ 70-80 ได้ กำลังนั่งสานตะกร้าอยู่ ผมจึงเข้าไปคุยกับแก
"สวัสดีครับ ยาย" ผมทักพร้อมกับยกมือไหว้ แกละสายตาจากงานที่แกกำลังง่วนทำอยู่ แล้วยิ้มให้ผม
"คุณยาย อยู่ที่นี่นานแล้วเหรอครับ แล้วนี่สานตะกร้าไปทำอะไรเหรอครับ"
"ยายจะสานตะกร้าไปขาย เพื่อเอาเงินมาช่วยทางวัดหน่ะลูก" แกตอบไปยิ้มไป
"ยายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ" ผมถามต่อ ตามประสาคนอยากรู้
แกยิ้ม แล้วเล่าเรื่องราวที่ผมฟังแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน
แต่ก่อนนี้ยายแกรับราชการเป็นอาจารย์ และสามีของแกก็เสียไปหลายปีแล้ว แกมีลูก 3 คน หญิง 1 ชาย 2 ผู้หญิงทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทชื่อดัง แล้วก็ไปแต่งงานกับลูกชายเจ้าของร้านเพชร ใคร ๆ ก็พากันชมแกว่าเลี้ยงลูกได้ดี แกปลาบปลื้มมาก ๆ หลังจากแต่งงานแล้วลูกแกก็ย้ายไปอยู่บ้านสามี แกคิดถึงลูกมาก จึงไปเยี่ยมลูกที่ร้านเพชรพร้อมกับหิ้วอาหารที่ลูกชอบไปฝาก
"คราวหลังแม่ไม่ต้องมาแล้วนะ พ่อแม่พี่....เขาไม่ชอบ" ลูกสาวแกพูด พร้อมกับที่แกสังเกตเห็นดวงตาของลูกเขย รวมถึงพ่อแม่ของเขาแล้ว แกก็เลยเข้าใจทันทีว่าเขาคงกลัวยายแกไปขโมยของในร้านของเขา
"ลูกสาวยายคงลำบากใจที่ยายไปเยี่ยมเขา แต่ยายคิดถึงเขา ลูกทั้งคน เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็ก ถึงจะแต่งงานไปแล้ว ยายก็ยังห่วง" ยายแกพูดไปพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า
ลูกชายคนที่ 2 ของแก ทำงานสถาปนิก แต่งงานกับสาวการตลาด ซึ่งครอบครัวของผู้หญิงนั้นค่อนข้างมีฐานะ หลังจากแต่งงานแล้วผู้หญิงก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน
ยายแกต้องทำงานบ้านเองทุกอย่าง ยายทำกับข้าวที่ลูกชายแกชอบไว้มากมาย แต่พวกเขาไม่เคยมากินเลย ส่วนใหญ่เขาจะไปกินข้างนอกกัน เพราะลูกสะใภ้บอกว่ายายทำอาหารไม่สะอาด ส่วนลูกชายของแกก็ไม่กล้าที่จะเถียงลูกสะใภ้เท่าไร นอกนั้นแกยังซักชุดชั้นในให้ลูกสะใภ้ด้วย
"เขาไม่เคยทำ ยายก็เลยทำให้ ไม่งั้นลูกชายของยายก็คงต้องทำ สงสารมันไม่อยากให้มันลำบาก ยายเลยทำให้มันเอง" ยายบอกให้ผมฟัง
วันนึงแกซักเสื้อผ้าแล้วทำเสื้อผ้าของลูกสะใภ้ขาด เขาไม่พอใจจึงต่อว่ายาย จากนั้นพวกเขาก็จ้างแม่บ้านแทน ยายแกบอกว่าแกรู้สึกเป็นส่วนเกินในบ้าน จึงอยากจะไปอยู่ที่อื่น หลังจากนั้นลูกทั้ง 3 คนก็มาตกลงกันว่าจะให้แกไปอยู่กับใคร ลูกสาวคนโตก็อ้างว่าที่บ้านสามีไม่อยากให้ใครเข้าอยู่ ส่วนลูกชายคนรอง ก็บอกว่าถ้าให้แม่อยู่ที่บ้าน เขากับภรรยาจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เพราะว่าภรรยาของเขาไม่พอใจที่จะมียายอยู่ด้วย ดังนั้นทุกคนจึงตกลงให้แกไปอยู่กับลูกชายคนเล็กซึ่งทำงานเป็นหมอ แกไปอยู่กับลูกชายคนเล็กก็มีความสุขดี แต่เขาต้องทำงานดึก ๆ ดื่น บางทีไม่เข้าบ้านมาเป็น 2-3 อาทิตย์ ยายเลยรู้สึกว่าถ้าแกอยู่ที่นี่ต่อไป ลูกชายอาจจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แกจึงออกมาจากบ้านโดยไม่บอกใคร พร้อมกับทิ้งสมบัติทุกอย่างที่แกอุตสาหะเก็บมากับสามีแก ให้กับลูกสามคนเท่า ๆ กัน
"ป่านนี้ไม่รู้ลูกยายจะเป็นยังไง ยายก็หวังแต่ว่าให้พวกเขามีความสุขเท่านั้น"
ยายพูดไปพร้อมกับน้ำตา
สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้ ผมจะกลับไปดูแลพ่อแม่ของผมให้ดีที่สุด ไม่ให้ท่านต้องรู้สึกว้าเหว่
18 สิงหาคม 2550 21:35 น.
ลัม มนา
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันเข้ามาเรียนในมหาลัย บรรยากาศรอบข้างก็ไม่มีอะไรพิเศษน่าสนใจมากนัก ฉันเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา หน้าตาก็ Home Home & Floor Floor นี่เป็นไงภาษาปะกิตของฉัน นิสัยก็ออกจะเอ๋อ ๆ บ๊อง ๆ
ไอ้กิ๊ฟ มันเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทของฉัน มารู้จักก็ตอนที่รับน้องนี่แหละ มันเป็นคนที่ฉันไว้ใจที่สุด เราปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ช่วยเหลือฉันตลอด โอ้ยยยยย จะหาเพื่อนที่ดีอย่างนี้ได้ที่หนายยยยยยยยย จนทุกคนคิดว่าฉันเป็นแฟนกับมัน
โอ้ย!!!จะเป็นไปได้ไง ฉันชอบผู้ชาย
ฉันแอบชอบรุ่นพี่ในคณะคนนึง หล่อมั่กมั่ก เขาเป็นที่หมายปองของผู้หญิงทุกคน ก็แหงหล่ะ หล่อขนาดนั้น ใครจะไม่ชอบ เนอะ!!! แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น วันนั้นฉันนัดกับไอ้กิ๊ฟไว้ ตกลงกันว่าหลังเลิกเรียนจะไปเดินห้างดังแห่งนึง
ไอ้เราก็รอมันประมาณ 3 ชม.(เป็นไง เป็นคนดีไหม รักเพื่อนไง ยืนขาแข็งไปสิ 3 ชม.) แล้วมันก็โทรมาบอกว่า มาไม่ได้ (T-T) กูอยากจะบ้า ขอบใจนะ ไม่โทรมาบอกซะพรุ่งนี้หล่ะ เออ กูเดินกลับคนเดียวก็ได้วะ ปกติซอยเข้าหอฉันมันจะครึกครื้นทุกวัน เพราะมีร้านเหล้าเรียงเป็นตับเลย นี่มาเรียนหรือว่ามาเป็นขี้เมากันแน่วะ(คิดในใจ) ระหว่างที่ฉันกำลังกล้า ๆ กลัว ๆ ว่าจะเดินเข้าในซอยมืดคนเดียวยังไง ก็ได้ยินเสียงนึงที่คุ้นหูมาก ๆ เรียกฉันมาจากข้างหลัง โอ้ววววว.....ผู้ชายในฝันของฉัน บรรยากาศรอบช้างจากที่เคยมืด ตอนนี้มันกลับกลายเหมือนภาพในฝัน(นึกออกไหมคะ ภาพมันจะเบลอ ๆ ลาง ๆ สักหน่อยอ่ะคะ) พี่เขาเดินมาหาฉันแล้วเราก็เดินไปด้วยกัน ระหว่างทางเราก็คุยกันอย่างสนุก พี่เขาเป็นกันเองสุด ๆ ยิ่งทำให้ฉันเคลิ้ม จากวันนั้น เราก็คุยกันตลอด จนพี่เขามาขอฉันเป็นแฟน ต๊ายยยยยยยย หน้าตาเห่ยๆ อย่างฉันจะได้เป็นแฟนกับพี่เขา หุหุ(อารมณ์คล้าย ๆ ได้รางวัลมิสไทยแลนด์เวิร์ด) ฉันไม่รอช้ารีบตกลง เดี๋ยวพี่เขาเปลี่ยนใจ แน่นอนเมื่อเราคบกันก็ต้องมีเสียงหอยเสียงปูที่มาวิจารย์ความเหมาะสมของเรา เชอะ!!! ฉันไม่สนใจหรอก พวกขี้อิจฉา แต่ที่ฉันทนไม่ได้ที่สุดก็คือ มีข่าวลือว่าพี่เขาเป็นเกย์ ต๊ายยยยย จะเป็นไปได้ไงยะ พี่เขาออกจะเป็นสุภาพบุรุษ ดูแลฉันทุกอย่าง จะเป็นเกย์ได้ไง จนวันนึง ฉันต้องพบกับบางสิ่งที่ทำให้ฉันหน้าชา รู้สึกเหมือนมีใครเอาปังตอมาแบะหัวฉันออกเป็น 2 ซีก พูดอะไรไม่ออก ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของฉันตอนนี้คือ พี่เขากำลังจะจูบกับเพื่อนผู้ชายอีกคน ไม่ทันฟังเสียงพี่เขาเรียก ฉันวิ่งหนีสุดชีวิต ไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ ฉันหนีไปอยู่กับไอ้กิ๊ฟ เล่าทุกอย่างให้มันฟัง มันคอยปลอบใจฉันตลอด จนฉันรู้สึกดี พี่เขาก็ตามมาง้อ บอกว่าวันนั้นเขาซ้อมละคร(ลืมบอกไปว่าพี่เขาเป็นพระเอกละครเวที) พอดีว่านางเอกไม่สบาย ก็เลยซ้อมกับเพื่อนก่อน(ทำไมต้องเพื่อนผู้ชายด้วย)ฉันใจอ่อนก็เลยกลับไปคบกันเหมือนเดิม แต่ฉันก็ยังไม่ใจเขาอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะทำอะไรฉันก็คอยจับผิดเขาตลอด จนเราทะเลาะกันบ่อยมาก วันนึง พี่เขาก็มาขอหมั้นฉัน บอกว่ารักฉันมาก ไม่อยากให้เราทะเลาะกันอีก ไม่อยากเสียฉันไป ฉันทบทวนอยู่นาน ฉันจึงตัดสินใจ.............เป็นแฟนกับไอ้กิ๊ฟ
ฉันระแวงพี่เขามาตลอด แต่ฉันไม่เคยระแวงใจฉันเลย ฉันไม่รู้ว่ารักไอ้กิ๊ฟมานานเท่าไร ไม่รู้ตัวมาก่อน........
3 สิงหาคม 2550 23:49 น.
ลัม มนา
ในวันหนึ่งที่ทุกอย่างเงียบสงบ และดำเนินไปตามที่มันเคยเป็น ดวงตะวันโพล้เพล้ เวลาพลบค่ำกำลังใกล้เข้ามา ผม.......ก็ทำงานของผมตามเดิม
ผมกลับจากที่ทำงาน ก็เวลาประมาณ 17.20 น. เป็นเวลาปกติที่ผมกลับ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะมืดเร็วกว่าปกติ แต่อาจเป็นเพราะผมไม่ได้สังเกตหรือว่าเป็นเพราะความเคยชินที่จะเดินเข้าซอยเปลี่ยว ๆ ทุกวันอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามันมืดเร็วอะไรมากนัก
ผมจะต้องเดินผ่านหน้าร้านเซเว่นที่อยู่ปากซอยและก็จะแวะซื้อน้ำแข็ง เพื่อเอาไปใส่น้ำดื่มให้มันเย็นชื่นใจเป็นประจำ จนผมสนิทกับคนขายแล้วตอนนี้
ผมกลับมาถึงห้องก็ประมาณ 18.00 น.ได้ ที่ทำงานผมอยู่ไม่ไกลจากหอพักเท่าไรนัก ถึงห้องผมก็อาบน้ำ สระผม และดูทีวี ปกติ ผมจะนอนเวลา 23.00 น. ทุกวัน วันไหนที่นอนเร็ว มันก็ยังจะต้องตื่นขึ้นมาทุกที แล้วผมก็จะนอนไม่หลับ
แต่วันนี้ผมนอนปกติ คือ 23.00 น.ด้วยความซวยคืนนี้ดันเป็นคืนที่ร้อนมาก ผมทนไม่ไหวจึงลงมานอนพื้นข้างล่างเพราะพื้นจะมีความเย็นกว่าเตียงที่ผมนอน แล้วบางอย่างก็ทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมาตอนตี 2 ไฟเกือบจะทุกดวง ทุกบ้าน มืดสนิท ผมได้ยินเสียงเหมือนเสียงหวีด แต่มันจะดังสั้น ๆ เหมือนกับมีการเป่านกหวีดสั้น ๆ ดังเป็นระยะ ซึ่งผมคิดว่ามันคงอยู่ไม่ไกลจากระเบียงข้างหลังห้องผมนัก เพราะผมได้ยินเสียงชัดและดังมาก ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่มันก็ไม่หลับเพราะได้เสียงนี้มันยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ในใจคิด เซ็งเป็ดชิบ ใครมันมาเป่าอะไรวะตอนตี 2 ผมก็ยังข่มตาหลับต่ออีก การที่ผมพยายามหลับนี้ยิ่งทำให้ผมคิดไปไกล ว่ามันอาจจะเป็นเสียงนกแสก โบราณว่าได้ยินเสียงนกแสกเป็นลางไม่ดีจะมีคนตาย ผมเคยได้ยินแม่ผมพูด ตอนเด็ก ๆ จากนั้นผมก็กลัวมาตลอด แล้ววันนี้ดันมาได้ยินกับตัวเอง กูจะทำยังไงดีวะเนี้ยะ (คิดในใจ) ยิ่งหลับตายิ่งหลอน โอย เมื่อไรจะหยุดร้องสักที ทำไมกูต้องมาซวยได้ยินด้วยวะเนี้ย นี่กูกำลังจะตายหรือเปล่า หรือว่าจะมีใครตาย คนอื่นในหอไม่เห็นมีใครออกมาเดือดร้อนเลยวะ หรือว่ากุได้ยินอยู่คนเดียว เอาแล้ว กูยังไม่ได้ทดแทน บุญคุณพ่อแม่เลย
แฟนกูก็ยังไม่มี สาธุ อย่าเพิ่งให้ลูกช้างตายเลย อย่ามีญาติพี่น้องของผมตายเลย
ผมกลั้นใจ เปิดไฟหลังห้องออกมาดู แล้วก็ไม่พบอะไร แต่เสียงนั้นก็ยังไม่หยุดไป ผมจึงคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก จึงกลับมานอนเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่หลับอยู่ดี
พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็น บางสิ่งที่อยู่บนผ้าเช็ดเท้าหลังห้อง ผมมองมันไม่ชัดหรอก มันมืด ผมเห็นเป็นเงา ๆ ขยับอยู่บนผ้าเช็ดเท้า จอร์จ มันอะไรอีกวะเนิ้ยะ นอกจากเสียงนกแสก กูยังจะโดนอะไรอี๊ก............ผมเพ่งสายตาอยู่นาน
ในก็คิดไปว่าหรือว่าจะเป็นงู เพราะลักษณะไม่คล้ายกับคน คงไม่ใช่ผีหรอก ผมนิ่งไปอยู่นาน เพราะผมคิดว่าเป็นงูแน่นอน ผมกลัวว่าผมขยับแล้ว งูจะมาฉกผม แล้วผมนอนคนเดียวด้วย ถ้ากูตายนี้ ศพคงขึ้นอืดแล้วกว่าคนจะมาเห็น โอย ใครก็ได้ช่วยที ผมเกร็งจนเมื่อยแล้วเนี้ยะ ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดไป เมื่อผมลุกขึ้นไป มือก็เอื้อมไปเปิดไฟ แล้ว...........แล้ว...............ผมก็ตื่น เฮ่อ กูฝัน เซ็งเป็ดหว่ะ เหนื่อยชิบหาย ตื่นสายอีก ไปทำงานไม่ทันแว้ววววววววววววว
25 กรกฎาคม 2550 20:48 น.
ลัม มนา
เฮ้ย!!!!! ไอ้น้อง
เสียงหนึ่งเรียกมาจากข้าง ๆ รถของบดินทร์ ขณะที่ติดไฟแดงอยู่ เขาหันไปตามเสียง พบกับเด็กหนุ่ม
น่าจะอายุประมาณ 20 เศษ ๆ ได้ และมีคนซ้อนที่เป็นผู้หญิง น่าจะอายุน้อยกว่าเด็กหนุ่มไม่กี่ปี
"เมื่อกี้เนี้ยะ มึงขับรถเฉี่ยวมอไซค์กู มึงคิดว่ามึงรวย แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ" เด็กหนุ่มพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
บดินทร์ไม่พูดต่อ พยายามจะเอาความเงียบเข้าสงบ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่หยุด
เขายังพูดต่อ " พ่อ แม่ มึงสั่งสอนให้มึงทำอย่างนี้เหรอ มึงลงมาเคลียร์กับกูเลย
ไอ้สัตย์ ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย ไอ้ห่า......." เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เมื่อไฟเขียวขึ้น บดินทร์จึงรีบออกรถอย่างเร็วเพื่อจะหนีให้พ้นกับเด็กหนุ่มอันธพาลคนนี้ ซึ่งตอนนี้บดินทร์เองก็มีความรู้สึกว่าจะอดทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันจึงรีบออกรถ เพื่อไม่ให้อารมณ์ฉุนมากกว่าเดิม ทันนั้น รถมอเตอร์ไซค์ของเด็กหนุ่มก็เร่งออกตัวมาด้วยความเร็วเช่นกัน ไม่ทันคิด รถมอเตอร์ไซค์เสียหลักพุ่งมาขวางหน้ารถของบดินทร์ ซึ่งมันเกิดขึ้นเร็วจนเขาไม่มีสติ ที่จะเหยียบเบรก
ตู้ม!!!!!!!!!!!!