22 ตุลาคม 2551 01:23 น.

โลก

ลักษมณ์

-โลก
-ต่อให้น้ำท่วมหมดทั้งโลกในวันนี้ หรือในอีก 2 พันปีข้างหน้า โลกก็จะยังไม่แตก
-หากแต่น้ำจะท่วมแผ่นดินส่วนหนึ่งของโลกในอีก 2 - 5  ปี ข้างหน้า
-หากแต่น้ำจะท่วมแผ่นดินส่วนหนึ่งของโลกในอีก 30 ปี ข้างหน้า
-อาจเป็นเพียงเรื่องสั้นที่ผู้ทรงอภิญญาและผู้ทรงวิทยาศาสตร์มองเห็น และเป็นจริง
-เพราะโลกจะต้องแตกในปี  ๕๐๐๐  เท่านั้น
-นั่นไม่ใช่เพื่อจะต้องให้เป็นไปตามพุทธทำนาย
-หากแต่เป็นเพียงสิ่งที่สมณโคดมพระพุทธเจ้าทรงเห็นและได้ตรัสไว้
.....................................................................................................................

ปกิณกะธรรม

สมชาย - ป๊อก มานั่งใกลๆ ผมนี่ ผมมีอะไรจะบอก
บิ๊กป๊อก - จะลาออกแหงๆเลย!
สมชาย - ผมไม่ลาออก ไม่ยุบสภา! 
ฮ่า...ฮ่า...แค่หลอกให้มานั่งใกล้ๆ เอง

http://manager.co.th/Pjkkuan/ViewNews.aspx?NewsID=9510000124836

บิ๊กป๊อก - ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมลาออกไปแล้ว
สมชาย - ถ้าผมเป็น ผบ.ทบ. ผมลาออกไปแล้ว

http://manager.co.th/Pjkkuan/default.html
...................................................................
  มีคนบอกว่าพวกเราเหนื่อยเปล่า 
       
       บางคนปรามาสว่าพวกเราไม่มีทาง
       ชนะ
       
       หลายคนถามว่าเป้าหมายของพวก
       เราอยู่ที่ใด
       
       แล้วในที่สุดความจริงแห่งกรรมก็ปรากฏ
       
       .... ..... ไม่เพียงพ่ายแพ้
       แก่พวกเรา หากความฉ้อฉลคดโกง
       ของทรราชเช่นเขา ยังปราชัยอย่าง
       สิ้นเชิงต่อคุณงามความดี...
       
       2 ปี จะช้าจะเร็วไม่สำคัญ
       
       กี่เดือนกี่ปีพันธมิตรประชาชนเพื่อ
       ประชาธิปไตยไม่ย่อท้อหวาดหวั่น
       
       เนื่องเพราะผลลัพธ์อันสำคัญเหนือ
       พรรณนา คือ ........


       บก.ผู้จัดกวน : เรียนท่านผู้อ่านเหตุที่กอง บก. ต้องพาดหัวใหญ่ขนาดนี้ก็เพื่อความสะใจ เพราะหลังจากต่อสู้และรอคอยมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ .... ..... ถูกพิพากษาให้ติดคุก เราจึงขออนุญาตผู้อ่านพาดหัวขนาดมโหฬารสักวัน ส่วนเนื้อข่าวกรุณาไปหาอ่านที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นเอาเอง.

คำเตือน
ทีมงานผู้จัดกวน...ขอยืนยัน-นั่งยัน-นอนยัน ว่าเนื้อหาทั้งหมดภายในหมวดเป็นเรื่องสมมติขึ้นทั้งสิ้น หากชื่อหรือสถานการณ์ใดๆ ไปพ้องกับใครเข้า เราจะไม่ยอมรับผิดชอบอย่างเด็ดขาด 

http://manager.co.th/Pjkkuan/ViewNews.aspx?NewsID=9510000125405
...................................................................

มีรถจอดรออยู่
ที่หน้าประตูรัฐสภา
รับส่งนักการเมืองชั่วเข้าคุก
เต็มออกๆ ไม่อั้น

จบปกิณกะธรรม				
1 ตุลาคม 2551 10:01 น.

เรื่องสั้นอันยาวไกล “การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไช การเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย” / ประเวศ วะสี (ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส) cool !!

ลักษมณ์

การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไช การเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย / ประเวศ วะสี 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 กันยายน 2551 15:00 น. 
 
 
  
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส 
 
 
               การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไชเป็นที่เอือมระอาน่ารังเกียจเบื่อหน่ายแก่ผู้รู้เห็นทั้งแผ่นดิน จึงพากันพูดถึงการเมืองใหม่ คนไทยทุกภาคส่วนทุกองค์กร ควรเคลื่อนไหวทำความเข้าใจว่าการเมืองใหม่ที่เป็นอารยะประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร
       
       
       ในการมองระบบการเมืองเก่าและใหม่ ควรมองทั้งระบบเหมือนมองคนทั้งคน จะไปมองเฉพาะอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่ได้ การมองทั้งระบบต้องมองทั้งที่เป็นนามธรรม (จิต) รูปธรรม รูปลักษณ์ การทำหน้าที่ และผลลัพธ์
       
       ก. เปรียบเทียบการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ ตารางข้างล่างสรุปเปรียบเทียบการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ และขยายความดังต่อไปนี้
         
7 ข้อ >การเมืองเก่าแก่หนอนชอนไช / การเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย 

1.  จิตสำนึก > หีนจิต / จิตสำนึกแห่งความเป็นคน 
2.ลักษณะสังคม >สังคมปิด อำนาจนิยม / สังคมเปิด สังคมธรรมนิยม 
3.บทบาทประชาชน > เลือกตั้งอย่างเดียว ขาดจิตสำนึกและความมีส่วนร่วมทางการเมือง / มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมทางการเมืองสูงนำการเลือกตั้ง 
4.องค์กรทางการเมือง >อัปลักษณ์ / ศุภลักษณ์ 
5.หน้าที่ขององค์กรทางการเมือง >แสวงหาประโยชน์ / ทำประโยชน์ 
6.ลักษณะการทำงานองค์กรทางการเมือง > ขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่โปร่งใส มิจฉาพัฒนา/ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนส่งเสริมความเข้มแข็งของกระบวนการยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้สัมมาพัฒนา 
7.ผลลัพธ์ > ประชาชนไม่หายจนขาดความเป็นธรรมขัดแย้งสูง ความรุนแรง / แก้ความยากจนได้มีความเป็นธรรม สมานฉันท์สันติภาพ 

       (๑) จิตสำนึกประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องมีรากลึกอยู่ในจิตสำนึกที่ดีงาม จะมีแต่กลไกไม่ได้ คนเราต้องมีจิตสำนึกแห่งศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน
       เคารพความถูกต้องดีงาม มีคุณธรรมจริยธรรม ไม่ใช่มีหีนจิตหรือจิตคับแคบต่ำทรามม
       มีอกุศลมูลที่เป็นตั้งอันเป็นบ่ออเกิดของการเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไช
       
       (๒) ลักษณะสังคมประชาธิปไตย เป็นสังคมเปิด เป็นสังคมธรรมนิยม ใช้ความรู้ ใช้เหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่สังคมปิดและสังคมอำนาจนิยม ซึ่งเป็นเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย
       
       (๓) ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง ระบอบเผด็จการจะปิดบทบาททางการเมืองของประชาชน ให้มีแต่การเลือกตั้งจอมปลอม ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองสูงและมีส่วนร่วมทางการเมืองในการกำหนดนโยบายทิศทางการพัฒนา
       และตรวจสอบอำนาจรัฐทุกระดับ การเมืองภาคประชาชนต้องเป็นวิสัยของระบอบประชาธิปไตย
       
       (๔) องค์กรทางการเมือง ในการเมืองเก่าที่เน่าหนอนชอนไช องค์กรทางการเมืองเป็นองค์กรอัปลักษณ์ ประกอบด้วยเสือสิงห์กระทิงแรดอันธพาล คนขี้คุกขี้ตะราง ขาดความรู้ ขาดความสุจริตและการอุทิศเพื่อบ้านเมือง เพราะถูกบงการโดยคนคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ เป็นคณาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ในระบอบอารยะประชาธิปไตย องค์กรทางการเมืองต้องเป็นองค์กรศุภลักษณ์ ไม่ใช่องค์กรอัปลักษณ์
       
       (๕) หน้าที่ขององค์กรทางการเมือง ในการเมืองเก่าเป็นองค์กรแสวงประโยชน์ ในการเมืองใหม่เป็นองค์กรทำประโยชน์
       
       (๖) ลักษณะการทำงานขององค์กรทางการเมือง
       ในการเมืองเก่าจะขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่โปร่งใส ปิดบังการตรวจสอบ พัฒนาผิดๆ หรือมิจฉาพัฒนา ในการเมืองใหม่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมความเข้มแข็งของกระบวนการยุติธรรม มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทำการพัฒนาที่ถูกต้อง หรือสัมมาพัฒนา
       
       (๗) ผลลัพธ์ของการเมืองเก่ากับใหม่ เนื่องจากการเมืองเก่านำไปสู่มิจฉาพัฒนา จึงแก้ความยากจนของประชาชนไม่ได้ ขาดความเป็นธรรม นำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง ส่วนการเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตยนำไปสู่สัมมาพัฒนา ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข แก้ความยากจนได้ สร้างความเป็นธรรม จึงนำไปสู่สมานฉันท์และสันติภาพ
       
       ที่กล่าวข้างต้นเป็นตัวอย่างของการมองการเมืองใหม่ทั้งระบบ โดยยังไม่ได้ลงไปสู่กลไกขององค์กรทางการเมือง ควรจะระดมความคิดกันอย่างกว้างขวางว่าการเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตยนั้นคืออย่างไร ควรเริ่มด้วยจินตนาการใหญ่ ซึ่งจะให้พลังมาก อย่าลงไปสู่กลไกเร็วเกินไปซึ่งจะทำให้แคบ
       
       ข. คนไทยทุกภาคส่วนร่วมสร้างการเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย
       
       
       คนไทยเป็นคนดี แต่ระบบการเมืองเก่าที่เน่าหนอนชอนไช ทำให้บ้านเมืองเศร้าหมอง หมดสง่าราศี เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและวิกฤตมากขึ้นๆ ทุกๆ ทาง ถึงเวลาที่คนไทยทั้งมวลจะต้องลุกขึ้นจับมือกันสร้างความความเป็นอารยะประชาธิปไตย
       
       คนไทยทุกภาคส่วน ทุกองค์กร ต้องเคลื่อนไหวคุยกันว่าอารยะประชาธิปไตยนั้นคืออย่างไร ควรมีการสื่อสารทุกรูปแบบให้มีความตื่นตัวทางการเมือง การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มน้อยอีกต่อไป การเมืองต้องเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน เมื่อประชาชนมีจิตสำนึกทางการเมืองสูงเคลื่อนไหวรวมตัวสถาปนาอารยะประชาธิปไตย ขบวนการมหาประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเป็นกรอบหรือระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้รัฐธรรมนูญและองค์กรทางการเมืองเป็นประชาธิปไตย
       
       ประชาธิปไตยไม่ได้เกิดจากนักการเมือง ประชาธิปไตยเกิดจากประชาชน ประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ นักการเมืองเป็นผู้ปฏิบัติตามกรอบที่ประชาชนวางไว้และกำกับให้มีความถูกต้อง ควรระดมความคิดว่าองค์กรทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยได้มาอย่างไร
       จึงจะเป็นองค์กรศุภลักษณ์ การเมืองภาคประชาชนเป็นปัจจัยชี้ขาดให้การเมืองมีคุณภาพ
       
       ศิลปินทั่วประเทศควรเข้ามารณรงค์สร้างจินตนาการและจิตสำนึกประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยทั้งหมด นิสิตนักศึกษาทั้งหมด ผู้ใช้แรงงาน องค์กรภาคธุรกิจ สื่อมวลชนทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรทางการแพทย์และสาธารณสุข แม่บ้าน และคนไทยอื่นใดที่ต้องการเป็นความผาสุกในบ้านเมือง ต้องร่วมรณรงค์อารยะประชาธิปไตย
       
       วงการการแพทย์และสาธารณสุขทั้งหมดต้องถือว่าเรื่องอารยะประชาธิปไตยเป็นกรอบใหญ่ของสุขภาพสังคม เพราะการเมืองเก่าที่เน่าหนอนชอนไช เป็นเครื่องบ่อนทำลายสุขภาวะของประชาชนที่ร้ายแรงที่สุด ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา ถ้าการเมืองขาดศีลธรรม มหาชนชาวสยามจะมีความผาสุกได้อย่างไร ฉะนั้นมวลมหาประชาคมทางสาธารณสุขทั้งหมด ควรทุ่มกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ เคลื่อนไหวสนับสนุนให้ประชาชนสถาปนาอารยะประชาธิปไตย
       
       การเคลื่อนไหวเพื่ออารยะประชาธิปไตย ควรมีความหลากหลาย หลายรูปแบบ หลายระดับ หลายผู้นำ แต่เมื่อเคลื่อนไหวไปๆ อะไรที่เป็นสัจจะและความถูกต้องก็จะเข้ามาเชื่อมกันเอง อะไรที่ไม่ใช่ของจริงของแท้ก็จะตกหล่นไปตามทาง อะไรที่เป็นกระบวนการสาธารณะจะทำให้เห็นแก่ตัวได้ยาก
       
       พลังแห่งการรวมตัวของมหาชนจะยุติความชั่วร้ายทั้งปวง เมื่อประชาชนสถาปนาระบอบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญและองค์กรทางการเมืองทั้งหลายก็จะเป็นระบบภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของมวลชน เกิดศีลธรรมทางการเมือง
       
       เมื่อการเมืองเป็นอารยะประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ศีลธรรม ความเจริญ ความเข้มแข็ง ความผาสุก ก็จักเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา
       
       คนไทยทั้งมวลจึงต้องรณรงค์สร้างอารยะประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการที่ใจกว้าง รวมคนทั้งหมดเข้ามาด้วยกัน ไม่แยกข้างแยกขั้ว ไม่มีการโค่นล้มอะไร เพราะเป็น การสร้าง เหมือนการสร้างบ้านที่สวยงามน่าอยู่ที่ทุกคนร่วมกันสร้าง
       
        
       ระบอบอารยะประชาธิปไตยคือบ้านของเรา ที่เราจะอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก.-
 
 http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=951000011431				
8 สิงหาคม 2551 19:41 น.

๏ เปิดทีวีดูโอลิมปิกจีน ๏ Beijing 2008 One World One Dream

ลักษมณ์

เปิดทีวีดูโอลิมปิกจีน 
 
โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 6 สิงหาคม 2551 16:38 น. 
 
 
       นับเวลาถอยหลังได้แล้วครับ สำหรับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกปักกิ่ง 2551 ซึ่งเป็นโอลิมปิกที่ได้รับการประท้วงยืดเยื้อยาวนานที่สุดก็ว่าได้ในกรณีทิเบต ซึ่งผู้ประท้วงหลายคนยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนในโลก
       
        นอกจากเรื่องทิเบตแล้ว จีนยังโดนข้อครหาว่า ปักกิ่งเป็นนครที่มีมลพิษจนกีฬาบางประเภทอาจต้องเลื่อนจัดเป็นบางวันด้วยซ้ำ แต่ทางการจีนก็ได้วางมาตรการเข้มข้นไว้หลายอย่างตั้งแต่ให้โรงงานหยุดเดินเครื่องจักร จำกัดไม่ให้รถยนต์วิ่งในปริมาณที่มากเกินไป และเริ่มรณรงค์แก้ปัญหามลพิษมาเป็นแรมปี
       
        จีนถือว่าโอลิมปิกเป็นเรื่อง ศักดิ์ศรี และ ความภาคภูมิใจของชาวจีน
        และชูคำขวัญว่า โลกเดียวกัน ความฝันเดียวกัน สำหรับคนทั้งโลก
        โอลิมปิกครั้งนี้ประมาณว่า เฉพาะพิธีเปิดจะมีคนดูมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก
       
        ประเทศจีนได้ใช้กีฬาโอลิมปิกเป็นสัญลักษณ์อันชอบธรรมที่จะประกาศถึงความยิ่งใหญ่ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และกีฬา ในฐานะที่จีนได้ผ่านพ้นยุคสมัยแห่งการมืดมนมาสู่ยุคแห่งการพัฒนาจนประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้านด้วยกัน และมันเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านโดยสันติ
       
        แน่นอนว่า จีนหวังว่าจะครองเจ้าแห่งกีฬาโอลิมปิก แม้ว่าอเมริกาจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญในการแข่งโอลิมปิกที่เอเธนส์ จีนมาเป็นที่สองตามหลังสหรัฐอเมริกา โดยได้เหรียญน้อยกว่า 40 เหรียญ
       
        จีนเก่งในการรับรองแขกอยู่แล้ว และจะชนะใจในการรับรองนักกีฬา รวมทั้งสื่อมวลชนจากทั่วโลก แม้ว่าจีนเกรงว่าอาจมีนักกีฬาบางคนอาจจะขึ้นแท่นแล้วทำการประท้วงจีนด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้อับอายไปทั่วโลกได้
       
        เมืองปักกิ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากพอควรเพื่อรองรับมหกรรมการกีฬาในคราวนี้ เฉพาะอย่างยิ่งมีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 1.7 พันล้านตารางฟีต และโรงแรมสร้างใหม่อีก 110 แห่ง สนามบินได้รับการปรับโฉมใหม่ พร้อมกับสนามกีฬาที่โอฬาร
       
        พิธีเปิดจะเริ่มสองทุ่มแปดนาที วันที่ 8 สิงหาคม
        แน่นอนการรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวด แม้กระทั่งกลุ่มผู้กระทำประท้วง ทางการจีนก็จัดสถานที่ให้ประท้วงได้อย่างเสรีที่สวนสาธารณะ ซึ่งนับว่าเป็นการจัดหาที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก
       
        ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะโตเร็ว
        แต่ก็ยังมีปัญหาให้รัฐบาลจีนต้องแก้ไขอีกมาก
        เช่น ปัญหาสังคมที่หลากหลาย รวมทั้งช่องว่างของรายได้ที่ต่างกันมาก คนยังจนดักดานในชนบทที่ห่างไกลและทุรกันดาร รวมทั้งยังมีนโยบายให้ประชากรมีลูกคนเดียว และการเลือกให้สตรีทำแท้งได้
       
        ปัญหาผลกระทบของสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาระดับชาติ และมาจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว โดยไม่ได้รับการควบคุมที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งจะมีผลต่อกีฬาโอลิมปิก จนกล่าวกันว่านักกีฬาอาจต้องรับอากาศที่สกปรกที่สุดก็ได้ เว้นแต่ว่าทางการจีนจะดำเนินมาตรการเด็ดขาดได้ทันท่วงที
       
        เพื่อช่วยให้ชั้นบรรยากาศปรับสภาพได้ดี จีนจึงยิงปืนต่อสู้อากาศยาน โดยใช้สารละอองฝนขึ้นไปบนฟ้าเพื่อชะล้างหมอกควันวันละหลายรอบ
       
        จีนพยายามเต็มที่ในการแก้ปัญหาภาคมลพิษในอุตสาหกรรมหลัก โดยรัฐบาลกลางพยายามควบคุมทั้งในจังหวัด, ภาค และโรงงานในท้องถิ่น โดยเจ้าหน้าที่รายงานอย่างละเอียด
       
        ในแง่การเติบโตด้านประชาธิปไตยหรือ? 3 ปีที่แล้วในรายงานต่อสภาแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาได้กล่าวถึง ประชาธิปไตย ถึง 61 ครั้ง ทำให้มีการวิจารณ์ว่า น่าจะมีการเปิดทางให้กับการปรับประเทศสู่เสรีนิยมทางการเมืองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้บ้างแล้ว
       
        แน่นอนว่าสัญญาณนี้ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด และตัวช่วยเท่าที่มีอยู่ และง่ายที่สุดก็น่าจะได้แก่ การเปิดใช้อินเทอร์เน็ตให้กว้างขวางขึ้นในหมู่นักศึกษาปัญญาชน และประชาชนทั่วๆ ไป
       
        2-3 ปีที่ผ่านมา อินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน อย่างน้อยก็โตขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2007 หรือเมื่อปีที่แล้ว
       
        แม้ว่าอินเทอร์เน็ตเหมือนดาบสองคม แต่มันก็เปิดโลกให้กับชาวจีนได้ทราบถึงความเป็นไปในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง และรู้ตำแหน่งแหล่งที่ของจีนในสายตาของคนทั้งโลก
       
        แน่นอนว่ามันมีผลกระทบต่อพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเวลานี้ควบคุมระบบการสื่อสารอยู่ แต่คนหนุ่มสาวชาวจีนทุกวันนี้ต่างก็ใช้ระบบออนไลน์ โดยคนกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตอายุต่ำกว่า 30 ปี และคนจีนนั้น มักจะทิ้งการใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเดิมๆ ในประเทศ โดยหันไปพึ่งข้อมูลจากเน็ตมากกว่า
       
        85 เปอร์เซ็นต์ ของคนใช้เน็ตกล่าวว่า เวลานี้พวกเขาใช้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
        รัฐบาลเองก็พยายามหาทางดูว่าจะตรวจสอบการใช้ข้อมูลของประชาชนเช่นกัน เพราะว่าการใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องผ่าน Great Firewall of China ทั้งสิ้น โดยจีนได้ทำบัญชีดำนับหมื่นของ URLs ไว้ด้วย
       
        นี่คือแบ็กกราวนด์ของการเมืองในภาคสังคม และภาคประชาชนในโอลิมปิกครั้งนี้ ซึ่งคนจีนหวังว่าขณะมีกีฬาโอลิมปิกทางการคงจะไม่เข้มงวดกับประชาชนมากนักเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศจีน
       
        โอลิมปิกในปักกิ่งจะเป็นตำนานไปอีกนาน และจะอยู่ในความทรงจำของชาวจีนในฐานะที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ
       
        แน่นอนว่า การแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญเท่ากับการ เข้าร่วม และการ มีสปิริต เพื่อการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ใช่กับผู้อื่น แต่เป็นการแข่งขันกับตัวเอง
       
        ประเทศจีนก็เช่นกัน กำลังแข่งขันกับตัวเองในฐานะประเทศเจ้าภาพ
        เปิดทีวีดูการถ่ายทอดสด และสนุกกับกีฬาครับ
        เท่านี้คุณก็มีส่วนร่วมและเป็นหนึ่งกับความฝันเดียวกัน.

 
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000092794

http://manager.co.th				
21 กรกฎาคม 2551 00:01 น.

ห้ามปิดประกาศ (พันธมิตรฯ ประกาศตั้ง “คณะ กก.พลังแผ่นดิน” รวมพลัง ขรก.-ทหาร-ตร.ปกป้องชาติและราชบัลลังก์)

ลักษมณ์

พันธมิตรฯ ประกาศตั้ง คณะ กก.พลังแผ่นดิน รวมพลัง ขรก.-ทหาร-ตร.ปกป้องชาติและราชบัลลังก์ 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2551 18:41 น. 
 
 
 
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 
 

 
 
 
  
       ประกาศพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       ฉบับที่ 5/2551
       เรื่อง
       การจัดตั้ง คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       
       

       ตามที่ พันธมิตรประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั่วประเทศ ได้ลุกขึ้นสู้เพื่อเอาประเทศไทยของเราคืนมา พิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โค่นระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดนั้น ประชาชนวงการต่างๆ ได้เข้าร่วมการต่อสู้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
       
       บัดนี้ ได้มี ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และพนักงานของรัฐได้ก่อตัวขึ้นสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในทุกส่วนราชการ ดังนั้น เพื่อให้การปรับขบวนการต่อสู้ให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการพลังแผ่นดิน ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังนี้
       
       1. คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้มีองค์ประกอบของข้าราชการทั้งในและนอกราชการ ตลอดจนพนักงานของรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานของรัฐ และอาสาสมัคร
       
       2. คณะกรรมการพลังแผ่นดิน มีอุดมการณ์สืบสานเจตนารมณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในส่วนของการปกป้องราชบัลลังก์ รักษาพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ปกป้องเอกราชและอาณาเขต และรักษาผลประโยชน์ของชาติ
       
       3. คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีภารกิจดังต่อไปนี้
       
                 3.1 ขยายพันธมิตรเครือข่ายในส่วนของข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และพนักงานของรัฐทั้งในประจำการและนอกประจำการ ตลอดจนอาสาสมัครให้มากที่สุด
       
                 3.2 เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร แก่ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และพนักงานของรัฐทั้งในประจำการและนอกประจำการให้กว้างขวางมากที่สุด
       
                 3.3 ช่วยปกป้องดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่าที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ให้มีความปลอดภัยในร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน ตลอดจนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกรูปแบบ
       
                 3.4 แจ้งข้อมูลข่าวสาร การขายชาติ การทุจริต และการเคลื่อนไหวของพวกขายชาติ และพวกฉ้อโกงชาติ แก่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งแจ้งกำหนดการเคลื่อนไหวให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทราบทุกระยะ
       
                3.5 กระทำการอารยะขัดขืนในหน่วยงานราชการ และองค์กรของรัฐต่อฝ่ายการเมืองที่ฉ้อฉล และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       
                 3.6 ค้นคว้าและเสนอแนะการพัฒนา แก้ไขหน่วยงานในสังกัด จัดเตรียมรายชื่อบุคลากรที่เป็นคนดีมีฝีมือ ในหน่วยงานเพื่อส่งเสริมให้มีอำนาจในบ้านเมืองในอนาคต
       
                 3.7 สนับสนุนการเมืองใหม่ที่ให้ความสุข ความยุติธรรม กับประชาชนชาวไทย ให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดไป
       
       4.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีมติเรียนเชิญ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เป็น ประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อดำเนินการตามอุดมการณ์และภารกิจข้างต้น และมอบหมายให้เชิญบุคลากรที่เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมกับ คณะกรรมการพลังแผ่นดิน ต่อไป
       
       ประกาศ ณ วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
       
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 
 
 
 http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000085246				
20 กรกฎาคม 2551 03:00 น.

คำประกาศที่ท้าทายมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย (มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางที่อยู่ข้างธรรม)

ลักษมณ์

คำประกาศที่ท้าทายมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย 
 
โดย สิริอัญญา  17 กรกฎาคม 2551 18:53 น. 
 

 ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงเสด็จไปดีแล้ว ทรงมอบพระธรรมวินัยและพระสงฆ์สาวกเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก
       
        วันนี้เป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันเข้าพรรษา และล่วงพ้นวันอาสาฬหบูชามาแล้ว 1 วัน ดังนั้นจึงยังคงประกาศพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นต่อไปอีกวันหนึ่งตามที่ได้ตั้งใจไว้เดิม
       
        และวันนี้จะได้แสดงในหัวข้อเรื่อง คำประกาศที่ท้าทายมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
       
       การแสดงปฐมเทศนาของพระตถาคตเจ้าคือการประกาศสถาปนาพระพุทธศาสนาขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก ทำให้พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นครบถ้วนเป็นครั้งแรกในโลก
       
       เมื่อทรงประณามและโค่นความติดยึดผิดๆ ในสังคมเก่า คือความติดยึดและหมกมุ่นอยู่ในทางสุดโต่งทั้งสองทาง คือทางสายตึงกับทางสายหย่อนแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ประกาศการเมืองใหม่ คือทางสายกลาง หรือที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่ามัชฌิมาปฏิปทา
       
       ทรงประกาศว่าทางสุดโต่งทั้งสองทางเป็นสิ่งที่ไม่ควรติดยึดข้องแวะเป็นอันขาด เพราะไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น ไม่ใช่ทางแห่งความรู้อันประเสริฐของมวลมนุษย์ ไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์ และไม่ใช่ทางอันเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเหล่าสัตว์
       
       นั่นคือการทรมานตนด้วยวิธีการใดๆ ก็ดี การเสพสุขอย่างเสรีแบบฉวยโอกาสแบบพวกริบบิ้นขาวก็ดี เป็นหนทางอันต่ำช้า ไม่ใช่หนทางอันประเสริฐในพระธรรมวินัยแห่งพระอริยเจ้า
       
        จากนั้นก็ทรงประกาศว่ามัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางคือหนทางอันประเสริฐที่จะล่วงทุกข์หรือดับทุกข์สิ้นเชิงได้ เป็นทางรอดของมวลมนุษย์ทั้งหลาย 
       
       ทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงประกาศนั้นมิใช่การอ้างความเป็นกลางแบบฉวยโอกาสหรือการถือลัทธิตาอยู่ที่เจ้าเล่ห์แสนกลและปลิ้นปล้อนเพื่อฉกฉวยโอกาสจากความวิบัติฉิบหายทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ตน
       
       มิใช่ความเป็นกึ่งกลางระหว่างตัวเลขทางคณิตศาสตร์ มิใช่ความเป็นกึ่งกลางระหว่างสีดำกับสีขาว หรือความผิดกับความถูก หรือความชั่วกับความดี และมิใช่ความเพิกเฉยไม่ไยดีกับความชั่วช้าเลวทรามใดๆ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า และมิใช่ความยอมจำนนต่ออธรรม ต่อการข่มเหงรังแกและการกดขี่ขูดรีดทั้งปวง
       
       นั่นไม่ใช่ทางสายกลาง นั่นเป็นลัทธิยอมจำนน ลัทธิฉวยโอกาส หรือลัทธิเจ้าเล่ห์กระเท่ห์ที่ปลิ้นปล้อนหลอกลวงเท่านั้น
       
        ทรงประกาศอย่างองอาจว่าทางสายกลางประกอบด้วยองค์แปดคือสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทั้งแปดประการนี้ประดุจดั่งเชือกแต่ละเส้นที่ร้อยเกลียวกันเป็นเชือกเส้นใหญ่อันประกอบขึ้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา 
       
       องค์ทั้งแปดแห่งมัชฌิมาปฏิปทานั้นคือความเห็นหรือความยึดถือชอบ ความดำริชอบ การกล่าววาจาชอบ การกระทำชอบ การประกอบอาชีพโดยชอบ ความพยายามโดยชอบ การรำลึกโดยชอบ และความมีจิตตั้งมั่นโดยชอบ
       
       คือมีความชอบหรือความถูกต้องอยู่ทุกองค์แห่งอริยมรรค แต่การใช้คำว่า ชอบ หรือ ความถูกต้อง ในทุกองค์แห่งอริยมรรคนั้น ท่านผู้รู้บางท่านโดยเฉพาะพระภิกษุฝรั่งที่เป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ชาเคยแปลว่าคำว่า สัมมา ว่าไกลจากกิเลส
       
       และด้วยคำแปลนี้ก็จะมีความหมายอีกทางหนึ่งว่าอริยมรรคอันมีองค์แปดนั้นคือความเห็นที่ไกลจากกิเลสหนึ่ง ความดำริที่ไกลจากกิเลสหนึ่ง การกล่าววาจาที่ไกลจากกิเลสหนึ่ง การกระทำที่ไกลจากกิเลสหนึ่ง การประกอบอาชีพที่ไกลจากกิเลสหนึ่ง ความพยายามให้ไกลจากกิเลสหนึ่ง ความระลึกอันไกลจากกิเลสหนึ่ง และความมีจิตที่ไกลจากกิเลสอีกหนึ่ง ถ้าแปลอย่างนี้ก็อาจเข้าใจได้ง่ายขึ้น
       
        จะเลือกแปลอย่างไหนก็สุดแท้แต่อัชฌาสัย ขอเพียงให้เข้าใจคำว่า สัมมา ให้ตรงกันว่ามีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า สัมมา ในคำที่ประกอบกันเข้าเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเถิด
       
       ดังนั้นองค์ทั้งแปดแห่งอริยมรรคจึงมิใช่ความเป็นกลางทางคณิตศาสตร์ มิใช่ความเป็นกลางแบบฉวยโอกาส หรือความเพิกเฉยด้วยการยอมจำนน หรือการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ต้องเริ่มต้นด้วยความถูกต้อง ความชอบ หรือความไกลจากกิเลสคือ สัมมา ทั้งสิ้น
       
       เมื่อทรงประกาศประณามซากเน่าผุพังของความติดยึดในความเห็นสุดโต่งทั้งสองทาง และทรงประกาศทางสายกลางคือมัชฌิมาปฏิปทาแล้ว ก็ทรงประกาศอริยสัจสี่ที่ทรงค้นพบ
       
        ทรงประกาศว่าความจริงอันประเสริฐสุด 4 ประการ เป็นเรื่องที่เวไนยสัตว์ทั้งปวงพึงทำความรู้ พึงทำความเข้าใจ และพึงประพฤติปฏิบัติเพื่อความล่วงทุกข์ เพื่อความถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อความดับทุกข์ และเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ดังนี้แล้วก็จะเป็นเวไนยสัตว์ที่ประเสริฐ ไม่เสียทีที่เกิดมาชาติหนึ่ง
       
       ทรงประกาศว่าทุกข์อริยสัจคือความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ โดยสรุปก็คือความติดยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นทุกข์
       
        ทรงประกาศว่าสมุทัยอริยสัจอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือความทะยานอยากทำให้มีภพ เป็นไปด้วยความกำหนัด ด้วยความเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใคร่หรือความทะยานอยากในความอยากมี อยากเป็น หรือความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น หรือทั้งความอยากและไม่อยากใดๆ นี่แหละเป็นเหตุแห่งทุกข์
       
       ทรงประกาศว่านิโรธอริยสัจหรือความดับทุกข์สิ้นเชิงนั้นมีอยู่ คือความดับสิ้นไปแห่งความกำหนัดโดยไม่เหลือตัณหาใดๆ ความสละตัณหา ความวางตัณหา ความปล่อยตัณหาและความไม่พัวพันในตัณหา คือความดับสนิทแห่งทุกข์
       
       ทรงประกาศว่าอริยมรรคก็คือหนทางแห่งความดับทุกข์สิ้นเชิงก็มีอยู่ นั่นคืออริยมรรคอันมีองค์แปดนั่นเอง
       
        พระพุทธองค์ทรงประกาศว่าทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แล้ว ทรงมีปัญญาเกิดขึ้น ทรงมีวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ทรงมีความสว่างเกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยฟังมาก่อนว่าทุกข์อริยสัจเป็นอย่างนี้ ว่าทุกข์อริยสัจเป็นสิ่งที่พึงกำหนดรู้ และทรงกำหนดรู้ทุกข์อริยสัจนั้นแล้ว
       
       ทรงประกาศว่าสมุทัยอริยสัจนั้นทรงกำหนดรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร และเป็นเรื่องที่ควรละให้สิ้นเชิง และทรงละได้สิ้นเชิงแล้ว
       
       ทรงประกาศว่านิโรธอริยสัจนั้นทรงรู้แล้ว และรู้ด้วยว่าเป็นเรื่องควรทำให้แจ้งและทรงทำให้แจ้งแล้ว
       
       ทรงประกาศว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจหรือหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นทรงรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ทรงรู้ด้วยว่าเป็นสิ่งที่ควรทำให้เจริญขึ้น บังเกิดขึ้นในตน และทรงเจริญอย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์แล้ว
       
       ทรงสรุปว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว เราไม่ยืนยันว่าเราเป็นผู้ตรัสรู้โดยชอบ
       
       แล้วทรงประกาศว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแลปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจเหล่านี้ของเราซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้หมดจดดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าในโลก ไม่ว่าในโลกแห่งเทพยดา มาร พรหม หมู่สัตว์ ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพยดา และมนุษย์
       
       ทรงยืนยันต่อไปว่า ก็แลปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่าความพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบอีก ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีภพอีก
       
        ความหมายก็คือทุกข์และสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ด้วยปัญญาก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็รู้ต่อไปว่าเป็นสิ่งที่ต้องละเสีย และได้ละทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ได้ นี่เรียกว่ามีปัญญารู้ด้วยรอบสาม คือรู้ว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าควรละ และละได้แล้ว 
       
       ความหมายก็คือนิโรธคือความดับทุกข์ และมัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ด้วยปัญญาก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็รู้ต่อไปว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เจริญขึ้นในตน และได้ประพฤติปฏิบัติจนเป็นมรรคผลบริบูรณ์
       
       อาการสามรอบในจตุอริยสัจเป็นดังนี้ จึงทรงกล่าวว่า ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงในอริยสัจสี่ของเราซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้
       
       เป็นอันหมดจด เป็นระบบ ครบถ้วนว่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้วย่อมมีหน้าที่ในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งด้วยปัญญาว่าทุกข์และสมุทัยเป็นประการใด รู้แล้วก็ต้องรู้ต่อไปว่าเป็นเรื่องที่ต้องละเสียให้สิ้นเชิง และประพฤติปฏิบัติให้ละหรือระงับดับได้อย่างสิ้นเชิงด้วย นี่เป็นการดับที่ต้นธารหรือดับสาเหตุของความทุกข์
       
       การดับทุกข์และหนทางดับทุกข์เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งด้วยปัญญาว่าเป็นอย่างไร แล้วรู้ด้วยว่าเป็นเรื่องที่ต้องเจริญให้บังเกิดมีขึ้นในตนและต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อใช้หนทางแห่งความดับทุกข์นั้นดับทุกข์ได้สนิทสิ้นเชิง
       
        อริยสัจสี่จึงประกอบด้วยรอบสามและอาการสิบสองดังนี้ 
       
       คำประกาศเหล่านี้ทรงประกาศยืนยันว่า นี่คือจักรแห่งธรรม หรือธรรมจักรที่ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ พระพุทธองค์ทรงประกาศพระธรรมจักรนี้แล้วที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
       
       ธรรมจักรนี้จักไม่มีสมณะ พราหมณ์ เทพยดา มาร พรหม และใครใดในโลกจะหมุนกลับให้เป็นอื่นไปได้ไม่ว่าในกาลบัดนั้น หรือในกาลบัดนี้ หรือในกาลไหนๆ
       
       คำประกาศดังกล่าวนี้จึงได้ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
       
        สิ้นคำประกาศ พระอัญญาโกณฑัญญะพี่ใหญ่แห่งปัญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรม คือเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
       
       ในพลันนั้นเทพยดาทั้งหลายในชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามะ ชั้นดุสิต ชั้นนิมานนรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี เทพดาที่เกิดในชั้นพรหม ต่างพร้อมเพรียงกันเปล่งสาธุการบันลือลั่นสะท้านขึ้นไปทั่วทั้งหมื่นแสนโลกธาตุ บังเกิดแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ
       
        ขอสาธุชนทั้งปวงที่ได้ทราบประกาศแห่งพระผู้พระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้วจงถึงซึ่งความสวัสดีและมีจิตอันเกษม ถึงซึ่งความไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งปวงเทอญ.
 

http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000084319				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลักษมณ์
Lovings  ลักษมณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลักษมณ์
ไม่มีข้อความส่งถึงลักษมณ์