30 สิงหาคม 2552 14:07 น.

ป่าหฤหรรษ์ฤดูหอมเห็ดหวาน

ละไมฝน

ละไมฝน...ชวนเข้าป่าหาเห็ด

                            บรรยากาศป่าโคกอันอบอ้าวหลังพายุฝนหยุดหายใจ   หากมิใช่เหตุบังเอิญ ย่อมเป็นเหตุแน่นอน ที่พราวเม็ดน้ำพร่างผุดระเห็จออกจากรูขุมขนคนหาของป่า
                            เหงื่อโชกที่หมักหมม เป็นเหตุปัจจัยให้เชื้อราเจริญพันธุ์บนผิวหนัง ขาวเป็นดอกดวงคันคะเยอ
                            แต่เชื้อราจุดดำๆ เป็นกระจุกบนผิวผ้า   เกิดจากความอับชื้นของเสื้อผ้าคนหาของป่าเลี้ยงชีพหามรุ่งหามค่ำ  เรียกว่า ผ้าออกเห็ด ( ไม่นิยมรับประทาน )
                      มีเชื้อราจัญไรบางจำพวก ชอบกัดกินรากผม อันเป็นเหตุปัจจัยให้เส้นผมตายยืน เดือดร้อนประชากรเหาหาที่ยึดเกาะไม่ได้ เป็นผลปัจจัยให้คนหัวล้าน หาผมทำยายาก
                            เห็ด ( mushroom)คือ เชื้อราที่ออกดอกเป็นดอก มีทั้งกินได้หายหิว และหิวได้กินตาย    เห็ดบางดอกกินแล้ว อาจระเห็จหายไปจากโลกนี้ก่อนวัยอันควร  เหตุเพราะเห็นมานักแล้ว 
                           เห็ดบางจำพวกกินได้หายหิว บางจำพวกหิวได้กินตาย
                           เห็ดบางดอกกินได้หาวนอน บางดอกกินแล้วเมา
                           กัญชาชนยามยากขาดแคลนกัญชา   อุตริเก็บเห็ดขี้ควาย (เห็ดที่เกิดบนมูลควายแห้งชื้นน้ำค้างกลางดึก) ตากแดดเดียวเผาลนไฟ ใส่บ้องกัญชาสูดดมควันสีขาวละมุน  ชวนเคลิ้มฝันรัญจวนใจ  ตาพร่าเลือน เห็นควายนึกว่าเมีย
                          เห็ดพันทางอย่างเห็ดหน้าดำ  เกิดกลางป่ายูคาลิปตัส  รสขมสะเด็ดยาด  ต้มหลายน้ำไม่จืดเละ  ดอกยังทรงรูปสวยแม้ผ่านการปรุงผ่านร้อน เค็ม เต็มที่  สรรพคุณ  ขับพยาธิเส้นก๋วยเตี๋ยวใหญ่ (พยาธิตัวตืด) รับประทานติดต่อกันเกินสัปดาห์ตับทรุด

                           ป่าโคกหลังพายุฝนหยุดหายใจ ไอกรุ่นระเหยจากผิวดินอับชื้น อบบรรยากาศอ้าวได้ที่ เป็นเหตุปัจจัยให้นานาดอกเห็ดแทงดอกตูมตั้งงอกงามพ้นดิน เห็นได้ด้วยตาเปล่า  หลายรูปทรงหลากสีสัน อาทิ เห็ดหน้าแดง เห็ดขอนขาว  เห็ดตะปู้  เห็ดหำฟาน
                          เห็ดมันปู ดอกสีเหลืองกรวยดอกบอบบางน่าทะนุถนอม เหมือนสาวน้อย  เป็นอาหารว่างของกิ้งกือวเนจรบนขอนไม้ผุ
                          เห็ดระโงก มีทั้งดอกเหลืองดอกขาว    ทรวดทรงสุดสเลนเดอร์ รสชาติหวานลิ้น  น้ำแกงชุ่มคอ  เมื่อแกงใส่ใบโมง (ชะมวง)
                    เห็ดระงาก  สรีระสะสวยคล้ายเห็ดระโงก  ปานคู่แฝด   ไม่แนะนำให้รับประทาน  เหตุเพราะกินแล้วเบื่อเมา   หิวตาลายแค่ไหนก็กินไม่ได้   หิวได้แต่กินตาย 

                          เห็ดเผาะ( puffball) ทรวดทรงกลม ไม่มีก้านดอก คล้ายเห็ดหำฟาน แต่เห็ดเผาะดอกเล็กกว่า อร่อยกว่า  มีทั้งเผาะฝ้าย  และเผาะหนัง   ภาษาเหนือ เอิ้น เห็ดถอบ   เร้นดอกใต้ผิวดินแตก   เหนียมอายคล้ายสาวน้อยวัยขบเผาะผู้อ่อนต่อโลก   หลบสายตาหนุ่มอยู่หลังแม่      
                          เคล็ดไม่ลับแกงเห็ดเผาะให้อร่อย  ต้องใส่น้ำพอเอ๊าะเจ๊าะ อย่าลืมน้ำปลาร้า  ใบมะขามอ่อน แกงซดน้ำร้อนๆ    อมเห็ดไว้ข้างกระพุ้งแก้ม  แล้วค่อยคายขบเปลือกห่อหุ้มกินเนื้อนวลในขาวนุ่ม  หวานลิ้น  กินไม่เบื่อ  เห็ดเผาะใหม่และสด   จะเคี้ยวเสียงดังเผาะ เผาะ 
                           คำเตือน...หากเคี้ยวเห็ดเผาะเพลินจนลืมอิ่ม  อาจทำให้เกิดการผายลม  เสียงดังเผาะ เผาะ  เพราะท้องอืด
                           เห็ดไค หรือ เห็ดข้าวไค ดอกขาวอมสีเขียวตะไคร่อ่อน  ชอบดินร่วนร่มใต้โคนต้นไม้  กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย  เมื่อนำมาย่างไฟจนได้ที่     ชาวบ้านป่าขาดงนิยมนำมาตำแจ่วเห็ดไค  พริกขี้หนูสักกำมือย่างไฟจนหอม  เผ็ดร้อนจนลมทะลึ่งออกหู     เห็ดไคไม่นิยมแกง  เกรงจะเสียรสหวานและกลิ่นหอมเห็ด

                           เห็ดโคนขาใหญ่ ได้ชื่อว่ารสชาติหวาน กรอบ อร่อยที่สุด  อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร  หายากและราคาแพงเทียบกิโลต่อกิโล บางป่าโคกเรียก  เห็ดปลวก  เหตุเพราะผุดใกล้จอมปลวก
                           เห็ดโคนขาเล็ก   รสชาติหวานเหนียว  แปรรูปเป็นเห็ดส้มบรรจุกล่องเป็นของฝาก
นักเพาะพันธุกรรมเห็ด   พยายามค้นหาวิธีเพาะเชื้อเห็ดโคนมาหลายปี   แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เหมือนการเพาะเชื้อเห็ดฟาง  เห็ดนางฟ้า และเห็ดขอนขาว

                          บ่อยครั้ง  ชาวบ้านป่าเปิบเห็ดแล้วรากแตกรากแตนเสียชีวิต  เหตุเพราะหิวตาลายเปิบเห็ดมีพิษ   หิวได้แต่กินตาย 
                          แม่เฒ่าตู้ผู้เชี่ยวชาญอาหารเห็ด  แนะนำวิธีสังเกตเห็ดกินได้หายหิว และเห็ดที่หิวได้แต่กินตาย  พอสังเขปดังนี้   
                          เห็ดที่มีร่องรอยหวิ่นแหว่ง จากการกัดแทะของแมลง หนอนอ้วน และกิ้งกือวเนจร แสดงว่าเห็ดนั้นกินได้หายหิว
                          เห็ดที่ไม่ใส่แหวนหมั้นกับยมบาล  แสดงว่ากินได้หายหิว
                          เห็ดแปลกหน้า แม่เฒ่าตู้ไม่นิยมเก็บมาชิม  
                          เห็ดผีกระสือ  เรืองแสงตอนกลางคืน    แม่เฒ่าตู้ไม่เฉียดใกล้
ฤดูเก็บเห็ด  ป่าโคกใหญ่หฤหรรษ์เป็นที่สุด   ชาวบ้านตื่นแต่เช้ามืด  ห่อข้าวเหนียว  แบกเสียมก้อมคอนตะกร้า เข้าป่าเป็นกลุ่มเป็นทีม
กลุ่มแม่เฒ่าตู้ผู้คว่ำหวอดในวงการเก็บเห็ด  มีด้วยกัน 4 คน  แม่เฒ่าตุเชี่ยวชาญในการหาเห็ด  สิบโคก ซาว(20)โคก  ไม่เคยเดินหลงป่าสักครา

                           เช้าวันหนึ่ง  แม่เฒ่าตู้ชวนเพื่อนบ้านไปเก็บเห็ด   
พอถึงป่าโคก   แม่เฒ่าก้าวฉับๆ เดินลิ่วล่วงหน้าไปก่อน  เพื่อหาแหล่งเห็ด   พลันสายตาแม่เฒ่าเหลือบไปเห็นเห็ดโคนกลุ่มใหญ่  ผุดดอกใหญ่น้อยขึ้นมาริมทางเดินป่า   แม่เฒ่าเกรงว่าเพื่อนจะมาแย่งเก็บ  จึงรีบปราดไปหย่อนก้นเหี่ยวๆ ลงคร่อมกลุ่มเห็ดโคน แล้วคลี่ผ้าถุงคลุมไว้มิดชิด 
                           แม่บุดดาเดินตามหลังมาติดๆ แม่เฒ่าจึงร้องบอกว่า
                           ล่วงหน้าไปก่อนเด้อ  ยายนั่งเคี้ยวหมากก่อน   พลางยัดหมากพลูใส่ปากเคี้ยวหยับๆ
                          เมื่อแม่บุดดาเดินลับตาไปแล้ว  แม่เฒ่าขยับกายโยงโย่จะลุกขึ้นเก็บเห็ด  แม่ใหญ่ทุมมีก็เดินมาผ่านมา
                           ล่วงหน้าไปก่อนเด้อ  แม่มี  ข้อยนั่งเยี่ยวก่อน
 
                         พอแม่ใหญ่ทุมมีเดินผ่านไป  แม่เฒ่าขยับกายโยงโย่จะลุกขึ้นเก็บเห็ด  แม่ใหญ่อึ่งก็เดินมาผ่านมาพอดี
                          ล่วงหน้าไปก่อนเด้อ  แม่อึ่ง   ข้อยนั่งขี้ก่อน
             
                       แม่ใหญ่อึ่งเดินผ่านไปนานแล้ว  แม่เฒ่าตู้ยังไม่ยอมลุกจากกลุ่มเห็ดโคน  แม่เฒ่าขยับก้นไปมา  ปากร้องครวญคราง ปานใจจะขาดรอนๆ 
                       หลังจากแม่เฒ่าทั้งสาม  เก็บเห็ดได้เต็มตะกร้าแล้ว  จึงหวนเดินกลับมา  ก็พบความอัศจรรย์ใจยิ่ง  ทุกดวงตาเบิกโต  เมื่อเห็นแม่เฒ่าตู้นอนหงายตีนแผ่หราอย่างเป็นสุข   เห็ดโคนถูกบดขยี้ราพณาสูร

เอวัง...				
19 สิงหาคม 2552 17:32 น.

ฮัก-แพง (ตอนที่ 1)

ละไมฝน

เขียนโดย  ละไมฝน



  ตอนที่ 1

                                      
                            ฝนย้อยหยาดลงมาบ่ขาดสาย   ขณะฮักต้อนฝูงวัวเข้าคอก...   
                               เม็ดฝนขาวละมุน   พลิ้วมาต้องดวงหน้าเข้มคม  เกาะหยดพราวเต็มหน้า  ลดความเคร่งขรึมลงอย่างอ่อนโยน     แม้นว่าเพิ่งกลับจากไร่เหน็ดเหนื่อยกายปานใด     ใจฮักก็ฉ่ำชื่นประหลาดล้ำ   ฮักชอบฤดูฝนเป็นชีวิตจิตใจ   แม่เล่าให้ฟังว่า  ฮักกับแพงเกิดต้นเดือนแปดยามเช้า  ตอนฝนเริงรินย้อยหยาด    สายลมอ่อนๆ พัดละอองบางเบาเย็นสะอาดพรั่งพรูเข้ามาทางหน้าต่าง  อายฝนระรื่นอาบร่างแน่งน้อยคู่แฝดที่นอนอยู่ในอู่ผ้า    ยามเมื่อแม่ลูกอ่อนนอนอยู่ไฟ... แม่ก็พลอยเย็นกายเย็นใจไปกับลูกน้อย   
                           หยาดฝนแรกต้นเดือนหกตกลงมาสดๆ ร้อนๆ  พรมดินร้อนแล้งแตกระแหง  ดินแห้งต้องน้ำฟ้าเกิดกรุ่นไอหอม   อวลแกมกลิ่นหญ้าอาบฝนใหม่   ปลุกทรงจำหลับใหลในใจของฮัก  ให้ตื่นขึ้นมารำฟ้อนกับหยาดเย็นอย่างครึกครื้น 
                              ตอนยังเป็นเด็กน้อย  เด็กชายฮักและเด็กหญิงแพง    ชอบแล่นเล่นน้ำฝนกลางทุ่งกว้าง   ทั้งคู่บ่หวาดเสียงฟ้าคำรามเกรี้ยวกราดเลยสักน้อย    ปานว่าหยาดฝนมีมนต์เสน่ห์เย้ายวนใจ   เกินกว่าเด็กน้อยทั้งสองจะซุกกายอยู่ภายในเฮือนน้อย    เฝ้ามองเม็ดฝนเริงระบำเหนืออยู่ท้องทุ่งได้
                               ฮักกับแพง   เป็นเสมือนเงากันและกัน   แพงบ่เคยห่างแฝดผู้อ้ายไปไหนไกลๆ สักครา   แพงชื่นชมและคลั่งไคล้ฮัก    ดุจเดียวกับเทพบุตรในฝัน   เด็กหญิงแพงเฝ้าคลอเคลียอยู่ข้างกายเด็กชายฮักราวกับลูกแมวเหมียวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง 
                              ยามฮักขี่ม้าบักจ้อนต้อนวัวไปไร่   แพงจะออดอ้อนขอขี่ม้าไปด้วยทุกครั้ง  บ่มีเลยสักวัน...สักชั่วโมงเดียว  ที่เธอจะยอมให้แฝดผู้อ้ายห่างหายจากสายตา
                              ถึงเพียงนั้น  แพงยังบ่วายคับข้องใจว่า  อ้ายฮักแพงบ่เท่ากับที่ฮักไหหอม    ซึ่งเป็นคนอื่นคนไกล   แต่กลับได้รับการใส่ใจ      ยิ่งกว่าน้องฝาแฝดคลานตามกันมาเสียอีก        
                            แพงพยายามกีดกั้นผู้หญิงทุกคน    ที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับฮัก    ในตอนเช้าหมู่ชาวบ้านไร่   จะเห็นเด็กน้อยคู่แฝดต่างเพศขี่ม้าไปไร่ด้วยกันเสมอ
                               เช้าวันหนึ่ง  ฮักขี่ม้าไปชวนไหหอมไปเที่ยวป่า  แพงน้อยบ่สบอารมณ์เลย  เอาแต่นั่งหน้าบึ้งตึงบนหลังม้าตลอดทาง   ม้าบักจ้อนพาเด็กน้อยทั้งสาม  ทะยานไปตามทางเกวียนอันชื้นแฉะ สองข้างทางนั้นแวดล้อมด้วยแมกไม้น้อยใหญ่    แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาร่มรื่นแก่ผู้ผ่านทาง
ยามเมื่อลมชื่นพัดโชยมา  กิ่งก้านใบไม้ไหวกวัดไกว  ดูราวกับว่าใบไม้น่ารัก    โบกใบทักทายเด็กน้อยทั้งสาม    ที่กำลังนั่งร้องเพลงบนหลังม้าอย่างร่าเริง                              
                               ฝนที่ตกหนักเมื่อตอนค่อนรุ่ง   ทำให้ทางเกวียนขรุขระชื้นแฉะด้วยหลุมโคลน  ไหหอมกลัวลื่นไถลตกหลังม้า   จึงโอบกอดเอวฮักไว้แน่น...
                             ฮึ  หมั่นไส้นัก    
                            แพงขบฟันผลักร่างเพื่อนหญิงอย่างแรง   ไหหอมพลัดตกจากหลังม้า      
                               ฮักหันขวับกลับไปมองไหหอมอย่างตกใจ                                                                                                                                                                                    
                               อ้ายฮัก  บ่ต้องลงไปช่วยมันนะ   ให้อีหอมมันปีนขึ้นมาเอง      
                            น้องสาวออกคำสั่ง  พลางดึงชายเสื้อเขาไว้
                               แทนที่แฝดผู้อ้ายจะคล้อยตาม   ฮักกลับดึงบังเหียนม้าแล่นกลับมา  แล้วกระโดดลงไปโอบประคองเพื่อนหญิงผู้เคราะห์ร้ายขึ้นจากหลุมโคลน     ปล่อยให้แพงน้องนั่งหน้างอง้ำเป็นจันทร์เสี้ยวคืนแรม  
                               เพียงบ่นาน   แพงน้อยก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะลั่นชอบใจ  เมื่อเหลือบเห็นดวงหน้าและเสื้อคอกระเช้าสีขาวของอีกฝ่าย    เปรอะเปื้อนโคลนตมมอมแมมเป็นลูกนกตกน้ำ
                                 สมน้ำหน้า
                               แพงกระแทกเสียง 
                                อย่าเฮ็ดบ้าๆ แบบนี้อีกนะ  
                               ฮักตะโกนดุแพง  จ้องหน้าน้องสาวอย่างโกรธขึ้ง    เขารู้ฤทธิ์เดชแม่น้องสาวฝาแฝดคนนี้ดี   แพงน้อยร้ายกาจนัก   เจ้าคิดเจ้าแค้น  บ่ลดราวาศอกให้ใครง่ายๆ   แพงจะแกล้งเพื่อนหญิงทุกคนที่ไม่ชอบหน้า  เช่น  จับตุ๊กแกโยนใส่เพื่อน  แอบซ่อนงูไว้ในกระติบข้าวเวลาเพื่อนเผลอ  หรือแม้กระ
กระทั่งโรยหมามุ้ยบนเก้าอี้ในห้องเรียน
                            แพงจึงโดดเดี่ยวเดียวดายขาดเพื่อน   ชีวิตเงียบเหงาอยู่ในโลกของตนเองตลอดมา
                               ถึงแม้นแพงจะเป็นคู่แฝดของฮัก  แต่อุปนิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน    แฝดผู้น้องร่างผอมบาง  ผิวขาวซีด  มากหลายอารมณ์นึกคิด   ช่างฝันเฟื่องอ่อนหวาน   ช่างพูดช่างจำนรรจา
ช่างจินตนาการแปลกประหลาด  และช่างเอาแต่ใจตนเองเป็นที่สุด
                            ต่างกับฮัก  แฝดอ้ายผู้เข้มขรึม  ร่างกายแข็งแกร่ง   จริงจังกับชีวิต
                               นับแต่ตีนเท่าฝาหอย  มีเรื่องชวนให้แพงขุ่นเคืองใจฮักอยู่เนืองๆ
                               เป็นต้นว่าต้นฤดูวสันต์ปีนั้น   แม่ใบตองมาซื้อข้าวโพดที่ไร่แม่โชยไม้  นางได้พาลูกสาวคนเล็กมาด้วย   เด็กหญิงไหหอมหิ้วห่อขนมไข่จิ้งจก    มาฝากเพื่อนและน้องแฝดของเขา
                            พอลับตาน้องสาว   ฮักก็ชวนไหหอมออกไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า   ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามจัดกระจ่างใส   กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าหอมสดชื่น   หญ้าเขียวขจีดูดดื่มน้ำค้างยามเช้าจนอิ่มแปล้
 ใบหญ้าบาง...บางใบ   ฉ่ำหยดน้ำใสแทบบ่มีเรี่ยวแรงพลิ้วใบร่ายรำล้อลมพัด
                               ที่เนินทุ่งกว้างไกลออกไป   ดารดาษด้วยดอกหญ้าสีขาวพราวสะพรั่ง งดงามปานโปรยดวงดาวทั้งท้องฟ้าลงมาเกลื่อนกล่นพรมหญ้าสีเขียวผืนใหญ่   ก้านดอกหญ้าเรียวยาวบอบบาง  แย่งกันชูช่อดอกน้อยดอกนิด   เกสรกระจิดริดระรื่นลม   ท้าทายมวลแมลงและแสงแดดนวลที่อวลอาบทาบทุ่ง
                               เด็กหญิงแพง   เมื่อไม่เห็นแฝดอ้ายที่เฮือนไม้หลังน้อย    ก็ออกวิ่งตามหาด้วยดวง
ใจร้อนรน   เมื่อแพงน้องเหลือบเห็นฮักนั่งเคียงคู่ไหหอม   ที่เนินหญ้าใต้ร่มกันเกราป่าริมบึงใส  เสียงพูด
คุยหยอกล้อต่อกระซิกร่าเริงแจ่มใส   ปานจะเย้ยเพลงนกกางเขนดงบนกิ่งกันเกรานั่น  
                               เสียงเพลงอันไพเราะจับใจของนกกางเขนดงนั้น   บ่ต่างกับเหล็กแหลมคมพุ่งเข้าทิ่มแทงใจแฝดผู้น้อง
                            แพงน้อยกำหมัดกระทืบเท้า  ลมน้ำพุร้อนพุ่งออกหู  นัยน์ตาเขียวปัด
                               ห้วงเวลานั้น   แม้นว่าดอกกันเกราจะหอมอบอวล   ชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหลปานใด แต่ว่ากลิ่นดอกกันเกราก็บ่อาจกล่อมเกลาอารมณ์แพงน้อยให้อ่อนโยนรื่นรมย์ได้       ร่างบาง ๆ พุ่งถลาไปนั่งแทรกตรงกลางระหว่างฮักกับไหหอม  
                            ฮักหันขวับจ้องหน้าน้องสาวคู่แฝดด้วยสายตาบ่พอใจ   แต่ไหหอมผู้เอื้ออารีได้ชวนแพงขวัญกินขนมไข่จิ้งจก   ใจอันร้อนเร่าของแพงน้อยจึงค่อยเย็นลง   ริมฝีปากบางคลี่แย้มรอยยิ้ม   แล้วพวกเด็กๆ ก็หัวเราะสนุกสนาน  และสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ บนโลกใบกว้างกว่ากว้าง                                                                                                                                                      
                               ยามนั้นดวงตาสดใสสามคู่แหงนเงยไปบนยอดเขาสูงเบื้องหน้า   หมอกขาวละมุนคลอเคลียโอบกอดอกเขาเขียวอย่างอาทร  
                            ไหหอมเอื้อนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า
                              น้ำมากมายในบึงใหญ่นั่น    นอกจากจากฝนตกแล้ว  มันมาจากไสกันหนอ  มีคนบอกว่าเทิงยอดเขามีแอ่งน้ำน้อยๆ  แต่ว่าบ่เคยเหือดแห้งจักเทื่อ
                                ผู้เฒ่าเล่าลือว่า  บนเขาหลังแปนั้นงามปานสวรรค์  นอกจากมีดอกกล้วยไม้ดอกใหญ่งามหอมแล้ว  ในแอ่งน้ำใสเย็นยังมีปลาสร้อยสีสวยแปลกแหวกว่ายอยู่
                               ฮักพูดชวนฝัน
                                พาหอมขึ้นไปเบิ่งได้บ่  หอมอยากเห็นกล้วยไม้งาม  อยากได้ปลาสร้อยมาเลี้ยงเบิ่งเล่น 
                               เด็กชายยิ้มแก้มปริ   ยื่นดวงหน้าผ่านแฝดน้อง  ไปกระซิบข้างแก้มนวลอมชมพูของไหหอมว่า
                               จักมื้อหนึ่ง  สิพาหอมปีนเขาขึ้นไปเบิ่งให้เห็นกับตา
                               อย่าลืมคำเว้าเด้อ... 
                               อื้อ        
                            ฮักฟ้าพยักหน้า   ทั้งที่บ่รู้ว่าแอ่งน้ำต้นลำธารมันอยู่ตรงไหนบนยอดภูสูง  ได้ยินเพียงคำเล่าเขาลือ
                               เสียงกระซิบกระซาบของคนทั้งสอง  ยั่วให้แพงน้อยทำตาฝัน
                                แพงไปนำแน อ้ายฮัก 
                                บ่ได้ดอก  แพงจ่อยแห้งแรงน้อยจั่งซี้  ปีนเขาบ่ไหวดอก 
                               ผู้เป็นอ้ายเสียงเข้มขึง    ดวงหน้าเรียวเล็กของแฝดน้องถึงกับบึ้งตึง  เป็นข้าวต้มมัดบูด
                                ฮัก...ให้แพงไปนำกันเนาะ     ปีนเขาสามคนเฮาม่วนดี 
                               ไหหอมอ้อนอย่างรู้ใจแพงเพื่อน   เธอมักจะเลือกอยู่ข้างแพงน้อยยามเมื่อสองพี่น้องคู่แฝดทะเลาะกัน   ใช่ว่าไหหอมจะกลัวแพงกลั่นแกล้ง    หากแต่เธอรู้สึกสงสารเห็นใจแพงนางมากกว่า
                                ก็ได้  แต่ต้องสัญญากับอ้ายว่า  แพงบ่ก่อเรื่องวุ่นวายอีก 
                                จ้า  แพงสัญญา   
                               แพงลาดเสียงยาว   หันไปยิ้มเป็นมิตรกับไหหอม    ใจนึกชื่นชมเพื่อนหญิง...
                           " เจ้าดีกับแพงอีหลีเนาะ  ไหหอม   แต่ว่าความดีของเจ้า   บ่เฮ็ดให้แพงใจอ่อนยอมแพ้เจ้าดอก   แพงบ่อยากให้เจ้าเป็นคนฮักของอ้ายแพง  ที่ใดมีอ้ายฮัก  ที่นั่นจะต้องมีอีแพง    
                                                                                                                                                                               
                                ตะวันยามสายสาดแสงสวย  ดอกกันเกรากลีบกระจิดริด  รวมกันเป็นพุ่มพวงบนก้านช่อสั้นๆ   สีขาวแกมเหลืองนวลปานสีมันปลา   ออกช่อดอกดกดื่นเต็มต้น    กำจายกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลเท่าที่สายลมล่องรินถึง  ฮักเอื้อมมือเด็ดดอกกระดุมเงินดอกกระจุ๋มกระจิ๋มข้างกาย  ยื่นช่อดอกไประแก้มนวลของไหหอม   ฝ่ายนั้นหันขวับมาจ้องหน้าเพื่อนชาย    เรียวปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรง
ใบหน้าขึ้งเหมือนจะโกรธ     แต่แล้วนัยน์ตาเรียวยาวดำขวับคู่งามก็พลันเปล่งประกายระยับ  
                            มุมปากจิ้มลิ้มค่อยคลี่ยิ้ม...คลายบึ้ง   แล้วหัวเราะคิกคักจั๊กกะจี้
                               แก้มใสของเด็กชายฮัก   แดงซ่านเพราะเขินอาย
                               " ขำอิหยัง..."
                               " บ่ฮู้คือกัน   ฮักเฮ็ดท่าทีตลกๆ ให้หอมขำเสมอล่ะ"                                                                                                                                                                              
                            ท่าทีเคอะเขินของเพื่อนชาย   ยิ่งยั่วให้ไหหอมหัวเราะเสียงใสกังวานขึ้นอีก
                               ตาคมเข้มของฮักมองผ่านหน้าน้องสาวคู่แฝด     ไปสบตาไหหอมที่กำลังชำเลืองมาพอดี    แล้วเขาก็พบดาวสุกสกาวสองดวง   ใสกระจ่างบนหน้านวลอมชมพู   ทอประกายฉายฉ่ำมาสู่ดวงใจเด็กชายผู้ขี้อาย   ประหนึ่งว่าดาวในดวงตาคู่นั้น   เต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิตชีวา บันดาลให้ฮักหลงใหล    ใฝ่ฝันอยากได้ไหหอมไว้ในชีวิต   จนลืมไปว่า  ฮักยังมีแพงน้อย  น้องสาวฝาแฝดผู้จงรักภักดี
 ดำรงรักอยู่เคียงกาย....

               เมื่อฮักต้อนฝูงวัวเข้าคอกแล้ว   เขาก็เดินมายังเฮือนไม้หลังใหญ่    กลุ่มควันสีขาวล่องลอยอยู่เหนือเฮือนไฟ  ท่ามกลางแสงตะวันยามสนธยา  ทาบทาสีทองบนฟากฟ้าทิศตะวันตก
งามเรืองรองอร่ามยามฝนเพิ่งขาดเม็ด  ปุยเมฆบางเป็นยางใย   เคลียเคล้าขุนเขาทะมึนสลับสล้าง ทอดทิวโอบอ้อมทุ่งหญ้าและบึงน้ำ     ดูยิ่งใหญ่น่าอบอุ่นปานอ้อมแขนธรรมชาติอันแข็งแกร่งมั่นคงเอื้อโอบกอดไว้
              เฮือนใหญ่หลังนี้อิงแอบแมกไม้  และขุนเขาเทาทึมทอดทิวเป็นฉากหลังไกลออกไป   ทัศนียภาพยามเย็นงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันอันเก่าแก่   ฮักปลูกเฮือนหลังนี้ขึ้นแทนเฮือนน้อยใต้ถุนสูงหลังเก่า   เฮือนหลังนั้นแสนจะอบอุ่นคุ้นเคย มีชานแดดยื่นออกมา    สำหรับนั่งพักผ่อนดูดาวพร่างฟ้า  และตากน้ำค้างกลางดึก  ในคืนเพ็ญเดือนแจ่มนวลกระจ่าง    นอนหนุนตักแม่ฟังนิทานจนผล็อยหลับอย่างเป็นสุข
               ความทรงจำจากอดีตยังตราตรึง ยึดโยง จนถึงปัจจุบัน  ยากจะลืมเลือนได้ เหมือนเงาร่างน้องสาวคู่แฝด  ที่บ่เคยจางไปจากฝันและความคิดคำนึงของฮัก    ภาพอดีตนั้นงดงามและร้าวรานแจ่มชัด  ราวกับว่าดวงวิญญาณน้องสาวยังล่องลอย  วนเวียนอยู่รอบกาย  ทรมานใจเขาให้ทุรนทุรายด้วยอารมณ์คะนึงหาอาลัย
                               เสียงไอ้เสือ...    สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานเห่าทักทาย   มันวิ่งมาจากใต้ถุนเรือนยกพื้นสูงลมโกรก  กระดิกหางกระโดดเอาสองขามาเกาะเอวเขาอย่างประจบ  ฮักตบหัวมันเบาๆ  แล้วก้าวขึ้นบันไดเรือน    
                             พอร่างสูงทรุดนั่งเอกเขนกบนพื้นชาน   หญิงร่างโปร่งบางก็ก้าวออกมาจากครัวไฟ  เดินไปตักน้ำจากโอ่งดินเผาบนร้านมายื่นให้เขา 
                                เพียงเห็นหน้า    ฮักก็ชื่นใจหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง   เมียของเขายังดูสดสวยในวัยกลางคน   นางรวบผมมวยเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวรูปไข่  ดูอ่อนกว่าวัย    เสื้อแขนกุดสีตองอ่อนหวานที่สวมใส่    ขับผิวพรรณให้ขาวนวลผุดผาดดุจสาวรุ่น   ทั้งที่อายุย่างสี่สิบแล้ว                                                                                                                                                                               
                               เมื่อก่อนฮักเคยปรามาสไหหอมในใจ  ว่าผู้หญิงหน้าตาสะสวย  กิริยามารยาทงามอ่อนหวาน  เรือนร่างนวลระหง  ทำการค้ามาแต่น้อย   จะทำงานกลางแจ้งในไร่ข้าวโพดไหวหรือเปล่าหนอ    ไหหอมมีเชื้อญวณ   พ่อของเธออพยพมาจากเวียดนามใต้   ทำข้าวเปียกเส้นขายที่ตลาดเก่า  พอแต่งงานกับแม่ใบตองแล้ว  แกก็หอบครอบครัวมาตั้งรกรากที่บ้านไร่ใกล้บึงใหญ่   ยึดอาชีพจับปลาทำปลาร้า    รับซื้อของป่าและผลผลิตพืชไร่จากชาวบ้านไปขายที่ตลาดเก่า    ไหหอมได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย  และได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักจากพ่อแม่ราวไข่ในหิน
                               หลังจากไหหอมก้าวเข้ามาในชีวิต  ฮักถึงรู้ว่าเขามองคู่ชีวิตผิดไป  ไหหอมน่ารักและชาญฉลาด  เป็นแม่ศรีเรือนที่แสนดี   ละเอียดถี่ถ้วนในการใช้จ่ายอดออม     
                            สิ่งสำคัญที่จรรโลงชีวิตคู่ของเขาให้หวานชื่นยั่งยืนนาน  นั่นก็คือความรัก  ความเข้าใจ  และความดีงามในจิตใจของเธอ  ซึ่งมิเคยคลายค่าลงสักนิด
                                เมื่อยบ่... 
                               เมียสาวใหญ่ยิ้มทักทาย   พลางส่งขันน้ำเย็นให้เขา  ฮักยิ้มรับอย่างอบอุ่น    
                                เดี๋ยวค่อยกินข้าวกันนะ  รอคำก้อนกลับมาก่อน 
                               ไหหอมเอ่ยถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างแสนรัก
                             บักคำไปไส    
                                ไปช่วยจำปาตำข้าว   
                             ตอบพลางนั่งลงข้างๆ สามี    ฮักหันไปยิ้มบางๆ กับเมียสาว    ไหหอมดูอ่อนหวานอ่อนเยาว์   แม้นว่าหลายปีผ่านไป  ไหหอมทำงานในไร่หนักเหนื่อยปานใด   ก็บ่ทำให้ความงามลดจางไปสักน้อย นัยน์ตาเรียวยาวดำขลับคู่นั้น   ยามทอดมองสามีของนาง  ยังส่งประกายแจ่มใสอยู่เป็นนิจ  
                              น้ำเย็นฉ่ำจากขันที่ฮักยกขึ้นดื่ม   คลายความกระหายและเหน็ดเหนื่อยลงได้บ้าง
 แต่มิอาจคลายความระทมทุกข์ลึกเร้นอยู่ภายในใจ    ความฝันเก่าๆ ซ้ำๆ รบกวนจิตใจเขาตลอดมา  
                              ทุกๆ วันขึ้น 15 ค่ำ  พระจันทร์เต็มดวง  ฮักจะฝันเห็นน้องสาวคู่แฝด  เดินเข้ามาสรวมกอด   ร่ำไห้รำพันว่าคิดถึง...คิดถึงเขา   อยากกลับมาอยู่กับเขา

                                                 (โปรดติดตามต่อไป)				
17 สิงหาคม 2552 19:25 น.

บักอร่อยที่สุดในโลก

ละไมฝน

เขียนโดย  ละไมฝน 

                  ประตูสวรรค์ปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกมาว่ายวนในวัฏสงสาร   แล้วมอบสิ่งสราญใจแก่มวลมนุษย์อย่างอเนกคณานา 
                  สวรรค์เสกสีสันหรรษาบันเทิงเริงใจแก่ชีวิตสรรพชน   และประทานเสียงสังคีตแก่ทุกเชื้อชาติศาสนา   
                  ดนตรีเป็นภาษาสากล   ไม่มีศัตรู  ไม่มีพรมแดนกางกั้น   บันดาลใจมนุษย์ผู้สุขุมคัมภีรภาพ   สร้างสรรค์เครื่องดนตรีขึ้นมาตอบสนองสุนทรียอารมณ์ของตนผ่านกาลเวลา    
                   ดนตรีมีคุณวิเศษล้ำ    กล่อมเกลาอารมณ์อันสามานย์ภายในใจคนบางคน   ให้คลายความสาหัสสากรรจ์แห่งอารมณ์   หวนสำนึกอ่อนโยนละเมียดละไมในอารมณ์  ...
                  ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี   นางผีเสื้อสมุทรแสนดุร้าย   เคลิบเคลิ้มหลงใหล    เพลงปี่พระอภัย     ซึ่งมีพลังสร้างสรรค์และพลังทำลายสะเด็ดยาด   ราวกับทุ่นระเบิดใต้น้ำ  ทำลายทรวงอกอันมโหฬารของนางผีเสื้อสมุทรแตกตายในที่สุด

                   แผ่นดินแล้งแร้นแค้นแห่งอีสาน   ก่อเกิดตำนานสังคีตอันบีบใจ     
                   ศิลปินพื้นบ้านสร้างสรรค์เครื่องดีด  สี  ตี  เป่า  หลากสะพรั่งพร้อมจากวัสดุธรรมชาติรายรอบ
                    แก่นแกนไม้ดิบเถื่อนจากพงป่าถูกคัดสรร  มาสลักเสลาเป็นเครื่องดนตรีอีสานแสนมหัศจรรย์
                    ปู่สังกะสาย่าสังกะสีสังเกตเสียงธรรมชาติ    แล้วสำเนาเสียงเสนาะมาดัดแปลงเป็นเสียงดนตรีสะดุดก้นหอยหู 
                    ศิลปินพื้นบ้านสำเนาวิถีชีวิต   สำเนาทรวดทรงแห่งศรัทธา   มาดัดแปลงท่วงทำนองดนตรีสนุกสนานสรวลสันต์ 
                    จินตนาการสดับเสียงลมพัดไผ่    เสียงแมงภู่ตอมดอกไม้  มาดัดแปลงเป็นลายแคน
                    ท่วงท่าอีกาเต้นระบำเพราะร้อนตีนกลางดินแดด      ดัดแปลงเป็นท่วงทำนองกาเต้นก้อนดีดลายพิณ 
                   เสียงเอื้อนเสียงของแม่ฮ้างกล่อมลูกน้อยนอนอู่    
                  เสียงกระพือปีกของนกไซบินข้ามทุ่ง  
                  กิริยาท่าทางยักแย่ยักยันของอีนางน้อย  ถือไม้ไผ่ยาวผูกตะกร้าแหย่ไข่มดแดง   มิละเลยแม้ท่วงท่าดึงครกดึงสากเรียกฝนของบรรพชน  มาตีเคาะไม้เรียงลายโปงลางสุดสะออนหลาย
                   คนอีสานเสกสร้างสันทนาการ     อันสรวลสันต์ขึ้นมากลบเลือนริ้วรอยดินแตกระแหงแร้นแค้นพื้นถิ่นได้อย่างแนบเนียน 
                   คนอีสานได้ยินเสียงพิณ  แคน  ผสานเสียงโปงลาง  กลองยาวลายกระชับกระชั้น  (คีย์เมเจอร์)  ยากจะนิ่งนอนทรวดทรงองค์เอวอยู่ได้  
                   อีไคแม่หม้ายนอนเหงาหงายท้อง  สร้างวิมานบนอากาศธาตุ  พลิกซ้ายพลิกขวากอดหมอนข้าง   สร้านไฟกามลนลามลวกในห้องนอนหนาว    เมื่อได้ยินเสียงกลองยาว      ต่อมสนุกกระตุกเต้น   ลืมคะนึงหาหนุ่มตาบอดหูหนวกปากใบ้ใกล้ละแวกบ้าน
                  แม้แต่สัปเหร่อเฒ่าผู้นั่งง่วงเหงาสัปหงกพิงเสมาหินในอาราม    ยังเกิดอาการสะบัดลุกสะบัดนั่ง   เสมอภาคกับสาโทชนนอกกำแพงวัด     ตาเฒ่าลิ้นดำถลกผ้าข้าวม้านุ่งขึ้นรั้งเอว  ฟ้อนเฉิบโดยไม่มีผู้ใดเสี้ยมสอน
                  หลวงตาแก่พรรษาผู้เสงี่ยมสงบในจีวรผ้าสีกรัก    นั่งสวดมนต์ในวิหารน้อยฟังเสียงนก   สะบัดร้อนสะบัดหนาว  หัวใจเหี่ยวๆ มิวายดีดเต้นอยู่ในซี่โครงกระดูกอันผุกร่อน
                  เสียงดนตรีอีสานสำแดงสนุกสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น  ยุคต่อยุค
                  เครื่องเคาะจังหวะสุดแสนเร้าใจที่สุดคือ  กลองทุกประเภท
                  กลองแขก  India  two-headed  drum  ขึงหนังสองหน้า ร้อยโยงด้วยหวายยาว
                  กลองแจ๊ส Jazz  drum  กลองชุดนั่งตีในวงดนตรีแจ๊ส
                  กลองชนะ Victory drum  คล้ายกลองมลายูแต่สั้นและอ้วนกว่า
                  กลองเปิงมาง  two-headed  drum 
                  กลองน้ำ  River drum  กลองประเภทนี้  ตีดังทุ้มกังวานเสมอในแม่น้ำลำคลอง   
                  สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน  สาววัยเห็ดเผาะ  อายุ  13  14  15  ยังปล่อยปะเปลือยอก  นมตึงเต้าเท่าหน่วยไข่   นุ่งผ้าซิ่นผืนเดียวลงเล่นน้ำ   แหวกว่ายลอยคอยามตะวันขาลง   สาวเจ้าตวัดมือวักลม     ลมเสียรู้หลงกลเข้าผ้าซิ่นสาวจนโป่งพองปานลูกโป่ง     มืออีกข้างขมวดมุ่นไม่ให้ลมเสียทรง   จากนั้นใช้มืออีกข้างตีผ้าถุง  ดัง ตึง  ตุ้ม ๆ ๆ - ตะ- ตี - เติ่น   ลมดีตีเย็นลึก  เย็นละไมถึงแก้มก้นสาว   สนุกสนานสรวลสันต์    
                   บักใบ้   ต้อนควายเขาเลลงท่าน้ำฝั่งตรงข้าม   ถอดเสื้อแสง  เหลือผ้าขาวม้าผืนเดียว   กระโจนลงเล่นน้ำ   วักลมทำกลองน้ำตีดังอวดสาวๆ   เคราะห์ร้ายมือวักปลาปักเป้าอารมณ์บูดเข้าไปในพองผ้าด้วย   สันดานสัตว์ดุตกใจตับสั่น   ฟันแหลมคมจึงกัดดะ   กัดฟัดทั้งขาอ่อนและพวงขะหลำ   บักใบ้ร้องลั่นเลือดสาด   สนุกสนานแบบแสบสันต์

                   เขาเล่าว่ากลองยาวมอญโบราณ   ยาวเจ็ดชั่วแอก  คนแบกหามนับร้อย  เสียงดังกังวานไกลข้ามเขาเจ็ดภู
                  เขานินทากาเลว่าคณะกลองยาวรัฐบาลกำลังแตก...
                  คุณชายสะอาดไม่ชอบตีกลองยาว   แต่ชอบโยนกลองร้อนฉ่าเหม็นตุๆ              ด้วยกลิ่นอายทุจริตโครงการกินไม่พอเพียง  ให้นักการเมืองระดับรากหญ้ารับกรรม     
                  คุณชายสะอาดชอบลอยตัวตีกลองน้ำ   ป่าวร้องผลงานอันพร่าลางในม่านหมอกเมือง    ประชาชนหนวกหู   ต้องอุดรูหูด้วยผ้าปิดจมูกป้องกันโรคหวัด  2009...    
                  สาโทชนหน่ายเนื่องการบริหารบ้านเมืองแบบ นาโต ( nato )  No action , talk only

                   กลองยาวอีสาน  TomTom   ขึงตึงด้วยหนังวัวหน้าเดียว  ติดข้าวเหนียวตรงกลาง   ตัวกลองยาววา   สะพายตีเร่งจังหวะรำฟ้อนสนุกเถิดเทิง    ท่วงทำนองขึ้นชื่อว่า  เสียงเอร็ดอร่อยหูที่สุดในโลก
                  นานาบุญบ้านไม่เคยขาดเสียงบักอร่อย  
                  แห่ข้าวพันก้อน  บุญผะเหวต    บักอร่อยเถิดเทิงนำขบวนรำฟ้อนรอบบ้าน    ปลุกสาวแม่ลูกอ่อนทิ้งลูกผัว  ลุกไปรำฟ้อนเฉิบๆ สนุกสนานสรวลสันต์   
                  บุญบั้งไฟ (บุญขี้เหล้า)   สาโทชนผู้หมักข้าวเหนียวนึ่ง ใส่แป้งเป็นเหล้าหวาน  ( เย้ยเหล้าสีภาษีแพง )  เมาม่วนเหมือนกัน   สาโทชนชอบรำเซิ้งแกล้มเสียงบักอร่อย  ฮาสะเอิก
                 บุญเข้าพรรษา   บักอร่อยเตาะตีแห่แหน   พ่อนาคลุกฟ้อนบนเสลี่ยงหาม   ม่วนระงม   
                  เดือนสิบสอง  น้ำนองเต็มตลิ่ง  ลมหนาวพัดพรู   ปูหนาวกระดองย่องลงรู   หอยปากกว้างกอดกันจำศีล   ฝูงปลาอิ่มหมีพีมัน   ชวนกันแหวกว่ายลงหนองน้ำลึก   ข้าวใหม่ตั้งท้องเต็มทุ่งกลิ่นข้าวใหม่หอมขวัญรอเคียวเก็บเกี่ยว    ในฤดูกาลที่เหมาะสำหรับหนุ่มสาวชวนกันทำบุญเอว   
                  ขบวนแห่เจ้าบ่าวเข้าหอ   หากขาดบักอร่อยก็ขาดรสชาติสนุกสนานสรวลสันต์
            เฒ่าโต้น  ยายตู้  คู่ผัวเมียผู้ชมชอบเสพสุนทรีย์เสียงกลองยาวเป็นชีวิตจิตใจ   ยอมลดค่าดอง (ค่าสินสอด)  ลูกสาวลงเหลือครึ่งหนึ่ง   หากทิดป้อนำบักอร่อยวงใหญ่มาเสพงัน (ฉลอง) งานแต่งงานตลอด 3 วัน 3 คืน
                 ทิดป้อยิ้มแก้มตุ่ย    แต่ใจมิวายกังวลว่า  ใครจะทำหน้าที่เป่าแคนแทนเขาในคืนส่งตัวเจ้าบ่าว....
...............................				
14 สิงหาคม 2552 08:24 น.

ฟ้าบ่หงาย ( ตอนที่๒ )

ละไมฝน

ตอนที่ ๒ ก่อพระเจดีย์ทราย


ย้อนกล่าวไปเมื่อเดือนออกใหม่ ขึ้น ๒ ค่ำ ลมพัดหยอกยอดไผ่นวยนาย นกการเวกร่ำร้องเสียงหวานเจื้อยแจ้วยามเมื่อฟ้าค่อนแจ้ง พวกนายฮ้อยต้อนวัวควายไปขายเมืองล่างบางกอก หวนกลับคืนสู่เคหา ซื้อสร้อยแหวนเงินทองมาฝากลูกฝากเมีย ซื้อหมกหม่ำมาต้อนแม่ย่า หมู่ช่างฝีมือชาวบ้านพร้อมใจกันสร้างกุฏิหลังใหม่ แทนกุฏิไม้ใบตองตึงหลังเก่าร้าง นับแต่รู้ข่าวว่า เจ้าหัวใหม่จะมาครองวัดแห่งนี้ พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์มาทำพิธีโสกกุฏิ (โฉลก) เฒ่าก็นำเส้นด้ายฝ้ายขาวยาวย่อง วัดความยาวกลอนกุฏิ ปากพึมพำมะหล่ำมะเหลื่อว่า

 กลอนกุฏี พระดีแตก แขกมาเฮ้าโฮม โยมมาหาสู่ พ่อครูตาย...

เส้นด้ายฝ้ายขาววัดไปตกโฉลก พ่อครูตาย พ่อเฒ่าใจหาย เหงื่อตกไหลไคลย้อย โบฮานทำนายว่า ตกโสกนี้ ถ้าเจ้าหัวบ่ตาย ก็ต้องลาสิกขาไปนอนซ้อนเมียสาว วัดจะกลับคืนร้างเป็นทางเทียวผีเปรต เป็นดงหมากเขือบ้า เป็นป่าหมากเขือขื่น ...

สาวกระจ้อน สาวคำผอง เอื้อยน้องสองศรี เอื้อยคนหัวปีลูกพ่อเฒ่าจูมสี คนน้องลูกท้ายปีแม่ใหญ่อึ่ง สองสาวเจ้าได้ยินคำพวกผู้เฒ่าเล่าลือว่า เจ้าหัวรูปงามจากบ้านโคกสะอาด จะมาครองวัดบ้านโคกใหญ่ จึงปลุกกันตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว นึ่งข้าวสุกแล้วฟายใส่ก่อง ทำของทานของกินใส่ปิ่นโต ไปจังหันจังเพล 

ตะวันสายสาดส่องก้นผู้สาวนอนตื่นสาย สาวกระจ้อนบ่อาบน้ำ ผัดหน้าทาแป้งขาววอก ปากแต้มสีแดงแจ้ดแลด เด็ดดอกไม้สีแสดมาเสียบแซมกล่อมผมนาง เบี่ยงสไบแพรผ้ายาววาลายดอกดาว สะพายก่องข้าวน้อย น้ำเต้าปุ้งใส่น้ำเต็ม พากันย่างหยากย้ายหน้าบานเพ้อเว้อออกมาวัด 

สาวจันดาถือปิ่นโตตามหลังแม่ทุมมา ท่วงทางย่างงามปานช้างเทียมแม่ สาวเจ้าสวมเสื้อไหมคอกลม แขนกระบอก ขับผิวใสขาวนวล ฝาดผ่องเป็นยองใย ผ้าเนื้อดีทอจากเส้นไหมเงิน เบี่ยงสไบบางพร้อม งามผืนผ้าพิลาศลายแพรวาหอม นุ่งซิ่นจกแม่เจ้าทอมือ แม่สอดลายสายเส้นเป็นเครือเป็นดอก ฝูงพญานาคน้อยเล่นน้ำอยู่ตีนนาง...งามหลาย 

หมู่ผู้เฒ่าแต่งพานบาศรี เย็บขันหมากเบ็ง แซมดอกไม้หอมสดสะพรั่ง พากันมาออกมาตุ้มโฮม(รวมกัน)บนหอแจก(ศาลาการเปรียญ) 

เสียงกลองเพลดังตุ้มตึ้ง ขบวนแห่แหนสมภารใหม่มาถึงหมู่บ้านแล้ว เหลียวเห็นแสงวะวับแวววับไหว นั่นคือแสงแดดใสส่องหัวญาครูเฒ่า ผู้นั่งเป็นเจ้านำหน้าขบวนยาว หมู่ผู้บ่าวหามเสลี่ยงพรั่งพร้อม ทั้งเจ้าหัวเฒ่าและเจ้าหัวน้อย พากันม่วนชื่นดีดเต้น เต้นแล้วดีดตามจังหวะเสียงพิณแคน แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร ทั้งหามทั้งฟ้อน ย้อนหน้าย้อนหลัง เจ้าหัวเฒ่านั่งบ่เป็นสุข เอียงซ้ายเอียงขวาจนเอวเคล็ดเอวคลอน เจ้าหัวบ่าวนั่งเอนหน้าเอนหลัง ม่วนเพลินเสียงแคนลำเซิ้ง ปานจะกางแขนรำฟ้อน เณรอุ่นน้อย เณรย่องตอด ย่างต้อยต่องตามหลังอยู่บ่ห่าง หมู่อุบาสกอุบาสิกาเหงื่อไหลไคลย้อย ติดตามขบวนแห่แหนผ่านโคกใหญ่ โคกน้อย โคกสูง โคกต่ำ โคกเห็ดสำมะปิ (เห็ดหลากหลายชนิด) ผ่านโคกเห็ดข้าวไคหอม พอขบวนเคลื่อนคล้อยแห่มาถึงวัดแล้ว ก็แยกย้ายย่างขึ้นหอแจกพักผ่อนตามอัธยาศัย .

 หัวซาบุญงามแท้ๆ เนาะ 
สาวกระจ้อนอุทานฮ้อง จับจ้องญาซาหนุ่มรูปงามตาบ่กะพริบ  ตาก็คม ดั้งก็โด่ง ผิวขาวเหลืองปานพระสังข์ทองถอดรูปเงาะก็บ่ปาน 
 ข้อยว่างามปานพระอินทร์แต้มนะ 
สาวคำผองครางเสียงอือๆ ตาเคลิ้มฝันเช่นคนละเมอ
 เฮ็ดจังไดหนอ เจ้าหัวบุญจะได้ฉันของทานปิ่นโตกู 
สาวกระจ้อนหันไปปรึกษาน้องสาวต่างแม่
 เจ้าเฮ็ดของขบฉันอันใด ใส่ปิ่นโตล่ะ 
 แกงอ่อมหอยจูบ (หอยขมสับก้น) กูไปงมมามื้อวานนี้ 
 โอ้ย เอื้อยเอ้ย...เจ้าหัวฮูปงามเพิ่นบ่ฉันของทานเอื้อยดอก เพิ่นอายจูบหอย
 แล้วปิ่นโตมึงล่ะ อีผอง 
สาวกระจ้อนย้อนถามน้องต่างแม่
 ห่อหมกปลาคาบของ (ปลาก้าง) 
 ตายละ ก้างปลาติดคอเจ้าหัวซาตายก่อนหดสรงน้ำแน่ๆ เลย ของทานมึง พระเพิ่นฉันยากกว่าของกูอีก
ผู้ใหญ่เม้า หันมาทำตาดุ เสียงดุ
 อย่าเถียงกันเสียงดังหลาย อายพี่อายน้องบ้านไกลเพิ่นแน 

พอถึงเพลาฉันเพล พระเณรจับสลากเลือกปิ่นโตโยมอุปัฏฐาก ญาครูโต้นจับสลากได้ปิ่นโตยายกองแลน ตาเข แม่ฮ้างเฒ่าบ้านใกล้วัด ญาท่านเปิดฝาปิ่นโตแล้วถึงกับครางโอ้...หน้าเหลืองตาต่ำสลด เมื่อเหลือบเห็นแจ่วบอง คั่วแมงกุดจี่ แลแมงอีนูน เจ้าหัวเฒ่าถอนหายใจ เนื่องจากบ่มีฟันจะขบเคี้ยว

เณรย่องตอด สามเณรรับใช้ญาครูใหญ่ จับสลากได้ปิ่นโตสาวคำผอง ผู้หมกปลาคาบของใส่ปิ่นโตมากินทาน เณรอุ่นน้อย จับสลากได้ปิ่นโตสาวกระจ้อน ผู้แกงอ่อมหอยต่อยก้น ใส่ผักลืมผัวข้าวคั่วหอม เมื่อนั้นเณรอุ่นน้อยนั่งจูบหอยเหงื่อย้อยไหล ทั้งจูบหอยทั้งฮ้องไห้ น้ำตาไหลอาบปิ่นโต

ส่วนญาซาบุญเติมโชคดีเหลือล้น จับสลากได้ปิ่นโตสาวมณฑา ผู้แกงปลาซ่อนตัวใหญ่ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วศาลาหอแจก ปลาซ่อนแม่ไข่ยวงเหลืองอ้อยต้อย เณรน้อยเหลียวมองทำตาม้อยๆ กลืนน้ำลายคอยท่าหัวปลามัน

นับจากนั้นมา เป็นอันว่ายายกองแลนแม่ฮ้างเฒ่า ได้เป็นแม่อุปัฏฐากญาครูโต้น สาวจันดาลูกหล่าแม่ทุมมา ได้เป็นแม่ออกค้ำเจ้าหัวบุญเติม สาวคำผองนั้นเป็นแม่ออกค้ำเณรย่องตอด ส่วนสาวกระจ้อนเป็นแม่ออกค้ำเณรอุ่นน้อยผู้จ่อยเหลือง...
.............................................

ดวงตะวันต่ำคล้อย ยามแลงแสงแดดอ่อน ลมพัดปลายไผ่บ้าน สำราญแท้ไผ่เสียดสี เสียงลม วี...วี๊...วี...ลมพัดตีหมากงิ้วแห้ง ปุยนุ่นขาวแตกเปลือกปลิวกระจายเต็มฟ้า ลมพัดผ้าสบงบางน้อยเณรอุ่น ผู้ยืนอยู่บนหอกลองเพล เป็นเวรเป็นกรรมตาผู้สาว ผู้เหลียวเห็นหมากงิ้วน้อยห้อยต่องต้อน ผ้าซ้อนก็บ่มี พวกหมู่สาวนมตูมตั้ง หาบน้ำผ่านลานวัด เหลือบเห็นหมากงิ้วของเณรน้อยเท่ากิ่งก้อยก็บ่ปาน พาลพาโลหัวเราะร่าหน้าแดงปานตำลึงสุก หาบน้ำแล่นล้มแล้วลุก ลัดผ่านลานวัดเข้าสู่เรือนชาน วางไม้คานหาบน้ำแล้ว เหลือบเบิ่งกระชุน้อยน้ำบ่มี 

ฝ่ายเณรอุ่นน้อยเหิมฮึกคึกคะนอง ตีกลองแลงหยอกสาว เสียงยาวๆ สลับสั้น กระชั้นเร่งเร้าเจ้าหัวพลอยเคืองขุ่น 

 จัวน้อยผีบ้า..ไผพาตีกลองทำนองนี้ บวชมาตั้งหลายปี เฮ็ดดีก็บ่ได้ 
ญาครูบุญเติมยืนเท้าสะเอว หน้าบึ้งบอกบุญบ่รับ 

เณรอุ่นยิ้มเป้ยๆ บ่คิดเคืองขุ่นคำด่า ท่านครูบาบุญเติมนี้ มีเมตตาธรรมมากล้ำคำสอน คำดุด่าป้อยๆ เณรอุ่นน้อยคิดว่าเจ้าหัวฮัก เจ้าหัวแพง เณรเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายแต่น้อยๆ ญาครูรับเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่กล้าหน้าบาน พออายุครบบวชแล้ว จึงบวชอุ่นน้อยเป็นเณรคำ เณรสำนึกบุญคุณปรนนิบัติญาครูเจ้าบ่ห่างหนี บ่คิดสึกไปเล่นเกเรลักขโมยของคนอื่น จับนมผู้สาวคราวนั้น เพราะสาวขี้ดื้อมาหยอกแหย่ หยอกบ่หยอกเล่นๆ กำพวงขะหลำแล้วแล่นหนี

เกิดมาเป็นเณรน้อย คอยติดตามผู้เป็นปราชญ์ จากวัดบ้านโคกสะอาด ด้วยศรัทธากล้าญาครูเจ้าจึงตามมา ยามปวดเมื่อยอ่อนล้าแข้งขา ได้เณรอุ่นน้อยคอยนวดเฟ้น บีบคลายเส้นคลายเอ็น ทั้งเอ็นใหญ่เอ็นน้อยและเอ็นอ้อยทุกค่ำแลง 

ความซุกซนของเณรอุ่นนั้นก็เหลือหลาย สาธยาย ๓ วัน ๓ คืน ยืดยาวบ่จบสิ้น 

เมื่อได้ยินคำญาครูตำหนิด่า เณรจึงตีกลองช้าๆ...ช้าลงสาละวัน เป็นสัญญาณบอกเตือน ย่างเดือน ๖ ปีนี้ ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายเวียนมาถึง ให้ชาวบ้านพร้อมใจกันแต่งพานบาศรี ทั้งผู้เฒ่าผู้โอ่ ผู้บ่าวผู้สาว และลูกเล็กเด็กน้อย มาขอขมาโทษเจ้าหัว ที่ล่วงเกินด้วยวจีกรรมกายกรรม เมื่อครั้งสาดน้ำเล่นสงกรานต์ม่วนชื่น ทั้งเณรน้อยทั้งสีกากุมกอดกันอุ้มลุ้มอยู่ลานวัดอาราม

ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง...

เสียงกลองน้อยทิดทองไสท่วงทำนองเร้าใจ ทั้งสาวใหญ่สาวน้อย คว้าไม้คานหาบกระชุ ลุกขึ้นย่างย้ายเป็นทิวแถวลงสู่ฝั่งน้ำชีหลง ยามหน้าฝนน้ำพัดทรายมาเต็มฝั่งยามหน้าแล้ง ได้บุญหลายขนทรายเข้าวัด อ้ายทิดสังข์ดีดพิณน้อย เสียงจ้อยๆ ลำเต้ยหยอกผู้สาว 

สาวกระจ้อนเพิ่นม่วนใจ กระโจนลงจากชานเฮือนทั้งดีดทั้งเต้น ดีดแล้วเต้นแล่นลงท่าทราย สองตีนนางลื่นไถลหงายหลังขาชี้ฟ้า มองเห็นแต่ตีนผ้าซิ่นถลกคลุมหัว กกก้นดำปานก้นหม้อต้มยาฮากไม้ ยาสมุนไพรญาพ่อครูโต้นนั่นแล้ว

แล้งๆ นี้น้ำชีลงลดหลาย เม็ดทรายใสวับวาวขาวเกลี้ยง สาวจันดาเบี่ยงสไบแพรหอมอวลกลิ่น นุ่งซิ่นงามลายนาคน้อยทอเส้นไหมคำ หมู่ผู้บ่าวเหลียวแลนำ ทำตาส้มตาหวาน แย่งกันช่วยนงคราญขนทรายยีย้วย น้อยเณรอุ่น เณรย่องตอดช่วยกันจัดแจงแต่งดินลานไว้ เณรก็ปักธงไท้เรียงรายงามตา เชิญญาติโยมโฮมเฮ้า(ร่วมกัน)มาขนทรายเข้าวัด เก็บดอกไม้มาแจมจัดประดับประดาเจดีย์น้อย ดอกดาวเรือง ดอกชบา ดอกรัก ดอกพุดขาวซ้อนช่อกลีบหนา ดอกมันปลาหอมกว่าดอกเป้า ดอกคัดเค้าหอมยามเช้า ดอกไข่เน่าหอมยามงาย หอมบ่วายหอมกลิ่นผืนผ้าแพรวาสาวจันดา...

 ญาครูครับ เจดีย์ทรายแม่ออกจันดา ตบแต่งดอกไม้ง้ามงาม  
เณรอุ่นแล่นขึ้นมารายงานครูบาบุญเติมบนหอแจก 

สมภารหนุ่มทอดถอนใจยาว ตาคู่คมทอดมองแนวระเบียงศาลา ประดับประดาดอกไม้แห้ง ร้อยอุบะดอกลิ้นฟ้า ดอกสะแบงแสดแดงเดือนห้า หมู่ผู้สาวนำมาร้อยเรียงราย สายลมพัดพลิ้วกระพือบินไหวๆ คือฝูงนกกระจาบใบตาลสานห้อยละลานตา ทั้งสีสันธงทิวประดับดีงามล้วน ทั้งบุญใหญ่บุญน้อย บุญค้ำบุญคูณ อาศัยศาลาหอแจกนี้ สืบสานประเพณีสืบมา 

 งามปานใด ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นเท่านั้นแหละ จัวน้อยเอ๋ย 
 ค่ำแลงนี้แม่ออกจันดาเพิ่นมาลงวัด ทิดบัวไข ทิดทองสา อ้อมหน้าอ้อมหลังอยู่บ่ห่าง

เณรน้อยเอื้อนเอ่ยถึงสาวงามแม่ออกค้ำผู้งามล้ำ แทงใจผู้นั่งฟังให้ฮ่ำฮอนนำ(คะนึงถึง) หัวใจญาครูพลันไหวหวั่น 

แม้นว่าหน้าตาอาจดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นเต้นแฮงนักแท้ ปานเณรน้อยรัวกลองเพลยามหิวข้าวเที่ยง ฮ่ำฮอน(คะนึงหา) อยากเห็นหน้าสาวจันดาลูกแม่ทุมมาโยมอุปัฏฐาก ผู้มาจังหัน จังเพลอยู่บ่เว้น สาวจันดาอายุย่าง ๑๙ ปีงามเต็มเทียมแม่ ญาครูสรงน้ำใหม่ พยายามหักห้ามใจบ่คิดนำคำเว้า แต่ใจก็ยังคิดฮอดสาวเจ้าคิดเป็นวรรคเป็นเวร 

ขึ้นชื่อว่าใจพระ หรือใจคน ก็มีเลือดมีเนื้อบ่ต่างกัน มันโลดแล่นไปมาบ่หยุดนิ่งปานลิงขึ้นหมากพร้าว เจ้าหัวหนุ่มผู้หวังจะครองผ้าไปนิพพาน แต่ว่ามารผู้สาว มากางแขน กางขากั้น ยามจำวัดหลับฝัน หมู่คนธรรพ์มาอุ้มสม อุ้มไปดมกลิ่นกายสาว นอนเคียงนางกลางอุ่นจนแจ้งจ่างปาง

ญาครูบุญเติม ผู้บวชเรียนมาแต่น้อยเท่าใหญ่ ครองวัตร ครองศีล ครองธรรมมานาน แต่กายกับจิตยังเกี่ยวกอดกันอยู่ ลางทีกิเลสก็พาใจญาครู ล่องลอยไปนอกกำแพงวัด เห็นดอกไม้งามหอมนัก แม้กระทั่งดอกหญ้าข้างทางก็ดูงามเหลือหลาย อยากเอื้อมเด็ดดอกพะยอมหอมกำหนัด มันใกล้จนมือเอื้อมถึง แต่ว่าใจก็เด็ดดอกไม้หอมมาดอมดมบ่ได้...

ค่ำคืนนี้...เดือนเพ็ญเพ็งเต็มดวง นวลแสงเย็นอาบคืนค่อนแจ้ง หมู่ผู้เฒ่าผู้สาวเด็กน้อย เก็บดอกไม้ดวงมาลาหวงหอม พร้อมธูปเทียนขึ้นมานั่งบนศาลาหอแจก พ่อใหญ่จารย์คำหมอพราหมณ์ นำหมู่ชาวบ้านสวดมนต์ไหว้พระ รับศีลรับพรจากพระเณรแล้วลงสู่ลานวัด จุดธูปเทียนบูชาพระเจดีย์ทราย จนเฮืองฮุ่งไปทั่วลานกว้าง หมู่บ่าวสาวนั่งเคียงกันข้างกองทราย ผู้บ่าวผู้สาวอธิษฐานเป็นคู่นอนฮ่วมห้อง ใจประสงค์ฮักฮ่วมบุญปันแบ่ง มื้อนี้กินข้าวฮ่วมพา มื้อหน้ากินปลาฮ่วมหนอง ใจประสงค์กันแล้วแก้วใสในถ้ำก็จะค้นหา...

ฝ่ายสาวจันดาน้องก่อกองทรายคอยท่า ฮ่ำฮอนหาญาครูบ่าว คอยเจ้าหัวมาจุดเทียนฮ่วมอธิษฐานฮักแพง ดุจดั่งปลาฮักน้ำ จวงจันทร์คำฮักปวงดาว ปรารถนาให้เม็ดทรายนับล้านเป็นดั่งเนื้อดินก้อนเดียวกัน...นั่นแล้ว แต่ว่าญาครูเจ้าดำรงสมณเพศสืบศาสนา คือดั่งมีกำแพงสูงบังตา บุญและ บาปนี้เป็นของคู่กันปานคนกับเงา เงาตามคนไปทุกที่...ทุกวี่ทุกวัน 

 เป็นบ้าป่วงแบบนี้... บ้านสิล่ม วัดสิฮ้าง ญาครูเจ้าบ่ฮุ่งธรรม...บาปหลายแท้หนอเฮา  
สาวจันดาครุ่นนึกตำหนิตนบ่เจียมใจ 

งามแสงเพ็ญนวลกระจ่าง แกมแสงเทียนรุ่งเรืองทั่วลานบุญ หมู่เด็กน้อยเล่นลอดแลดข้าวสาร บักกบบักเขียดประสานนิ้วกัน ทั้งสองข้าง ยกขึ้นเหนือศีรษะ อีติ่งต้อยอยู่แถวหน้าเรียงราย เดินก้มหัวโน้มตัวลอดใต้แขนบักกบบักเขียด พร้อมกับฮ้องว่า...

ลอดแลดข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เด็กน้อยน้อย ตาเหลือกตาลาน
เจ้าหัวคลาน อ่อมเอาะอ่อมอ้อย
เด็กน้อยน้อย นำก้นคุบเอา...

บ่ทันจบคำ บักกบบักเขียดก็จับมือกันเอาอีนางแพงกับพิกุลอยู่ข้างหลังไว้ .... 

เด็กน้อยอีกกลุ่มหนึ่ง เล่นจ้ำมู่มี่ บักเขือขื่น เสียงฮ้องเฮแซวๆ ว่า

 จ้ำมู่มี้ จ้ำมู่มน หักคอคนใส่หน้านกกด หน้านกกดหน้าลิงหน้าลาย หน้าผีพรายหน้ากิกหน้าก้อม ย้อมแยะ ผ้าเตาะแตะ กับผ้าต่อกลาง พับมือบางไปต่อไก่ ต่อได้แล้ว มาฟักมาฟัน ลาวเวียงจันทน์ ใส่แหวนข้างซ้าย ย้ายแยะ...

กลุ่มของบักโม่งขี้มูกเขียว ชวนหมู่เล่นมอญซ่อนผ้า อีเขียดจะนาน้อย แก้มป่องเป็นสาวมอญ ถือผ้าข้าวม้าฟั่นจนแข็งปานท่อนไม้ เดินย่องๆ อ้อมข้างหลังหมู่เพื่อน 

 มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ระวังให้ดี จะตีหลังแตก....

อีกเขียดจะนาน้อยลอบวางผ้าไว้ข้างบักโม่งขี้มูกเขียว ย่างย่องอ้อมวงอีกรอบ ย่องวนกลับมาคว้าผ้า ตีหลังบักโม่งขี้มูกเขียวดังตุ๊บ !

บักโม่งเจ็บจุก ลุกขึ้นร้องไห้ไปฟ้องแม่...

เดือนขึ้นสูง แสงเทียนดับ หมู่ผู้เฒ่าจูงแขนลูกน้อยกลับเรือนนอน หมู่ผู้สาวกลับเรือนเข็นฝ้าย ทิดเคนน้อยเป่าแคนตามหลัง เสียงลายแคนสุดสะแนนม่วนหู แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร.. สาวกระจ้อนนอนย่างแม่คีงไฟ (เตาไฟ) สาวนางตกตลิ่งทรายขาเคล็ดเอวคลอน นอนครางฮือๆ สาวคำผองเข็นฝ้ายเว้าบ่าว อยู่นอกชานเรือนเย็นลมชมดาว ทิดทองสาสูบยามวนใหญ่ควันปุ้ยๆ ขยับเข้าใกล้ผู้สาวเข็นฝ้าย ....

(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
10 สิงหาคม 2552 11:16 น.

ลูกผัวอยู่ที่หัวกะได

ละไมฝน

ลูกผัวอยู่หัวกะได

เขียนโดย ละไมฝน

บรรดาบันไดไต่เดินบรรเจิดบนโลกล้วนหลากหลาย
บันไดลอยฟ้า ( scaling ladder ) อาจเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์ในอนาคตอันใกล้
บันไดลิง (ชื่อเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง) บันไดที่ติดตรึงกับวัตถุทรงสูงชะลูด ไต่เดินขึ้นสู่ที่สูงบันโดยบรรดาบรรพบุรุษมนุษย์วานร
ทาร์ซานใช้ชีวิตแบบเบ็ดเสร็จอยู่กับวานรแต่แบเบาะ สามารถโหนบันไดเชือก ( rope ladder ) โห่ร้องก้องไพรโฉบโอบอุ้มลินดา ไปขึ้น บันไดลิง แล้วไต่เต้าสู่บันไดลอยฟ้า ซึ่งเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์

ซ้ายสีชมพู
ไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ ผู้มีหมัดซ้ายอันหนักหน่วงทะลวงโลก
เขาสร้างตำนาน บันได 3 ขั้น ก้าวสู่แชมป์โลก ด้วยการขึ้นเวทีตะบันคู่ชกเพียง 3 ไฟต์ หมัดซ้ายของเขา คว่ำคู่ชกที่เก่งกว่าเทียบรุ่นต่อรุ่นมานักต่อนัก 
การชกใต้สะดือขาวบัดซบ ทำให้เขาพ่ายแพ้ในที่สุด เขาแยกทางกับอดีตดาราสาวด้วยบันไดวน 2 แนว แบบ helix ที่คิดค้นโดยอัจฉริยะโลก ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี

พรรคการเมืองบางพรรค ก้าวขึ้นสู่อำนาจตามแผน  บันได 4 ขั้น  บันโดยยินยอมอย่างอ่อนระทวยให้เทพอุ้มสม
ทายาทรัฐบาลหวานเย็นผู้เชื่องช้า บริหารประเทศด้วยนโยบายพรางตาอันพร่าเลือน ชูสโลแกน 100 มาตรการ หลายล้านคนระทมทุกข์

ชาวโรมันโบราณ สืบทอดอารยะอหังการ ว่าด้วยตีนขวามีพลังอำนาจกว่าตีนซ้าย 
ยามเดินทัพออกรบต้องก้าวเท้าขวาก่อน นัยว่าจะบำราบข้าศึกไว้แทบอุ้งตีน ทหารหาญที่บัดดลก้าวเท้าซ้ายตีนแรกจะถูกตัดขา
เมื่อขึ้นบันได ต้องก้าวตีนขวาเหยียบลูกนอนบันไดแรก และสิ้นสุดตีนขวาที่ลูกนอนบันไดสุดท้ายเสมอ 
บรรดาขั้นบันไดจึงบันโดยนับจำนวนเลขคี่นับแต่นั้น

ฝรั่งมังฆ้อง เข็ดขยาดลูกนอนบันไดจำนวนเลข 13 บ้านใด บันได 13 ขั้น เจ้าของบ้านนั้นจักบำราศในที่สุด
บ้านเรือนไทยบ้านใดบรรจงสร้างบันไดจำนวนเลขคี่ ถือเป็นมงคลบันเทิง
วิถีชีวิตชาวอีสานโบราณ บรรจงสร้างเฮือน (เรือน) มีนอกชานนั่งกินลมแล้งชมดาวสวย นิยมโสกนับลูกนอนหัวแม่กะไดทำนองเต้ยโสก

โสกหัวแม่กะได คนละความหมายกับคำว่า โสกโดก
โสก (ภาคอีสาน) หมายถึง สัดส่วน ลักษณะ บรรจงใช้ร่วมกับคน สัตว์ และสิ่งของ 
เทียบเคียง โฉลก (ภาคกลาง) หมายถึง โชค โอกาสดี
โสกบันไดดีบันดาลสุขแก่บ้านเรือน

ผญา (ปรัชญา) อีสานว่า
 สุขเพราะมีข้าวกิน
สุขเพราะมีดินอยู่
สุขเพราะมีคู่นอนนำ (นอนด้วยคน)
สุขเพราะมีคำเต็มไท้
สุขเพราะมีเฮือนใหญ่มุงแป้นกระดาน...

พ่อเฒ่าโต้น (สามีแม่เฒ่าตู้) ผู้ไม่ประสงค์นอนหงายตีนตากแดดบั้นเฒ่า สร้างเรือนเสร็จใหม่ ยังไม่มีหัวแม่บันไดไต่ขึ้นเรือนลงล่าง 

พ่อเฒ่าจึงตัดไม้มาบรรจงทำบันได ปากสีกล้วยน้ำหว้าจำบ่มผ่าครึ่งซีกแซมข้าวต้มมัดสุก พึมพำคำโสกนับลูกนอนบันไดว่า
 เดือนดับตัดไม้
ขี้ไฮ้จนตาย (ทำมาหากินลำบากกายใจตลอดชาติ)
งัวควายเต็มถุน
ข้าวของเต็มดูน
ทรัพย์สินมูลนา...

อีเจ้ย ลูกสาวพ่อเฒ่าโต้น อีแม่ตู้ สาววัยขบเผาะ ผู้ตกกระไดพลอยโจนตกโสกกระดีดกระดิ้น บันเทิงก่ายขึ้นก่ายลงบันไดเรือนหลังใหม่

แม่เฒ่าตู้ปากเปียก บรรจุคำพร่ำสอนมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนลงในขดขมอง (สมอง) ลูกสาวผู้บรรยง
บรรดาคำแม่สอนลูกสาวว่า...

ไต่ทืบตีนขึ้นหัวแม่กะได คะลำ (ข้อห้ามอันอัปมงคล)
นั่งถ่างขาขวางหัวแม่กะได คะลำ
ยืนเหยี่ยวบนหัวแม่กะได คะลำ

อีเจ้ย สาวขบเผาะผู้บรรยงหาบรรลุถึงคำสอนไม่...

ยามงามงายเมฆดอกฝ้ายกระจายเต็มฟ้า บังอรเล่นบทจรไปบังคนที่ส้วมหลุม (พาดไม้ 2 แผ่นเหนือปากหลุม) 

บริบทของคนอีสานไม่บันเทิงใจหากสร้างส้วมหลุมบนเรือน

ยามค่ำคืน บรรยากาศมันมืดบรรลัย อีเจ้ยมักจะแอบเยี่ยวลอดช่องกระดานไม้ปูเรือน บางครั้งก็วิ่งลงไปนั่งจ่อมที่ตีนบันไดบรรเทาทุกข์เบาเป็นที่น่าบัดสี

คืนหนึ่งนั้น เป็นคืนสวรรค์มีตา อีเจ้ยปวดทุกข์เบา วิ่งลงมาจ่อมที่ตีนบันได ถลกผ้าถุงขึ้นเหนือบั้นเอว ปรากฏของขาววับแวมในเงาอันมืดมิด แต่สว่างวาบในแสงตาของทิดป้อ ผู้แอบซุ้มดูอยู่ใต้ถุนเรือนตั้งแต่หัวค่ำ
ทิดป้อตื่นเต้นแทบดิ้นตาย
พลั้งปากร้องตะโกนอย่างศิโรราบว่า
 ยอมแล้ว...ข้อยยอมแล้ว 
ปรากฏการณ์บันเทิง นับเป็นบุญตาของทิดป้อ นับจากนั้นไม่นานก็เป็นบุญบั้นเอว...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงละไมฝน