17 กันยายน 2553 22:13 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ดวงตะวันกำลังจะตกดิน
คนต่างถิ่นแบกเป้ดูแปลกหน้า
หมุนข้อมือมองเข็มนาฬิกา
ตึกระฟ้าตะวันตกกระจกวาว
จตุรัสค่ำคล้ำดูดำขลับ
สีตัดกับสีขนพิราบขาว
ที่กระพือปีกกางขึ้นบางคราว
ก็ดูราวปีกบางของนางฟ้า
ถั่วในมืออิดโรยเขาโปรยหว่าน
ลงบนลานกระเบื้องที่เบื้องหน้า
นกพิราบหิวโซก็โผมา
ร่อนถลาระริกเข้าจิกกิน
วณิพกบรรเลงบทเพลงเหงา
เรื่องชายเฒ่าจรจัดผู้พลัดถิ่น
ในเมืองที่ตะวันไม่ตกดิน
ด้วยเพลงพิณแปลบปร่าและปวดร้าว
ว่าเธอยังอยู่ในมโนภาพ
หากพิราบเหินไปสุดปลายหาว
บอกเธอผู้อยู่สรวง ณ ดวงดาว
ฉันคอยข่าวของเธอเสมอมา
เขาฟังเพลงวณิพกผู้อกไห้
เราหาได้ผิดแผกแค่แปลกหน้า
เกิดต่างกันต่างที่ต่างเวลา
แต่ชะตาบางครั้งก็คล้ายกัน
เธอคงคอยข้ายังอีกฝั่งฟ้า
ยิ่งข่มตายิ่งหลับยิ่งกลับฝัน
เห็นภาพเธอทรุดร่างลงกลางควัน
ถูกลงทัณฑ์จากปลายกระบอกปืน
เธอรับเคราะห์แทนคนที่เธอรัก
บนซากปรักโสมมและขมขื่น
ข้าสาบานกับพระเจ้าจะเอาคืน
จะเลือกยืนหยัดอย่างอหังการ์
แต่งเพลงเพื่อข้าเถิดสหายเฒ่า
บอกคนเขาให้ทราบเรื่องหยาบช้า
เงินก้อนนี้ข้าได้จากขายยา
สำหรับค่าจ้างท่านสร้างงานเพลง
เขาหยิบวัตถุปลาบดำวาบวับ
ตาจ้องจับนาฬิกาตาเขม็ง
ตึกระฟ้าด้านหลังดูวังเวง
เหลือรถเก๋งพ่อเลี้ยงอยู่เพียงคัน
วณิพกบรรเลงบทเพลงใหม่
ซ่อนความนัยเปรียบเปรยแหละเย้ยหยัน
มีความสุขความเศร้าคละเคล้ากัน
และบีบคั้นอารมณ์จากคมพิณ
พิณเร่งรัวกรีดเสียงขึ้นสูงสุด
ร่างบุรุษตระหง่านบนลานหิน
เมื่อเป้าหมายมาที่รถสีนิล
เสียงเคบินมัจจุราชก็สาดดัง
พิณชะลอเสียงรัวชั่วขณะ
เปลี่ยนจังหวะเนิบช้าเป็นบ้าคลั่ง
บอดี้การ์ดกราดปืนเป็นหมื่นปัง
ผู้สมหวังที่สุดก็ทรุดครืน
พร้อมสิ้นเสียงบรรเลงบทเพลงบาป
นกพิราบขยับขึ้นนับหมื่น
ในท่ามกลางควันกรุ่นกระสุนปืน
ในค่ำคืนที่ตะวันไม่ตกดิน
๑๗ กันยายน ๒๕๕๓
9 กันยายน 2553 20:20 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.มากับรถขนแกลบที่แหนบผุ
เดาอายุอย่างน้อยก็ร้อยกว่า
ก็ขับบ้างเข็นบ้างระหว่างมา
แต่บนบ่าบรรทุกความสุขใจ
เป็นความสุขที่เหมือนจะเลือนหล่น
นานเสียจนไม่รู้ว่าอยู่ไหน
อาจสูญลับกับฝันในวันวัย
หรือมอดไหม้ได้กลิ่นจนชินชา.......
๒.รถหวานเย็นคันน้อยค่อยค่อยจอด
ข้าวทอดยอดรับตะวันกลางพรรษา
ผู้จากบ้านนานนับเพิ่งกลับมา
กลิ่นดอกหญ้ารกรื้นช่างชื่นใจ
กระเป๋าผ้าผูกสายสะพายหลัง
แบกความหวังสีทองเต็มสองไหล่
มีเสื้อผ้า ตราบาปและคราบไคล
ที่เผาไหม้ไม่หมดให้จดจำ
เพิ่งรู้ว่าพื้นดินมีกลิ่นหอม
และโอบอ้อมรอคอยผู้ต้อยต่ำ
มีต้นกล้าความรักให้ปักดำ
มีขนำพังพับให้นับดาว
ได้กราบเท้าพ่อแม่บนแคร่เถียง
เห็นตะเกียงดวงน้อยมีรอยร้าว
เห็นความตื้นตันคลอสองตาพราว
แทนคำกล่าวทั้งหมดที่แม่มี
ถ้าแม่ไม่สอนไว้ในวันนั้น
คงกัดฟันไม่ถึงในวันนี้
น้องคงไม่ได้ต่อถึง ป.ตรี
คงจะปล่อยแต่ละปีให้ผ่านไป
พ่อดูผอมหน้าเสี้ยมผิวเกรียมกร้าน
คงกรำงานเข้มคล้ำเพราะกำไถ
รอยสักยันต์ในวันฉกรรจ์วัย
ยังเคลื่อนไหวโลดเต้นบนเอ็นเนื้อ....
๓.แดดผีตากผ้าอ้อมเข้าย้อมโลก
ต้นอโศกต้องแดดสีแสดเรื่อ
น้ำในคลองสีทรายน่าพายเรือ
ปลาฮุบเหยื่อไหวไหวอยู่ในน้ำ
จนแดดลำสุดท้ายจากปลายฟ้า
สกุณาคืนคบเมื่อพลบค่ำ
แม่หุงข้าวแกงส้มกับต้มยำ
ลูกยังจำทุกหยดของรสแกง
คืนนี้ดาวกะพริบฟ้าลิบโล่ง
จันทร์รูปโค้งเคียวเล่าก็เว้าแหว่ง
รูหลังคาสังกะสีสนิมแดง
เห็นดาวแสงระยับอยู่นับล้าน....
๔.รุ่งฟ้าใสไก่ขันตะวันเหลือง
กองกระเบื้องหลังคาอยู่หน้าบ้าน
ร่วมลงแขกน้ำใจพอไหว้วาน
ที่มิพานพบได้จากในเมือง
จนเหงื่อเหม็นกลิ่นเปรี้ยวหน้าเหนียวหนับ
ตะวันลับหลังคามุงกระเบื้อง
มีความสุขในวันที่ฟันเฟือง
หมุนต่อเนื่องเต็มข้อได้ต่อไป
เห็นพ่อแม่ยิ้มได้คงคลายทุกข์
ลูกกลับสุขกว่าท่านกว่าวันไหน
แต่ไม่เคยเผยออกไปบอกใคร
แค่เก็บไว้เวลาล้ากำลัง....
๕.บนขนำค่ำนี้ไม่มีเมฆ
ใครหนอเสกแสงงาม..ดาวความหวัง
จนดาวอื่นทั้งหมดถูกบดบัง
ด้วยแสงปลั่งกว่าจันทร์รูปคันเคียว
อีกไม่ช้าฟ้าค่ำจะย่ำรุ่ง
จะกลับกรุงเผชิญโชคบนโลกเบี้ยว
ชีวิตบนเส้นด้ายสุดดายเดียว
มีความเหงาเปล่าเปลี่ยวคอยเหนี่ยวไก
จะฝันถึงความรักบนตักแม่
เมื่อท้อแท้ได้กลับมาหลับไหล
ตักนุ่มนุ่มแม่กอดลูกปลอดภัย
มือที่ไล้ลูบผมช่างร่มเย็น...........
๙ กันยายน ๒๕๕๓